ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    { fic exo } เด็กเสี่ย | kaido ft.exo

    ลำดับตอนที่ #2 : เด็กเสี่ย : หนึ่ง { 1 }

    • อัปเดตล่าสุด 9 ก.พ. 57


              คัททท!! 

     

     

              “วันนี้เท่านี้ก่อน เลิกกองได้!” เสียงผู้กำกับที่นั่งครองตำแหน่งหน้ามอนิเตอร์การถ่ายทำตะโกนลั่นเป็นสัญญาณสิ้นสุดการทำงานแสนทรหดท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บมาตลอดเกือบค่อนคืน 

     

     

              คนที่ดูเหมือนจะเป็นตัวเด่นของวันนี้จัดการเก็บของลงกระเป๋าอย่างลวกๆ โชคดีที่งานเสร็จเร็วกว่ากำหนดทำให้เขาไม่ต้องมานั่งกระวนกระวายใจว่าจะไปทันนัดหรือไม่ เพราะถ้าพลาดงานนี้รับรองว่าเขาอาจจะต้องเสียใจอยู่ไม่น้อยเลย 

     

     

              สองขาของร่างเล็กรีบก้าวออกจากความวุ่นวายนี้ไปอย่างเงียบๆ เขาทักทายคนที่เดินผ่านไปมาตามมารยาทก่อนจะก้าวขึ้นรถตู้ที่จอดรออยู่ไกลๆห่างออกมาจากกองถ่ายพอที่จะไม่ทันสังเกตเห็น 

     

     

              คยองซูทิ้งตัวลงนั่งบนเบาะหนังตัวหนาอย่างหมดแรง เปลือกตาทั้งสองข้างปิดตัวลงพร้อมกับเสียงถอนหายใจที่เหนื่อยหน่ายจนคนขับรถต้องลอบมองผ่านกระจกหลัง

     

              “งานยากเหรอครับวันนี้” เสียงทุ้มของสารถีที่พ่วงตำแหน่งคนดูแลนักแสดงหน้าใหม่อย่าง โด คยอง ซู เอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วงเจ้านาย 

     

     

              คนถูกถามถอนหายใจอย่างความเหนื่อยล้า มือคู่เล็กประสานเข้าหากันนิ่งเพื่อเรียกสมาธิ “ประมาณนั้น แต่มันก็ไม่มีทางเลือก”

     

     

              “งั้นเราไปกันเลยนะครับ จวนจะได้เวลาแล้ว”

     

     

              “อืม จะจบมันในคืนนี้ล่ะ” 

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

              “เดี๋ยวก่อนจงอิน” ผู้กำกับที่กำลังง่วนอยู่กับแผ่นกระดาษสองสามใบในมือเงยหน้าเรียกนักแสดงอีกคนที่ดูเหมือนว่ากำลังจะออกจากกองไปอีกคน “เห็นคยองซูป่ะ นี่ตามหาจนทั่วกองแล้วยังไม่เจอเลย”

     

     

              “เมื่อกี้เห็นเก็บของอยู่นะครับ” ร่างหนาหันรีหันขวางมองรอบตัวอีกครั้งเพื่อเช็คความแน่ใจ “แต่ว่าคงกลับไปแล้วมั้ง”

     

     

              “ชิบหายล่ะ” เสียงสบถพร้อมกับอาการกุมขมับทำให้คนฟังต้องรีบเอ่ยถามอย่างร้อนใจ

     

     

              “เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ” 

     

     

              “ซวยนิดหน่อยว่ะ พอดีทีมเขียนบทแม่งแก้บทของพรุ่งนี้กระทันหัน”

     

     

              “ก็ไม่เป็นไรนี่ครับ ท่องก่อนถ่ายบ่อยไป หมอนั่นคงไม่มีปัญหาอะไรหรอก” 

     

     

              “แต่มันต้องถ่ายกับเอฟเฟกต์ด้วย ถ้าพลาดนี่เสียเวลาไปอีกหลายขุม”

     

     

              คิ้วหนาขมวดมุ่นกับคำตอบของผู้คุมบังเหียนใหญ่ของกองถ่าย “แล้วจะทำยังไงล่ะครับ พรุ่งนี้ผมมีคิวต่อถ้าถ่ายซ่อมไปเรื่อยๆตารางงานผมวินาศแน่”

     

     

              นิ้วหนาเคาะลงบนโต๊ะเหล็กที่ใช้ตั้งจอมอนิเตอร์อย่างใช้ความคิด “งั้นฉันวานแกเอาบทไปให้คยองซูมันหน่อยสิ่”

     

     

              “ถ่ายรูปส่งไปก็ได้มั้งครับ สมัยไหนแล้วพี่”

     

     

              “จะสมัยไหนมันก็ไม่ได้ช่วยหรอกว่ะ นักแสดงคู่แกน่ะมันเปลี่ยนเบอร์แทบทุกอาทิตย์ใครจะไปรู้ว่าวันนี้มันใช้เบอร์ไหน”

     

     

              “ทำเป็นขี้งกไปได้นะพี่ซูโฮ ก็ส่งไปแม่งทุกเบอร์อ่ะไม่ถึงให้มันรู้ไป”

     

     

              “เออไม่ถึงแน่ แกคิดว่าฉันไม่เคยทำเหรอวะ”

     

     

              “อ่าวไหงงั้นไป อะไรจะเรื่องมากขนาดนั้นวะ” 

     

     

              “ฉันถึงต้องวานแกให้ไปส่งบทให้หน่อยไง” ผู้กำกับซูโฮที่กำลังโด่งดังและเป็นข่าวครึกโครมอยู่ในตอนนี้ตีหน้าเครียดขรึม 

     

     

              ด้วยความเอาใจใส่งานทุกรายละเอียดทำให้งานที่เขาลงมือนั้นเนี้ยบไม่มีที่ติ บวกกับใบหน้าหล่อเหลาซึ่งใครต่อใครก็ต่างบอกว่าเหมือน ชเวซีวอน วงบอยแบนด์ชื่อดังแห่งค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ จึงไม่แปลกเลยว่าทำไมเขาถึงได้ชื่อว่าเป็นผู้กำกับหน้าตาดีมีฝีมืออันดับต้นๆของประเทศ

     

     

              “เออๆ ก็ได้ บอกที่อยู่มาดิ่จะได้รีบไป” 

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

              หมวกกันน็อคใบหนาราคาแพงถูกถอดออก เผยให้เห็นใบหน้าคมได้รูป คิ้วเข้มได้รูปขมวดมุ่นเข้าหากัน ก่อนร่างสูงตวัดขาข้ามมอเตอร์ไซด์คู่ใจคันใหญ่ หนีบหมวกกันน็อคที่สั่งทำมาคู่กันไว้ข้างตัวแล้วยกแว่นตาดำขึ้นปิดอำพรางใบหน้าที่ชื้นเหงื่อ

     

     

              คอนโดหรูริมแม่น้ำฮันซึ่งขึ้นชื่อเรื่องระบบรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดทำเอาคิมจงอินหรือชื่อในวงการที่กำลังเป็นที่รู้จักอยู่ตอนนี้อย่างไคถึงกับต้องลอบถอนหายใจ เขาสาวเท้ายาวๆตรงไปที่หน้าเคาน์เตอร์ต้อนรับของตัวตึกด้วยท่าทีสบายๆ แต่ในใจกลับร้อนรนอยากจะจบงานนี้ให้ไวๆ จะได้หิ้วตัวเองกลับไปพักผ่อนซักที

     

     

              "ขอโทษนะครับ" มือหนาเกี่ยวแว่นกันแดดลงทิ้งค้างไว้ที่สันจมูกโด่ง สายตาแพรวพราวราวกับราชสีห์ล่อเหยื่อในบทเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนถูกหยิบมาใช้กับพนักงานตรงหน้า กระตุกยิ้มเป็นมิตรอีกหน่อยหนูตัวน้อยก็บิดเขินแก้มแต้มสีระเรื่อจนสังเกตได้ 

     

     

              “ค.. คุณไค ม.. มีอะไรให้ดิฉันช่วยมั้ยคะ " 

     

     

              "ผมอยากทราบเลขที่ห้องพักของคุณคยองซูน่ะครับ" มือหนายกขึ้นชูม้วนกระดาษ ขยิบตาอีกครั้งสะกดใจให้อยู่หมัด  "พอดีว่าผมแวะเอาบทมาให้"

     

     

              พนักงานสาวมีท่าทีลำบากใจกับสิ่งที่ร่างหนาขอความช่วยเหลือ แต่พอเงยหน้าขึ้นสบตากับเจ้าของเสียงก็เป็นอันต้องอ่อนระทวยจำต้องแหกกฎเหล็กของคอนโดที่ว่าห้ามให้ข้อมูลผู้อาศัยแกใครอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

     

              เป็นอันรู้กันดีว่าห้องของดาราดาวรุ่งชื่อดังอย่าง โด คยองซูจะต้องเป็นชั้นบนสุดอย่างแน่นอน แต่เพราะการรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนาทำให้เขาไม่สามารถที่จะเดินดุ่มๆขึ้นไปหาได้ ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นที่น่าเชื่อถือด้วยชื่อเสียงค่อนข้างที่คุ้นหูบ้างก็ตาม

     



     

              ลิฟต์ส่วนตัวด้านในสุดของล้อบบี้คอนโดถูกเปิดออกด้วยคีย์การ์ดสำรองที่พนักงานสาวทำเรื่องเบิกมาในกรณีฉุกเฉิน มีคำถามมากมายว่าทำไมถึงไม่มีรายงานถึงการมาเยือนของดาราหนุ่มที่กำลังจะเป็นที่รู้จักอยู่ในเร็ววันนี้ลงมาจากปากของคยองซู 

     

     

              แต่ก็ต้องถูกกลืนก้อนคำพูดนั่นไปเมื่อได้สบสายตาเจ้าเล่ห์ที่แสนทรงสเน่ห์ของคิมจงอิน สุดท้ายห้องโดยสารส่วนตัวที่ถูกตั้งโปรแกรมไว้ก็ทะยานขึ้นไปบนเซฟเฮ้าส์ชั้นบนสุดของตึกระฟ้า 

     

     

              จงอินก้าวไปบนพรมหนาที่ถูกปูลาดยาวทั่วทั้งชั้นตั้งแต่หน้าประตูลิฟท์อย่างระมัดระวัง เขาหยุดยืนหน้าบานประตูไม้ฉลุลายสีขาวสะอาดแล้วกดเทเลคอมเพื่อเป็นสัญญาณการมาเยือนของแขกผู้มีมารยาท 

     

     

              “ขอโทษนะครับ มีใครอยู่มั้ยครับ” ผมเอ่ยถามออกไปหลังจากที่กดกริ่งหน้าประตูอยู่นาน แต่สุดท้ายก็ไม่มีเสียงของการเคลื่อนไหลด้านหลังของบานไม้นี้เลย

     

     

              สงสัยว่าเจ้าตัวคงอาจจะเผลอหลับไปก็ได้ ผมจึงตัดสินใจคลี่ม้วนกระดาษนั่นที่เผลอกำจนมันยับยู่ยี่ออก แล้วสอดไปตรงช่องว่างด้านล่างระหว่างประตูกับพื้นพรม หวังว่าคนเรื่องมากนั่นจะไม่เผลอเหยียบมันซะก่อน 

     

     

              แต่ก่อนที่จะยันตัวขึ้นยืนให้เต็มความสูง ความสงสัยบางอย่างก็ประทุขึ้นภายในจิตใจ ผมค่อยๆแตะเบาๆที่พื้นประตูไม้สีขาวบานเดิม และเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้ว่า

     

     



     

              ประตูไม่ได้ล็อค

     

     



     

              กระดาษกองเดิมถูกหยิบขึ้นมาอีกครั้ง นี่ผมขอออกตัวก่อนเลยว่าไม่ได้ตั้งใจจะบุกรุกเข้ามาห้องคนอื่นยามวิกาลนะครับ แต่แค่หวังดีเลยจะเอาบทที่ผู้กำกับซูโฮฝากฝังมาวางให้เป็นที่เป็นทาง

     

     

              ความมืดมิดปกคลุมรอบห้องกว้างตามเข็มนาฬิกาที่หมุนเป็นรอบที่สองของวัน แต่มันก็ไม่ได้มืดจนกระทั่งมองอะไรไม่เห็นเลย เพราะแสงระยับของไฟตามตัวตึกในเมืองหลวงส่องสว่างให้พอเดาทางได้ว่าควรจะเดินยังไงไม่ให้ชนเฟอร์นิเจอร์สไตล์วินเทจของเจ้าตัวปัญหาสำหรับผมในตอนนี้ 

     

     

              ผมจัดการวางบทไว้บนโต๊ะรับแขกกลางวงล้อมโซฟาตัวยาวทั้งสามด้านที่หันหน้าเข้าหากระจกใสบานสูงจรดเพดานอย่างเบามือพลางสำรวจห้องที่สะท้อนรสนิยมของดาราดังอย่างสนใจ ก็เป็นอันว่าภารกิจของผมในวันนี้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว 

     


     

              แต่ก่อนที่จะได้เดินออกจากห้องนี้ หางตาผมก็พลันเหลือบไปมองเห็นอะไรบางอย่าง.. 

     

     






     

     








     

     


     

     

              ..บางอย่าง ที่ทำให้ใจผมกระตุกวูบ 

     

     




     

     





     

     








     

     



     

     




     

     

              ..และบางอย่างที่ทำให้อากาศในห้องดิ่งลง เย็นยะเยือกราวกับติดลบ ลมหายใจขาดห้วงจนผมเผลอกำมือตัวเองเข้าหากันแน่น หัวสมองมึนเบลอเหมือนถูกหินอุกกาบาตพุ่งชนเข้าใส่จนไม่สามารถอธิบายมันออกมาได้เป็นคำพูดเมื่อผมเห็นมัน

     

     







     

     








     

     

     

     








     

     

     

              ..รูปของชายสูงวัยที่ส่งสายตายิ้มผ่านเลนส์กล้องในกรอบรูปข้างชั้นวางทีวีนั่น 

     

     



     

     








     

     



     

     








     

     

     








     

     


     

     

              ‘พ่อ’


     

     



     

     








     

     



     

     








     

     

     








     

     


     

     



     

     








     

     





     

              รถแวนสีดำสนิทจอดเทียบทางเข้าของล้อบบี้หรู ประตูอัตโนมัติเปิดออกให้ร่างเล็กที่เพิ่งกลับจากงานสำคัญ ใบหน้าเรียบนิ่งยิ้มบางๆให้กับพนักงานสาวที่ดูเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างกับเขาแต่เขาก็ไม่ได้มีเวลาฟังมากพอ ตอนนี้อยากจะขึ้นไปพักให้หายเหนื่อยจากคิวงานที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน

     

     

     

              ทันทีที่ประตูลิฟท์เปิดออกคยองซูก็ตรงดิ่งไปประตูเซฟเฮ้าส์พร้อมกับรอยยิ้ม หลังบานไม้นั่นเขาจะได้อยู่ในโลกของเขาจริงๆเสียที ไม่ต้องคอยฝืนปั้นหน้าส่งยิ้มหรือทักทายใครต่อใครมากมายอีกแล้ว ..โลกที่มีแต่คยองซูเท่านั้น

     

     

     

    แต่ไม่ทันที่จะผลักเข้าไปดวงตากลมโตก็สังเกตเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นบริเวณหน้าประตู รอยยิ้มบนใบหน้าใสหุบลง คิ้วเรียวขมวดมุ่นกับเศษหนังรองเท้าบนพื้นพรมตรงหน้า มันไม่ใช่ของเขาแน่นอนเพราะว่าเขาไม่เคยมีรองเท้าหนังสีน้ำตาลอยู่เลยแม้แต่คู่เดียว 

     

     

     

              ผิวสัมผัสของมันบ่งบอกว่าเป็นวัสดุกันกระแทกอย่างดีและไม่น่าจะใช่รองเท้าธรรมดา อาจจะเป็นรองเท้าที่ใช้สำหรับโอกาสที่จะเกิดอันตรายได้ทุกเมื่อหรือรองเท้าที่เหมาะกับยานพาหนะผาดโผนอย่างมอเตอร์ไซด์..

     

     

              คนตัวเล็กเก็บหลักฐานไว้ในกำมือแล้วตัดสินใจผลักบานประตูนั่นเข้าไป ห้องมืดที่เงียบสนิทยังคงเหมือนเดิมและปกติดีไม่มีอะไรผิดแปลก คยองซูหรี่สายตาลงตามนิสัยที่ติดจนเคยชินเมื่อต้องใช้ความความคิดอยู่กับตัวเองมองไปรอบๆห้อง ก่อนจะชั่งใจได้ว่าตัวเองคงคิดมากไป 

     

     

              นิ้วป้อมเปิดไฟเพื่อเตรียมตัวเข้านอนหลังจากที่เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน แต่ไม่วายหาขวดโหลแก้วใบเล็กมาใส่สิ่งแปลกปลอมจากหน้าห้องเก็บไว้และนำไปวางเรียงรายกับขวดใบก่อนๆที่เขาสะสมเป็นงานอดิเรก 

     

     

              ขวดใสนับสิบถูกจัดวางอย่างดีบนชั้นไม้ริมกระจกใสบานใหญ่ที่ด้านหลังสะท้อนวิวของแม่น้ำฮันพร้อมกับไฟระยิบระยับของบ้านเรือนในกรุงโซล และทุกใบมักจะมีวันที่และสถานที่กำกับเสมอ

     

     

              ผมทิ้งตัวลงกึ่งนั่งกึ่งนอนบนโซฟายาวที่เลือกมาด้วยเหตุผลที่ว่าห้องนี้มันกว้างเกินไปที่จะอยู่คนเดียว แต่ผมเองก็ไม่ชอบที่จะมีใครอีกคนเข้ามาหายใจร่วมกัน ผมไม่ใช่คนร่าเริงอะไรนักแต่ก็ใช่ว่าจะเป็นโรคซึมเศร้าอย่างที่ข่าวบ้าๆพวกนั้นชอบยัดเยียดให้อยู่เรื่อย

     


     

              ทอดสายตามองไปตามแสงไฟกลางความมืดที่มักจะทำให้ผมรู้สึกสงบใจอย่างประหลาด เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่าตัวเองฟุ้งซ่าน ไม่มีสติและสูญเสียความเป็นตัวเองไปไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ตาม สุดท้ายดาวจอมปลอมพวกนี้ก็จะกล่อมให้ผมรู้สึกดีขึ้นทุกที 

     


     

              ยกเว้นครั้งนี้ที่ต่อให้ปล่อยจิตใจล่องลอยไปกับความระยับตรงหน้านานเท่าไหร่ มันก็ไม่ได้ช่วยให้ผมดีขึ้นสักนิด มันยังคงมีแต่ภาพของเหตุการณ์วันนี้ตบตีกันยุ่งในหัวจนต้องยกมือขึ้นมากุมขมับ 


     

     

              นึกถึงทีไรก็อยากจะกลั้นใจกัดลิ้นให้ตายลงตรงนี้ซะก็สิ้นเรื่อง จะได้ไม่ต้องใช้ชีวิตที่แสนเหน็ดเหนื่อยแทบบ้าจนทนไม่ไหว แต่ถึงจะปล่อยให้ตัวเองฟุ้งซ่านขนาดไหนสุดท้ายคำพูดของแม่มันก็ลอยเข้ามาเตือนสติผมเสมอว่า ชีวิตคือสิ่งมีค่าและเราควรจะต้องรู้จักคุณค่าชีวิตของเรา อุปสรรคที่เจอเป็นแค่บททดสอบของความเข้มแข็ง

     

     

              ..แต่แม่ครับ ตอนนี้ผมอ่อนแอเหลือเกิน

     






     

              วินาทีที่คนตรงหน้าเดินจากไป เขาหันกลับมามองผมด้วยดวงตาแสนอบอุ่นที่มีน้ำใสคลอขึ้นมานองหน้า ผมนึกถึงตอนเด็กๆที่เวลาผมร้องไห้พ่อจะคอยปลอบและเป่าแผลให้ผมรุ้สึกดีขึ้น แต่ตอนนี้พ่อกำลังอ่อนแอทั้งที่จริงแล้วท่านเป็นคนเข้มแข็งไม่เคยยอมเสียน้ำตาให้ใครเห็น 

     

     

              ส่วนผมทำได้แค่ยืนมองผ่านกระจกบานใสที่มีพนักงานในเครื่องแบบราชการรายล้อมเต็มไปหมด แม้ว่าอยากจะเดินเข้าไปกอดพ่อเป็นครั้งสุดท้ายแค่ไหนก็ตาม แต่มันไม่มีอีกแล้วโอกาสนั้น...

     

     


              ปัง! 

     


     

              เสียงดังสนั่นหวั่นไหวลั่นออกมาจากปลายปากกระบอกของอาวุธสีดำมืด ร่างของคนที่สะท้อนอยู่ในแววตาของผมล้มลงไปกองที่พื้นทันที ของเหลวสีสดไหลนองพื้นขาวขัดเงาจนมองไม่ออกว่าก่อนหน้านี้มันเคยสะอาดขนาดไหน กลิ่นคาวลอยคละคลุ้งไปในอากาศเหมือนกับบรรยากาศของโรงฆ่าสัตว์


     

     

              ผมยืนนิ่งเบิกตาโพลงกับภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา อยู่ๆหัวผมก็เหมือนถูกทุบหนักๆด้วยก้อนอิฐก้อนใหญ่ ลมหายใจขาดห้วงดั่งกำลังถูกยมทูตแห่งความตายช่วงชิงอากาศ หัวใจบีบรัดแน่นราวกับมีมือที่มองไม่เห็นมาขย้ำให้มันแหลกคามือ ตัวชาวาบมือไม้สั่นอย่างห้ามไม่อยู่พร้อมน้ำตาที่เริ่มเอ่อนองบดบังภาพตรงหน้าให้พร่ามัว

     


     

              “พ…” ผมเม้มปากแน่นกลืนก้อนแข็งๆในลำคอลงไปอย่างยากลำบาก สองขาที่แน่นิ่งค่อยๆก้าวตรงไปข้างหน้าจนใบหน้าแนบกระจกใสที่กั้นเราสองคนเอาไว้ 

     


     

              “ไม่.. ม… ไม่..”

     


     

              “………..”  

     


     

              ไม่.. พ่อ.. ไม่!” ศรีษะเล็กส่ายไปมาช้าๆ สองมือกำเข้าหากันแน่นพลางเกาะวัสดุเย็นเฉียบบานใส

     

              “………..” 


     

              “ไม่! ไม่! ฮึก…” คยองซูเริ่มสายหัวหนักขึ้น หนักขึ้นและหนักขึ้นเรื่อยๆ ดวงตากลมโตที่เคยสดใสเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำสีใส ถูกสะบัดจนหยาดน้ำกระเซ็นราวกับสายฝนแห่งความเศร้า


     

     

              ปึง!  ปึง!  ปึง!  ปึง!  ปึง!

     


     

              มือเล็กทุบเข้าที่กระจกนิรภัยบานหนาจนมันสั่นสะเทือน แต่มันก็ไม่ได้ทลายกำแพงที่กั้นนั่นออกเลย มันแค่เพียงไหวน้อยๆตามแรงกระแทก ทำได้เพียงแค่ยืนมองคนที่รักจมกองเลือดอยู่ตรงหน้า ซึมซับภาพที่สะเทือนใจได้แค่สายตา ไม่แม้แต่จะได้สัมผัสถึงลมหายใจสุดท้ายในห้องที่โหดร้ายด้านในนั่น





               “………..”  แต่อีกด้านของบานกระจกก็ยังคงไร้ซึ่งการตอบสนอง


     

     

              ปึง!  ปึง!

     


     


     

              “ไม่! ไม่! ฮึก… พ… พ่อ.. ฮึก.. พ่อ..” 

     





     

              ปึง!  ปึง! ปึง!

     





     

              “พ่อ… พ่อ.. ฮึก.. พ่อ..”


     




     

              ปึง!  ปึง!

     






     

              “พ่อ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”

     





     



     

     


     

              พรึ่บ!

     

     

              ร่างเล็กสะดุ้งเฮือกขึ้นสุดตัวบนโซฟาท่ามกลางความมืดมิดในห้องนั่งเล่นที่เขาเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ น้ำใสๆที่เอ่อล้นหน่วยตากลมหยดลงบนเนื้อผ้าละเอียดของกางเกงตัวหนาเป็นวงกว้าง สองแขนโอบกอดรัดตัวเองแน่นอย่างหวาดกลัวพลางสะอึกสะอื้นจนตัวโยน ภาพในวันนั้นติดค้างอยู่ในห้วงลึกของความรู้สึกคยองซูมาจนถึงทุกวันนี้ และมันก็เป็นแรงผลักดันที่ทำให้เขาต้องก้าวเข้ามายืน ณ จุดจุดนี้ด้วยเช่นกัน 


     

     

              พ่อถูกโทษตัดสินประหารชีวิตด้วยคดีที่พ่อของผมบริสุทธิ์ เราก็แค่ประชาชนคนตัวเล็กๆคงเทียบไม่ได้กับพวกทรงอำนาจมากอิทธิพลพวกนั้นที่จะชี้เป็นหรือชี้ตายใครก็ได้ สุดท้ายพ่อจึงกลายเป็นแพะรับบาปในคดีนี้อย่างไม่มีทางสู้ 


     

     

              หลังจากวันนั้นผมบอกกับตัวเองว่าจะพยายามทำทุกอย่างทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองมีที่ยืนในสังคมโสมมและจอมปลอมนี้ ผมกล้ำกลืนเก็บความอ่อนแอเอาไว้ในห้องปิดตายของหัวใจ สลัดคราบน้ำตาที่น่าสมเพชพวกนั้นออกให้หมด ทนลำบากเพื่อที่จะยืนหยัดด้วยตัวเองถึงแม้ว่าจะล้มลุกคลุกคลานมาเป็นสิบครั้งร้อยครั้งก็ตาม



     

              …สุดท้ายผมก็ทำมันสำเร็จ


     

     

              ชื่อเสียงและตัวตนในวันนี้เป็นเพียงแค่ก้าวแรกของชีวิตผมเท่านั้น สิ่งที่ผมต้องการไม่ใช่เงินทองของมีค่าหรือว่าการสรรเสริญจากคนมากหน้าหลายตาพวกนั้น 


     

     

              สิ่งที่ผมต้องการมันกำลังจะเริ่มต้นขึ้นจากนี้ต่างหาก...

     


     

              ผมปาดน้ำตาตัวเองทิ้งลวกๆก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆพร้อมกับบอกตัวเองว่า ‘ไม่เป็นไร’ ทั้งที่จริงๆแล้วใจดวงนี้มันบอบช้ำไปหมดจนแทบไม่เหลือความสุขหลงเหลืออยู่เลยในชีวิต แต่ผมก็ไม่มีเวลามากพอที่จะอ่อนแออีกต่อไป รูปภาพของชายสูงวัยในกรอบไม้ข้างชั้นวางนั่นทำให้ผมต้องลุกขึ้นยืนอย่างเข้มแข็งอีกครั้ง..






     

              บทละครเรื่องนี้ ฉันจะเป็นคนเล่นมันเอง!

     






















































           คือรูปมันไม่ได้เข้ากันเลย       
        แต่ว่าน้องคยองน่ารักพี่จะให้อภัยนะจ้ะ     
          แฮ่      



         แล้วรีดเดอร์จะเม้นเป็นกำลังใจให้น้องคยองของเราบ้างได้มั้ยน๊าาา    
     

    ติดแท็กกันหน่อยเร็ว (:



      #เด็กเสี่ยไม่เสียตัวให้เสี่ย  

     








     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×