ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    { fic exo } เด็กเสี่ย | kaido ft.exo

    ลำดับตอนที่ #4 : เด็กเสี่ย : สาม { 3 }

    • อัปเดตล่าสุด 9 ก.พ. 57


                ผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้งในห้องนอนกว้างท่ามกลางแสงดาวจอมปลอมที่คุ้นเคย เพียงแค่ขยับตัวก็รู้สึกปวดร้าวไปหมดราวกับจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ความทรงจำสุดท้ายถูกขุดขึ้นมาอีกครั้ง

     

     

     

                ภาพสุดท้ายที่พอจะนึกออกลางๆคือเต้นท์พยาบาลสีขาวในกองถ่ายฉากแอคชั่นวันนี้ เดาได้ไม่ยากเลยว่าที่ตัวเองสลบไปอาจเป็นเพราะอาการแพ้ควันบุหรี่นั่น 

     

     

     

                คิดแล้วก็อยากจะบีบคอหมอนั่นให้ตายแต่ก็ทำไม่ได้ เพราะยังคงต้องรักษาภาพของ โด คยองซู ที่ต้องน่าสงสาร น่าทะนุถนอมต่อหน้าทุกคนให้มากที่สุด 

     

     

     

                จึงไม่แปลกใจเลยว่าใครๆต่างก็พากันปกป้องผม โดยเฉพาะพี่ซูโฮ ที่คอยกางปีกปกป้องผมเสมอมา นึกไม่ออกเลยว่าวันนึงถ้างานที่ผมกำลังทำอยู่นี่สำเร็จขึ้นมา ผมจะมองหน้าของพี่ซูโฮได้อย่างสนิทใจอีกหรือเปล่า

     

     

     

                ผมเอื้อมไปหยิบมือถือที่โต๊ะข้างเตียงเพื่อจะเช็คตารางงานของวันพรุ่งนี้ที่เซฮุนมักจะส่งให้ผมทางข้อความเป็นประจำ แต่พอกดดูแล้วกลับไม่มีเนื้อหาใดๆปรากฏขึ้นมาเลย นอกจากข้อความที่ทำให้ผมต้องขมวดคิ้วมุ่น

     

     

     

                ‘พี่อยู่ไหน ป่านนี้แล้วกองถ่ายยังไม่เลิกกันอีกเหรอ?’

     

     

     

                ไม่รอให้คำตอบใดๆออกมาจากหัวสมองว่าทำไมเซฮุนถึงส่งข้อความมาอย่างนี้ทั้งๆที่เขาน่าจะเป็นคนพาผมกลับมาที่เซฟเฮ้าส์นี่ด้วยซ้ำ หรือว่าบางทีอาจจะไม่...

     

     

     

                “ฮัลโหลเซฮุนเหรอ นายอยู่ไหน”

     

     

     

                [ผมว่าผมควรเป็นคนถามพี่มากกว่านะว่าพี่อยู่ไหน]

     

     

     

                “พี่ก็อยู่บ้านไง นายเป็นคนมาส่งพี่เองนี่”

     

     

     

                [ห้ะ ผมเนี่ยนะไปส่งพี่] เซฮุนถอนหายใจเฮือก [พี่คยองซู ผมว่าพี่เข้าใจอะไรผิดแล้วล่ะ พี่บอกให้ผมมาทำงานนั้นแล้วถ้าพี่เลิกกองเมื่อไหร่จะโทรให้ผมไปรับไม่ใช่เหรอ แต่นี่พี่ไม่ได้โทรหาผมเลย แล้วผมก็คิดว่าพี่ยังไม่เลิกกอง ผมเลยกลับมานั่งรอพี่ที่ออฟฟิศเนี่ย]

     

     

     

                “แต่ตอนนี้พี่อยู่บ้าน แล้วก่อนหน้านั้นพี่ก็หมดสติไป นายจะบอกว่าพี่ละเมอเดินกลับมาบ้านเองรึไงกัน”

     

     

     

                [โอ้ยย ผมจะบ้า ก็ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่ได้เป็นคนไปรับพี่มาส่งที่บ้าน ผมยังอยู่ออฟฟิศรอโทรศัพท์พี่อยู่เนี่ย]

     

     

     

                “ก็ถ้านายไม่ใช่คนมาส่งพี่ที่บ้าน” ผมเริ่มกรอกตาใช้ความคิดทั้งๆที่ยังรู้สึกเวียนหัวนิดหน่อย “แล้วใครมาส่งพี่ที่บ้านวะ”

     

     

     

                ความคิดแรกที่แล่นเข้ามาในหัวคือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะยังไงเซฮุนที่เป็นทั้งน้องและผู้จัดการส่วนตัวนั้นยืนกรานว่าเขาไม่ได้เป็นคนมาส่งผมแน่นอน ยิ่งทำให้ผมกังวลจนแทบจะเป็นบ้าเข้าไปใหญ่ 

     

     

     

                ผมก้มลงสำรวจร่างกายของตัวเองก็ไม่พบสิ่งผิดปกติอะไร หรือว่าอาจจะเป็นพี่ซูโฮที่มาส่ง แต่แล้วก็ต้องส่ายหัวระรัวเพราะว่าพี่ซูโฮไม่เคยมาที่นี่ จึงไม่น่าจะผ่านด่านรักษาความปลอดภัยของตึกไปได้แน่นอน 

     

     

     

                แสดงว่าคนที่กล้าขึ้นมาถึงห้องนี้จะต้องเป็นคนที่คุ้นหน้าของพนักงานที่นี่เป็นอย่างดี 

     

     

     

                ความไม่ชอบมาพากลครั้งนี้ ทำให้ผมต้องนั่งนึกทบทวนตัวเองอยู่สักพักว่าไปเผลอเปิดช่องโหว่อะไรขึ้นบ้างรึเปล่า หรือว่าผมยังระวังตัวไม่ดีพอทำให้ถูกรุกล้ำความเป็นส่วนตัวถึงขนาดนี้ 

     

     

     

                “เซฮุน พี่ว่าเราเจอปัญหาแล้วล่ะ”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     





     

                ตามตารางงานของวันนี้ผมจะต้องไปเข้าฉากถ่ายคิวบู๊อีกรอบ แต่เพราะอาการที่ยังไม่ทรงตัวของผมนักทำให้พี่ซูโฮเป็นห่วง แล้วสั่งเลื่อนคิวเพื่อให้ผมได้พักผ่อนรอให้ร่างกายแข็งแรงกว่านี้ก่อนจึงค่อยกลับไปถ่ายต่อ

     

     

     

                อันที่จริงแล้วผมก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่ย่ำแย่อะไรมากนัก แต่ก็อย่างที่บอกว่าพี่ซูโฮมักจะเอ็นดูผมเป็นพิเศษกว่าใครเสมอ ทำให้ผมที่แค่น้ำมูกไหลเพราะอากาศเปลี่ยนแปลง เขาก็มักจะคิดว่าผมกำลังเป็นไข้หวัดใหญ่ มีครั้งนึงที่ผมผิดคิวเผลอล้มกลางกองถ่ายเข่าถลอก พี่ซูโฮก็ทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่แล้วสั่งเลิกกองกลางการถ่ายทำทันที 

     

     

     

                เช้าวันนี้ผมจึงนอนกลิ้งอยู่บนเตียงกว้างพร้อมกับเปิดเพลงแนวบัลลาดที่ผมชื่นชอบพักผ่อนได้อย่างสบายใจ โดยที่ไม่จำเป็นต้องไปปั้นหน้ายิ้มหวานใส่ใครต่อใครให้มากมายจนปวดแก้ม 

     

     

     

    ทำนองที่คุ้นเคยทำให้ผมร้องคลอตามไปอย่างอารมณ์ดี ทั้งๆที่แรกเริ่มก่อนเข้าวงการผมอยากจะเป็นนักร้องมากกว่านักแสดงด้วยซ้ำ แต่มันคงเป็นเรื่องยากกับจุดประสงค์หลักที่ผมต้องการจริงๆ ดังนั้นผมจึงจำเป็นต้องเลือกสิ่งที่ควรทำ มากกว่าสิ่งที่รัก อย่างเช่นตอนนี้

     

     

     

                “You think I'm so full of it, full of it. But I think I'm just fed up baby”

                (เธอคิดว่าฉันถึงจุดอิ่มตัว แต่จริงๆแล้วฉันแค่เบื่อต่างหากล่ะคนดี)

     

     

     

                จะว่าไปแล้วการที่ผมมายืนถึงจุดนี้ได้ไม่ใช่เพราะตัวผมเองด้วยซ้ำ ต้องยอมรับเลยว่าวงการนี้ที่ผมได้มาก็จากเส้นสายทั้งนั้น 

     

     

     

                “You think I can be so arrogant, arrogant. But I'm just tryna get keep my head up baby”

                (เธอก็คงคิดว่าฉันดื้อรั้นดันทุรัง แต่ฉันก็แค่พยายามจะทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้น)

     

     

     

                ผมเริ่มสนใจมันตั้งแต่วันที่พ่อของผมจากไป แค่คิดว่าทำยังไงก็ได้ให้เรามีจุดยืนในสังคมให้ชัดที่สุดเท่านั้น ผมก็จะสามารถรื้อคดีของพ่อออกมาเปิดโปงได้โดยที่คำพูดของผมมีน้ำหนักมากขึ้นกว่าการเป็นแค่คนธรรมดาทั่วไปอย่างเมื่อก่อน 

     

     

     

                “You think I procrastinate baby. But I think I'm taking my time”

                (เธอกำลังคิดว่าฉันกำลังถ่วงเวลาใช่รึเปล่าที่รัก? แต่ฉันก็แค่อยากขอเวลาซักพัก)

     

     

     

                และวันนั้นก็มาถึง วันที่ผมเริ่มได้รับบทตัวประกอบของหนังฟอร์มยักษ์เรื่องหนึ่ง ซึ่งได้นำเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลที่เมืองคานส์ จากนั้นชื่อของผมก็ถูกเอ่ยถึงมากขึ้น

     

     

     

                “You think you need to leave. But I think I disagree but”

                (เธอคงคิดแต่ว่าถึงเวลาแล้วที่เธอต้องจากไป ทั้งๆที่ฉันไม่เคยจะคิดแบบนั้นเลย แต่ทว่า..)

     

     

     

                ผมทำเอกสารต่างๆรวมทั้งรวบรวมหลักฐานที่พอจะค้นเจอจากห้องทำงานของพ่อแล้วยื่นเรื่องไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติโดยที่ระบุว่าเป็นคดีส่วนตัว ห้ามเผยแพร่โดยเด็ดขาด ไม่กี่วันหลังจากนั้นทางตำรวจก็เรียกผมเข้าไปพบโดยที่ไม่มีใครรู้ ยกเว้นเซฮุนที่ผมไว้ใจเสมอมา

     

     

     

                “If you believe you'll do best without me I’ll let it go girl, It’s over”

                (ถ้าเธอคิดว่า  ไม่มีฉันแล้ว..เธอจะรู้สึกดีขึ้น ฉันก็จะปล่อยเธอไปที่รัก  หากว่าเรื่องของเราสองคนมันจบลงแล้วจริงๆ)

     

     

     

                ผมเสนอกับทางตำรวจรวมทั้งวางแผนเองทั้งหมดว่าผมจะเป็นตัวล่อผู้รายตัวจริงของคดีนี้ด้วยตัวเอง เพราะผมมั่นใจว่ารูปร่างหน้าตา    และชื่อเสียงของผมจะสามารถล่อไอ้พ่อค้ากามมนุษย์อย่าง คิม แรวอน ได้อย่างแน่นอน 

     

     

     

                “But before we say good bye. Let’s give it a try”

                (แต่ก่อนที่เราจากลากันไป ลองมาทบทวนกันก่อนดีมั้ย?)

     

     

     

                สุดท้ายก็เป็นไปตามแผน คิมแรวอน ได้ตกหลุมพรางของผมเข้าเต็มเปา แต่ยอมรับว่ากว่าจะเป็นไปตามแผนก็ทำเอาผมปวดหัวเลยทีเดียว เขาเป็นคนฉลาด คารมดี และหว่านล้อมเก่ง ผมจึงต้องจำใจทำสัญญากับเขาเพื่อหลอกล่อให้เขาตายใจ โดยที่ผมจะยอมเป็นบ้านน้อยของเขา หรือรู้จักกันดีว่า ‘เด็กเสี่ย’ และแน่นอนว่าผมก็มีข้อเสนอที่ทำเอาเขาต้องยอมจำนนเช่นกัน คือเขาห้ามเกินเลยผม หรืออยู่กันสองต่อสองโดยที่ปราศจากเซฮุนเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นทุกอย่างที่เกิดขึ้นผมจะเปิดโปงมันทั้งหมด

     

     

     

                “If you leave, then baby I'll leave I'll let it go girl, Its over”

                (หากเราสองคนพยายามแล้ว เธอยังอยากจะจากไป  ฉันก็จะไปให้เธอนะคนดี)

     

     

     

                จากวันนั้นจนถึงวันนี้ผมสามารถล้วงความลับ และหาหลักฐานเพิ่มเติมได้มากมาย แต่ก็ยังไม่มากพอสำหรับการเข้าจับกุมเขา คงมีเพียงทางเดียวคือการจับให้ได้คาหนังคาเขาเท่านั้น เพราะเล่ห์เหลี่ยมของเขาแพรวพราวจนทำให้ผมคาดไม่ถึง รวมทั้งการรักษาความปลอดภัยรอบด้าน ผมจึงทำได้แต่เก็บรายละเอียดจุดอ่อนของเขาทีละเล็กทีละน้อยจนได้ข้อสรุปว่าสถานที่ที่การรักษาความปลอดภัยน้อยที่สุดก็คือ คฤหาสน์คิม

     

     

     

                “But I have no doubt. We can work it out”

                (ฉันจะยอมให้ทุกอย่างมันจบลง และจะไม่วุ่นวายอะไรอีกเลย)

     

     

     

                แต่การที่จะเข้าไปในคฤหาสน์คิมนั้นไม่ง่ายเลย ถึงแม้ว่าผมอาจจะกล้าเข้าไปในฐานะ ‘เด็กเสี่ย’ ก็จริง แต่ผมกลับไม่กล้าแม้แต่จะคิดว่า ถ้าไปถึงที่นั่นแล้วต้องพบหน้าใครบางคน ผมจะทนได้สักแค่ไหน 

     

     

     

                คนที่ตอนแรกมองผมด้วยแววตาชื่นชมและบริสุทธิ์ใจ แต่พอมาวันนี้เขากลับมองผมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสมเพช เกลียดชัง รวมทั้งกิริยาร้ายกาจราวกับสัตว์ป่าที่ประกาศสงครามอย่างไม่ปราณีนั่นด้วย …คิมจงอิน

     

     

     

                ผมแตะที่แก้มช้ำของตัวเองเบาๆพร้อมซี้ดปากด้วยความเจ็บปวด ส่องกระจกดูก็พบว่าบนเนื้อแก้มของผมยังคงปรากฏรอยฝ่ามืออยู่ชัดเจน นึกไปถึงในฉากเมื่อวานนี้แล้วก็ต้องเผลอกรอกตาโมโหตัวเอง 

     

     

     

                ตอนแรกแค่คิดว่าจะแกล้งจงอินให้เขาหัวเสียเล่นแลกกับการที่เขาพ่นควันบุหรี่ใส่ผมก่อนหน้านี้ แต่ดูเหมือนว่ามันจะกลายเป็นว่าผมกลับหาเรื่องใส่ตัวเองชัดๆ เมื่อเขาฟาดฝ่ามือหน้าลงมาที่ใบหน้าผมเต็มแรงหลายครั้ง จนผมหน้าชาและได้เลือดที่มุมปากของแท้โดยที่ไม่ต้องกัดถุงเลือดปลอมที่ทีมงานให้มาด้วยซ้ำ

     

     

     

                เขาจงใจเขย่าตัวผมจนคอผมแทบจะหักและทนไม่ไหวเกือบเผลอลุกขึ้นแล้วทำ NG ฉากนั้นทิ้งซะ แต่เพราะว่าอาการกระอักกระอ่วนในร่างกายมันฟ้องผมว่าถ้าผมทำพลาดในคิวนี้ ผมอาจจะไม่มีแรงเหลือแม้แต่จะลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งหนีระเบิดอีกครั้งแน่ๆ 

     

     

     

                ระหว่างที่ผมคิดอะไรฟุ้งซ่านไปเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น เสียงโทรศัพทืก็ดังขึ้นและคงไม่มีใครนอกจากเซฮุนแน่นอน ผมจึงกดรับสายและกรอกเสียงลงไปโดยที่ไม่ทันได้มองหน้าจอด้วยซ้ำ

     

     

     

                “ว่าไงฮุนฮุน ทางนั้นมีอะไรคืบหน้างั้นเหรอ?” กลิ้งตัวลงไปกอดหมอนนุ่มสีขาวพลางสูดดมความหอมจากน้ำยาปรับผ้านุ่มของเด็กอย่างที่ชอบ

     

     

     

                [คิดจะมีผู้ชายสักกี่คนกันคยองซู] 

     

     

     

                ผมเด้งตัวลุกขึ้นนั่งแล้วผละออกจากโทรศัพท์อย่างรวดเร็วปานของร้อน พร้อมมองหน้าจอสายเรียกเข้าที่ไม่แสดงชื่อของปลายสาย เดาได้เลยว่าน้ำเสียงหยาบกระด้างนั่นไม่ใช้ของเซฮุนอย่างแน่นอน แต่มันกลับคุ้นจนผมสงสัย

     

     

     

                “นายเป็นใคร!”

     

     

     

                [ใจเย็นๆสิ่ มาดหนุ่มน้อยผู้น่าสงสารหายไปไหนหมดแล้วล่ะ หื้ม?] น้ำเสียงปลายสายจงใจทิ้งคำยั่วยุอารมณ์คุกรุ่นของผมได้เป็นอย่างดีจนเผลอกำมือเข้าหากันแน่น

     

     

     

                “ฉันถามว่านายเป็นใคร!!”

     

     

     

                [ชู่ววว ขึ้นเสียงใส่ผมอย่างนี้ไม่น่ารักเอาซะเลยนะเด็กน้อย หึหึ] เขาหัวเราะเย้ยยิ่งทำให้ผมร้อนรนกับคำพูดนั่นพร้อมกัดฟันกรอด [ผมไม่ใช่ผู้ชายที่ผ่านๆมาของคุณหรอกนะ แต่ว่าหลังจากนี้มันก็อาจจะไม่แน่]

     

     

     

                “หุบปาก! อย่ามาใช้คำหยาบคายต่ำช้าพวกนั้นกับฉันนะ!” 

     

     

     

                [โอ๊ะโอ แน่ใจเหรอว่ามันหยาบคายแล้วน่ะ] ในคราแรกน้ำเสียงยังคงยียวนชวนติดตลกราวกับคำประชดประชัน แต่แค่เสี้ยวลมหายใจมันกลับเปลี่ยนเป็นคำที่ทำให้ผมเย็นยะเยือก ความหนาวสะท้านไต่ตามไขสันหลังจนผมเสียววาบ [มันยังเทียบไม่ได้กับสันดารร่านๆของนายด้วยซ้ำ โดคยองซู!]

     

     

     

                “อึก! นี่นาย..”

     

     

     

                [สงสัยจนตัวสั่นเลยล่ะสิ่ หึ แต่ไม่ต้องกลัวหรอกนะ อีกไม่นานเราคงได้พบกันอย่างเป็นทางการแน่นอน]

     

     

     

                กึก​!

     

     

     

                ผมชิงกดตัดสายทันที ทำให้โทรศัพท์เผลอร่วงลงกับที่นอนนุ่มเพราะมือเล็กนั้นสั่นจนแทบจะคุมตัวเองไม่อยู่ สองแขนยกขึ้นมาโอบกอดตัวเองแน่นราวกับต้องการความอบอุ่นที่แสนจะโหยหามานาน คำพูดร้ายกาจยังคงติดค้างอยู่ในหัวผมชัดเจนทุกประโยคทำเอาผมแทบบ้าประสาทหลอน

     

     

     

                ก๊อก ก๊อก ก๊อก!

     

     

     

                “เฮือก! นั่นใคร” ผมเหวี่ยงเสียงไปถามโดยที่ยังนั่งอยู่ในห้องนอน ..นี่มันกล้าบุกเข้ามาถึงในบ้านเลยงั้นเหรอ

     

     

     

                ก๊อก ก๊อก ก๊อก!

     

     

     

                “ฉ.. ฉันถามว่านั่นใคร!!!” 

     

     

     

                “ผมเองพี่คยองซู ผมเองเซฮุนครับพี่”

     

     

     

                ทันทีที่จบประโยค ผมรีบวิ่งถลาไปที่บานประตูห้องนอนทันทีแล้วจับมันกระชากออกอย่างแรงจนเซฮุนตกใจเบิกตาโพลง 

     

     

     

                “เซฮุน.. นาย.. นายจริงๆใช่มั้ย”

     

     

     

                “เดี๋ยวพี่คยองซู พี่เป็นอะไร ร้องไห้ทำไม” ร่างสูงสาวเท้าเข้ามาหาผมพร้อมยกนิ้วโป้งแตะสัมผัสที่ขอบตาร้อนอย่างแผ่วเบา

     

     

     

                “ร้องไห้? นายว่าใครร้องไห้?” ผมปัดมือเซฮุนออกแล้วแตะลงที่ขอบตาตัวเองบ้างก่อนจะสัมผัสได้ถึงความอุ่นร้อนของของเหลวสีใสหยดน้อย “นี่พี่.. ร้องไห้เหรอ”

     

     

     

                “ก็เห็นอยู่ว่าร้องไห้ยังจะถามอีก” ใบหน้าคมยิ้มให้ผมอย่างล้อเลียน “โตแล้วขี้แงไปได้ ไหนบอกผมมาสิว่าพี่ร้องไห้ทำไมครับ”

     

     

     

                “พี่.. ได้รับโทรศัพท์จากเบอร์แปลกๆ”

     

     

     

                เซฮุนได้ยินก็ขมวดคิ้วแน่น “เฮ้ย! เป็นไปได้ไงพี่ นี่ผมเพิ่งไปเปลี่ยนเบอร์ให้พี่มาเองนะเมื่อสองวันก่อนอ่ะ”

     

     

     

                “พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน” ผมช้อนตาขึ้นมองเซฮุนอย่างขอความเห็น “คราวนี้มันแปลกมากเลยนะ เหมือนกับว่าคนคนนั้นรู้ว่าพี่เป็นใครแล้วที่สำคัญคือรู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่” 

     

     

     

                “อย่าคิดมากน่า” มือหนาจับไหล่เล็กทั้งสองข้าง ก่อนจะรวบเข้ามากอดให้กำลังใจ “บางทีมันอาจจะเป็นพวกโรคจิตที่คลั่งพี่หนักๆก็ได้นะ สมัยนี้มีเยอะแยะ อีกอย่างเราระวังตัวดีจะตายไป”

     

     

     

                “แต่พี่ว่ามันมีอะไรมากกว่านั้นนะ” ผมกดหน้าลงซบไหล่กว้างของน้องชายอย่างหมดแรง “พี่ทำยังไงดีเซฮุน”

     

     

     

                เซฮุนขมวดคิ้วแน่นอย่างใช้ความคิด อันที่จริงเขารู้อยู่ว่าสถานการณ์แบบนี้มันไม่ชอบมาพากลแน่นอน แต่เขาจะแสดงออกถึงความเป็นกังวลให้พี่คยองซูเครียดไม่ได้ ถึงแม้ว่าภายนอกพี่เขาจะดูเข้มแข็งต่อหน้าเขาขนาดไหนก็ตาม แต่ลึกๆแล้วพี่คยองซูเป็นคนที่อ่อนไหวมาก ยิ่งกับเรื่องเรื่องนี้ด้วยแล้ว พี่คยองซูคงจะระแวงจนแทบบ้าแน่ๆ

     

     

     

                เซฮุนกอดพี่คยองซูของเขาแน่นพลางลูบหัวเล็กที่นานๆทีพี่เขาจะยอมให้สัมผัสอย่างอ่อนโยน ปลอบประโลมใจที่บอบช้ำให้คลายเศร้าก่อนจะสัมผัสได้ว่าพี่คยองซูค่อยๆหายสั่นแล้วจึงได้ผ่อนวงแขนออก

     

     

     

                “งั้นวันนี้ผมจะอยู่เป็นเพื่อนพี่เองนะ” 

     

     

     

                ใบหน้าเล็กที่ขอบตาแดงก่ำพยักหน้าลงเบาๆ “อืม”

     

     

     

                “ผมได้เรื่องมาเพิ่มด้วย” เซฮุนพูดพร้อมเดินไปหยิบเอาซองเอกสารที่วางไว้บนโต๊ตรงทางเข้ามาชูให้ผมดูด้วยสีหน้ามีเลศนัย “โอกาสที่เรารอมานาน ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงแล้วนะครับ พี่คยองซู”

     

     

     

                “นายหมายความว่า..”

     

     

     

                “ครับ อาทิตย์หน้าจะมีการเซ็นต์สัญญาการซื้อขายล็อตใหญ่กับจีน และแน่นอนว่าตรงกับวันครบรอบการสถาปนาบริษัทพอดี”

     

     

     

                “สมกับเป็นคิมแรวอน จะจัดงานสถาปนาบริษัทบังหน้างั้นสิ่”

     

     

     

                “ถูกต้องเลยพี่”

     

     

     

                ผมยกมือขึ้นลูบหน้า สูดลมหายใจเข้าลึกๆเรียกสติให้กลับคืนมา “แต่งานนี้คงเป็นการภายในสิ่นะ แล้วเราจะเข้าไปได้ยังไงกัน”

     

     

     

                “ผมได้ยินมาว่าพี่กำลังเล่นหนังคู่กับคนสำคัญของคนคิมกรุ้ปอยู่ไม่ใช่เหรอครับ” เซฮุนยิ้มร้าย “ทำไมเราไม่ยืมมือเขามาใช้ให้เป็นประโยชน์ล่ะฮะ”

     

     

     

                “อย่าบอกนะว่าเป็นไอ้หมาบ้านั่นน่ะ”

     

     

     

                “ฉลาดที่สุดครับพี่คยองซู เราก็แค่บอกว่ามาแสดงความยินดีกับบริษัทของเพื่อนร่วมงาน แค่นั้นเราก็เข้าไปเดินเฉิดฉายในงานได้สบายใจเฉิบแล้ว”

     

     

     

                “ทั้งๆที่พี่ไม่ค่อยลงรอยกับไอ้บ้านั่นมาหยกๆเนี่ยนะ”

     

     

     

                “ใครบอกล่ะฮะ” มือหนาวางหมับลงบนไหล่ลาดเล็กของคนเป็นพี่ “ผมหวังว่ามันคงไม่ยากเกินไปหรอกนะครับสำหรับนักแสดงดาวรุ่งพุ่งแรงอย่า โดคยองซู ที่จะตีสนิท คิมจงอิน ให้ได้ภายในเวลาหนึ่งอาทิตย์ก่อนวันงาน”

     

     

     

                “อ.. เอาจริงดิ่” ผมลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก แค่นึกถึงสีหน้าดุๆแล้วควันบุหรี่ที่พ่นใส่ผมเหมือนหมูเหมือนหมานั่นแล้ว.. ตายแน่

     

     

                “เอ้า พี่คิดว่าผมคิดเล่นเหรอเนี่ย” เซฮุนเป่าลมออกปากอย่างเซ็งๆ “หรือว่าพี่จะไปร่วมงานนั้นในฐานะเด็กเสี่ยของคิมแรวอนแทนล่ะฮะ พอดีอ่ะโดนจับโยนออกมานอกงานแทบไม่ทัน”

     

     

     

                คิดตามที่เซฮุนว่าแล้วมันก็จริง การที่ผมเข้าไปในงานง่ายๆก็คงมีทางเดียวคือในฐานะเพื่อนร่วมงานของคิมจงอินเท่านั้น นอกเหนือจากนี้มีหวังได้ทิ้งโอกาสครั้งนี้หลุดมือไปแน่ๆ

     

     

     

                แทนที่จะคิดถึงเรื่องของตัวเอง ผมควรจะคิดถึงสิ่งนั้นให้มาก 

     

     

     

                คิดถึงความยากลำบากที่ยอมทนมาเกือบสิบปี

     

     

     

                เพื่อวันนี้ …วันที่จะได้เปิดโปงความจริงที่พ่อต้องทนเจ็บมานาน

     

     

     

                ความจริงที่พ่อต้องกลายเป็นแพะรับบาปและกลืนมันลงคอด้วยความตายทั้งที่ตัวเองไม่ได้ทำ

     

     

     

                “อีกไม่นานผมจะปลดปล่อยพ่อจากคำครหาเลวทรามพวกนั้นเองครับ ผมสัญญา

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                ตารางงานกลับมาล้นมืออีกครั้งหลังจากที่ผมพักไปถึงสองวันเต็ม วันนี้เลยต้องเร่งการถ่ายทำให้เร็วขึ้นกว่าเดิมสองเท่า เพื่อที่จะให้เวลาปิดกล้องนั้นไม่ยืดเยื้อออกไป 

     

     

     

                ฉากนี้เป็นฉากที่เรายกกองมาถ่ายทำกันให้ห้องอับๆของอพาร์ทเมนต์เก่าแห่งหนึ่ง พี่ซูโฮเรียกเราสองคนมาบรีฟงานอย่างเช่นทุกครั้งแต่คราวนี้กลับเป็นผมเองที่นั่งทำหน้ามุ่ยไม่สบอารมณ์

     

     

     

                “เอาน่าคยองซู กลั้นๆใจทำเดี๋ยวก็เสร็จนะ” มืออบอุ่นของพี่ซูโฮลากผ่านแผ่นหลังผมขึ้นลง “ทั้งเรื่องมันก็มีอยู่ฉากนี้ฉากเดียวเอง นะ.. ถือว่าพี่ขอ”

     

     

     

                “แต่ตอนที่พี่ส่งบทให้ผมมันไม่มีฉากนี้อยู่นี่ครับ แค่นอนกอดกันผมว่ามันก็มากเกินแล้วนะ” ผมถอนหายใจเฮือก “ไหนว่าเป็นหนังบู๊แอคชั่นล้างผลาญไงฮะ”

     

     

     

                “ก็ผู้ใหญ่เขาสั่งมา” ผู้กำกับบอกผมเสียงอ่อน

     

     

     

                “แล้วเพิ่งมาบอกผมเอาป่านนี้อ่ะนะ” ผมกอดอกจิ๊ปาก เบี่ยงหน้าหันหนีพี่ซูโฮที่นั่งอยู่ตรงข้าม

     

     

     

                “พี่รู้ไงว่าถ้าบอกเราก่อนเราก็ไม่เล่นให้พี่น่ะสิ่ คยองซู.. ช่วยพี่หน่อยนะ”

     

     

                ผมเหลือบตามามองหน้าที่เว้าวอนดูน่าสงสารของพี่ซูโฮแล้วก็ใจอ่อนยวบ ไอ้เล่นมันก็เล่นให้ได้หรอกนะ เพราะรู้ว่าพี่ซูโฮก็คงใช้มุมกล้องช่วยอย่างที่เคย แต่เพราะว่าไอ้คนที่เล่นด้วยนี่สิ่ที่ทำผมหมดอารมณ์ 

     

     

     

                ถึงเซฮุนจะบอกให้ผมพยายามตีสนิทกับจงอินก็เถอะ แต่ผมหลับมองไม่เห็นทางเลยด้วยซ้ำ แค่เห็นหน้าเขาผมก็อยากจะเดินหนีไปให้ไกลๆ รู้สึกเกลียดขี้หน้าขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

     

     

     

                “แต่ผม..”

     

     

     

                “จะอะไรกันนักกันหนาวะกับอิแค่ฉากจูบเนี่ยห้ะ!” จงอินที่นั่งเงียบอยู่นานก็เหวี่ยงเสียงผ่าอากาศมาจนผมสะดุ้งโหยง “ทำอย่างกับอยากเล่นด้วยตายล่ะ แต่นี่มันคืองานเข้าใจมั้ยครับคุณโดคยองซู ถ้าแยกแยะไม่ออกระหว่างเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัว ผมว่าคุณก็ไปขายตัวเถอะจะได้สิ้นเรื่องสิ้นราว”

     

     

     

                “ไอ้ไค!!!” พี่ซูโฮกระแทกเสียงดังปรามน้องชาย “พูดจาอะไรมึงให้เกียรติน้องด้วย อย่ามาทำปากดีแถวนี้กูไม่ชอบ!!”

     

     

     

                “หึ! เกียรติเหรอ” ร่างสูงแค่นยิ้มเย็น “คนอย่างมันเนี่ยมีเกียรติด้วยรึไง”

     

     

     

                ผมหน้าชาวาบกับสิ่งที่ได้ยินจากปากร้ายๆของผู้ชายคนนี้ มือผมสั่นเพราะอาการโกรธจนคุมไม่อยู่เกือบจะฟาดลงไปบนใบหน้าคมนั่นแล้วถ้าไม่ติดกับว่าทีมงานข้างนอกเดินมาบอกว่าเซตฉากเสร็จแล้ว

     

     

     

                “เฮ้ออออ กูขอเถอะว่ะไค” พี่ซูโฮยกมือขึ้นกุมหน้าผากอย่างเหนื่อยอ่อน “ขอให้งานกูเสร็จไปได้ด้วยดีเถอะ อย่ามีเรื่องกันเลยนะ”

     

     

     

     

                “ก็ถ้าคนบางคนไม่เรื่องมากอ่ะนะ” เสียงทุ้มพูดเสียงเย็น

     

     

     

                “กูไม่รู้หรอกนะว่ามึงจะโกรธจะเกลียดอะไรคยองซูมากมาย แต่เมื่อกี้มึงพูดเกินไป กูขอสั่งให้มึงขอโทษน้องเขาเดี๋ยวนี้”

     

     

     

     

                “แต่พี่....”

     

     

     

                “ไม่มีแต่” ผู้กำกับหนุ่มตีหน้าเครียด แววตาจริงจังเกินจะมีเจือปนคำว่าล้อเล่น “ถ้ามึงยังเห็นกูเป็นพี่มึงอยู่ มึงต้องขอโทษคยองซู ..เดี๋ยวนี้!

     

     

     

                จงอินกลอกตาถอนหายใจอย่างหงุดหงิดก่อนจะโค้งคำนับลง แต่ก็แค่ผงกหัวลวกๆแบบขอไปที “ขอโทษครับ”

     

     

     

                ผมมองท่าทีไม่เต็มใจนั่นก็นึกอยากจะตั้นหน้ากวนๆนั่นสักหมัดสองหมัดให้หายโกรธ แต่เพราะว่ามีพี่ซูโฮนั่งอยู่ด้วย ผมจึงทำได้แค่กดยิ้มขืนๆเหมือนเด็กน้อยแสนดีที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับคำพูดจาร้ายกาจของร่างหนา

     

     

     

                “ไม่เป็นไรฮะ ผมเข้าใจว่าจงอินอาจจะอินกับบทเลวๆนั่นมากไปหน่อย” แต่ก็ไม่วายขอกัดคืนสักหน่อย “จนเผลอเล่นเป็นตัวเองขนาดนั้น ฮ่ะๆ”

     

     

     

                ผมสังเกตเห็นแววตาครุกรุ่นมาดร้ายที่ฉายวาบในเรียวตาคมของเขา กรามแกร่งกัดฟันกรอดแน่นจนเส้นเลือดตรงขมับเต้นตุ้บๆเห็นชัด 

     

     

     

                หึ.. สะใจชะมัด

     

     

     

                “เห็นพวกนายดีกันแล้วพี่ก็สบายใจ งั้นไปเข้าฉากเถอะถ้าวันนี้เลิกเร็วเดี๋ยวพี่พาไปเลี้ยงเนื้อย่างฉลองที่คยองซูหายป่วย ดีมั้ย?”

     

     

     

     

                ผมยิ้มกว้างให้สมกับบทบาทของเด็กน้อยใสซื่อของพี่ซูโฮ “ดีฮะ ผมกำลังอยากกินพอดีเลย”

     

     

     

                บอกตามตรงว่าถึงหน้าผมจะยิ้มแบบนั้นก็เถอะ แต่ในใจนี่อยากจะกรีดร้องดังๆเมื่อเหลือบลงไปมองที่เนื้อหาสี่ห้าบรรทัดในกระดาษบนตักนิ่ม

     

     

     

                ‘ความหวั่นไหวของใจที่เปล่าเปลี่ยวทั้งคู่ในห้องแคบอับชื้นทำให้เกิดบรรยากาศประหลาดๆขึ้นมา โดยที่ตัวของอาชญากรทั้งสองไม่ทันได้สังเกตมันเลยสักนิด ชายหนุ่มร่างหนาค่อยๆพลิกตัวหันกลับมามองเสี้ยวหน้าหวานของคู่หูที่นอนพริ้มตาหลับอยู่บนเตียงนิ่ง เขายกมือสากเกลี่ยไปที่พวงแก้มใสขึ้นสีระเรื่อด้วยความวาบหวามใจ ใบหน้าคมกดลงจูบที่กลีบปากแต้มสีเชอร์รี่แผ่วเบาราวกับปุยนุ่น แต่เพราะชีวิตที่ผ่านมาของเขาไม่เคยอ่อนโยนกับใครเลย ทำให้จูบที่แผ่วเบาเผลอรุนแรงขึ้นจนร่างน้อยในอ้อมกอดครางเสียงอื้ออึงออกมา...

     

     

     

                อ่านแล้วก็อยากกัดลิ้นตาย

     

     

     

                นี่สรุปผมจะต้องเข้าฉากจูบกับไอ้คนปากร้ายนี่จริงๆเหรอเนี่ย!

     

     

     









     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×