คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1 (100%)
บทที่ 1
...............................................................
ฤดูร้อนใกล้เข้ามาเต็มที...
สายลมอุ่นอาบไล้ยอดไม้หนาให้ระริกไหวเอนไปมาตามแรงลม ก่อเกิดร่มเงาวูบไหวไปตลอดทางเดินหินอ่อนซึ่งลาดยาวตัดผ่านราชอุทยานหลวงตรงไปยังพระตำหนักดาราแก้วอันเป็นที่ประทับของสมเด็จพระราชินีนาถแห่งแค้นรัตติกา ตลอดสองข้างของทางเดินขนาบไปด้วยไม้ยืนต้นสูงใหญ่ตั้งตระหง่านแผ่กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงาไปตลอดทาง ออกดอกสีเหลืองสดบานสะพรั่งท่ามกลางกลุ่มใบไม้สีเขียวสดชื่นสบายตา ไม้ดอกสีสันสวยงามเต่งตูมเต็มที่เตรียมจะผลิบานในเร็ววันเพื่อรับแสงแรกของฤดูร้อนซึ่งใกล้มาเยือน เย้ายวนหมู่ภู่ภมรให้วนเวียนดอมดมไม่ห่าง ราชอุทยานในยามนี้จึงเต็มไปด้วยผีเสื้อและแมลงนานาชนิดที่บินว่อนร่อนลงเกาะตามมวลบุปฝาเพื่อดูดดื่มน้ำหวานจากยอดเกสรซึ่งฉ่ำไปด้วยน้ำค้างในยามเช้า
กึ่งกลางอุทยานหลวงมีสระน้ำขนาดใหญ่บรรจุไปด้วยน้ำเย็นใสราวกับแก้วเจียระไน ยามที่แสงสุรีย์สาดกระทบระรอกคลื่นที่ระริกพลิ้วตามแรงลมเกิดเป็นประกายระยิบระยับสีทองงามจับใจผู้พบเห็นให้แทบลืมหายใจ ทางเดินบนสะพานไม้แข็งแรงขนาดใหญ่ที่ทอดยาวข้ามสระน้ำ ถูกบดบังจากแสงอาทิตย์ด้วยหลังคามุงกระเบื้องสีเขียวไปตลอดทาง กึ่งกลางสะพานเป็นศาลาใหญ่ทรงแปดเหลี่ยมกว้างขวาง ที่มุมหนึ่งเป็นที่ตั้งของโต๊ะทรงสี่เหลี่ยมขนาดสี่คนนั่งโดยไม่เบียดเสียดกันนักกับเก้าอี้สี่ตัวเข้าชุดกัน เอกสารมากมายวางกองบนโต๊ะอย่างเป็นระเบียบ ในขณะที่กระดาษปึกหนึ่งวางนิ่งอยู่เบื้องพระพักตร์สมเด็จพระราชินีนาถ และดูเหมือนจะเป็นปัญหาหนักพระทัยไม่น้อย สังเกตได้จากพระพักตร์งามสง่าที่มักแย้มพระสรวลเป็นนิจ บัดนี้ดูเคร่งเครียดเสียจนนางกำนัลที่อยู่รอบข้างพลอยเคร่งเครียดตามไปด้วย
“ เจ้าหญิงลักษิกาเสด็จพระเจ้าค่ะ ” ทหารยามที่หน้าทางเข้าศาลากลางราชอุทยานกราบทูลเสียงดังฟังชัดเมื่อเห็นพระวรองค์สูงโปร่งบอบบางในฉลองพระองค์สีเหลืองอ่อนสดใสยาวกรอมพระบาทเสด็จเข้ามาใกล้พร้อมกับนางกำนัลติดตามอีกสองคน พระนางสีวลีเงยพระพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรพระธิดาบุญธรรมซึ่งยอบองค์ลงถวยความเคารพอย่างงดงามด้วยสายพระเนตรอ่อนโยน
“ หญิงลักษ์ มาได้จังหวะพอดี แม่กำลังเครียดพอดี ไม่รู้จะจัดการอย่างไรกับโครงการของหญิงภัทร ” ทรงตรัสอย่างหนักพระทัยถึงรายงานจากกรมสาธารณสุขที่ดูแลโดยเจ้าหญิงนงวรภัทร เจ้าหญิงซึ่งประสูติจากพระสนมเอกขององค์เจ้าหลวง
นางกำนัลคนหนึ่งเลื่อนเก้าอี้ให้เจ้าหญิงลักษิกาอย่างรู้หน้าที่ ครั้นเมื่อพระองค์ประทับลงบนเก้าอี้บุนวมนุ่มเรียบร้อย นางกำนัลอีกคนก็เข้ามาเติมพระสุธารสให้อย่างรู้หน้าที่ ก่อนจะรีบถอยกลับไปประจำที่เดิมของตนเอง ไม่กล้าแม้แอบมองพระพักตร์เรียวงามได้รูปซึ่งประกอบไปด้วยพระขนงโก่งดกดำพาดยาวอยู่เหนือพระเนตรสีน้ำตาลอ่อนหวานราวกับน้ำเชื่อมโศก พระนาสิกโด่งพองามรับกับพระโอษฐ์อิ่มสีชมพูระเรื่อเย้ายวน เรือนพระเกศาสีรัตติกาลนุ่มสลวยราวแพรไหมชั้นดีที่สุดในแคว้นยาวลงจรดกลางพระปฤษฎางค์ เพียงรับรู้ว่าพระองค์อยู่ใกล้เพียงนี้ แม้ตนเป็นอิสตรีก็อดรู้สึกใจสั่นไหวขัดเขินไม่ได้กับพระสิริโฉมงดงามชวนฝันนั้น
“ เรื่องโรคระบาดที่ชายแดนกับโครงการของพี่หญิงน่ะหรือเพคะ ” พระสุรเสียงหวานนุ่มนวลระรื่นไหลดุจสายน้ำรินทูลถามพระราชมารดา พระเนตรสวยเป็นประกายชื่นชมพระเชษฐภคินีพร้อมกับที่พระโอษฐ์อิ่มแย้มพระสรวลอ่อนหวาน “ หม่อมฉันยังนึกชื่นชมอยู่ว่าเป็นโครงการที่ดีมากเพคะ หม่อมฉันหวังให้ผ่านที่ประชุมเสนาบดีวันพรุ่งนี้เพคะ ”
“ แต่แม่ว่าหญิงภัทรขอแพทย์มากไป ตอนนี้แพทย์หลวงขาดแคลน ถึงแม้จะรับนักเรียนแพทย์เพิ่มในแต่ละปี แต่ก็ยังไม่พอเพียงกับความต้องการของประชาชนอยู่ดี หญิงภัทรขอแพทย์ไปตั้งยี่สิบคนสำหรับลงไปควบคุมโรคระบาดคราวนี้ ไหนจะต้องเบิกยาจากคลังหลวงอีกมากเท่าไหร่ไม่รู้ แม่ก็รู้ว่าเป็นโคงการที่ดี แต่เกรงว่าอาจจะไม่ผ่านที่ประชุมพรุ่งนี้น่ะสิ ” ตรัสบ่นกับพระธิดาซึ่งรั้งตำแหน่งราชเลขานุการลำดับสองขององค์เจ้าหลวงอยู่ด้วย ไม่ใช่เพราะเป็นพระธิดาจึงได้รับการแต่งตั้ง แต่เป็นเพราะพระปรีชาหลายด้านซึ่งเป็นที่ประจักษ์จนทั้งคณะเสนาบดียังต้องยอมรับ
“ โรคระบาดนี่เป็นกันทุกปีไม่ใช่หรือเพคะ ” เจ้าหญิงลักษิกาทูลถามขณะกวาดสายพระเนตรอ่านรายงานที่พระราชมารดาทรงยื่นมาให้ พระขนงโค้งเรียวเริ่มขมวดมุ่นเข้าหากันอย่างข้องพระทัย “ แล้วไม่มีการป้องกันโรคก่อนหน้านี้หรือเพคะ ”
“ ที่จริงก็มีการป้องกันโรคทุกครั้ง แต่ก็ยังมีคนติดโรคระบาดนี้ กว่าแพทย์ที่โน่นจะยื่นเรื่องมาถึงกรมสาธารณสุข กว่าโครงการจะดำเนินเสร็จลุล่วง คนก็ติดโรคกันมากมายคุมไม่ไหวแล้ว ”
“ ทำไมเราไม่ไปตั้งศาลาโอสถที่โน่นไว้เลยล่ะเพคะ”
“ ศาลาโอสถหรือ ” พระนางเจ้าสีวลีทรงทวนพระดำรัสของเจ้าหญิงลักษิกา
“ ใช่เพคะ เวลาที่มีการแพร่ระบาดจะได้ควบคุมหยุดการแพร่กระจายของโรคได้อย่างทันท่วงที ไม่ต้องรอยื่นเรื่องส่งมาที่วังหลวงอีก แต่งตั้งแพทย์หลวงไปดูแลประจำการที่โน่นเลย ส่งทีมแพทย์ผลัดเปลี่ยนกันลงไปในแต่ละเดือน เวลาชาวบ้านเจ็บป่วยก็จะได้มียาดีไว้ใช้ ช่วงเวลาที่รู้ว่ากำลังจะมีการระบาดของโรคก็จัดโครงการอบรมให้ความรู้ชาวบ้านในเรื่องการป้องกันโรค และการดูแลรักษาสุขภาพเบื้องต้นหากรู้ว่าติดโรคเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด อาจจะมีการประสานงานกับแพทย์ท้องถิ่นเพื่อขอข้อมูลสมุนไพรถ้องถิ่นที่พอจะใช้เป็นยาได้ โครงการหลวงอาจจะส่งเมล็ดพันธุ์ไปให้ชาวบ้านปลูกไว้ทุกครัวเรือน เอาสักสักสามสี่อย่างที่จำเป็น จะได้สามารถพึ่งพิงตนเองได้ ไม่ต้องรอแต่พึ่งแพทย์อย่างเดียวด้วยเพคะ ”
“ แม่จำได้ว่าเมื่อต้นปีหญิงก็เสนอโครงการนี้ต่อที่ประชุมไม่ใช่หรือ...อย่าเข้าใจผิดว่าแม่ไม่เห็นด้วย ที่จริงแล้วมันเป็นโครงการที่ดี แต่แม่กังวลว่า ขนาดเมื่อต้นปีที่ผ่านมายังไม่ผ่านที่ประชุม แล้วถ้าเสนอตอนนี้จะมีโอกาสผ่านหรือไม่ ”
“ เสนอตอนนี้ อาจจะมีโอกาสผ่านมากกว่าก็ได้เพคะ เพราะตอนนี้กำลังมีเรื่องโรคระบาดเกิดขึ้นพอดี คงสามารถใช้เรื่องนี้เป็นหตุผลหลักได้ และที่สำคัญ...คนเสนอคือพี่หญิงนี่เพคะ ไม่ใช่หม่อมฉันที่ทรงชังนักหนา อย่างน้อยเจ้าชายรัชทายาทก็ทรงโปรดพี่หญิงมากกว่า ” พระเนตรสีเปลือกไม้หม่นหมองลงชั่วครู่ก่อนจะกลับมาเป็นปกติ แต่กระนั้น พระมารดาก็ยังทรงเห็น...
“ ทำไมว่าพี่เขาแบบนั้น เราเป็นน้องสาว พี่ที่ไหนจะเกลียดน้องตัวเองลง ” พระนางตรัสปลอบด้วยพระสุรเสียงอ่อนโยน ทรงทราบดีว่าพระธิดากำลังน้อยพระทัยด้วยเรื่องใด
“ แต่พี่คนไหนก็คงไม่อยากมีน้องสาวเป็นลูกกบฎหรอกเพคะ ” เจ้าหญิงลักษิกาตรัสท้วงพระมารดาด้วยพระสุรเสียงแผ่วเบาพลางก้มพระพักตร์ต่ำ สมเด็จพระราชินีทรงยกพระหัตถ์ขึ้นโบกไล่นางกำนัลและมหาดเล็กที่อยู่ในศาลาให้ออกไป รอจนเหลือเพียงพระองค์กับพระธิดาแล้วจึงทรงถามขึ้นด้วยความปราณี
“ แม่ไม่ได้ทำหน้าที่ดีพอที่เจ้าจะคิดว่าแม่เป็น ‘แม่’ ของเจ้าหรอกหรือ ” พระเนตรเปี่ยมไปด้วยกระแสเอื้อเอ็นดูทอดมองพระธิดาบุญธรรม นับแต่วันแรกที่ได้ทอดพระเนตรเด็กทารกในห่อผ้าสีขาวสะอาด ก็บังเกิดความถูกชะตาต้องพระทัยทันที ยิ่งเมื่อได้รับมาอุปการะ ทรงชุบเลี้ยงจนเติบใหญ่จากลายเป็นสตรีงามล้ำ มีสติปัญญาและความสามารถไม่น้อยไปกว่าบุรุษคนใดในแผ่นดิน สร้างความภาคภูมิให้พระองค์อยู่เสมอ สายใยรักที่ผูกพันงอกงามขึ้นตามวันเวลานั้นยิ่งจะกระหวัดแน่นจนไม่เคยมีสักวินาทีที่จะทรงมีพระดำริเรื่องที่เจ้าหญิงลักษิกาไม่ใช่พระธิดาโดยสายพระโลหิตของพระองค์เป็นเป็นเพียงเด็กที่ทรงเก็บมาชุบเลี้ยงเท่านั้น
จะมีก็แต่เจ้าหญิงลักษิกาเอง ที่ดำริอยู่ในพระทัยตลอดเวลาว่าทรงเป็นเพียงบุตรสาวของกบฎแผ่นดิน และเจียมพระองค์อยู่เสมอ ไม่เคยถือองค์ว่าเป็นพระธิดาในสมเด็จพระราชินีนาถ กลับทรงงานหนักเทียบเท่ากับข้าราชการที่ทำงานรับใช้แผ่นดิน ยิ่งเมื่อทรงตระหนักว่าบิดาที่แท้จริงนั้นเป็นกบฎ ก็ยิ่งทรงงานหนักยิ่งกว่าข้าพระบาทคนอื่นๆเพื่อหวังชดใช้แทนบิดาซึ่งไม่มีโอกาสได้ชดใช้ความผิด
“ ไม่ใช่เพคะ ฝ่าบาททรงหยิบยื่นชีวิตใหม่ให้หม่อมฉัน ตลอดชั่วชีวิตนี้คงไม่มีวันชดใช้ให้ฝ่าบาทได้หมด แต่เรื่องชาติกำเนิดที่แท้จริงของหม่อมฉัน ชั่วชีวิตนี้ก็ไม่มีวันลืมเช่นกันเพคะ ”
“ แม่ไม่ได้ถามเรื่องบุญคุณ แต่ถามเจ้าว่า เจ้ารัก ‘แม่’คนนี้ไหม รักเหมือนที่แม่รักเจ้าไหม...ลักษิกา ” พระเนตรอ่อนโยนทอดมองพระพักตร์พิลาสล้ำของพระธิดาอย่างรอคอย เจ้าหญิงลักษิกาสบพระเนตรนั้นแล้วทรงเลื่อนพระองค์ลงไปประทับที่พื้นก่อนกราบทูลพระสุรเสียงสั่นไหว
“ อาจจะเป็นการอาจเอื้อมมาก แต่หม่อมฉันอยากกราบทูลว่า หม่อมฉันรักฝ่าบาทยิ่งเพคะ รักไม่ต่างกับมารดาผู้ให้กำเนิดจริงๆ และหากว่ามีเรื่องใดที่หม่อมฉันจะสามารถทำได้เพื่อเป็นการตอบแทนพระเมตตาของฝ่าบาทแล้ว หม่อมฉันจะไม่ลังเลที่จะทำเลยเพคะ ”
พระอัสสุชลไหลรินจากพระเนตรสีเปลือกไม้ขณะที่ทรงก้มกราบแทบพระบาทอย่างงดงาม
พระนางเจ้าสีวลีทรงโน้มพระองค์ลงลูบพระเกศาสีรัตติกาลประทานอย่างปราณี ทรงทราบดีว่าพระธิดานั้นตรัสเกี่ยวกับความรู้สึกหรือแสดงความรักไม่เก่งนัก แต่ก็มักจะชดเชยได้ด้วยการดูแลเอาใจใส่พระองค์อย่างใกล้ชิดแบบที่พระโอรสร่วมสายพระโลหิตยังไม่ค่อยได้ใส่พระทัยจะทรงทำถวาย ในเวลาว่างจากงานราชเลานุการขององค์เจ้าหลวง เจ้าหญิงลักษิกามักจะเสด็จมาที่ตำหนักดาราแก้วอยู่เสมอเพื่อทรงใช้เวลาว่างร่วมกับพระมารดา หรือทรงช่วยงานเอกสารและเสด็จออกเยี่ยมประชาชนและติดตามงานโครงการต่างๆร่วมกับพระมารดาอยู่เสมอ จนเป็นที่กล่าวขวัญในหมู่ประชาขนที่มาเฝ้ารับเสด็จว่าเจ้าหญิงลักษิกานั้นทรงติดดินยิ่งและไม่เคยทอดทิ้งประชาชน...
ภาพพระวรองค์บอบบางที่ประทับอยู่บนพื้นไม้ในศาลาแปดเหลี่ยม ซบใบหน้าลงกับต้นพระชานุของสมเด็จพระราชินีนั้นก่อเกิดความรู้สึกสองอย่างในสองพระทัยของผู้ที่ทอดพระเนตรมาพอดี ...
เจ้าชายวศินแย้มพระสรวลอย่างเอ็นดู ในขณะที่เจ้าชายรัชทายาททอดพระเนตรมาด้วยสายพระเนตรเย็นชา ห่างเหิน
“ อ้าว ชายนุ วศิน มาแล้วก็เข้ามาสิ ไปยืนอยู่ตรงนั้นทำไม ” พระราชินีเงยพระพักตร์ขึ้นพอดี จึงทอดพระเนตรเห็นเจ้าชายทั้งสองพระองค์ยืนรออยู่ไกลๆ
“ ฝ่าบาทยังไม่อนุญาตพระเจ้าค่ะ องครักษ์เลยไม่ยอมให้หม่อมฉันเข้าเฝ้า ” เจ้าชายวศินกราบทูลด้วยพระพักตร์ยิ้มแย้ม ก่อนที่สายพระเนตรจะเลื่อนมายังพระขนิษฐา “ อีกอย่าง ประเดี๋ยวหญิงลักษ์จะขัดเขินพระเจ้าค่ะ ว่าโตจนป่านนี้ยังขี้แยเป็นเด็กอยู่อีก ”
“ หญิงเปล่าขี้แยเสียหน่อยเพคะ ” เจ้าหญิงโฉมงามตีพระพักตร์มุ่ยก่อนจะทรงลุกขึ้นมาถวายความเคารพต่อเจ้าชายทั้งสองพระองค์ เจ้าชายพลานุภาพเพียงปรายพระเนตรมองอย่างไม่ใส่พระทัย ก่อนจะประทับลงบนพระเก้าอี้ตรงข้ามกับพระมารดา พระวรกายสูงของอีกพระองค์จึงประทับลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับเจ้าหญิงโฉมงามที่ว่างอยู่
“ แม่กำลังปรึกษากับหญิงลักษ์เรื่องโรคระบาดที่ชายแดนพอดี เจ้าสองคนมาก็ดีแล้ว แม่อยากถามความเห็นว่าคิดเห็นอย่างไรกับโครงการของหญิงภัทร ”
“ ก็เป็นโครงการที่ดีพระเจ้าค่ะ ” เจ้าชายพลานุภาพทูลตอบพระมารดา
“ แม่ก็ว่าเช่นนั้น นี่หญิงลักษ์เสนอให้ตั้งศาลาโอสถที่นั่นเป็นการถาวร แม่ก็ว่าน่าจะแก้ปัญหาระยะยาวได้ ”
“ ถ้างบประมาณยิ่งมาก โครงการของหญิงภัทรอาจจะผ่านที่ประชุมเสนาบดียากขึ้นนะพระเจ้าค่ะ ” กราบทูลพระสุรเสียงเรียบ แต่พระเนตรทอดเลยไปยังพระขนิษฐาซึ่งประทับอยู่ข้างพระนางสีวลีผู้เป็นเจ้าของความคิดเห็น
“ หม่อมฉันคิดว่า ถ้าโครงการของหญิงลักษ์แก้ปัญหาระยะยาวได้ ก็น่าจะเพิ่มลงไปในโครงการของหญิงภัทรเลยได้พระเจ้าค่ะ ” เจ้าชายวศินกราบทูล ก่อนจะแย้มพระสรวลให้เจ้าหญิงลักษิกาที่เริ่มจะมีสีพระพักตร์ดีขึ้น เมื่อมีทรงเห็นด้วยเพิ่มอีกพระองค์
“ แต่โครงการนี้ไม่ได้ผ่านที่ประชุมเมื่อต้นปี ” เจ้าชายพลานุภาพทรงเปรยขึ้นเรียบๆ
“ นั่นเพราะเมื่อต้นปีไม่ได้มีโรคระบาดอยู่เหมือนอย่างตอนนี้ พวกเสนาบดีอาจจะยังไม่เห็นความสำคัญ แม่ว่าถ้าลูกกับวศินช่วยหญิงภัทรผลักดันโครงการนี้ ก็น่าจะผ่านที่ประชุมคราวนี้ไม่ไม่ยาก ” พระนางเจ้าทรงอธิบายด้วยเหตุผล ทรงทราบดีว่าพระโอรสไม่โปรดพระขนิษฐาต่างสายเลือดมาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่เคยนำเรื่องส่วนพระองค์มาปะปนกับการบริหารบ้านเมืองเลยสักครั้ง หากอะไรที่เป็นประโยชน์และทรงเห็นว่าสมเหตุสมผล ก็ทรงช่วยสนุบสนุนให้พระขนิษฐาอยู่เสมอ แม้ว่าหลังจากนั้นจะไม่มีใครรู้เลยก็ตามว่าเจ้าหญิงโฉมงามต้องประสบกับสายพระเนตรกระด้างเย็นชา และพระดำรัสเสียดสีจากพระเชษฐาไปอีกหลายวัน
“ เจ้าแม่คงต้องให้หญิงภัทรเขียนโครงการมาดีๆ เรื่องจุดประสงค์การก่อตั้งหรือรายละเอียดก็ต้องชัดเจน จะได้ผ่านที่ประชุมโดยง่ายพระเจ้าค่ะ ” แม้เจ้าชายรัชทายาทไม่ได้ทรงสัญญาว่าจะทรงช่วย แต่เพียงออกพระโอษฐ์มาเท่านี้ก็ถือว่ามากเกินพอแล้วสำหรับเจ้าหญิงลักษิกา ทรงพยายามระงับความปิติไว้ในพระทัยไม่ให้แสดงออกมาชัดเจนนัก เพราะทรงเกรงว่าจะไม่ถูกพระเนตรพระเชษฐาแล้วจะพาลไปลงกับโครงการของพระองค์ได้
...เรื่องใดที่เกี่ยวกับเจ้าหญิงลักษิกานั้น เจ้าชายรัชทายาทไม่เคยถูกพระทัยและทำให้พระองค์กริ้วได้ง่ายกว่าเรื่องอื่นๆ...
แต่ถึงอย่างนั้นก็ทรงอดไม่ได้ที่จะตรัสขอบพระทัยพระเชษฐา แต่ก็นั่นแหละ ทรงคาดไว้อยู่แล้วว่าจะได้รับคำตอบแบบใดกลับมาจากเจ้าชายรัชทายาท
“ เราจะช่วยดูโครงการของนงวรภัทร ไม่ใช่ของเธอ...ลักษิกา ”
เจ้าหญิงลักษิกาเกือบจะทรงถอนพระปัสสาสะหนักๆออกมาอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะทรงได้รับรอยแย้มพระสรวลบางๆจากเจ้าชายวศินเสียก่อน “ ได้ข่าวว่าช่วงนี้งานที่ตำหนักหลวงมีมาก จนราชเลขาแทบไม่มีเวลาพักผ่อนกันเลย เหนื่อยมากไหมหญิงลักษ์ ”
“ เล็กน้อยเพคะ แต่ละเรื่องที่ต้องสะสางก็เร่งด่วนจริงๆ ไหนจะปัญหาน้ำท่วมที่ภาคเหนือ แล้วยังโรคระบาดที่ภาคใต้อีก เราก็เลยแบ่งหน้าที่กันไป ใครรับผิดชอบปัญหาไหนก็ดูแลไปเลย ตั้งแต่อ่านเรื่องร้องเรียน รายงานแล้วก็ติดตามโครงการที่มีรับสั่งให้ลงไปช่วยเหลือจนกว่าปัญหาจะทุเลาลงเพคะ ”
“ พักผ่อนให้มากหน่อยเถอะ พี่ได้ข่าวมาว่าเมื่อวานไปเป็นลมอยู่ที่ศูนย์ศึกษาสมุนไพรตอนออกไปตรวจโครงการหลวงนี่ วันนี้เจ้าหลวงก็รับสั่งให้พักผ่อนไม่ใช่หรือ”
“ ตายจริง ” พระนางเจ้าทรงหันมาหาพระธิดาด้วยความตระหนก “ ไม่เห็นมีใครรายงานแม่ว่าเจ้าป่วย แล้วนี่เป็นอะไรมากไหม ทำไมไม่รู้จักดูแลตัวเองบ้างนะหญิงลักษ์ ”
“ หม่อมฉันไม่ได้เป็นอะไรมากนี่เพคะ หมอหลวงมาตรวจก็บอกว่าอ่อนเพลียเท่านั้นเอง ไม่ได้ป่วยอะไร... ” ทรงอธิบายยังไม่ทันจบ พระมารดาก็ทรงขัดขึ้นก่อน “ เจ้าเป็นลม ยังว่าไม่ป่วยอีกหรือ น่าตีจริงเชียว ถ้าลักษ์จะไม่ห่วงสุขภาพของตัวเอง ก็น่าจะคิดไว้บ้างว่าแม่ก็ห่วงเจ้า ทำอะไรจะได้นึกถึงแม่ไว้มากๆ ”
“ ขอประทานอภัยเพคะ ” เจ้าหญิงลักษิกาทรงก้มพระพักตร์ลงต่ำอย่างรู้สึกผิด ทรงนึกเพียงจะต้องปฏิบัติหน้าที่ของพระองค์ให้ดีที่สุด จนทรงลืมไปว่าพระมารดาจะทรงกังวลมากเพียงใด หากทรงประชวร
“ ถ้าเจ้าไม่ดูแลตนเองจนล้มป่วยไปล่ะก็ แม่จะให้เจ้าหลวงปลดเจ้าออกจากตำแหน่งราชเลขานุการของพระองค์ แล้วให้เจ้ามาช่วยงานแม่แทนซะเลย ”
“ หม่อมฉันไม่ป่วยง่ายๆหรอกเพคะ ” ทรงแย้มพระสรวลหวานให้พระมารดาอย่างเอาพระทัย มีดำริว่าคราวหน้าคงต้องกำชับคนในเหตุการณ์ให้ช่วยกันสมรู้ร่วมคิด ‘ปิดบังเบื้องสูง’ กับเธออย่างจริงจังมากกว่านี้ และพอจะทรงเดาได้ว่าที่เจ้าชายวศินคงจะทรงทราบจากเจ้าหญิงนงวรภัทรที่เสด็จไปประเมินโครงการกับพระองค์
“ ให้จริงเถอะ อย่าให้รู้นะว่าติดสินบนพวกองครักษ์กับหมอหลวง ” สายพระเนตรที่มองมาอย่างทรงรู้ทันนั้นทำเอาราชเลขานุการกิตติมศักดิ์พระทัยวูบไหวไปก่อนจะทรงรีบหลบวายพระเนตรจับผิดนั้น แต่เหมือนหนีเสือปะจระเข้ ที่เมื่อเบือนพระพักตร์หนีมาจากพระมารดา ก็ต้องมาพบสายพระเนตรคมกริบของเจ้าชายรัชทายาทที่ทอดพระเนตรมาอยู่ก่อนแล้ว พระวรองค์บอบบางเกือบสะดุ้งเมื่อสบพระเนตรนิ่งลึกไม่บ่งบอกพระอารมณ์นั้น
ไม่พอพระทัยอะไรพระองค์หรือ... ไม่ได้ทูลถามออกไป เพราะทรงทราบดีว่าจะไม่มีวันได้รับคำตอบ
เจ้าหญิงลักษิกาลอบระบายพระปัสสาสะแผ่วเบา ทรงเหนื่อยล้าจากการพยายามไล่ตามเจ้าชายรัชทายาทเสียแล้ว แม้ว่าพระมารดาจะพยายามปลอบพระทัยว่าให้ทรงพยายามทำดีเข้าไว้ แล้วสักวันเจ้าชายพลานุภาพคงจะทรงทอดพระเนตรเห็นเอง
แต่นี่ผ่านมายี่สิบกว่าชันษาแล้ว ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะได้รับโอกาสนั้น และดูเหมือนจะได้รับแต่สายพระเนตรเหยียดหยันและไม่ทรงปรารถนาจะปรายพระเนตรมาทางพระองค์เสียมากกว่า
ที่แย่ที่สุด คือการพบกันแต่ละครั้ง ทรงรู้สึกว่ากำลังทำอะไรบางอย่างผิด จากสายพระเนตรกล่าวหานั่นแหละ มาจนบัดนี้ พระองค์ก็เข้าพระทัยในที่สุด...ไม่มีวันเสียแล้วกระมังที่เจ้าชายพลานุภาพจะแสดงความเป็นมิตรต่อพระองค์ ไม่ว่าจะทางตรงและทางอ้อมก็ตามที
เพราะเรื่องนี้เองที่ทำให้เจ้าหญิงลักษิกาต้องเจียมพระองค์อยู่เสมอ ว่าทรงเป็นเพียงลูกกบฏ ที่ไม่คู่ควรจะได้รับยอมรับและการยกย่องเชิดชูจากใคร กลายเป็นปมขมวดแน่นในพระทัย ที่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจแก้ได้เลย...
“ แล้วนี่ปัณณ์เป็นอย่างไรบ้าง วันนี้แม่ไม่เห็นอยู่แถวนี้ ”
ปัณณ์เป็นบุตรชายเสนาบดีมหาดไทย เป็นพระสหายสนิทของเจ้าชายรัชทายาท และปัจจุบันยังดำรงตำแหน่งราชองครักษ์ด้วย
เป็นชายหนุ่มที่สมเด็จพระราชินีทรงเอ็นดูราวกับเป็นพระโอรสของพระองค์
“ หม่อมฉันสั่งให้ออกไปธุระให้ คงจะกลับเย็นๆพระเจ้าค่ะ ” เจ้าชายพลานุภาพทูลพระมารดาอย่างอ่อนโยน เป็นภาพที่เจ้าหญิงหนึ่งเดียวในวงสนทนาทอดพระเนตรแล้วพระทัยไหววูบ
เจ้าชายพลานุภาพเป็นที่รักของทุกคนที่มีโอกาสได้ใกล้ชิด เพราะทรงสุภาพ อ่อนโยน และจริงจัง เด็ดเดี่ยวอยู่ในที พระสุรเสียงอบอุ่นการสายพระเนตรอ่อนโยนมีไว้เพื่อทุกค ยกเว้นเจ้าหญิงลักษิกาเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น หลายคนต่างก็สงสัย ว่าเจ้าหญิงน้อยมีสิ่งใดที่ทำให้ไม่โปรด ทั้งที่พระขนิษฐาก็ทรงอ่อนหวาน น่ารักขนาดนี้... แต่ไม่เคยมีใครกล้าพอจะทูลถาม และกลายเป็นภาพที่ชินชาสำหรับคนวังหลวง ที่จะเห็นพระเนตรเย็นชากับพระสุรเสียงแข็งกระด้าง ยามที่มีรับสั่งกับพระขนิษฐา...
“ ถ้ากลับมาแล้วก็ให้มาพบแม่ด้วย แม่ไปโครงการหลวงมาเมื่อวานนี้ ได้ผ้าไหมพื้นเมืองมาหลายผืน จะฝากไปให้ท่านผู้หญิงหญิงอรอนงค์เสียหน่อย ”
ท่านผู้หญิงอรอนงค์นั้นแต่เดิมเคยเป็นเจ้าหญิงลำดับท้ายๆของราชสกุล และเป็นพระสาหยของสมเด็จพระราชินีตั้งแต่ทรงพระเยาว์ แต่ครั้นเมื่ออภิเษกกับชายสามัญชน จึงถูกลดบรรดาศักดิ์และย้ายออกไปอยู่บ้านสามีแทน
“ พระเจ้าค่ะ ” เจ้าชายพลานุภาพทรงยกพระสุธารสชาขึ้นจิบ ก่อนจะตรัสชม “ ชานี้รสชาตหอมหวานทีเดียว เจ้าแม่ได้มาจากที่ใดหรือพระเจ้าค่ะ ”
“ เอ...อันนี้ลูกคงต้องลองถามหญิงลักษ์เขาเอง เพราะหญิงลักษ์เป็นคนเอามาฝากแม่เมื่อวานนี้ ” พระนางสีวลีแย้มพระสรวล พยายามเปิดทางให้พี่น้องต่างสายเลือดนี้พูดคุยกันเต็มที่ แต่พระโอรสองค์โตกลับชะงัก แล้ววางแก้วกระเบื้องเคลือบในพระหัตถ์ลงราวกับไม่ได้ยินชื่อของพระขนิษฐา ในขณะที่คนถูกกล่าวอ้างก้มพระพักต์นิ่ง หลุบพระเนตรลงมองพระหัตถ์บอบบางที่กอบกุมกันไว้เองจนแน่นเห็นรอยสีขาวสลับแดง
เจ้าชายวศินทอดพระเนตรมองสองพี่น้องสลับกัน แล้วจึงแย้มพระสรวลเป็นปริศนาชั่ววินาที ก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอนอ่อนโยนเข้ามาแทนที่และตรัสถามเสียเอง
“ พี่ก็ว่าชานี้รสดีมาก มีกลิ่นหวานคล้ายกุหลาบ หอมดี หญิงลักษ์ไปหามาจากไหนหรือ คราวหน้าพี่จะได้ให้คนไปซื้อมาบ้าง ”
เจ้าหญิงลักษิกาเงยพระพักตร์ขึ้น เห็นอีกฝ่ายทอดพระเนตรมองมาอย่างอ่อนโยนให้กำลังใจอยู่แล้ว จะแย้มพระสรวลตอบ และตรัสตอบด้วยพระสุรเสียงอ่อนหวานอย่างเคย
“ หญิงทดลองปลูกดอกกุหลาบพันธ์หนึ่งที่ขอมาจากโครงการหลวง ไว้ที่หลังตำหนักเพคะ พอมีดอกก็ให้นางกำนัลเก็บมาตากแห้ง บดเป็นผงใส่ถุงชาไว้ชงกับน้ำร้อนได้เพคะ ถ้าเจ้าพี่โปรด หญิงจะให้คนจัดมาถวายเพคะ ”
“ อืม เหมือนกัน พี่ว่าจะเอาไว้ต้อนรับแขกที่ตำหนัก บรรดาท่านเจ้าคุณน่าจะชอบอยู่ ” เจ้าชายวศินดำรงตำแหน่งเสนาบดีคลัง ดังนั้นที่พระตำหนักปักษาชาดจึงต้องต้อนรับบรรดาเสนาบดีแล้วเจ้ากรมต่างๆไม่เว้นแต่ละวัน เป็นสถานที่ที่ได้ต้อนรับบุคคลสำคัญของราชสำนักยิ่งกว่าที่กรมการคลังเสียอีก
“ หญิงไม่ได้หวังมากถึงเพียงนั้นหรอกเพคะ ”
“ น้องสาวพี่ทั้งสวย ทั้งเก่ง เรื่องงานบ้านการเรือนก็ไม่เป็นสองรองใคร ทำไมน้าถึงยังไม่มีเจ้าชายเมืองไหนมาขอสักที ไม่รู้เจ้าชายแถวนี้ตาบอดไปกันหมดแล้วหรือเปล่า ”
แถวนี้ก็มีอยู่หนึ่งพระองค์ ที่พระเนตรมืดบอดเกินจะเยียวยา พระน้องนางน่ารักขนาดนี้ คนไม่มีน้องอย่างพระองค์ยังรู้สึกรักและเอ็นดู แต่นี่อยู่กันมาตั้งแต่เด็กจนโต เหตุใดจึงมีแต่ท่าทางเย็นชาห่างเหินให้หญิงลักษ์เสียใจอยู่ตลอดเวลา พระองค์เป็นคนนอกที่มองอยู่ห่างๆยังพลอยสงสารเจ้าตัวไปด้วย แล้วเจ้าชายพลานุภาพที่เป็นฝ่ายสร้างกำแพงน้ำแข็งคมกริบขึ้นมาปิดบังรอบตัวนั้นเล่า ไม่รู้สึกอะไรบ้างเชียวหรือ
“ เจ้าพี่ หญิงไม่ได้ดีขนาดนั้นหรอกเพคะ ไม่มีใครมองเห็นก็สมควรอยู่แล้ว ” พระพักตร์งามเริ่มกระอักกระอ่วนขึ้นมาเมื่อถูกชมซึ่งหน้า ก่อนจะทอดพระเนตรไปทางสมเด็จพระราชินีแทน “หญิงไม่อยากแต่งงานหรอกเพคะ อยากอยู่รับใช้ฝ่าบาทไปนานๆมากกว่า ”
“ เป็นหญิงแท้ๆ ถ้าไม่แต่งงาน แล้วใครจะมาอยู่ดูแลเราตอนแก่เฒ่า บั้นปลายชีวิตจะมีแต่ความเหงารออยู่นะหญิงลักษ์ ” พระนางสีวลีตรัสเรียบๆ พลางพินิจพระธิดาบุญธรรมแล้วจึงเห็นอย่างที่เจ้าชายวศินว่า เจ้าหญิงลักษิกางามพร้อมไปทุกด้าน ไฉนเลยไม่มีเจ้าชายจากเมืองใดมาสู่ขอตามราชประเพณีเสียที
“ จะว่าไปแล้ว ก็มีอยู่ไม่ใช่หรือ เจ้าชายแถวนี้ที่แอบชอบหญิงอยู่ เห็นมีลายพระหัตถ์ถึงหญิงอยู่ ” เจ้าหญิงลักษิกาทำสีพระพักตร์ไม่ถูกเมื่อถูกพาดพิงถึงเช่นนั้น เมื่อพระมารดาทอดพระเนตรมองมาเหมือนคาดคั้น จึงต้องยอมเล่าถวาย ทั้งที่จริงแล้วพระองค์เห็นว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรเลย
“ เจ้าชายอลงการณ์มาเยือนรัตติกาเมื่อปีที่แล้ว ก็ตรัสว่าจะขอเป็นเพื่อนกับหญิงเพคะ หญิงก็เห็นว่าไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร จึงตอบตกลง หลังจากเสด็จกลับ ก็มีลายพระหัตถ์ถึงหญิงทุกเดือน”
เจ้าชายพลานุภาพเงยพระพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรพระขนิษฐาทันที พระองค์กับเจ้าชายอลงกรณ์เป็นพระสหายกันมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ไปมาหาสู่กันอยู่เป็นนิจ แต่เรื่องที่อีกฝ่ายนั้นส่งจดหมายถึงพระขนิษฐาอยู่ทุกเดือนนั้น พระองค์ไม่ได้ทรงระแคะระคายเลยแม้แต่น้อย แม้พระองค์จะมีท่าทีเหมือนไม่ใส่ใจ แต่ก็อดไม่พอใจไม่ได้ที่พระสหายทำการลับหลังเช่นนี้ แม้กระทั่งวศินยังรับรู้ แต่พระองค์เป็นทั้งเพื่อนและพี่ของทั้งสองฝ่าย กลับทรงทราบอะไรเลย ทำให้รู้สึกเสียพระพัดตร์เป็นอย่างมาก
“แต่หญิงยุ่งตลอดเลยเพคะ ตลอดปีที่ผ่านมาจึงไม่ได้เขียนตอบไปเลยสักฉบับเดียว ” เจ้าหญิงลักษิกาทรงละล่ำละลักอธิบายเมื่อเห็นว่าพระเนตรคมดุของพระเชษฐามีรอยดุจัดวาบขึ้นมาเหมือนไม่พอพระทัย และเมื่อพระเนตรคมดุนั้นค่อยคลายลงหลังจากที่พระองค์อธิบายแล้ว จึงค่อยคลายกังวลลง
เจ้าชายพลานุภาพคงจะไม่พอพระทัยที่พระองค์บังอาจไปข้องเกี่ยวกับเจ้าชายอลงกรณ์ซึ่งถือไว้ว่าเป็นพระสหายสนิท เจ้าหญิงลักษิกาก้มพระพักตร์ลงมองพระหัตถ์อีกครั้ง ซ่อนความน้อยพระทัยที่เริ่มพลุ่งขึ้นมาจ่ออยู่ที่พระพักตร์จนขอบพระเนตรร้อนผ่าว
ทรงรู้สถานะของพระองค์ดี ว่าต้อยต่ำ ไม่อาจเอื้อม จึงพยายามไม่ไปให้ทอดพระเนตรเห็น ไม่พูดขัดให้ไม่พอพระทัย และไม่ยุ่งเกี่ยวกับใครก็ตามที่รู้จักสนิทสนมกับเจ้าชายพลานุภาพ
ตอนที่เจ้าชายอลงการณ์มาขิให้พระองค์ยอมเป็นเพื่อนด้วยนั้น ถึงกับมาดักรอที่หน้าตำหนักถึงสามวัน จะบอกตามตรงก็ไม่ได้ว่ากลัวพระเชษฐาไม่พอพระทัย สุดท้ายก็ยอมตกลงจนได้ คิดว่าเดี๋ยวพอเสด็จกลับก็คงจะลืมเลือนไปเอง แต่ที่ไหนได้ กลับมีลายพระหัตถ์ถึงพระองค์ทุกเดือน เขียนว่าอะไรบ้างนั้นไม่ทรงทราบ เพราะไม่เคยเปิดอ่านสักฉบับเดียว และไม่เคยมีลายพระหัตถ์ตอบเลยด้วย
ตอนแรกมั่นใจว่าหากเบื่อ ก็คงเลิกไปเอง แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น ทุกวันนี้พระองค์ได้แต่รู้สึกอึดอัดพระทัย คนเดียวที่พอจะพูดเรื่องนี้ได้ก็คือวรรณวรางค์เพื่อนสนิทที่ดำรงตำแหน่งนักการทูตอยู่กรมการต่างประเทศเท่านั้น ไม่กล้าให้ผู้ใดรู้มากนัก กลัวเจ้าชายพลานุภาพจะทรงทราบ แล้วพาลมาเกลียดพระองค์มากขึ้นไปอีก ไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้เลย แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
เจ้าหญิงลักษิกาผู้ทรงพระปรีชาไปทุกด้านนั้น เมื่อมาอยู่ต่อหน้าเจ้าชายรัชทายาทแล้ว ก็ไม่ต่างกับเด็กสิบขวบที่มักสะดุ้งตกใจทุกครั้งที่มีสายพระเนตรดุตวัดมองมา และแอบปาดน้ำพระเนตรลับหลังอยู่บ่อยๆเมื่อโดยต่อว่าเสียดสีต่างๆนานา แม้จะเจริญพระชันษาเท่าไหร่ ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ไปได้เลย
“ แล้ววศินไปรู้เรื่องของน้องมาได้อย่างไร อย่าบอกนะว่าแอบอ่านลายพระหัตถ์ที่ส่งถึงน้อง ” พระนางสีวลีตรัสถามขึ้น เป็นคำถามเดียวกับที่อีกสองพระองค์ก็สงสัย แต่ไม่อยากถาม
“ พี่ไม่ได้แอบอ่านจดหมายของเธอหรอกนะหญิงลักษ์ อย่าเพิ่งเข้าใจพี่ผิดไป ” เจ้าชายวศินโบกพระหัตถ์ปฏิเสธพอเป็นพิธี ก่อนจะอธิบาย “ บังเอิญวันนั้นพี่ไปหาหญิงที่ตำหนัก แล้วพบวรรณวรางค์เพิ่งจะมาถึงพร้อมกับพอดี วรรณบอกว่านำจดหมายจากแคว้นอันธิกามาให้หญิง พี่เลยถือวิสาสะใช้อำนาจในทางมิชอบขอดูหน่อยเท่านั้น พอเห็นจ่าหน้าซองเป็นชื่อของเจ้าชายอลงกรณ์พี่จึงส่งคืนวรรณไป กำชับวรรณไว้ว่าอย่าบอกหญิงลักษ์ว่าพี่ทราบเรื่องนี้แล้ว ”
“ หญิงขอประทานอภัยเพคะ ที่ไม่ได้เล่าให้ทรงทราบ หญิงเองก็อึดอัดและทำตัวไม่ถูก แต่คาดว่าอีกไม่นานคงจะเลิกมีลายพระหัตถ์ถึงหญิงไปเอง ” เจ้าหญิงลักษิกาก้มพระพักตร์นิ่ง
“ แต่ก็เห็นแล้วว่าอลงกรณ์ไม่ได้มีท่าทางจะเลิกยุ่งกับเธอเลย ” เจ้าชายรัชทายาทตรัสด้วยพระสุรเสียงเนิบนิ่ง ไม่ดุอย่างที่ควรจะเป็นจนเจ้าหญิงลักษิกาต้องเงยพระพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรอีกฝ่ายอย่างแปลกพระทัย
“ ถ้าเธอรู้สึกอัดอัด ฉันจะไปพูดกับอลงกรณ์เรื่องนี้ให้ เขาคงฟังฉันบ้าง เธอขัดข้องอะไรไหม ”
พระเนตรสีเปลือกไม้เบิกกว้างอย่างไม่อยากเชื่อ เจ้าชายพลานุภาพจะออกพระองค์เจรจากับพระสหายให้...เพราะจะช่วยพระองค์หรือ?
“ ว่าอย่างไร มองแบบนี้ฉันตีความไม่ถูกหรอกนะ จะให้ช่วยหรือไม่ หรือว่าที่จริงแล้วก็ชอบให้มีผู้ชายมาเขียนจดหมายหาอยู่เหมือนกัน ” ท้ายประโยคนั้นพระสุรเสียงเริ่มจะหงุดหงิดขึ้นมาอีก
“ หญิงลักษ์ จะเอาอย่างไรก็บอกเจ้าพี่ไปสิ พี่เขาจะได้จัดการให้ บอกมัวอ้ำอึ้งแบบนี้ ใครจะไปรู้เรื่อง ”
พระนางสีวลีย้ำอีกครั้ง จนพระธิดารีบละล่ำลักลักตรัสตอบทันควัน
“ เปล่าเพคะ หม่อมฉันไม่ได้ปรารถนาเช่นนั้น ถ้าฝ่าบาทจะกรุณา หม่อมฉันก็จะขอบพระทัยยิ่งเพคะ ”
“ ไม่ปรารถนาน่ะ เรื่องอะไร ไม่อยากให้ฉันช่วย หรือไม่อยากได้จดหมายอีก ” คำถามยอกย้อนจากเจ้าชายพลานุภาพทำให้ยิ่งรู้สึกแปลกพระทัย แต่ไหนแต่ไร ไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อนเลย เรื่องไหนที่เกี่ยวข้องกับเจ้าญิงลักษิกา พระองค์จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไปเสียทุกครั้ง
“ ไม่อยากได้จดหมายเพคะ ” ตอบไปแล้วก็โล่งพระทัย โดยเฉพาะเมื่อเจ้าชายพลานุภาพแย้มพระสรวล นัยน์ตาเป็นประกายอย่างพอพระทัยยามสรุปให้ว่า “ ดี งั้นฉันจะไปคุยกับอลงกรณ์ให้เอง ”
“ ขอบพระทัยเพคะ ”
“ อย่าเข้าใจผิดล่ะ ที่ฉันทำแบบนี้เพราะฉันไม่อยากให้เพื่อนต้องมายุ่งกับเธอต่างหาก รู้ไว้ซะด้วย ”
เจ้าชายวศินสบพระเนตรกระสมเด็จพระราชินี อย่างเข้าพระทัยกันดี ก่อนจะแย้มพระสรวลกว้างอย่างรู้ทัน
เจ้าชายรัชทายาท แม้ต่อหน้าจะทำเป็นไม่สนพระทัย ห่างเหินเย็นชา แต่พอมีใครมามาสนใจพระขนิษฐาขึ้นมาบ้าง ก็เริ่มจะออกลาย ‘หวง’ ขึ้นมาทันที และดูเหมือนจะเป็นการทำลงไปโดยไม่รู้พระองค์เสียด้วย
ในขณะเดียวกัน เจ้าหญิงลักษิกากลับสับสน ไม่เข้าพระทัยเอาเสียเลย แต่ลึกๆในพระทัยแล้ว ย่อมปลาบปลื้มจนอยากจะแย้มพระสรวลกว้างๆ แต่เกรงว่าจะถูกสายพระเนตรคมจับจ้องมาอย่างคาดโทษ และพาลไม่ช่วยเหลือเอาได จึงต้องทำเป็นยกแก้วกระเบื้องเคลือบตรงหน้าขึ้นจิบอย่างอย่างเบิกบานพระทัย จนพระเนตรสีเปลือกไม้เปล่งประกายอ่อนหวานสดใสที่สุดในชิวิตของพระองค์
.........................................................................................
ความคิดเห็น