ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักใสใสหัวใจคยองซู { KaiSoo ft. HunHan ChanBaek }

    ลำดับตอนที่ #1 : รักใสใสหัวใจคยองซู 1

    • อัปเดตล่าสุด 14 ก.พ. 57


             





                “เฮ้ยย!! เก็บบอลให้หน่อย!!” ไม่ทันขาดคำลูกหนังสีขาวสลับดำก็หล่นตุ้บมาที่กลางหัวเข้าอย่างจัง ผมมองซ้ายมองขวาหาต้นตอของเสียงปริศนาที่ตะโกนแหกปากลั่นแล้วยังจะไอ้ลูกกลมๆสภาพยับเยินที่ปลายเท้านี่อีก 

     

     

     

               “ยืนเตี้ยอยู่ได้ รีบๆปาบอลมาดิ่วะ!!” พอได้ยินคำแสลงหูเท่านั้นล่ะ ผมหันขวับตาขวางอัตโนมัติก่อนสายตาจะสะท้อนเงาของชายร่างสูงสามคนกลางสนามซีเมนต์แข็งๆขนาดย่อมกลางโรงเรียน 

     

     

     

               คนนึงยืนเท้าเอวเต็มความสูงและกำลังก่นด่าผมว่าเตี้ยรวมทั้งเป็นเจ้าของประโยคก่อนหน้าที่ยาวเยียดนั่นด้วย แต่ผมไม่ได้สนใจอะไรเพราะว่าคุ้นหน้าคุ้นตากันดี ปาร์ค ชานยอล เพื่อนร่วมห้องตัวโย่งของผมเอง 

     

     

     

               ส่วนอีกสองคนเป็นใครที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนตั้งแต่เปิดเทอมใหม่ทั้งสองอาทิตย์ที่ผ่านมา คนนึงใบหน้าหวานดวงตากลมโตประกายแดดราวกับผู้หญิง แต่ดูจากลำแข้งแล้วท่าทางน่าจะเป็นนักบอลตัวเต็งประจำโรงเรียนซะมากกว่า 


     

     

               ผมมองผ่านร่างบางใจแมนคนนั้นไปก็เห็นเสี้ยวหน้าใครอีกคนนึงที่กำลังเดินเข้ามาสมทบกับเพื่อนตัวโย่งของผม แค่เสี้ยววินาทีที่เราสบตากันทำเอาลมหายใจผมสะดุดฮวบ หัวใจเต้นผิดจังหวะ มือไม้สั่นแบบไม่มีสาเหตุ

     

     

     

               โอ้ยยยย พ่อของลูก

     

     

     

               เพียงแค่เขากระตุกยิ้มมุมปาก ในหัวผมกลับมโนภาพสายตาพราวระยับทรงเสน่ห์สะท้อนแสงแดดยามเช้าราวกับมีลำแสงออร่ากระจายแผ่รอบแผ่นหลังเขา จนหัวใจผมเต้นเร่าๆแทบระเบิดออกมาจากอก

     

     

     

               ผิวสีทองประกายแดด เสื้อนักเรียนสีขาวบางซึมเหงื่อ แขนล่ำเบาๆ โอยยยิ่งมองยิ่งเท่ 

     

     

     

               งื้ออออออออออ พ่อเทพบุตรผิวแทนสุดเซ็กซี่ขยี้ใจคยอง

     

     

     

               แต่ก็ทำได้แค่ยืนมองนิ่งๆเหมือนไม่ได้สนใจอะไรเพราะต้องรักษาภาพศรีโด้แสนเรียบร้อยที่เพื่อนๆตั้งให้ ทั้งๆที่ข้างในอยากจะกรีดร้องดังๆให้โลกรู้ว่า นี่ล่ะเนื้อคู่ที่พลัดพรากจากกันมานานต้องใช้เวลาตามหาถึง 17 ปีและวันนี้ผมก็เจอเขาแล้ว!

     

     

     

               ผมสัญญาว่าเขาจะเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้ผมอยากมาโรงเรียนทุกวัน อยากเจอหน้าเขาจันทร์ถึงศุกร์ ส่วนเสาร์อาทิตย์ขอพักหายใจหน่อยเดี๋ยวจะช้อคเพราะสำลักความ...

     

     

     

               "ยืนบื้ออะไรวะไอ้โด้" 

     

     

     

               พรืด! 

     

     

     

               เสียงที่ผมคิดว่าน่าเกลียดที่สุดในโลกก็คงเป็นไอ้โย่งหูกางมันนี่ล่ะที่แทรกขึ้นมาขัดจังหวะปฏิญาณของผมจนภาพมโนที่สร้างขึ้นแตกดังเพล้ง

     

     

     

               "เออรู้แล้ว" ผมก้มลงเก็บลูกหนังเน่าๆที่ปลายเท้าแล้วกอดมันหลวมๆ บอลนี่สิ่นะที่ได้สัมผัสปลายเท้าของคนที่แผ่รอยยิ้มออร่าคนนั้น อิจฉาชะมัด "จะเข้าแถวแล้วเล่นอยู่ได้ เอาไป!" 

     

     

     

               ผมบ่นมุบมิบกับตัวเองแล้วจัดการทุ่มไอ้เน่าในมือไปให้สามหนุ่มกลางสนาม มือเล็กกระชับสายกระเป๋าขึ้นบ่าพร้อมหมุนตัวเตรียมขึ้นห้องไปเก็บของอย่างทุกวัน 

     

     

     

               แต่วันนี้คงไม่เหมือนวันก่อนๆอีกแล้วล่ะฮะ

     

     

     

               "ขอบคุณนะครับ" เท้าผมที่จะก้าวเดินชะงักกึก ปลายหางตาเหลือบเห็นพ่อเทพบุตรเดินดินคนนั้นขยับปากตะโกนตามหลังมาทำเอาผมยิ้มไม่หุบ มันกว้างขึ้น กว้างขึ้น และกว้างขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นรูปหัวใจ เนื้อในอกเต้นหนักๆแทบจะพุ่งออกมาใส่หน้าคนตะโกนนั่น 

     

     

     

               ผมรีบจ้ำเท้าออกจากตรงนี้ทันที ไม่อย่างนั้นมีหวังได้ละลายกองลงกับพื้นแน่ๆ ยิ่งนึกไปถึงรอยยิ้มพิฆาตกับสายตาขี้เล่นของเขาแล้ว 

     

     

     

               โฮกกกก น้องคยองจะเป็นลมมมมม

     

     

     

     

     





     

     

               โชคดีที่วันนี้อาจารย์ประกาศให้เข้าแถวหน้าชั้นเรียนเพราะว่าฝนทำท่าจะตกลงในไม่ช้า ทั้งที่เมื่อไม่กี่นาทีก่อนแดดยังเปรี้ยงอยู่แท้ๆ

     

     

     

               อย่างที่ชานยอลว่า ผมมันคนเตี้ยเลยต้องมายืนหน้าสุดของแถวเพื่อเป็นหัวแถวให้เพื่อนเรียงหน้ากระดานต่อๆกันไป โดยที่พวกเราหันหน้าออกทางระเบียง 

     

     

     

               ห้องเราเป็นห้องสุดท้ายของชั้น 6 ซึ่งติดบันไดริมของตึก อีกทั้งยังเป็นมุมอับเมื่อมองจากตึกอำนวยการ ทำให้ใครต่อใครขึ้นลงกันวุ่นวายและผมก็ต้องคอยหลบพวกที่แอบวิ่งให้ทันแถวเป็นพัลวัน

     

     

     

               "เฮ้ยวันนี้มึงเล่นดีว่ะไค ลูกสุดท้ายที่ซัดประตูก่อนออดดังกูนึกว่ารูนี่ย์มาเองเลยสาด"  เสียงใสดังขึ้นมาตามช่องบันไดที่ผมยืนหันหลังให้ แต่ก็ไม่ได้น่าสนใจอะไรเพราะว่าเสียงเพลงชาติกำลังจะขึ้นในไม่ช้า 

     

     

     

               "เออจริงมึง ถ้าฝนไม่ตกก่อนนะกูว่าทีมเราชนะแหง" ก่อนจะอ้าปากร้องเพลงชาติหูผมก็ผึ่งออกมาอีกครั้งเพราะว่ามันเป็นเสียงที่คุ้นหูของเพื่อนร่วมห้องอย่างชานยอลแน่นอน 

     

     

     

               ดังนั้นเสียงก่อนหน้านี้อาจจะเป็นของคนหน้าหวานในก๊วนเตะบอลกลางสนามเมื่อเช้านี้ และชื่อของบุคคลที่สามที่ตัวเล็กหน้าหวานคนนั้นพูดขึ้นอาจจะเป็น.. 

     

     

     

               เป็น.. ตึกตัก

     

     

     

               เป็น.. ตึกตักๆ

     

     

     

               "ก็เกินไปมึง วันนี้ฟลุ้คมากกว่าว่ะ" 

     

     

     

               เยส!

     

     

     

               ผมแทบหยุดหายใจกับน้ำเสียงที่จำได้ขึ้นใจ มือไม้เย็นเฉียบไปหมด หัวสมองมีแต่ชื่อเจ้าของคำขอบคุณที่ได้ยินเมื่อเช้า

     

     

     

               เทพบุตรผิวแทนสุดเซ็กซี่ ..ชื่อไคงั้นเหรอ 

     

     

     

               โอ้ยโคตรจะเหมาะกันเลย ..ไคโด้!

     

     

     

               ก่อนที่จะสติหลุดไปอย่างสมบูรณ์ผมก็นึกขึ้นได้ว่าสามคนนั่นต้องเดินผ่านห้องผม ชานยอลต้องเข้าแถวที่ปลายแถวหน้าห้องนี้ และที่สำคัญ

     

     

     

               ไคต้องเดินผ่านหลังผม!





               ง่าาาาาาาา งื้ออออออออ ฟหกด่าสว@#$%^&*@#$%^&*

     

     

     

               คยองเขินอีกแล้ว

     

     

     

               "เพราะมึงเลยโด้" 

     

     

     

               เฮือก!! 

     

     

     

               ผมหันกลับไปมองเงาตะคุ่มๆของคนตัวสูงที่ผ่านหลังไป แต่สายตาผมกลับปะทะเข้ากับสันกรามของร่างเข้มเข้าอย่างจังแทน เพราะไอ้โย่งนั่นรีบเปลี่ยนที่ตัวเองไปข้างหลังก่อนจะถูกอาจารย์จับได้ว่ามาช้า ผมจึงได้แต่ทำตาโตค้างจนคนถูกมองหลุดขำถึงได้สติกลับคืนมา 

     

     

     

               "ขอยืนเนียนด้วยคนนะ" ไม่พูดเปล่าแต่ยิ้มหวานให้หนึ่งจึกแล้วแทรกกลางระหว่างผมกับแบคฮยอนที่ยืนอยู่ก่อนหน้าทันที "เราอยู่ห้องหก เดินไปคงไม่ทันแน่ๆ" 

     

     

     

               ผมตัวแข็งทื่อเงอะงะทำอะไรไม่ถูก แต่ก็ยอมพยักหน้าหงึกๆแบบขอไปทีแล้วเขยิบตัวเองไปทางซ้ายที่ติดกับเพื่อนบอลหน้าหวานของไคซึ่งตัวเกือบจะไล่เลี่ยกับผมพอดี ถึงแม้ว่าผมจะเตี้ยมากกว่าก็เถอะ

     

     

     

               เพลงชาติดังขึ้นหลังจากที่เราจัดแถวเสร็จ ผมได้แต่ยืนกำมือชื้นเหงื่อหลวมๆพลางจิกนิ้วเข้าหากันอย่างประหม่าเพราะตื่นเต้นที่อยู่ๆวันนี้ก็มีใครอีกคนมายืนเข้าแถวด้วย 

     

     

     

               เอาจริงก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเท่าไหร่ ปกติก็มักจะมีพวกมาช้ายืนต่อหัวแถวผมเป็นประจำจนแบคฮยอนแซวบ่อยๆว่าเสน่ห์แรงจนมีคนมาเข้าแถวเป็นเพื่อนทุกเช้าไม่ซ้ำหน้า 

     

     

     

               แต่เพราะว่าวันนี้กลับเป็นเขา 

     

     

     

               เป็นไค คนที่แผลงศรรักใส่ผมเมื่อเช้าคนนี้ต่างหาก!

     

     

     

               เพลงชาติที่ผมเคยว่ามันยาวนานและน่ารำคาญ เขากลับเปลี่ยนมันเป็นเพลงรักที่ผมรู้สึกว่ามันแสนสั้นเหลือเกิน นึกอยากให้วันนี้โรงเรียนเปิดเพลงชาติซ้ำสักแปดรอบแต่มันก็เป็นไปไม่ได้ สุดท้ายเพลงชาติก็จบลง ผมคอตกทันทีเพราะรู้ว่าเขากำลังจะไปจากที่ตรงนี้ 

     

     

     

               ตรงที่ที่เรารักกัน  ....หื้มมมมม?

     

     

     

               “ไปแล้วนะ ขอบคุณมาก” ไคยิ้มให้ผมแล้วทำท่าจะเดินไป แต่จู่ๆมือเจ้ากรรมของผมก็ดันไปคว้าหมับเข้าที่ปลายแขนเสื้อของไคแบบไม่รู้ตัว

     

     

     

               เจ้าของผิวเซ็กซี่ยกคิ้วขึ้นเป็นคำถาม โดยผมทำได้แต่อ้าปากพงาบๆ พยายามกลอกตาขึ้นฟ้าหาคำตอบก็แล้ว เม้มปากก็แล้ว สุดท้ายก็นึกหาคำแก้ตัวไม่ออกสักคำ 

     

     

     

               โอ้ยยย มือนะมือทำไมใจง่ายอย่างนี้นะ!

     

     

     

               “เอ่อ.. คือ..”

     

     

     

               “หื้อ” เขาโน้มตัวลงมาแต่ไม่ได้ใกล้มาก ถึงจะแค่นั้นก็เถอะหัวใจผมก็แทบจะวายตายอยู่แล้ว!

     

     

     

               “เอ่อ คือเราจะบอกว่า...” นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ปล่อยแขนเสื้อพ่อเทพบุตรผิวแทนนี่หว่า ผมเลยเนียนๆทำเป็นเอามือนั้นย้ายมาเกาท้ายทอยแก้เก้อแทน “นาย.. เล่นบอลเก่งเนอะ! เอาไว้สอนเราเล่นบ้างสิ่”

     

     

     

               พูดอะไรออกไปวะเนี่ย บอลเบิลอะไรคยองไม่เล่นนนนน

     

     

     

               แทงเป็นอย่างเดียวจ้า ควบลูกครึ่งไรงี้ก็ว่าไป

     

     

     

               เขายิ้มอีกแล้ว ไคยิ้มอีกแล้ว ยิ้มแบบกึ่งขำด้วย ผมเอาหน้าไปมุดไว้ไหนดีเนี่ย ทั้งที่ก็รู้ว่าชานยอลก็เล่นบอลเก่งแต่ยังเสนอหน้าไปขอให้คนที่เพิ่งจะรู้จักกันยังไม่ทันข้ามวันสอนแล้วเนี่ย 

     

     

     

               จะว่าไปผมเองก็ยังไม่รู้จักกับไคอย่างเป็นทางการด้วยซ้ำ ชื่อเสียงเรียงนามจริงๆก็ไม่รู้ รู้แค่ว่าเพื่อนเขาเรียกเทพบุตรผิวแทนว่า ไค และไอ้โย่งเพื่อนร่วมห้องเรียกคนตัวเล็กน่ารักอย่างผมว่า โด้ ก็เท่านั้นเอง

     

     

     

               “เอาดิ่ ไว้วันไหนจองสนามแล้วไปเตะด้วยกันก็ได้”

     

     

     

               ผมช้อนตาขึ้นมองแบบอายๆ “อื้ม แล้วไว้ไปเตะด้วยกันเนอะ”

     

     

     

               “งั้นเราไปก่อนนะ ขอบคุณมากที่ให้เข้าแถวหลบจารย์”

     

     

     

               ผมพยักหน้าตอบรับพร้อมก้มหน้างุด ใบหน้าร้อนฉ่าไม่กล้าแม้แต่จะเงยขึ้นมามองด้วยซ้ำว่าเขาเดินไปถึงห้องรึยัง แค่นึกถึงประโยคเชิญชวนนั่นแล้วผมก็ต้องหลุดยิ้มออกอีกรอบ ส่ายหัวดุ๊กดิ๊กคนเดียวเหมือนคนบ้าจนแบคฮยอนมองแปลกๆ

     

     

     

               เตะบอลของคยองนี่หมายถึงในข้อสอบโอเน็ตเมื่อปีก่อนนะ 

     

     

     

               แล้วเตะบอลของไคนี่ความหมายเดียวกันป่ะ

     

     

     

               แอร้ยยยยยยยยยยยยยย

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

               หลังจากเข้าแถวเสร็จก็เป็นชั่วโมงของการโฮมรูมและลอกการบ้าน ผมเดินตาลอยเข้ามานั่งที่ประจำริมประตูซึ่งมองเห็นสนามบอลกลางโรงเรียนได้อย่างชัดเจน

     

     

     

               “เป็นไรวะโด้ เดินยิ้มคนเดียวเหมือนคนบ้าหน้าโรงเรียนไปได้” แบคฮยอนถามผมพร้อมชโงกหน้าข้ามโต๊ะมาหา

     

     

     

               อ้ะ! นี่ยังเผลอยิ้มอยู่เหรอเนี่ย

     

     

     

               “บ..บ้า ยิ้มเยิ้มไร” ว่าแล้วก็หุบยิ้มฉับ ก่อนเหลือบตาโตๆมองหน้าล้อเลียนของเพื่อนข้างโต๊ะแล้วจิกใส่เบาๆหนึ่งที “มั่วแล้วแบค ไม่มี๊”

     

     

     

               “เหรออออ แล้วไมต้องเสียงสูงด้วยล่ะจ้ะ” แบคฮยอนหรี่ตาลงอย่างจับผิด

     

     

     

               “ก.. ก็” ผมเกาท้ายทอยแก้เขิน เม้มปากแน่นกลั้นยิ้มจนปวดแก้มไปหมด

     

     

     

               “ก็อะไร เดี๋ยวนี้มีปิดบังเพื่อนเหรอห้ะศรีโด้” ไอ้ลูกหมาแบคฮยอนยังไล่บี้หาคำตอบจากผมไม่ลดละ

     

     

     

               “แฮ่ วันนี้อากาศดี๊ดีเนอะแบคเนอะ” ผมหลุดยิ้มเผล่ทำเฉไฉไปเรื่อย เสหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างแล้วก็ต้องสะดุ้ง

     

     

     

               อุ้ยลืมไป! ข้างนอกฝนตกหนักนี่หว่า ฟ้างี้มืดครื้มเชียว

     

     

     

               พอหันกลับมามองหน้าเพื่อนอีกทีก็ยิ่งสะดุ้งหนัก แบคฮยอนเหลือบตามองผมจนผมปั้นหน้าไม่ถูก นิ้วเล็กแสนสนจิ้มเข้าที่กลางหน้าผากผมจึก

     

     

     

               “สารภาพมาซะดีๆ แค่แกกลอกตามองฟ้าเราก็รู้แล้วว่าโด้กำลังโกหก ใช่มั้ย!?”

     

     

     

               “เอ่อ…”

     

     

     

               “ไม่ต้องมาเอ่ออ่า” แล้วแบคฮยอนก็เอานิ้วจากกลางหน้าผากผมออก พร้อมเอานิ้วชี้ทั้งสองข้างจิ้มเข้าหากัน ทำท่าจะเข้าชาร์จผมทุกเมื่อ แต่เพื่อนรักอาจจะลืมไปว่าผมไม่ใช่คนบ้าจี้ แบคฮยอนต่างหากล่ะที่เป็นคนบ้าจี้มากกว่าผมซะอีก “ตกลงจะบอกไม่บอก”

     

     

     

               “แล้วต้องบอกอะไรเล่า ในเมื่อมันไม่มีอะไรนี่นา”

     

     

     

               แบคฮยอนเลิ่กคิ้วใส่ผมพร้อมสายตาแบบเดิม แต่สุดท้ายเพื่อนตัวแสบก็ยอมแพ้แล้วถอนหายใจออกมา ลดการ์ดที่ตั้งเอาไว้แล้วทำท่าจะกลับไปตั้งใจนั่งฟังอาจารย์อยู่หน้าชั้นตามเดิม 

     

     

     

               ทำเอาผมเองลอบถอนหายใจตามไปด้วยอย่างโล่งอก ผมเท้าคางเหม่อมองข้ามประตูออกไปตรงสนามบอลแล้วก็ต้องเม้มปากลั้นยิ้ม ภาพของเทพบุตรผิวแทนยังคงตามหลอกหลอนผมจนกระทั่งหมดคาบโฮมรูมไปอย่างไม่รู้ตัว 

     

     

     

               “ไปเข้าห้องน้ำกัน” ผมสะกิดแบคฮยอนที่นั่งข้างๆเพื่อชวนไปเข้าห้องน้ำอย่างที่ทำกันประจำระหว่างรอเรียนคาบถัดไป แต่ว่าคราวนี้แบคฮยอนกลับไม่แม้แต่จะหันมามองผมที่ยืนรอด้วยซ้ำ

     

     

     

               สงสัยท่าทางจะงอนแฮะ

     

     

     

               “แบคฮยอนนนน ไปเข้าห้องน้ำเป็นเพื่อนศรีโด้หน่อยยย” ผมลากเสียงอ้อนใส่แม้ว่าปกติจะไม่ค่อยได้ทำนัก ยกเว้นตอนที่แบคฮยอนงอนผมหรือว่าเวลาที่ผมอ้อนต้องการอะไรเท่านั้น 

     

     

     

               “ไม่อ่ะ!” ไอ้ลูกหมาหันขวับเหวี่ยงสายตาค้อนใส่ แต่ผมกลับรู้สึกท่าทางอย่างนั้นมันน่ารักมากกว่าน่ากลัวเสียอีก “มีความลับกับเพื่อนก็เชิญไปคนเดียวเถอะ”

     

     

     

               “อ่าาาา อย่าเพิ่งงอนดิ่” ผมลงมืออ้อนอีกรอบพร้อมบีบๆนวดๆที่ไหล่เล็กนั่นอย่างเอาใจ “ก็มันไม่มีอะไรจริงๆนี่นา”

     

     

     

               “แน่นะ”

     

     

     

               “ก็เออดิ่” ผมกระพริบตาปริบๆหวังให้แบคฮยอนเชื่อ “ไม่มีจริงๆ”

     

     

     

               “ก็ได้” แบคฮยอนลุกขึ้นยืนทำท่าจะไปเข้าห้องน้ำเป็นเพื่อนแต่ก็ไม่วายหันมาซัดประโยคเด็ดใส่ “งั้นเดี๋ยวไปบอกไคให้ว่าแกชอบ”

     

     

     

               “โอเค ไปบอกค.. ห้ะ!!!!!” ผมยืนอึ้งอ้าปากค้างพงาบๆ

     

     

     

               “ก็ไปบอกไคไงว่า” เสียงใสเอ่ยย้ำคำแล้วกอดอกอย่างผู้ชนะ “โด้ ชอบ ไค”

     

     

     

               “เฮ้ยยยย!! คือ.. เอ้ย.. ไม่ดิ่ เฮ้ย.. มัน โอ้ยยยยยยยยย” ผมทึ้งหัวตัวเองอย่างบ้าคลั่ง ปิดตาตัวเองแน่นข่มอารมณ์เขินที่มันค่อยๆระเบิดออกมาจนปิดไม่มิด 

     

     

     

               ซวยแล้วไงงงงง อิโด้มึง 

     

     

     

               ชานยอลเป็นเพื่อนสนิทกับไค 

     

     

     

               แบคฮยอนเป็นแฟนกับชานยอล 

     

     

     

               นั่นก็หมายความว่าไคกับแบคฮยอนรู้จักกันไงเล่า! 

     

     

     

               ลืมไปสนิทเลย!!

     

     

     

               ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆตั้งสติแล้วกดยิ้มแหยๆให้แบคฮยอนหนึ่งที ก่อนจะวิ่งปรู๊ดลงมาตรงชั้นพักบันไดข้างห้องซึ่งมีห้องน้ำอาจารย์อยู่ 

     

     

     

               แน่นอนว่าห้องน้ำอาจารย์ห้ามให้นักเรียนใช้ แต่พวกเพื่อนๆก็มักจะแอบใช้กันบ่อยๆด้วยเหตุผลที่ว่าไม่ยุติธรรมเลยกับการเดินลง 6 ชั้นเพื่อไปเข้าห้องน้ำ แล้วเดินกลับขึ้นมาอีก 6 ชั้นเพื่อขึ้นมาเรียน เหนื่อยตาย!

     

     

     

               มือเล็กผลักบานประตูสีเขียวเข้าไปอย่างรวดเร็วแล้วกระแทกประตูปิดดังปัง ลงล้อคอย่างแน่นหนา พิงหลังกับบานประตูอย่างหมดแรงพร้อมหลับตาลงพรูลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก มือน้อยลูบหน้าตัวเองเพื่อเช็ดเหงื่อที่ไหลจนท่วมหน้า 

     

     

     

               ใจดวงน้อยเต้นตึกตักเป็นระส่ำจนได้ยินดังก้องไปทั่วห้องน้ำ ผมยกมือขึ้นทาบอกกดมันลงไปหวังให้ก้อนเนื้อเต้นเบาลงกว่านี้สักหน่อย เกิดหัวใจวายตายเพราะผู้ชายนี่รู้ไปถึงไหนมีหวังงามหน้า!

     

     

     

               “โอ้ยยย เอาไงดีๆๆๆๆๆๆ” ผมเดินวนไปวนมาหน้าประตูเหมือนหนูติดจั่น ขบฟันลงกับปากล่างพลางใช้ความคิด “หรือจะบอกแบคไปเลยตรงๆว่าใช่”

     

     

     

               แต่ถ้าบอกไปมีหวังมันได้เอาไปล้อแน่ แล้วอีกไม่นานก็จะเข้าหูไค พอไครู้ว่าเราชอบไคก็จะตีตัวออกห่าง บอลเบิลไม่ต้องไปเตะ แล้วหลังจากนั้นก็โดนเกลียดขี้หน้าทั้งที่ยังไม่ทันทำความรู้จักกันเลยด้วยซ้ำ 

     

     

     

               “อ้ากกก ไม่เอาๆๆๆๆๆ ไม่ดีแน่ๆ” ผมเดินไปส่องกระจกเหนืออ่างล้างมือแล้วก็ส่ายหัวระรัว “ตาก็โปน เตี้ยก็เตี้ย แถมยังปากเบินอีก จะเอาอะไรไปเหมาะกับเค้าวะศรีโด้ งื้ออออ”

     

     

     

               คิดมาถึงตรงนี้แล้วก็เศร้า เดาได้ไม่ยากเลยว่าเทพบุตรผิวแทนอย่างไคน่ะจะต้องเป็นคนที่ฮอตมากแน่ๆ ดูได้จากเมื่อเช้าที่พอคล้อยหลังผมไป ก็มีเด็กมอต้นสามสี่คนวิ่งแจ้นรุมเอาน้ำมาให้กันเต็มไปหมดจนน่าหมั่นไส้ 

     

     

     

               นี่ถ้าแบกป้ายไฟกับแบนเนอร์มาได้นะ คงจะแปะเต็มโรงเรียนไปแล้วแน่ๆ เฮอะ!

     

     

     

               แล้วดูสภาพผมสิ่ หน้าตาก็งั้นๆไม่ได้น่ารักน่าฟัดเหมือนแบคฮยอนที่ไอ้โย่งชานยอลชอบเอาไปอวดใคตรต่อใครบ่อยๆสักหน่อย 

     

     

     

               ผิวก็ไม่ได้ขาวราวน้ำนมเหมือนไอ้เซฮุน 

     

     

     

               บ้านก็ไม่ได้รวยอย่างพี่ซูโฮประธานนักเรียน 

     

     

     

               เรียนก็ไม่เก่งเท่าจื่อเทานักเรียนแลกเปลี่ยน 

     

     

     

               กีฬาก็ไม่เด่นแบบพี่ซิ่วหมิน 

     

     

     

               จะมีดีก็แค่ตัวเล็กเช็คทุกเตัส กดมากดกลับไม่โกงร้อยเปอร์เซ็นต์ นิ่งเป็นส่อง โพสต์เป็นไลค์ ใช่ต้องแชร์ แคร์คนคอมเมนท์

     

     

     

               เฮ้อออ คิดแล้วคยองเพลีย

     

     

     

               “อ้ากกกก ทำไมชอบใครสักคนมันยากอย่างนี้เนี่ยยยย!”

     

     

     

               “ฮึๆ”

     

     

     

               “เฮ้ย!!” ผมเบิกตาโพลงกับเสียงปริศนาที่ดังขึ้นก่อนจะมองไปรอบๆห้องน้ำที่แบ่งส่วนของตัวขับถ่ายกับอ่างหน้ามืออกจากกัน 

     

     

     

               ..หรือว่าผี

     

     

     

               ผมส่ายหัวสะบัดความคิดบ้าๆของตัวเองทิ้งแล้วตั้งสติ ผีอะไรมากลางวันแสกๆจะบ้าไปใหญ่ละ จุดสนใจเลยไปตกอยู่ที่ประตูปิดตายของส่วนห้องน้ำแทน ใจผมเต้นระส่ำพร้อมกับเหงื่อเม็ดเป้งที่ผุดขึ้นมาบนหน้าอีกครั้ง

     

     

     

               ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆรวบรวมความกล้าของตัวเองพร้อมนับในใจ

     

     

     

     

     

     

               หนึ่ง.. 

     

     

               มือแตะที่เนื้อประตูผิวลื่นอย่างแผ่วเบา

     

     

     

     

     

     

     

     

               สอง.. 

     

     

               หลับตาแน่นภาวนาให้ภาพตรงหน้าไม่ใช่อาจารย์

     

     

     

     

     

     

     

               ส.. 

     

     

               โอ้ยย ขอทำใจแปปยังไม่กล้าผลัก

     

     

     

     

     

     

     

               โอเคๆ จะนับต่อแล้วนะ

     

     

     

     

     

     

     

     

     

               สาม!

     

     

     

     

               พรึ่บ!! 

     

     

               พลั่ก!!

     

     

     

     

               พรวด!! 

     

     

     

               “เฮ้ย!”

     

     

     

               “เฮ้ย!”

     

     

               พ.. พ่อเทพบุตรผิวแทน!!!” 

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     



     

    .....

         สวัสดีวันวาเลนไทน์ค่า จริงๆอยากแต่งแนวนี้นานแล้วนะในที่สุดก็ขุนออกสักที    
         อยากจะบอกว่าเหตุการณ์หลักๆของเรื่องนี้เนี่ย ประสบการณ์ตรงจากไรท์เองเลย    
        ยังไงฝากติดตามด้วยนะคะ
        

          เขินจนจิกหมอนอ่ะบอกเลย ฮริ้งงง     

    .....

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×