ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    { fic exo } เด็กเสี่ย | kaido ft.exo

    ลำดับตอนที่ #5 : เด็กเสี่ย : สี่ { 4 } updated!

    • อัปเดตล่าสุด 24 ก.พ. 57


                ทันทีที่ผู้กำกับสั่งเดินกล้อง เราสองคนก็ลงมานอนอยู่บนพื้นเย็นๆที่คลุ้งไปด้วยกลิ่นสาบอับๆของห้องชื้นขนาดเล็ก ด้วยห้องที่มีขนาดจำกัดและยังถูกตัดพื้นที่ให้เหลือน้อยลงจากตู้เสื้อผ้าและโต๊ะเหล็กเก่าๆ ทำให้ทั้งคยองซูและจงอินนั้นต้องเบียดกายเข้าหากันอย่างช่วยไม่ได้ 

     

     

     

                คยองซูนอนมองออกที่ไปหน้าต่างก็เห็นปุยนุ่นขาวกำลังโปรยปรายปกคลุมท้องถนนในตรอกแคบๆจนขาวโพลน เขากระชับอ้อมกอดตัวเองแน่นขึ้นเพราะอุณหภูมิที่ดิ่งลงฮวบ

     

     

     

                “หนาวเหรอ” เสียงหนาถามคนที่กำลังสั่นงันงกเป็นลูกนกในอ้อมแขนตัวเอง ซึ่งเจ้าตัวก็พยักหน้ารับใส่เบาๆ

     

     

     

                “งั้นให้ฉันกอดมั้ยล่ะ” จงอินพลิกตะแคงตัวเข้าหาคนตัวน้อยที่นอนขดหันหน้าเข้าชนกัน เขาท้าวศอกมองดูคู่หูอาชญากรคนเก่งที่ตอนนี้ไม่ต่างจากเด็กห้าขวบกำลังปิดตาเม้มปากแน่เพื่อไม่ให้เรียวปากอิ่มสั่นสะท้านไปกับอากาศเย็ยยะเยือก

     

     

     

                คยองซูค่อยๆหรี่ตาขึ้นทีละข้างอย่างหวั่นๆ ก้อนเนื้อในอกเต้นวูบไหวกับคำถามล่อแหลมจนต้องเผลอกำเสื้อที่หน้าอกแน่น “ม.. ไม่เป็นไร”

     

     

     

                ทั้งที่หนาวใจจะขาด ทั้งที่รู้ว่าสิ่งที่คลายหนาวได้ดีที่สุดคือผิวกายของมนุษย์ แต่เขาก็ไม่อยากที่จะเสียหน้าไปมากกว่านี้ แค่ต้องทนนอนอยู่ในห้องแคบๆข้างร่างหนาก็ไม่รู้จะเอาหน้าไว้ไหนแล้ว ถ้าไม่ติดกับว่าเขาทั้งคู่กำลังหนีการไล่ล่าจากพวกตำรวจสากล เขาก็คงไม่ต้องมาทนกับสภาพอย่างนี้แน่ๆ

     

     

     

                “ทำไม กลัวฉันปล้ำรึไง” นัยน์ตาเหยี่ยวของจงอินหรี่ลงประกายแสงเจ้าเล่ห์ แต่พอเห็นอีกคนแน่นิ่งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก็ลอบถอนหายใจ “ตามใจ อยากจะนอนแข็งตายก็เชิญ แต่บอกไว้ก่อนเลยนะว่าฉันจะไม่ยอมปล่อยให้งานนี้ล่มจมเพราะนายแน่”

     

     

     

                ทันทีที่พูดจบ คนที่ทำท่าว่าเบื่อหน่ายกับสิ่งที่ร่างเล็กกำลังแสดงก็เอื้อมมือเข้าไปรั้งเอวบางเข้ามาหาอกแกร่งแน่นจนคยองซูเบิกตาโพลง เขาใช้มืออีกข้างสอดเข้าไปใต้ซอกคอของคยองซูแล้วจัดการกดศรีษะน้อยเข้าหาลำตัวหนา

     

     

     

                มือเล็กที่กอดตัวเองค่อยๆคลายออกดันตัวเองจากอาชญากรหนุ่มแต่ก็ไม่สำเร็จ มันกลับเป็นการเพิ่มแรงกอดรัดให้แน่นขึ้นไปอีกจนเขาหมดสิทธิ์ท้วงติง ได้แต่พูดอู้อี้บ่นอุบอยู่ในอ้อมกอดของคิมจงอิน

     

     

     

                “นายมันเผด็จการ”

     

     

     

                “ฉันบอกแล้วไงว่าฉันจะไม่ยอมให้งานนี้ล่มเพราะว่านายตายหรอก”

     

     

     

                “เหอะ ไม่มีปัญญาทำคนเดียวก็บอก”

     

     

     

                “อย่ามาปากเก่ง” จงอินคลายกอดร่างเล็กแล้วเชิดหน้าสวยนั่นขึ้นสบตาคม “อยู่ใกล้กันแค่นี้ ฉันยังทำอะไร อะไรได้อีกหลายอย่างนะ”

     

     

     

                จบคำก็ยั่วอารมณ์อีกฝ่ายด้วยการเป่ารดเบาๆที่แก้มใสซึ่งตอนนี้ขึ้นสีแดงระเรื่อราวผลมะเขือเทศสุกปลั่งจนน่าฟัด 

     

     

     

                คยองซูหดคอลงจนแทบจะเอาคางเกยชิดกับแผ่นอกบาง เขาทั้งอายทั้งเขินที่เวลานี่ตัวเองกลับมาอยู่นอ้อมกอดของคนที่ไม่กี่วันก่อนทำป่าเถื่อนเอาไว้มากมาย ทั้งตบทั้งตีและทิ้งเขาอย่างไม่ใยดี ความรู้สึกประหลาดแล่นปราดไปทั่วทั้งหัวใจอย่างบอกไม่ถูก 

     

     

     

                อาจเพราะความใกล้ชิดที่ทำให้เขาซึ่งมีกันอยู่แค่สองคน ได้รู้จักกันและกันมากขึ้นจนลืมไปว่าตัวเองเป็นอาชญากรและเขาเป็นอาชญากร มันเหมือนมีเส้นคั่นบางๆที่กั้นความรู้สึกไม่ให้หลั่งรินจนเกิดเป็นความรัก..

     

     

     

                รัก.. งั้นเหรอ?

     

     

     

     

                จะเป็นไปได้ไง ในเมื่อไม่มีสัจจะในหมู่โจรสักหน่อย

     

     

     

                จงอินที่เห็นคนในอ้อมกอดนิ่งไปก็กระชับแขนให้แน่นขึ้นจนคนตัวน้อยตวัดสายตาเคืองๆใส่ “นึกว่าตายไปซะแล้ว”

     

     

     

                “นายบอกเองว่าห้ามฉันตายไม่ใช่รึไง”

     

     

     

                “ก็คงใช่” เขาลอบมองเสี้ยวหน้าหวานด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม

     

     

     

                อันที่จริงด้วยสัญชาตญาณของผู้ชายมักจะทนไม่ได้หรอกถ้าหากว่ามีคนมาใกล้ชิดเขาขนาดนี้ จงอินยอมรับเลยว่าเขาเองก็มีความรู้สึกดีดีให้เจ้าอาชญากรหน้าหวานคนนี้เหมือนกัน ถึงแม้ว่าเขาจะโหดและรุนแรงไปกับร่างน้อยนี้ไปบ้างก็ตาม แต่เมื่อไหร่ที่ดวงตากลมโตของคยองซูจับจ้องมาที่เขา ใจที่เคยด้านชาก็กลับกระตุกไหวอย่างไม่มีสาเหตุ 

     

     

     

                จากที่เคยจับแต่มืดถือแต่ปืนและใช้วาจาเป็นเล่ห์เหลี่ยมหว่านล้อมเหยื่อมากมาย พอมาเจอคยองซูเขาก็กลับทำอะไรไม่ถูกสักอย่าง ราวกับว่าเขากำลังโดนสาปให้ไม่เป็นตัวของตัวเองยังไงอย่างงั้น 

     

     

     

                เขาจ้องลึกลงไปในดวงตากลมโตของคนในอ้อมแขนก่อนจะค่อยๆเคลื่อนหน้าเข้าไปใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของกันและกัน คนตัวน้อยสะดุ้งนิดๆกับการกระทำประหลาดของเจ้าของอ้อมกอดแสนอุ่นแต่ก็ไม่ได้ถอยหนีทั้งที่สมองสั่งว่าให้จัดการถีบตัวเองออกมา แล้ววิ่งหนีไปให้ไกลอย่าปล่อยให้อะไรๆมันเลยเถิดไปมากกว่านี้ แต่ร่างกายกลับไม่ฟังและนอนนิ่งให้เขาแนบปลายจมูกโด่งเข้ามาใกล้ ลมหายใจหนักๆวนเวียนอยู่ที่แก้มใสสะพรั่ง ก่อนเรียวปากหยักจะประทับความร้อนที่กลีบปากบางแผ่วเบา 

     

     

     

     

     

     

                จงอินจงใจแนบริมฝีปากตัวเองไว้กับกลีบปากสีเชอร์รี่อยู่เนิ่นนานจนมั่นใจแล้วว่าคยองซูจะไม่พยศ เขาจึงเคลื่อนหน้าเข้าไปกดจูบแรงๆหนึ่งที แล้วขบเม้มพลางดูดดึงเรียวปากล่างของคนที่เริ่มจะสั่นเทิ้มในอ้อมกอดอย่างย่ามใจจนคยองซูปากบวมเจ่อ ลิ้นสากชื้นถูกส่งมาเป็นฑูตสันตวไมตรีเดินทางเข้าไปยังโพรงปากอุ่นชุ่มไปด้วยน้ำหวานแสนฉ่ำ เขาทักทายลิ้นเล็กด้วยการไล้เล็มตอดรัดทั้งที่คนตัวน้อยยังไม่ประสาและเงอะงะปัดป่ายไปทั่วทั้งโพรงปากนุ่ม

     

     

     

                มือหนาสอดเข้าไปในกลุ่มผมนิ่มหอมคลุ้งกลิ่นแชมพูที่เขาชอบลอบสูดดมบ่อยๆพลางขยุ้มให้คยองซูแหงนหน้าขึ้นรับจูบร้อนจากเขาที่กำลังโหมกระหน่ำได้ถนัดถนี่ จุดไฟแผดเผาร่างน้อยให้อ่อนเปลี้ยในอ้อมแขนอุ่นโดยที่ลิ้นหนายังคงเกี่ยวกระหวัดรัดรึงลิ้นหวานจนหยาดน้ำใสเอ่อล้นมุมปากอิ่ม 

     

     

     

                “อ..อื้ม..” จากมือเล็กที่ดันอกแกร่งเตรียมผลักไสตัวเองออกจากร่างหนาก็อ่อนระทวย ทำได้เพียงขยำเสื้อยืดสีดำตัวเก่งที่จงอินชอบใส่เป็นรอยยับอยู่กลายๆ ดวงตากลมโตปิดพริ้มเงยหน้ารับจูบแสนอุ่นร้อนท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายอยู่เบื้องนอก 

     

     

     

     

                ดวงหน้าใสชื้นเหงื่อเพราะไฟกามารมณ์ที่ร่างสูงป้อนให้ไม่ขาดท่วงทำนองแม้แต่วินาทีเดียว แต่แล้วเขาก็ต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อมือสากนั้นค่อยๆไล้ลงไปที่ชายเสื้อตัวบางของคยองซูแล้วถลกมันขึ้น ทำให้ปลายนิ้วหนาที่เย็นชืดสัมผัสเข้ากับผิวเนียนนุ่มราวกับผิวเด็กโดยตรงจนคยองซูเบิกตาโพลง

     

     

     

                คัททททท!” 

     

     

     

                ถึงแม้ว่าเสียงผู้กำกับจะสั่งคัทแล้วแต่ไม่มีทีท่าว่านักแสดงดาวรุ่งทั้งสองจะยอมผละออกจากกันเลยสักนิด คิมจงอินยังคงตอดเล็มริมฝีปากอิ่มอยู่ไม่ห่างจนคนร่างบางที่เดิมตื่นตระหนกตกใจเพราะมือหนาใต้สาบเสื้อนั้นคล้อยตามรสจูบของเขาอีกครั้ง 

     

     

     

                “คัทๆๆๆๆๆ!”

     

     

     

                เสียงซูโฮแผดลั่นอีกรอบและครั้งนี้จงอินก็ค่อยๆถอนจูบออกอย่างอ้อยอิ่งจนหยาดน้ำใสของทั้งสองเชื่อมโยงกันเป็นสายใยบางๆ 

     

     

     

                “หึ ติดใจฉันรึไงถึงไม่ได้ยินเสียงคัทน่ะ”

     

     

     

                จากที่หลับตาพริ้มเคลิบเคลิ้มไปกับรสจูบของร่างสูงอยู่ก็ต้องกระตุกเฮือกเพราะเสียงเย็นเยียบกึ่งดูถูกที่ส่งมา คยองซูหอบแฮ่กเด้งตัวเองออกจากอกแกร่งอย่างไว พลางดึงตัวเองลุกขึ้นปัดป่ายไปมาแก้เก้อเขินก่อนจะรู้สึกได้ว่าผิวแก้มของตัวเองเห่อร้อนหนักพร้อมกับปากอิ่มที่บวมเจ่อเพราะฉากจูบเมื่อครู่ แค่คิดก็ต้องยกมือขึ้นมาถูเรียวปากตัวเองไปมาอย่างบ้าคลั่ง

     

     

     

                …นี่ผมเผลอไปเคลิ้มกับจูบของไอ้คนบ้าพรรคนั้นเหรอเนี่ย!

     

     

     

                “จ..จะบ้ารึไง!” พูดไปก็หน้าแดงหูแดง “น่าสะอิดสะเอียนจะตาย”

     

     

     

                “ก็ใครจะไปรู้ล่ะ เห็นนอนเคลิ้มให้ฉันจูบอยู่นานสองนาน”

     

     

     

                “ก็บอกว่าไม่ๆๆๆไงเล่า!!!” ร่างเล็กเถียงเสียงดังแล้วก็รีบวิ่งดุ๊กๆหนีไปจากตรงนั้นทันที จนร่างสูงอดจะหลุดยิ้มมองตามไม่ได้ คนอะไรเถียงข้างๆคูๆบอกว่าไม่เขินไม่เคลิ้ม ทั้งที่หน้าเน่อหูเหอแดงเห่อไปหมดอย่างนั้น 

     

     

     

                …น่ารักชะมัด

     

     

     

                “ไค” ระหว่างที่คิดอะไรเพลินๆเสียงของพี่ชายผู้กำกับมือถึงก็ดังขึ้นมาจากด้านหลัง เขาหันกลับไปมองก่อนจะเห็นใบหน้าขาวบูดบึ้ง “แกเล่นนอกบทอีกแล้วนะเว้ย”

     

     

     

     

                “แล้วไงอ่ะ” ร่างหนายืมล้วงกระเป๋ายักไหล่แบบไม่ใส่ใจ “พี่น่าจะชอบนะ นักแสดงเล่นได้ถึงบทบาทซะขนาดนี้”

     

     

     

                “ทำไมแกไม่ให้เกียรติน้องเขาบ้างวะ นี่ฉากจูบฉากแรกในชีวิตน้องเขาเลยนะเว้ย”

     

     

     

                “พูดเป็นเล่นน่า เรื่องก่อนๆก็เห็นจูบกับใครต่อใครเยอะแยะจะตาย”

     

     

     

                “แกตาบอดหรือว่าแกโง่วะ นั่นมันมุมกล้องทั้งนั้นแหละ” ชายหนุ่มผิวขาวจัดบ่นอุบอิบ “แถมยังนอกบทเอามือไปสอดใต้เสื้อน้องเขาอีก ถามจริงแกชอบคยองซูเหรอวะ”





                อย่าบอกนะว่าที่สั่นเป็นลูกนกทำท่าเงอะๆงันๆนั่นน่ะ จูบแรก?

     

     

     

                “ไม่ได้ชอบ” ร่างหนาปฏิเสธเสียงแข็ง “แล้วพี่จะเดือดร้อนทำไมวะ ทีคนโดนทำยังไม่เห็นจะโวยวายสักนิด”

     

     

     

                “โวยวายก็แปลกแล้ว น้องเขาไม่ได้มีบทในส่วนของแกสักหน่อย นี่ไม่รู้ว่าวิ่งเตลิดไปไหนแล้วเนี่ย ดีนะว่าเป็นฉากสุดท้ายของวันนี้พอดีไม่งั้นฉากต่อไปน้องได้เสียสติแน่ๆ ยิ่งเป็นคนขี้อายอยู่ด้วยกว่าจะกล่อมให้...”

     

     

     

                เสียงซูโฮยังคงบนพล่ามไปเรื่อยโดยไม่ได้สังเกตเห็นสักนิดว่าคนฟังไม่ได้สนใจเลย ในหัวเขามีเพียงคำเดียวเท่านั้นจากประโยคที่แสนยืดยาวของพี่ชายวนเวียน

     

     

     

                “เหอะ ขี้อายงั้นเหรอ? ไม่มั้ง” 

     

     

     

                คนที่เป็นถึงเมียน้อยเสี่ยนี่นะอาย ขำตายล่ะ!

     

     

     

     

     







     

                ตามสัญญาที่ซูโฮได้ให้ไว้ตอนนี้ทุกคนในกองที่เหน็ดเหนื่อยจากการถ่ายทำก็มาสุมกันอยู่ที่ร้านเนื้อย่างร้านประจำซึ่งผู้กำกับสุดใจดีก็จัดการเหมาทั้งร้านเอาไว้ โดยที่เราเลือกนั่งดื่มและกินกันเป็นที่นั่งแบบเสื่อปูยาวเต็มพื้นห้อง และด้วยจำนวนสมาชิกที่มีมากกว่ายี่สิบชีวิตทำให้ร้านที่เคยกว้างขวางแน่นแออัดไปด้วยเหล่าผู้หิวโหยที่พากันดื่มกินราวกับปลดปล่อยร่างกายที่เหนื่อยล้ามานานให้พักผ่อน 

     

     

     

                “เอ้าชนนนนนนนนน!!” เสียงเฮดังลั่นมาไม่ขาดสายพร้อมกับเหล่านักดื่มที่ยกแก้วโซจูขึ้นซดกันอย่างเมามันส์ 

     

     

     

                ยกเว้นคนๆนึงที่นั่งเงียบมองบรรยากาศสรวลเสลเฮฮาอยู่ในมุมเงียบๆของตัวเอง มือเล็กคีบเนื้อเข้าปากนิ่งๆ แก้มน้อยเคี้ยวตุ้ยๆลิ้มรสชาติหวานละมุนของเนื้อย่างร้านโปรดที่เข้ามักจะมากินกับเซฮุนบ่อยๆเมื่อมีโอกาส

     

     

     

                “คยองซูอ่าาา” พี่ซูโฮที่กรึ่มได้ที่ค่อยๆไถลหัวหนักๆลงมาที่ไหล่ลาดบางของผมอย่างไร้สติ “ดื่มหน่อยม้ายยย นี่พี่พาเรามาเลี้ยงรับขวัญเลยน๊าาาาา เอิ้ก”

     

     

     

                “ไม่ล่ะครับ ขอบคุณฮะ” ผมเบ้หน้าหนีกลิ่นแอลกอฮอล์ที่คละคลุ้งตลบอบอวลไปหมด คิดเอาไว้ว่าถ้าเนื้อที่ลงรอบนี้สุกหมดเมื่อไหร่ เขาคงต้องขอเสียมารยาทลากลับทันที 

     

     

     

                “ทามมมมายยยย เอิ้ก” ไม่ว่าเปล่าแต่ยัดแก้วเล็กที่มีน้ำใสกลิ่นฉุนมาใส่มือผมฉับ “ดื่มมหน่อยน๊าาา ถือว่าพี่ขออออ” 

     

     

     

                ผมมองหน้าพี่ซูโฮที่มองด้วยสายตาหยาดเยิ้มของคนไร้สติก็ต้องลอบถอนหายใจ ถ้าพี่เขาไม่เอ็นดูผมและให้เกียรติผมมาตลอด ผมคงไม่ยอมเขาขนาดนี้ สุดท้ายผมก็จัดการกระดกแก้วใสในมือครั้งเดียวรวดแล้ววางแก้วลงบนโต๊ะดังปึง ของเหลวสีใสที่ไหลผ่านลำคอแสบปร่าจนต้องยู่หน้า

     

     

     

                ที่ไม่ดื่มไม่ใช่ว่าผมดื่มไม่เป็นหรือว่าไร้เดียงสาอะไร แต่ผมแค่ไม่อยากดื่มเพราะว่าถ้าเกิดเมาขึ้นมาแล้ว ผมคงจะรำคาญไอ้อาการประหลาดๆต่างๆที่เกิดขึ้นกับตัวผมน่าดู อีกอย่างมันยากกับการควบคุมสติไม่ให้พูดอะไรที่มันไม่ควรพูดออกมา ยิ่งกับคนมีความลับอย่างผมด้วยแล้ว... 

     

     

     

                พอเหลือบมองไปอีกทีพี่ซูโฮที่คะยั้นคะยอให้ผมดื่มก็หลับผลอย ผมค่อยๆดันร่างที่ไม่หนาไม่บางไปชิดผนังร้าน แล้วจัดท่าทางให้พี่ซูโฮได้หลับสบายอยู่ตรงมุมนั่น ส่วนผมที่เห็นว่าคนที่ผมเกรงใจหลับไปแล้วก็ลุกขึ้นเตรียมตัวกลับบ้านทันที

     

     

     

                หมับ!

     

     

     

                ผมหันควับไปมองมือปริศนาที่คว้าข้อมือผมไว้ทันก่อนจะแกะออกทันทีเมื่อรู้ว่าเป็นมือของใคร 

     

     

     

                …ไอ้บ้าที่มันขโมยจูบแรกของผม ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่การแสดงก็เถอะ 

     

     

     

                “ปล่อย!” ถึงแม้ว่าผมจะแกะออกไปแล้ว แต่มือปลาหมึกนั่นก็คว้าข้อมือผมไว้อีกรอบ และครั้งนี้เขาออกแรงกระตุกเพียงนิดเดียว ผมที่ไม่ทันตั้งตัวก็เซถลาลงไปล้มแหมะที่ตักหนาพอดี

     

     

     

                สองแขนหนากอดรัดเอวบางพร้อมสายตานิ่งๆที่ส่งมามองเสี้ยวหน้าเรียว แก้มใสขึ้นสีระเรื่อพาลนึกไปถึงเรื่องจูบในฉากก็ก้มหน้างุดโดยที่ไม่ทันได้รู้ตัวเลยว่าคนข้างหลังกำลังยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนเป่าลมร้อนรดลงที่ต้นคอพลางสูดดมความหอมของกลิ่นแชมพูเด็กอ่อนๆที่คยองซูชอบใช้ 

     

     

     

                “อ๊ะ!” กว่าจะรู้ตัวอีกทีเจ้าของตักแกร่งก็ผลอยหลับเอาคางเกยไหล่ลาดของเขาไม่ต่างจากพี่ซูโฮไปอีกคน กลิ่นแอลกอฮอล์ลอยโชยเตะจมูกแค่นี้ก็พอรู้ว่าคนตัวหนาข้างล่างนี้ก็ดื่มไปไม่น้อยเหมือนกัน 

     

     

     

                ผมค่อยๆแกะมือปลาหมึกที่ตวัดพันรอบเอวผมออกแล้วลุกขึ้นยืนอีกครั้งพร้อมผลักร่างหนาให้ล้มลงนอนแผ่จนหมดคราบนักแสดงผู้วางมาด ด้วยความหมั่นไส้ผมเลยเอาเท้าเขี่ยๆเอวสอบอย่างหมั่นไส้แล้วเดินข้ามร่างนั้นไปตรงหน้าประตู เตรียมจะกลับบ้านจริงๆสักที 

     

     

     

                “เฮ้ย!” ขณะที่ผมกำลังหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเซฮุนให้มารับที่ร้านเนื้อย่าง ปลายหางตาผมก็เหลือบไปเห็นคนร่างหนาที่ผมเพิ่งเดินข้ามเมื่อกี้เด้งตัวขึ้นมานั่งตัวตรงอยู่ที่เดิม 

     

     

     

                ไอ้บ้านอกบทนั่นนั่งนิ่งจ้องมองมาที่ผมเขม็งแต่ผมก็ทำเป็นไม่สนใจ แล้วจัดการโทรหาเซฮุนให้มารับผมทันที เมื่อกดวางสายผมก็อดที่จะมองกลับไปยังร่างหนาไม่ได้ ซึ่งก็เหมือนเดิมคนร่างหนายังคงนั่งนิ่งมองมาที่ผมเหมือนเดิมจนผมชักหงุดหงิด 

     

     

     

                ข้อเสียอย่างหนึ่งของผมคือไม่ชอบให้ใครจ้องมาที่ผมตรงๆ เพราะมันทำให้ผมเขินและทำตัวไม่ถูก แต่อาการเขินของผมมันไม่ได้น่ารักอายม้วนเหมือนคนอื่นสักเท่าไหร่ ถ้าผมเขินเพราะคนจ้องตรงๆแบบนี้มันจะทำให้ผมผสมความหงุดหงิดลงไปด้วยและคิมจงอินก็กำลังเป็นต้นเหตุของความหงุดหงิดนี้ของผมอยู่ด้วย!

     

     

     

                ผมเดินปรี่เข้าไปหาร่างหนาที่ยังจ้องผมไม่วางตา ถ้าสังเกตดูดีๆเขาแทบไม่กระพริบตาซะด้วยซ้ำ!

     

     

     

                “จะมองอีกนานมั้ย มีอะไร” ผมตวัดใส่เสียงห้วน สลัดมาดคยองซูผู้ใสซื่อของพี่ซูโฮทิ้งไปได้เลย

     

     

                “….” 

     

     

     

                ผมขมวดคิ้วมุ่น มือเล็กกำหมัดเข้าหากันอย่างลืมตัว “ว่าไง! มองอะไร”

     

     

     

                “กลับบ้าน” พูดมาได้แค่นั้นแล้วก็นิ่งไป 

     

     

     

                “น..นายว่าอะไรนะ?” ผมกระพริบตาปริบๆกับคำห้วนๆของร่างสูง

     

     

     

                “อยากกลับบ้าน” คราวนี้ไม่ว่าเปล่า มือหนาคว้าหมับเข้าที่ชายเสื้อโค้ตตัวหน้าของผมพลางทำหน้าอ้อนอมลมแก้มพอง

     

     

     

                อ้อน? …อย่างหมอนี่เนี่ยนะจะมาอ้อนผม ล้อกันเล่นรึเปล่า... 

     

     

     

                “ก็กลับไปเองสิ่ จะมาบอกผมทำไม” ผมดุใส่แต่มือหนาก็ไม่มีท่าทีว่าจะปล่อย เขากลับกระตุกชายเสื้อของผมอีกครั้ง แต่โชคดีที่ผมยันตัวไว้ทันไม่ล้มลงไปทับตักแข็งๆของคนเอาแต่ใจนั่นอีก

     

     

     

                “ไม่อาวว พากลับบ้านหน่อย” คิมจงอินที่ปกติตีหน้านิ่งเก๊กดุใส่ผมเป็นประจำ ตอนนี้แทบไม่ต่างอะไรกับเด็กสี่ขวบที่นั่งเขย่าชายเสื้อร้องให้ผมพากลับบ้าน แววตาคมดั่งราชสีห์อ่อนแสงลงจนมันดูใสแป๋วแตกต่างกับคิมจงอินที่เคยรู้จักราวฟ้ากับเหว 

     

     

     

                และในที่สุดผมก็ยอมใจอ่อนพยักหน้าตอบรับไปเพราะคิดว่าไอ้เหตุการณ์ประหลาดนี่คงเกิดจากฤทธิ์ของน้ำเมาแน่ๆ นี่ล่ะนี่ที่ใครต่อใครต่างก็พูดว่าน้ำเปลี่ยนนิสัย 

     


     

                เคยเห็นแต่คนดีๆเป็นหมาบ้า เพิ่งจะมาเคยเห็นคนบ้าเป็นเด็กน้อยก็วันนี้เอง -*-

     

     

     

                “แล้วบ้านนายอยู่ไหนล่ะ ฉันจะไปส่ง” ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าเขาเป็นใครแต่ก็ต้องทำตีเนียนเอาไว้ จะให้ทะเล่อทะล่าพาเขากลับบ้านทั้งที่ไม่ถามก็คงจะดูแปลก อีกอย่างจะให้ผมเขาไปในคฤหาสน์นั้น มีหวังความได้แตกกันพอดีว่าผมเป็นใครและกำลังทำอะไรอยู่

     

     

     

                รอยยิ้มซื่อๆที่ผมไม่เคยเห็นคลี่ออกมาเต็มมุมปากจนผมผงะ ก่อนจะหุบลงแล้วทำหน้ามุ่ย “เค้าไม่รู้อ่ะ ”

     

     

     

                เวรกรรมอะไรของกูวะเนี่ยถึงต้องมาเจอไอ้หมอนี่ - -;;


     

     

                แต่ไม่ทันได้ถามต่อเซฮุนก็ก้าวเข้ามาหาผม เด็กหนุ่มร่างสูงขมวดคิ้วอย่างประหลาดใจที่อยู่ๆก็เห็นคิมจงอินกำลังดึงชายเสื้อผมไว้พร้อมกับจ้องผมตาใสแน๋ว

     

     

     

                “ฮ่าๆ เก่งดีนี่พี่ ดูสิ่ไม่ทันไรก็สนิทกันซะละ”

     

     

     

                “สนิทกับผีเปรตน่ะสิ่” ผมมุ่ยหน้า “ไอ้หมอนี่มันเมา แล้วอยู่ๆก็แปลงร่างเป็นเด็กสี่ขวบที่ร้องจะกลับบ้านเฉยเลย พี่ล่ะอยากจะบ้าตาย”

     

     

     

                “เอ้า ก็จะไปยากอะไรล่ะฮะ เราก็พาเข้ากลับบ้านสิ่ ไหนๆก็รู้ว่าบ้านเขา...”

     

     

     

                เซฮุน!” ผมเผลอตวาดน้องที่พูดอย่างลืมตัว ก่อนเซฮุนจะยิ้มเจื่อนๆแล้วพูดขอโทษเสียงเบา

     

     

     

                “แล้วเราจะเอายังไงดีล่ะฮะ” ร่างสูงทำท่าครุ่นคิด “หรือว่าเราจะพาเขาไปที่ห้องพี่ดี?”

     

     

     

                “ไม่เอาหรอก ให้พี่อยู่กับไอ้บ้านี่ทั้งคืนน่ะเหรอ แค่คิดก็ขยาดละ”

     

     

     

                “งั้นเราเอาเขาไปปล่อยไว้สักโรงแรมนึงก็สิ้นเรื่อง ดีป่ะ” 

     

     

     

                ผมครุ่นคิดกับข้อเสนอของเซฮุนแล้วก็น่าสนใจดีเหมือนกันแฮะ แต่ถ้ามันเกิดอาละวาดขึ้นกลางดึกแล้วนักข่าวไปเห็นเข้า เอาเรื่องไปทำข่าวเรทติ้งหนังของพี่ซูโฮก็คงจะตกและแน่นอนว่ามันกระทบมาถึงผมแน่ๆ 

     

     

     

                ..ไม่ใช่ว่าเป็นห่วงหรอกนะ แต่แค่ไม่อยากให้กระทบมาถึงผมก็เท่านั้นเอง

     

     

     

                “พี่ว่าอย่าดีกว่า” ผมกลอกตาขึ้นฟ้าพลางใช้ความคิดอย่างที่ชอบทำบ่อยๆก่อนจะต้องจิ๊ปากใส่คนตัวหนาที่ตอนนี้ดึงชายเสื้อโค้ตผมไปบี้เล่นสบายใจ “พี่ฝากไปไว้ที่ห้องแกก่อนได้ป่ะ แค่คืน...”

     

     

     

                “ไม่ๆๆๆๆๆ หยุดเลย” ไอ้น้องชายตัวแสบรีบโบกไม้โบกมือพัลวัน “ตอนนี้ห้องผมไม่ว่าง”

     

     

     

                “จะไม่ว่างได้ยังไง ก็แกอยู่คนเดียวนะโอเซฮุน”

     

     

     

                “ปกติน่ะใช่ แต่วันนี้อ่ะไม่ พี่เข้าใจป่ะ”

     

     

                ผมเหล่ตามมองเซฮุนแล้วก็ถอนหายใจเฮือก “แล้วเราจะเอายังไงดี ท่าทางปล่อยไว้ที่นี่ก็ไม่ได้ ปวดประสาทจริงๆเลย”

     

     

     

                “กลับบ้าน” มือหนากระตุกชายเสื้อโค้ตอีกครั้ง “เค้าอยากกลับบ้าน กลับบ้านกันน๊าาา”

     

     

     

                เซฮุนจ้องผมแล้วก็หลุดหัวเราะจนผมต้องถลึงตาใส่

     

     

     

                “กลับบ้านนนนน เค้าอยากกลับบ้านนนน” ส่วนไอ้ร่างหนาข้างๆนี่ก็กระตุกยิกๆแถมยังร้องไม่หยุด จนสุดท้ายผมก็ทนไม่ไหวต้องเอ่ยออกมาอย่างเหลืออด

     

     

     

                “เออๆๆๆๆๆๆๆ กลับก็กลับวะ” นิ้วเล็กนวดเข้าที่หัวคิ้วคลายความเครียดก่อนจะกึ่งลากกึ่งจูงไอ้คนตัวเขื่องให้เดินตามมาขึ้นรถที่เซฮุนเดินนำมาสตาร์ทรถรอไว้

     

     

     

     

                “ถ้านายสร่างเมาเมื่อไหร่ นายตายแน่คิมจงอิน!”




































     

                ผมมาหยุดยืนอยู่หน้าโรงแรมหรูอีกครั้งหลังจากไปส่งพี่คยองซูพร้อมกับร่างหนักๆของคุณจงอินที่เซฟเฮ้าส์เรียบร้อยแล้ว หิมะที่กำลังโปรยปรายทำให้ผมนึกถึงใบหน้าใครบางคนที่เพิ่งได้เจอก่อนจะไปรับพี่คยองซูจากร้านเนื้อย่าง ดวงตากลมโตฉ่ำเป็นประกาย จมูกเชิดรั้นที่มองยังไงก็รู้ว่าคนๆนี้ดื้อไม่เบา ริมฝีปากบางสีเชอร์รี่สุกที่รับกับดวงหน้าหวานราวกับผู้หญิงเมื่อสามชั่วโมงก่อน ทำให้ผมเผลอหลุดยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว 

     

     

     

                สามชั่วโมงก่อน...

     

     

     

                ผมได้รับสายจากเพื่อนรักของผมที่ช่วยทำงานนี้อย่างลับๆมาว่าทางฝั่งของคิมกรุ้ปจะมีการเคลื่อนไหวซื้อขายหุ้นที่มีมูลค่าถึงสิบเปอร์เซ็นต์ที่โรงแรมนี้ ผมจึงทิ้งพี่คยองซูไว้ที่กองถ่ายเพียงลำพังแล้วรีบเบิ่งรถมาที่นี่ทันที 

     

     

     

                โชคดีที่ผมทราบข้อมูลผู้ซื้อหุ้นครั้งนี้อย่างละเอียดยิบ เรียกได้ว่ารู้แม้กระทั่งทรัพย์สินของครอบครัวและปัญหาที่รุมเร้ารวมทั้งความจำเป็นบางอย่างที่ทำให้เขาต้องร่วมซื้อหุ้นในครั้งนี้ จะให้พูดง่ายๆเลยก็คือเขาเป็นเพียงแค่หมากตัวหนึ่งบนกระดานของฝ่ายตรงข้ามคิมกรุ้ปที่แฝงตัวมาเท่านั้น 

     

     

     

                แก้วกาแฟกรุ่นถูกส่งมาตรงหน้าพร้อมกับกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ของบาริสต้าเพื่อนรักของผมในส่วนของคอฟฟี่เลาจน์ของโรงแรมดัง ซึ่งผมไม่ค่อยเข้าใจลูกเล่นของคิมกรุ้ปซักเท่าไหร่นักว่าทำไมถึงมานัดคุยธุรกิจระดับสิบล้านวอนกันอย่างโจ่งแจ้งขนาดนี้

     

     

     

                “ทำไมเขาไม่ไปจองห้องให้มันมิดชิดหน่อยวะ มาเซ็นต์ซื้อขายกันกลางคอฟฟี่โรงแรมอย่างนี้เนี่ยนะ เฮอะ กระจอกว่ะ”

     

     

     

                “กระจอกเหี้ยไรครับคุณลูกค้า” คิมมินซอก หรือว่าชื่อในวงการลับๆที่เราเรียกกันอย่างชินปากว่า ซิ่วหมินเขกหัวผมเบาๆในชุดของบาริสต้าโรงแรม “มึงไม่เคยได้ยินเหรอ ที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยที่สุด ฟาย”

     

     

     

                “เอ้ากูจะไปรู้เหรอวะเห็นทุกทีไม่ปิดร้านอาหารหรู ก็ห้องลับ” ผมเกี่ยวแว่นตาดำที่ชอบใส่เป็นนิสัยลงมาค้างที่สันจมูกพลางส่งสายตากวนๆให้เพื่อนตัวน้อย “ว่าแต่ชุดนี้เหมาะกับมึงดีว่ะ ผ้ากันเปื้อนลูกไม้มุ้งมิ้งสีขาวครึ่งท่อน น่ารักสมกับเป็นแม่บ้าน”

     

     

     

                ป้าบ! 

     

     

     

                “เจ็บนะไอ้เปา!” ผมลูบแขนตัวเองป้อยๆตรงที่ซิ่วหมินฟาดถาดเสิร์ฟกาแฟมาที่ผมเข้าอย่างจัง 

     

     

     

                “ก็ตีให้เจ็บสิ่ครับ กูแมนนะเฮ้ยมาแม่บ้งแม่บ้านไม่ปลื้มว่ะ” เพื่อนหน้าหวานของผมทำเข้มใส่ “โน่น สิ่งที่มึงควรสนใจคือโน่น ถ้าไม่ติดกับว่ากูสงสารคยองซูนะไม่มาแต่งตัวแบ้วๆเหี้ยไรนี่หรอก”

     

     

     

                ซิ่วหมินพูดจบแล้วก็เดินกระแทกเท้ากลับไปที่บาร์การแฟทันที ผมมองตามแล้วก็ต้องหัวเราะกับท่าทีปั้นปึ่งของเพื่อนสนิท นี่บอกว่าไม่ชอบแบ้วนะแต่ท่าทางที่ทำนี่อย่างแบ้วเลย ตาโตๆแก้มป่องทำพองลม สักวันจะได้ผัวแทนเมียนะเพื่อน 

     

     

     

                พอหันกลับมาสนใจเป้าหมายอีกครั้งผมก็ต้องคิ้วขมวดมุ่น เพราะสิ่งที่ผมควรจะเห็นควรจะเป็นนักธุรกิจวัยกลางคนนั่งคุยกันหน้าดำครำ่เครียดถึงผลประโยชน์ที่ตนต่างได้รับ แต่นี่มันอะไร แผ่นหลังบางภายใต้เสื้อสเวตเตอร์หนาสีขาวลายท้องฟ้า ลำคอระหงส์ขาวผ่องที่โผล่วับๆแวมๆมาเป็นระยะยามเมื่อเจ้าตัวขยับเปลี่ยนท่าทาง 

     

     

     

                ให้ตายสิ่ ไอ้หมอนั่นมันนั่งบังผมอยู่เต็มตาเลย

     

     

     

                ผมพยายามขยับตัวเบี่ยงเพื่อให้มองเห็นเหตุการณ์ที่เดาได้ว่าอีกไม่นานทั้งสองฝ่ายก็ต้องควักปากกาออกมาเซ็นต์สัญญากันแน่ๆ และผมจะต้องพลาดไม่ได้เพื่อให้แน่ใจว่ามีการซื้อขายหุ้นกันจริงๆ ไม่อย่างนั้นแผนที่วางมาว่าจะล่อซื้อหุ้นต่ออีกทอดของผมต้องพังทลายแน่ๆ 

     

     

     

                แต่จนแล้วจนรอดไอ้เจ้าของเสื้อลายท้องฟ้านวลตานั่นก็ไม่มีทีท่าว่าจะเว้นช่องว่างให้ผมได้เห็นหน้านักธุรกิจนั่นเลยสักนิด ผมดันแว่นตาดำขึ้นอย่างหงุดหงิดก่อนจะนึกอะไรบางอย่างในหัวออก 

     

     

     

                “ขอโทษนะครับ” ผมตัดสินใจเดินไปเอ่ยทักเจ้าของแผ่นหลังบางที่โต๊ะทันที ในเมื่อผมหลบแล้วแต่เขาไม่หลบ งั้นผมคงต้องทำให้เขาหายไปจากตรงนี้ซะก็สิ้นเรื่อง 

     

     

     

                เป้าหมายใหม่ค่อยๆเงยหน้าที่ก้มงุดอยู่นานขึ้นอย่างช้าๆ แต่นั้นก็ทำอึ้งไปไม่น้อยถึงขั้นควานหาปากมาต่อบทไม่ถูก ใบหน้าหวานราวกับผู้หญิง ดวงตากลมโตเหมือนกวางตัวน้อยๆรับกับจมูกโด่งรั้นและริมฝีปากเรียวได้รูปบางเป็นกระจับทำเอาหมดสะดุดลมหายใจไปเฮือกหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว 

     

     

     

                “ครับ?” เสียงหวานเอ่ยแผ่วเบาราวกับสายลม แต่มันกลับดังก้องในหัวผมจนใจสั่น “มีอะไรรึเปล่าครับ”

     

     

     

                ผมเกาท้ายทอยแก้เก้อพร้อมกับเหลือบไปมองโต๊ะของตัวแทนคิมกรุ้ป ก่อนจะหันมาเผลอสบตาหวานของคนตรงหน้าเข้าอย่างจัง ในหัวที่ก่อนหน้านี้เตรียมคำพูดมามากมายเพื่อจะก่อกวนให้คนตรงหน้านี้หายไปจากร้านนี้กลับอันตรธานไปหมด แถมยังรู้สึกอยากจ้องหน้าสวยๆนี่ให้นานกว่านี้แทนซะงั้น

     

     

     

                ดวงหน้าหวานเอียงมองผมอย่างสงสัยที่ยังยืนเกาท้ายทอยแก้เก้ออยู่ท่าเดิม “ว่าไงครับ? คุณมีอะไรกับผมรึเปล่าครับ?”

     

     

     

                “อ..เอ่อ พอดีผมกำลังหลงทางน่ะครับ ไม่ทราบว่าคุณจะพอช่วยผมได้รึเปล่า”

     

     

     

                ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มละมุนให้ผมจนผมใจเต้นคร่อมจังหวะ “ได้สิครับ คุณจะไปตรงไหนล่ะฮะ”

     

     

     

                เขาคงไม่รู้เลยว่าใต้แว่นตาดำที่ผมสวมใส่อยู่นี่สายตาของผมฉายแววประหม่าขนาดไหน นี่คือเหตุผลที่ผมมักจะติดใส่แว่นเพื่อไม่ให้ใครจับความรู้สึกที่แท้จริงของผมได้ ผมไม่ตอบอะไรแต่เลื่อนมือลงมาที่หน้าอกแกร่งของตัวเองพลางกำมือเข้าหากันแล้วโยนนิ้วโป้งเข้าหาตัวเองบริเวณหน้าอกด้านซ้าย 

     

     

     

                “ใจ” ผมโยนนิ้วชี้ไปที่คนตรงหน้าด้วยมือเดิมทันทีที่พูดจบ “คุณ”

     

     

     

                “อ.. อะไรนะครับ?” คนฟังมีสีหน้าตกใจจนเผลอทำของในมือร่วงหล่นลงบนโต๊ะ 

     

     

     

                “ผมบอกว่า ใจคุณ” ผมสูดหายใจเข้าลึกๆเรียกความมั่นใจก่อนจะเอ่ยออกไปอย่างหนักแน่น “ผมอยากเข้าไปในใจคุณ พอจะบอกทางให้ผมได้มั้ยครับ?”

     

     

     

                สีหน้าที่ราวกับนางฟ้าตัวน้อยบูดบึ้งทันทีที่ผมแสดงท่าทาชัดเจนด้วยคำพูดเสี่ยวๆที่ติดมาจากซีรีย์ตอนค่ำ เขาดูโกรธเกรี้ยวมากที่ผมพูดออกไปอย่างนั้น

     

     

     

                ซ่า!

     

     

     

                และไม่ต้องรอให้คำพูดอะไรมายืนยันจากคนร่างบางหน้าสวยให้มากความ เพราะความเย็นฉ่ำพร้อมกับรสหวานๆของพันซ์ผลไม้ปะทะโครมเข้าที่หน้าผมเต็มๆไม่เว้นแม้กระทั่งดวงตาที่มีแว่นกันแดดกรอบใหญ่บดบังอย่างดี  ร่างบางยังคงถือแก้วใสคาไว้ในมือตรงหน้าพร้อมกับคิ้วเรียวที่ขมวดเข้าหากันอย่างเอาเรื่อง

     

     

     

                “ผมเป็นผู้ชาย และตีนก็หนักมากจำเอาไว้ด้วย!” 

     

     

     

                ตึง! 

     

     

     

                แก้วใสใบเดิมที่ตอนนี้ว่างเปล่าถูกวางลงบนโต๊ะเสียงดังลั่น พร้อมกับร่างเล็กที่คว้ากระเป๋าสะพายเดินฉับๆออกจากคอฟฟี่เลาจน์ไปอย่างรวดเร็ว ผมถอดแว่นออกลูบหน้าเปื้อนน้ำหวานลวกๆก่อนจะกระตุกยิ้มกับท่าทีน่ารักๆนั่น คนอะไรโกรธแล้วยังสวยหวานแบบไม่ต้องปรุงแต่งจนเผลอมองตามจนลับสายตา 

     

     

     

                ผมปัดเศษน้ำแข็งออกจากตัวพร้อมกับใช้ทิชชู่เช็ดให้พอหายเหนียวก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดียวกับที่คนร่างเล็กนั่ง ไออุ่นที่อบอวลของเจ้าของเดิมยังคงวนเวียนจนผมได้กลิ่นกายหอมของเขาจางๆ นอกจากจะสวยหวานแล้วยังตัวหอมอีกต่างหาก ถึงแม้ว่าแผนไล่ครั้งนี้จะจบไม่สวยสักเท่าไหร่ แต่ผมกลับมีความสุขที่ได้เห็นใบหน้าสวยๆนั่นทำหน้าขึงขังที่ผมคิดว่ามันน่ารักจนน่าจะแกล้งต่อสักหน่อย 

     

     

     

                น่าเสียดาย.. ลืมถามชื่อไปซะสนิทเลย

     

     

     

                ภารกิจก็ยังคงเป็นภารกิจ ผมสลัดความสุขเมื่อครู่ทิ้งก่อนจะจับจ้องไปที่โต๊ะสำคัญของวันนี้อีกครั้งหนึ่ง แฟ้มสีดำสนิทบุหนังอย่างดีถูกส่งมาตรงหน้าทั้งคู่พร้อมกับกางออกเผยให้เห็นเอกสารหลักของการพบปะกันครั้งนี้ และไม่ต้องรอให้เสียเวลานานนัก ปลายปากกาของทั้งคู่ก็ตวัดลงบนพื้นกระดาษขาวเป็นที่เรียบร้อย

     

     

     

                ผมนั่งรอจนมั่นใจว่าคนทั้งคู่เดินออกจากร้านไปสุดสายตา ก่อนจะบิดขี้เกียจให้หายเหนื่อย “เฮ้อ เรียบร้อยสักที”

     

     

     

                “เออ เสร็จแล้วก็รีบไสหัวไปเลยมึง ก่อเรื่องจนโต๊ะกูเละไปหมดแล้วเนี่ย” ซิ่วหมินบ่นอุบจากทางด้านหลังก่อนจะมาหยุดยืนมองหน้าผมอย่างเอาเรื่อง 

     

     

     

                “กูไม่ได้ตั้งใจนี่หว่า ก็มานั่งบังงานกู กูก็ต้องต้องหาทางไล่เขาไปก็เท่านั้นเอง”

     

     

     

                “แล้วมึงไปไล่เขาท่าไหนวะ เขาถึงได้สาดน้ำใส่มึงแบบนี้เนี่ย”

     

     

     

                “ยังไม่ได้กันเลยไม่รู้ว่าท่าไหนว่ะ โทษที” ผมตอบยียวน

     

     

     

                “กวนตีนนักนะมึงเซฮุน ระวังจะโดนตีนเข้าสักวัน” ซิ่วหมินถอนหายใจเนือยๆ “แล้วงานที่ว่าสำเร็จมั้ย”

     

     

     

                “เออตามคาด ยังไงที่เหลือก็ฝากด้วยแล้วกัน ประวัติกับรายละเอียดที่เหลือกูส่งไปให้มึงละ ขอคนที่หว่านล้อมเก่งๆหน่อยจะได้จบงานไวๆ”

     

     

     

                “โอเค รับรองไม่พลาดแน่”

     

     

     

                แต่ก่อนที่ร่างสูงจะหมุนตัวกลับไป สายตาคมกลับสังเกตเห็นอะไรบางอย่างบนโต๊ะกลม ปากกาด้ามสีดำวาวที่วางแน่นิ่งอยู่เรียกร้องความสนใจจนมือหนาต้องหยิบมันขึ้นมาพินิจพิจารณา นิ้วยาวควงด้ามจับของมันไปมาอย่างจับผิดก่อนจะทันเห็นแสงวูบวาบสีแดงที่บริเวณรอยต่อของตัวปากกา 

     

     

     

                “ปากกาอัดวิดีโอ …งั้นเหรอ?” 

     

     

     

                และเดาได้ไม่ยากเลยว่าปากกาหรูหราด้ามนี้เป็นของใคร เพราะชื่อย่อที่สลักอย่างวิจิตรงดงามด้วยภาษาจีนที่เขาพอจะอ่านออก 

     

     

     

                “กวางแห่งรุ่งอรุณ”
















     

       ฮุนฮานมาแบบไม่ทันตั้งตัว แต่บอกเลยว่าคู่นี้เป็นกุญแจไขความลับต่างๆในเรื่อง   

         ฝากติดตามด้วยเด้อจ้า    

       กำลังใจมา! จุ๊กกรู๊ววว :D  

    #รักเด็กเสี่ย 




     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×