ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Pre-Wedding Day, 72 วันก่อนที่ฉันจะรักเธอ

    ลำดับตอนที่ #2 : Chapter II: แผนการล้มงานแต่ง

    • อัปเดตล่าสุด 11 มี.ค. 56


     

    Chapter II: แผนการล้มงานแต่ง

     

                ไอโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดแผดเสียงร้องติดต่อกันเป็นเวลานานจนคนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่มุมหนึ่งของห้องนึกรำคาญ ถึงอย่างนั้นเจ้าของมือถือต้นเหตุก็ยังไม่คิดจะสนใจขณะนอนเกลือกกลิ้งบนเตียงที่ตัวเองเป็นเจ้าของก็ไม่ใช่อย่างถือสิทธิ์

     

                ปุบ!

     

              มือถือเจ้ากรรมลอยละลิ่วมากระแทกหัวเจ้าของมันอย่างพอดิบพอดีเป็นสาเหตุให้นิ้วเรียวที่เคยกดเล่นเกมส์บนแท็บเลตชะงักนิ่ง ดวงหน้าสวยรูปไข่ควรจะน่ามองกว่านี้ถ้าหากเจ้าหล่อนไม่ได้ใช้สายตาคู่นั้นมองเพื่อนรักอย่างเอาเรื่องพร้อมคำถามเป็นนัยว่า มีปัญหารึไง?

     

                “แม่แกโทรหาแกมาทั้งวันแล้ว ไม่คิดจะรับหน่อยรึไง”

     

    ฉันหยิบมือถือขึ้นมองมิสคอลเกือบร้อยสายจากคุณหญิงเพชรลดาก่อนจะวางมันลงบนเตียงอย่างไม่ใส่ใจ แรงยวบตามน้ำหนักของคนที่ทิ้งตัวลงมานั่งข้างๆ ทำให้ฉันรู้ว่าทับทิมเปลี่ยนที่สิงจากโต๊ะหนังสือตรงมุมห้องเป็นเตียงนุ่มๆ นี่แทน

     

    “ก่อนหน้านี้ป้าเพชรก็โทรมาหาฉัน ถามฉันว่าติดต่อกับแกบ้างรึเปล่า รู้ไหมว่าฉันลำบากใจแค่ไหนที่ต้องโกหกแม่แกว่าไม่รู้ไม่เห็น” ทับทิมบ่นอุบ พยายามแย่งแท็บเลตในมือฉันมาถือแล้วก็ปิดมันอย่างรู้ทัน

     

    ยัยบ้านี่ เริ่มทำตัวเป็นแม่คนที่สองของฉันเข้าทุกวัน

     

    “เลิกคิดเรื่องหนีออกจากบ้านเถอะนะ วี แกก็รู้ว่าป้าเพชรเขาเป็นห่วงแกมาก”

     

    ห่วงงั้นหรือ....

     

    ฉันเลื่อนสายตามองกระเป๋าเดินทางใบเขื่องที่ลากออกจากคฤหาสน์ของตระกูลมาเมื่อสองวันก่อน แล้วไม่ได้ติดต่อใครในบ้านเลยหลังจากนั้น คุณแม่อาจกำลังร้องไห้และพยายามติดต่อฉันในทุกๆ วิถีทาง แต่สำหรับอีกคนหนึ่ง ฉันนึกไม่ออกเลยจริงๆว่าคุณตาจะรู้สึกยังไงกับการหายตัวไปของหลานสาวตัวดี

     

    บางทีคุณตาอาจกำลังโกรธ

     

    ไม่ทันที่จะได้เอ่ยเถียงแม่คนที่สอง เสียงเปิดประตูดังโครมก็ดึงความสนใจจากเราสองคนไปจนหมด ร่างโปร่งสาวเท้าเร็วเข้ามาด้านในพลางกรอกสายตามองฉันกับทับทิมครู่หนึ่ง พวกเรานั่งอยู่บนเตียงโดยไม่คิดจะหลีกทางให้เจ้าของห้องตัวจริงแล้วปล่อยให้มันเป็นฝ่ายระเห็จไปนั่งบนโซฟาเสียเอง

     

    “แกหาที่อยู่ใหม่ให้ฉันได้รึยัง”  ไม่รอให้คนที่เพิ่งกลับมาได้พักจนหายเหนื่อย ฉันก็เริ่มเปิดประเด็น

     

    “ข่าวร้ายว่ะ” คำตอบสั้นแต่แฝงความเครียดทำให้ทับทิมเริ่มร้อนรน เพื่อนคนนี้มันจะเป็นห่วงอะไรที่มากเกินจำเป็นเสมอ

     

    “นอกจากกุญแจคอนโดฉันที่ถูกเปลี่ยน ยังมีอะไรร้ายแรงกว่านั้นอีกล่ะ” พอจะรู้ชะตากรรมตัวเองตั้งแต่วันที่ตัดสินใจหนีออกจากบ้านอยู่บ้างว่าจะเป็นอย่างไร น้ำเสียงที่กลั่นออกมาถึงได้เรียบเฉยราวกับไม่รู้สึกรู้สา

               

    “ฉันตั้งใจจะไปเช่าคอนโด หรือไม่ก็โรงแรมแถวๆ นี้ให้แกพักชั่วคราว แต่บัตรเครดิตของฉันถูกระงับทุกใบ” คำพูดของแฟรงค์จริงจังกว่าทุกครั้ง เจ้าคนที่เคยร่าเริงอยู่เสมอบัดนี้เขากลับไม่แย้มรอยยิ้มให้เห็นสักนิดเดียว “ฉันเลยเอะใจแล้วลองให้รุ่นพี่ที่ทำงานด้านการเงินช่วยตรวจสอบบัตรเครดิตของแกดู”

               

    แม้จะหยุดคำเอ่ยไว้เท่านั้น ทว่าพวกเราต่างรู้ดีว่าคำตอบของสิ่งที่ได้ยินคืออะไร บรรยากาศภายในห้องจึงเปลี่ยนเป็นความเงียบในตอนที่ยังไม่มีใครนึกหาหนทางที่ดีกว่านี้ได้ ก่อนที่ฉันจะเค้นเสียงออกมาแล้วยิ้มเย็น

     

    “ร้ายกาจสมเป็นคุณตา”

               

    “วี กลับบ้านเถอะนะ” มือบางเขย่าตัวฉันแรงๆ แววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความกังวลของทับทิมกำลังอ้อนวอน

     

    “เรื่องแต่งงานอะไรนั่นลองคุยกับคุณตาของวีอีกรอบดูไหม ถ้าอธิบายเหตุผลดีๆ ฉันเชื่อนะว่าคุณตาต้องเข้าใจหลานสาวคนโปรดของท่านอยู่แล้ว”

               

    “กลับไปให้ถูกจับแต่งตัวเป็นเจ้าสาวงั้นสิ” ฉันโพล่งอย่างไม่อดทนอีกต่อไปแล้ว เสียงตวาดตรงๆ ทำให้ทับทิมถึงกับหน้าเจื่อนแล้วเลือกเป็นฝ่ายเงียบไป เด็กหนุ่มที่เงียบอยู่นานกรอกสายตามองสองเพื่อนรักสลับไปมา พลางกล่าวคำที่หวังจะช่วยดึงให้สถานการณ์ที่เริ่มจะแย่ลงกว่าเดิม

               

    “ใจเย็นๆ ก่อนสิวะ วี แกก็รู้นี่ว่าที่ทับทิมพูดแบบนั้นก็เพราะมันเป็นห่วงแก” 

               

    “แกก็เหมือนกันใช่ไหม แฟรงค์ ที่อยากให้ฉันแต่งงานไปได้ก็ดี” อารมณ์หงุดหงิดทำให้ฉันเริ่มพาลใส่อีกคน แววตาตัดพ้อทอดส่งให้คนที่นั่งอยู่บนโซฟา หน่วยตาคู่คมสบมองกลับมานิ่งเนิ่นนานกว่าที่แฟรงค์จะเป็นฝ่ายเบือนหน้าหลบไปก่อน

             

    “แล้วจะทำยังไง จะพักอยู่ที่ไหนระหว่างที่แกกำลังพยายามล้มงานแต่ง”

     

    เสียงต่ำถามทั้งที่ยังไม่หันกลับไปมองคนที่นั่งอยู่บนเตียง ชายหนุ่มเริ่มปลดเน็กไทและกระดุมเม็ดบนสุดออกด้วยคิดว่ามันอาจเป็นสาเหตุให้เขารู้สึกหายใจไม่ออกในตอนที่กำลังเล่นสงครามจ้องตากับเจ้าสาวที่คิดจะหนีงานแต่งของตัวเอง

     

    “ไม่เห็นจะยากตรงไหน” อารมณ์ที่เย็นลงทำให้ความคิดดีๆ เริ่มทำงานพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่เปื้อนอยู่บนดวงหน้ารูปไข่ “ในเมื่อฉันก็อยู่ที่นี่มาตั้งสองวันแล้ว แกก็ให้ฉันพักอยู่ที่บ้านหลังนี้ไปอีกสักสองสามเดือนจะเป็นไรไป”

     

    ก่อนที่ใครจะทันได้พูดอะไร ริมฝีปากก็เริ่มเบ้เมื่อได้ยินเสียงริงโทนคุ้นหูที่เริ่มดังขึ้นอีกครั้ง นัยน์ตาแวววาวจ้องมองหน้าจอข้างตัวที่กำลังเรืองแสง โดยไม่มีความลังเลนิ้วเรียวก็กดปุ่มปิดเครื่องแล้วโยนก้อนแบตเตอรี่ลงถังขยะได้อย่างเหมาะเจาะ

     

    “ไม่ต้องมาทำหน้าแบบนั้นเลย แฟรงค์ แกก็รู้ว่าฉันไปอยู่บ้านทับทิมไม่ได้” เสียงหวานติดจะไม่พอใจเมื่อเห็นดวงหน้าคมชักสีหน้าพิลึกทันทีที่ได้ยินคำเอ่ยแบบมัดมือชก ไม่ต่างจากร่างแบบบางของทับทิมผู้แสนอ่อนหวานที่ไหวตัวเล็กน้อยเพราะถูกพาดพิงถึง

     

    “แต่ฉันคิดว่า...”

               

    “ต่อให้แกจะหาเหตุผลอะไรมาอ้าง ฉันก็จะอยู่ที่นี่แหละ และแกก็ห้ามขัดใจฉันด้วย” ฉันยังคงรั้นยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดหู พลิกตัวหันหลังให้กับคู่กรณีเป็นอันรับรู้ว่าไม่รับฟังอีกต่อไป ต้นเหตุของสถานการณ์น่าลำบากใจแอบมองเพื่อนรักที่ส่งสายตาหากันอย่างทำตัวไม่ถูก สองคนนั้นคงไม่รู้ว่าฉันกำลังลอบยิ้มมุมปากพลางนับถอยหลังในใจ

             

    สาม... สอง... หนึ่ง...

               

    “เอางั้นก็ได้” เป็นอย่างที่คาดแฟรงค์ยอมรับข้อเสนอด้วยน้ำเสียงที่ฟังก็รู้ว่าจนใจ ฉันหันหลังกลับไปมองในจังหวะเดียวกับที่มือสองข้างของเขายกขึ้นเป็นเชิงยอมแพ้ ขณะที่ดวงหน้าหวานจัดของทับทิมส่ายไปมาอย่างระอา

               

    “ช่วงนี้พ่อกับแม่ฉันไปดูงานที่อเมริกาคงไม่มีปัญหาอะไร ส่วนเฮียเฟิร์ส”

               

    เสียงทุ้มหยุดคำพูดไว้แค่นั้นก่อนจะเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าเพื่อเปลี่ยนจากเชิ้ตสีกรมท่าเป็นเสื้อยืดสีขาวที่พอจะหาได้ในตู้เสื้อผ้าแทนที่ ร่างกายสมส่วนตามแบบฉบับนักกีฬาไม่ได้ทำให้สองสาวที่คบกันมานานกระดากอาย

     

    หมอนใบโตลอยลิ่วโดยมีเป้าหมายเป็นหัวของคนที่เก๊กแม้แต่ตอนเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างน่าหมั่นไส้ ก่อนที่ฉันจะต่อประโยคของแฟรงค์ให้จบ

     

    “เฮียก็คงสิงอยู่ที่หวอดตามเคย เฮียเฟิร์สยุ่งจะตายไปไม่มีเวลามาสนใจฉันหรอก”

     

    ฉันว่าตามจริง เพราะตลอดสองวันที่มาอยู่บ้านหลังนี้ก็ยังไม่ได้พบหน้าพี่ชายของเพื่อนตัวสูงเลยสักครั้ง ก็คงตามประสานักเรียนแพทย์ปีสุดท้ายล่ะนะ

     

    “เพราะไม่ได้มีแค่เฮียคนเดียวน่ะสิ”

     

    แฟรงค์พึมพำอะไรบางอย่างที่ฉันฟังไม่ถนัด และไม่ทันที่จะถามซ้ำอีกรอบ มันก็รีบเปลี่ยนประเด็นด้วยการอาสาไปส่งทับทิมที่บ้านในตอนที่เข็มสั้นบนหน้าปัดนาฬิกาเหนือโต๊ะหนังสือกำลังบอกเวลาหกโมงครึ่ง

     

    ทับทิมทำเหมือนว่าจะเดินตามหลังแฟรงค์ไป ทว่ายัยนั่นกลับชะงักฝีเท้าแล้วเดินย้อนกลับมาหาฉันที่กึ่งนอนกึ่งนั่งอยู่บนเตียงของแฟรงค์

     

    “ฉันอยู่ข้างแกเสมอนะ วี” ทับทิมพูดเสร็จก็บีบมือฉันแน่นแล้วไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่เท่านั้นก็สื่อความหมายล้นเหลือสำหรับเพื่อนรักที่คบกันมาถึงสี่ปีเต็ม

     

    ทับทิมรู้ ฉันเข้าใจ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

     

    มีบางสิ่งที่ฉันอยากจะพูดกับทิบทิม แต่สุดท้ายก็ตัดใจแล้วเลือกผินหน้าไปมองเจ้าคนที่ยืนพิงประตูแทนที่

     

    “พาไปส่งถึงหน้าบ้านเลยนะ ถ้าหากทับทิมเป็นอะไรขึ้นมาฉันไม่ยกโทษให้แกแน่” ฉันเอ่ยสำทับกับคนที่ยืนหมุนลูกกุญแจเล่นอยู่ คิ้วเข้มเลิกสูงขึ้นคล้ายล้อเลียนว่าแน่ใจแล้วเหรอที่พูดแบบนั้น

     

    สิ่งที่ได้ยินต่อมาไม่ใช่คำตอบรับแต่กลับเป็นเสียงหัวเราะในลำคอ ทว่าก่อนที่ร่างโปร่งจะเดินจากไป แฟรงค์หันกลับมามองฉัน แล้วถามคำถามที่ในใจก็ยังนึกหวั่น

     

    “อยู่บ้านคนเดียว ไม่เป็นไรแน่นะ”  

     

    ฉันไม่ตอบอะไรนอกจากเบนสายตาไปมองนอกหน้าต่างอีกครั้ง เมฆสีเทาอมเขียวก่อตัวขึ้นเต็มท้องฟ้าจนเกรงว่าฝนห่าใหญ่กำลังจะโปรยลงมาในอีกไม่นาน นัยน์ตาเรียวหรี่มองแสงปราดหนึ่งที่ลากยาวเป็นรอยหยักรูปสายฟ้าแล้วผ่อนลมหายใจยาว

     

    ถ้ามันมาแค่แสง แต่ไม่มีเสียงตามมาด้วยก็คงจะดีหรอก

     

    “แทนที่จะห่วง แกก็รีบไปส่งทับทิมแล้วรีบกลับมาอยู่เป็นเพื่อนฉันไม่ดีกว่ารึไง ฮึ”

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×