ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Pre-Wedding Day, 72 วันก่อนที่ฉันจะรักเธอ

    ลำดับตอนที่ #1 : Chapter I: ว่าที่เจ้าบ่าวผู้ไม่คุ้นเคย

    • อัปเดตล่าสุด 11 มี.ค. 56


     

    Chapter I: ว่าที่เจ้าบ่าวผู้ไม่คุ้นเคย

     

              “เป็นตายร้ายดียังไง หนูก็ไม่ยอมทำตามคำสั่งคุณตาเด็ดขาด!” คำกล่าวท้าทายเรียกสายตากราดเกรี้ยวจากชายชราที่นั่งพิงพนักเก้าอี้อยู่หลังโต๊ะทำงาน คนที่พ่ายแพ้ตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มอย่างฉันจึงหันไปมองสตรีที่เหลืออยู่ในห้องอย่างอ้อนวอน

     

                ฉันเชื่อว่าแม่รู้ความนัยที่ฉันต้องการสื่อเป็นอย่างดี แต่ดวงหน้าอ่อนกว่าวัยของคุณผู้หญิงเพชรลดากลับก้มลงต่ำไม่พยายามสบสายตาที่ทอดมองเธอราวกับลูกหมาตกน้ำสักนิด

     

                “คิดรึไงว่าแม่แกจะขัดคำสั่งฉันได้” ได้ยินเพียงเท่านั้น คนถูกขัดก็รีบหันขวับไปมองคุณตาจอมบงการสายตาขวาง โหมดอารมณ์ของหลานสาวเพียงคนเดียวของบ้านกำลังหงุดหงิดมากถึงมากที่สุด เพราะคนที่เคยตามใจฉันมาโดยตลอดกลับไม่โอนอ่อนตามเหมือนทุกครั้ง

     

                 “วีนัส อย่าดื้อกับคุณตาเลย ลูก” น้ำเสียงที่ไร้ซึ่งอำนาจใดๆ เอ่ยแผ่วเบา ก่อนคุณหญิงเพชรลดาจะดึงไหล่ลาดของลูกสาวให้กลับมานั่งนิ่งๆ ที่โซฟาตามเดิม ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าพายุเทอร์นาโดลูกนี้จะสงบลงอย่างง่ายดาย

     

                “แต่หนูไม่อยากแต่งงาน”

     

    ปัง!

     

    คำประกาศกร้าวที่เรียกเสียงตบโต๊ะดังปังจากผู้มีอำนาจสูงสุดของตระกูล อากาศในห้องทำงานที่สองพลันอ้าวไปถนัดทั้งที่เครื่องปรับอากาศก็ถูกปรับอุณหภูมิจนเย็นยิ่งกว่าขั้วโลกใต้ไม่ต่างจากสงครามระหว่างตาหลานที่ไม่มีทีท่าว่าจะผ่อนปรนลงมิหนำซ้ำยังยิ่งรุนแรงกว่าเก่าเสียอีก

     

    “ฉันคุยกับผู้ใหญ่ฝ่ายโน้นไว้แล้ว หากไม่มีปัญหาเกิดขึ้นพิธีแต่งงานของแกจะจัดขึ้นในวันที่ 4 เดือน 4

     

    แค่ถูกบังคับให้ต้องแต่งงานก็นับว่าแย่แล้ว ข่าวร้ายยิ่งกว่าคือตากำหนดวันแต่งงานในอีก 72 วันข้างหน้าเนี่ยนะ

     

    ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ         

     

    “ทั้งที่คุณตากำลังจะฝากชีวิตของหนูไว้กับใครที่ไหนก็ไม่รู้  คุณตายังจะไม่ยอมให้หนูมีสิทธิ์ตัดสินใจด้วยตัวเองเลยใช่ไหม” น้ำเสียงติดจะเหวี่ยงหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยคำด้วยน้ำเสียงที่บางเบาเหลือเกิน

     

    “ใจร้ายที่สุด”

     

    ถึงจะรู้ดีว่าคนที่ฉันกำลังสบสายตาอย่างไม่คิดเกรงกลัวนั้นจะเป็นชายผู้มีอำนาจล้นเหลือแห่งวงการอสังหาริมทรัพย์ บุรุษผู้คุมอำนาจทุกอย่างของคฤหาสน์หลังนี้ไว้ แต่อย่างน้อยเขาก็เป็นคุณตาของฉัน

     

    จะยอมตามใจกันบ้างไม่ได้เลยรึไง

               

    “อีก 2 เดือนแกก็จะเรียนจบ หัดเป็นผู้ใหญ่ได้แล้ว วีนัส” น้ำเสียงของคุณตาผ่อนคลายลงก็จริง ถึงอย่างนั้นทุกอย่างก็ยังเป็นเหมือนเดิม เขายังยืนกรานให้ฉันแต่งงานกับผู้ชายคนนั้น

     

                “จะยังไงก็ช่าง งานแต่งงานไม่มีทางเกิดขึ้นแน่เพราะหลังจากเรียนจบ หนูจะไปเรียนต่อปริญญาโทที่อังกฤษ” ฉันเริ่มงัดไม้ตายไม้สุดท้ายที่เหลืออยู่ เบือนสายตามองตัวช่วยเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่แล้วหันกลับไปสบตาชายชราอย่างไม่ยอมแพ้

     

    “เรื่องนี้หนูคุยกับคุณแม่ไว้แล้วด้วย”

     

    คุณตาไม่สะทกสะท้านกับคำกล่าว มือเหี่ยวย่นตามเวลาที่ล่วงเลยยังคงยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างสบายอารมณ์ ฉันรู้สึกไปเองรึเปล่าว่าสายตาทรงอำนาจที่กราดมองมานั้นคล้ายกำลังหัวเราะ

     

    “แกแน่ใจได้ยังไงว่าแม่แกจะอนุญาต...”

     

    เพล้ง!

     

    แก้วกาแฟนำเข้าจากอิตาลีร่วงหล่นลงพื้นตามแรงโน้มถ่วงก่อนที่เสียงแหบพร่าจะเอ่ยจบประโยค ฉันหันกลับไปมองคนข้างตัวด้วยสายตาตัดพ้อ ภาพที่เห็นคือร่างบอบบางที่กำลังสั่นเทาของคุณหญิงเพชรลดาก่อนที่ริมฝีปากสีกุหลาบจะเอ่ยถ้อยคำที่ไม่ต้องการได้ยินมากที่สุด

     

    “มะ..แม่ ขอโทษนะจ๊ะ วีนัส”

     

    คำพูดของคุณหญิงเพชรลดาไม่ต่างจากฟางเส้นสุดท้าย ความรู้สึกหนักอึ้งที่ปนเปกันระหว่างอารมณ์โกรธกับความน้อยใจกำลังเข้าเล่นงานจนฉันเผลอกดเล็บลงบนฝ่ามือที่กำไว้แน่น

     

    “หนูไม่ฟัง ไม่อยากได้ยินอะไรทั้งนั้น ทำไมคุณตากับคุณแม่ถึงต้องขัดใจหนูด้วย”

     

    ความรู้สึกสั่งร่างกายให้ลุกพรวดจากโซฟา ฉันรีบสาวเท้าออกจากห้องทำงานที่สองให้โดยไม่ฟังแม้แต่คำสั่งห้าม ใครจะว่าฉันเอาแต่ใจ ดื้อรั้นขนาดไหนก็ยังดีเสียกว่าต้องมานั่งฟังเรื่องงานแต่งงานบ้าบอพวกนี้

     

     

     

     

     

    อารมณ์ที่ไม่ปกติทำให้ฉันจ้ำอ้าวตามทางเดินของคฤหาสน์โดยไม่คิดจะสนใจใคร สาวใช้หลายคนจำเป็นต้องหลบทางให้คุณหนูเพียงคนเดียวของบ้าน แม้ว่าจะเป็นฉันต่างหากที่ผิดเพราะไปขวางทางเดินของพวกเขา

     

    พลั่ก

     

    แรงแบบบางชนกับบางอย่างที่ทำให้เผอิญเข้ามาอยู่ในวิธีทางทางเดิน ความแรงของสองสิ่งที่ปะทะกันตรงๆ ทำให้ฉันล้มไปนั่งแผละอยู่บนพื้น แล้วความรู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าผากก็ทำให้ริมฝีปากบางเบ้ไปถนัด

     

    “เจ็บชะมัด” มือเล็กลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ ก่อนจะใช้สายตาวาวโรจน์เงยหน้าขึ้นมองตัวต้นเหตุ

     

    “นาย...”

     

    “ผมขอโทษ” ยังไม่ทันที่ฉันจะได้เอ่ยโวยวายอะไร คนต้นเหตุก็กล่าวคำขอโทษขึ้นก่อน มือของเขาช่วยดึงฉันให้ลุกขึ้นยืนขึ้นเต็มความสูง

     

    ความสูงที่เมื่อยืนเทียบกับคนตรงหน้าแล้วห่างกันเพียงไม่กี่เซ็นต์ทำให้รู้ว่าเขาเป็นชายหนุ่มร่างเล็กแค่ไหน

     

    “เป็นอะไรรึเปล่า” คนแปลกหน้าเอ่ยถามเมื่อเขาเห็นฉันพยายามปัดฝุ่นที่เปื้อนอยู่ตรงชายกระโปรง “ไม่เจ็บตรงไหนใช่ไหม”

     

    “เจ็บ” ฉันพูดเสียงเรียบ อารมณ์หงุดหงิดปะทุขึ้นอย่างรวดเร็วจากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้แล้วถูกเติมเชื้อไฟด้วยอาการปวดแปลบบนหน้าผากที่คงจะกลายเป็นรอยช้ำเขียวในไม่ช้า

     

    “นายไม่รู้รึไงว่าฉันเป็นใครถึงกล้าเดินไม่ระวังชนฉันแบบนี้”

     

    “ครับ?” คนตรงหน้าเหวอไปนิดก่อนจะจุดรอยยิ้มตรงมุมปาก รอยยิ้มในแบบที่ฉันไม่ชอบเลยสักนิด “ใครกันแน่ที่เดินไม่มองทาง ฉันต่างหากที่ควรพูดคำนั้นกับเธอ และเธอก็ควรพูดคำว่าขอโทษด้วยเหมือนกัน เข้าใจไหม”

     

    คำสั่งสอนที่ทำให้คนฟังถึงกับหน้าชา ก่อนที่ฉันจะรีบปกป้องตัวเองด้วยการยกตำแหน่งของฉันในบ้านหลังนี้ขึ้นอ้าง “หลานสาวเพียงคนเดียวของคุณตาไม่จำเป็นต้องพูดคำว่าขอโทษกับใคร รู้เอาไว้ซะ”

     

    หากเป็นคนอื่นถ้าได้รู้ว่าฉันคือใครแล้ว เขาคงรีบเอ่ยคำขอโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่าแล้วยอมเป็นฝ่ายผิดแต่เพียงผู้เดียว ทว่าสิ่งนี้กลับใช้ไม่ได้ผลกับคนตรงหน้า เขาขยับรอยยิ้มประหลาดแล้วหรี่ตาที่เล็กอยู่แล้วกราดมองมา

     

    ฉันเกลียดการถูกมองด้วยสายตาแบบนั้น สายตาที่ทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองกำลังเป็นฝ่ายแพ้ ไม่ยากเกินกว่าจะคาดเดาว่าสิ่งที่ตัวเองทำต่อจากนั้นคือรีบจ้ำเท้าหนีไปให้เร็วที่สุด แต่ทุกสิ่งกลับไม่เป็นอย่างที่ตั้งใจ

     

    “เธอนี่เองเหรอ สิรินดา พาณิชย์นิวัติ” เขารีบคว้าข้อมือเล็กรั้งฉันไว้ก่อนที่จะเดินสวนไป

     

    มีหรือที่ฉันจะยอมอยู่ในสภาพแบบนั้น แต่ยิ่งแรงอันน้อยนิดพยายามสะบัดข้อมือให้หลุดจากพันธนาการมากเท่าไรเขาก็ยิ่งบีบแน่นจนยากจะดิ้นหลุดมากขึ้นเท่านั้น

     

    หมดทางหนี!

     

    ดวงหน้าคมของชายหนุ่มเขยิบเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นที่รดอยู่ตรงต้อคอแล้วเอ่ยกระซิบบางอย่างที่ข้างหู แทนที่จะรู้สึกวูบไหวอย่างสาวน้อยช่างฝันแก้วตาแวววาวกลับเบิกกว้างพลางเชิดหน้ามองคนที่สูงกว่าไม่มากนักด้วยสายตาที่พร้อมจะกินเลือดกินเนื้อคนตรงหน้าให้ได้

     

    “ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ว่าที่เจ้าสาวของฉัน”

     

    เอรีส!

     

    ชื่อเดียวที่นึกออกในตอนนี้ ไม่ต้องสงสัยแล้วว่าชายหนุ่มตรงหน้าจะเป็นใครนอกจากคนที่ตาพยายามยัดเยียดให้แต่งงานกับฉัน เท่านี้ก็พอจะรู้แล้วว่าทำไมเขาถึงได้แสดงท่าทีหยิ่งยโสและอวดดีนัก

     

    “ใครเป็นเจ้าสาวของนายไม่ทราบ ถึงฟ้าถล่มดินทลายยังไงฉันก็ไม่มีวันแต่งงานกับนายเด็ดขาด” ฉันพูดเสียงแข็ง ขณะที่รวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายเหยียบเท้าเอรีสเข้าเต็มกำลัง ใบหน้าของเขาแสดงออกว่าเจ็บปวดชัดเจนถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ยอมปล่อยข้อมือฉัน

     

    นายคนนี้เป็นคนที่น่าโมโหที่สุด

     

    “อวดดีเกินไปแล้วนะ วีนัส” วูบหนึ่งที่ฉันเห็นอารมณ์กรุ่นจากแววตาของเขา แต่มันก็หายไปอย่างรวดเร็วก่อนสายตาคู่นั้นจะสะท้อนความหยิ่งยโสตามเดิม “เธอไม่อยากแต่งงานกับฉันตอนนี้ไม่เป็นไร”

     

    “แต่ในอีก 72 วันข้างหน้าเธอจะต้องตกหลุมฉันอย่างแน่นอน"

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×