ตอนที่ 12 : ใจหาย...100%
บทที่12
เนตรลดาโยนเอกสารลงบนโต๊ะเมื่อรู้สึกว่าอ่านไม่รู้เรื่อง เธอไม่มีสมาธิมากพอจะรับรู้อย่างอื่น มีตะกอนเล็กๆ กำลังนอนก้น กวนให้จิตใจขุ่นมัว หลังจากที่พยายามระงับมันไว้ตั้งแต่ตอนเย็นก็ไม่เป็นผลสำเร็จ เนตรลดารู้สึกกำลังถูกอานัชหลอกลวง ไหนว่ารักเธอคนเดียวไง เฮอะ...รักแบบไหน ผู้หญิงอื่นจึงกล้ามาหาถึงบ้านได้ คงไปให้ความหวังกับเขาไว้มากสิท่า ทำไมเธอจะดูไม่ออกว่าแม่นางแบบสาวแสนเซ็กซี่คนนั้นมองเขาด้วยสายตาแบบไหน
...คำรักของคุณน่ะ เอาไว้หลอกผู้หญิงหน้าโง่คนอื่นเถอะ ฉันไม่มีวันเชื่อคุณเด็ดขาด ใช่...เมื่อคืนเธอเกือบจะหลงคารมของเขา อาจเพราะเธอกำลังอ่อนแอกับเรื่องพี่ชาย ตอนนี้ไม่แล้วละ ความคิดที่มีต่อผู้ชายอย่างอานัช พิทักษ์กุล ก็ยังเป็นเหมือนเดิมไม่มีวันเปลี่ยน เพราะเธอไม่อยากเสี่ยงกับความรัก ที่อาจนำความปวดร้าวเจียนตายมายัดเยียดให้
เนตรลดาพยายามข่มตาให้หลับ นอนกระสับกระส่ายอยู่
ค่อนดึกกว่าจะหลับได้สนิท พอรุ่งเช้าเธอรีบอาบน้ำแต่งตัวลงมายังห้องกินข้าว ภาวนาอย่าให้ได้เจออานัช ดูเหมือนคำภาวนาของเนตรลดาจะเป็นจริง เมื่อป้าแจ่มเห็นเธอก็รีบเข้ามารายงานว่าอานัชออกไปทำงานแต่เช้า
“คุณนัชบอกว่าเย็นนี้ไม่กลับค่ะ เห็นว่ามีงานด่วนเข้ามาค่อนข้างเยอะ”
“ขอบคุณค่ะป้า” หญิงสาวบอกด้วยรอยยิ้มบาง แล้วจัดการอาหารเช้าอย่างเหม่อลอย เธอกำลังครุ่นคิดอย่างสงสัยว่าอานัชจะโกรธเธอเรื่องเมื่อคืนหรือเปล่า จึงไม่อยากเห็นหน้าเธอในเช้านี้
หรือว่าเขามีงานด่วนเข้ามาจริงๆ ...แล้วเราจะไปสนใจทำไมล่ะ หญิงสาวปรามตัวเองไม่ให้ฟุ้งซ่าน
พอเข้าไปในสำนักงาน พนักงานสาวๆ ก็กรูเข้ามาหา เพื่อจะถามไถ่เรื่องที่เธอพาอานัชมาที่สำนักงานเมื่อวาน
“เขาว่างก็เลยมาเที่ยวเล่นบ้างเท่านั้นเอง ไปทำงานได้แล้ว ใครกวนใจ ฉันตัดเงินเดือนจริงๆ ด้วย” หญิงสาวขู่เสียงเข้ม ก่อนเดินเข้าห้องทำงาน สิ่งแรกที่เนตรลดาทำคือการกดโทรศัพท์หาพี่ชาย
ทุกอย่างยังเป็นเช่นเดิม คือติดต่อไม่ได้อีกตามเคย หญิงสาวเริ่มท้อใจ คิดได้ในเวลาต่อมาว่าหากจารุจจะกลับมา เขาคงกลับมาเอง ตอนนี้เขาอาจอยากอยู่เงียบๆ ซึ่งก็ดีเหมือนกันเผื่อเขาจะคิดอะไรได้บ้าง
เนตรลดาทำงานอย่างไม่ค่อยมีสมาธินัก หลายครั้งที่เธอนึกถึงอานัช...แต่หญิงสาวก็ปัดความรู้สึกนั้นออกจากห้วงคิด พยายามดึงสมาธิมายังเรื่องงาน พอตอนใกล้เที่ยงเธอก็เรียกชาตรีมากินข้าว
ด้วยกัน เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน
“ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วครับคุณเนตร ไอ้หมอนั่นมันเมายาด้วย ตอนนี้ถูกดำเนินคดีเรียบร้อยแล้ว ส่วนผู้หญิงก็มีอาการดีขึ้นบ้าง น่าสงสารมากครับ เมื่อวานถ้าคุณนัชช่วยไว้ไม่ทัน ผมว่าเธออาจ
ไม่รอด ร่างกายบอบช้ำมาก จิตใจก็ย่ำแย่เสียขวัญ” ผู้จัดการชั่วคราวทำหน้าหดหู่เมื่อคิดถึงผู้หญิงที่ถูกทำร้าย
“ชาตรีช่วยส่งเช็คทำขวัญไปให้ผู้หญิงด้วยนะ” ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับจันทร์ดาวรีสอร์ตโดยตรง หญิงสาวก็อยากปลอบใจเธอคนนั้น ในฐานะผู้หญิงด้วยกัน
“ครับ...เอ่อ...คุณนัชท่าจะเก่งการต่อสู้นะครับคุณเนตร ผมเห็นการออกหมัด ท่าเตะแล้ว นึกว่าเฉินหลงมาเอง” ชาตรีหัวเราะกับคำพูดตัวเองเบาๆ ครั้นเห็นหน้าหม่นๆ ของผู้เป็นนายสาวก็หุบยิ้ม
ฉับพลัน รีบกินมื้อเที่ยงแล้วขอตัวไปจัดการธุระที่นายสาวสั่งทันที
ตอนเย็นเธอกินมื้อค่ำเพียงลำพัง คุยโทรศัพท์กับแก้วขวัญอยู่ครู่ใหญ่เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน จากนั้นหญิงสาวก็รีบขึ้นห้อง แปลกเหลือเกิน เธอนอนไม่ค่อยหลับ กระสับกระส่ายอยู่ค่อนดึก
จึงสามารถหลับลงได้ รุ่งเช้าหญิงสาวลงไปข้างล่าง ป้าแจ่มก็เดินเข้ามารายงานทันที
“คุณนัชโทร. มาค่ะ บอกว่าวันนี้ก็คงไม่ได้กลับบ้าน เพราะว่าสะสางงานยังไม่เรียบร้อย คือคุณนัชทำงานดึก เลยพักอยู่ที่แม่ริมจะสะดวกกว่าค่ะ” ป้าแจ่มอธิบายยาวตามคำพูดของผู้เป็นนายหนุ่มอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
เนตรลดายิ้มให้ป้าแจ่ม บอกด้วยเสียงนุ่มนวล “ขอบคุณค่ะป้า” จริงๆ แล้วเนตรลดาอยากบอกป้าแจ่มว่าเธอไม่ต้องการรับรู้เรื่องของอานัช ไม่ว่าเขาจะกลับหรือไม่กลับ คิดอีกทีก็ช่างเถอะในเมื่อ
ป้าแจ่มก็ทำตามหน้าที่เพราะอานัชสั่งไว้ก็เท่านั้น
แล้วป้าแจ่มก็ได้ทำหน้าที่ตัวเองอย่างต่อเนื่องถึงอาทิตย์หนึ่งเต็มๆ พอตอนเย็น เนตรลดากลับจากสำนักงาน ทางโรงพยาบาลในตัวเมืองก็โทร. มาแจ้งข่าวว่าอานัชถูกรถชน ตอนนี้ยังอยู่ในห้องฉุกเฉิน เนตรลดาทำอะไรไม่ถูก เธอค่อยๆ ทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ รู้สึกเลือดในกายเย็นเฉียบ ทว่าเหงื่อกลับผุดพรายที่ใบหน้าและฝ่ามือ หัวใจเต้นช้าลง จนเธอยกมือทาบอก พยายามสูดหายใจลึกๆ เพื่อดึงสติกลับคืนมา เพียงครู่เดียวหญิงสาวจึงร้องเรียกหาป้าแจ่มเสียงดังลั่น
“เกิดอะไรขึ้นคะคุณเนตร!” ป้าแจ่มลนลานออกจากห้องครัว
มาหาหญิงสาวหน้าตาตื่น
“คุณนัชถูกรถชน เนตรจะไปโรงพยาบาล ป้าช่วยเรียกลุงเม่นมาขับรถให้เนตรด้วย” ลุงเม่นเป็นสามีป้าแจ่ม เคยทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยของบิดาเธอมาก่อน
“ค่ะ เดี๋ยวป้าไปเรียกตาเม่นให้นะคะ คุณเนตรทำใจดีๆ ไว้นะคะ” ป้าแจ่มปลอบนายสาว แล้วรีบรุดไปเรียกผู้เป็นสามีซึ่งกำลังรดน้ำต้นไม้ที่สวนหลังบ้าน
“ทำใจดีๆ ไว้นะครับคุณเนตร คุณนัชอาจไม่ได้เป็นอะไรมาก” ลุงเม่นที่ทำงานอยู่กับครอบครัวเธอมาหลายสิบปีเอ่ยปลอบใจหญิงสาว
“เนตรกลัวค่ะ” เธอสารภาพเสียงสั่นเครือ หยาดน้ำอุ่นที่ขังขอบอยู่ในหน่วยตาเรียวกว้างเริ่มเอ่อล้นรินไหล ความรู้สึกที่กำลังเผชิญอยู่นี้ มันไม่ต่างจากตอนที่เธอสูญเสียแม่ ตามด้วยพ่อ อีกทั้งพี่ชาย
ก็ไม่รู้หายไปไหน ทุกอย่างมันเลยยิ่งกดทับความรู้สึกให้เธอขวัญเสียมากยิ่งขึ้น
“อย่าเพิ่งคิดอะไรในทางที่ร้าย ทุกอย่างต้องผ่านไปด้วยดี เชื่อลุงนะ”
หญิงสาวพึมพำขอบคุณในคำปลอบประโลมของคนสูงวัย ในใจก็ได้แต่ภาวนาให้เขาปลอดภัย เป็นครั้งแรกที่หญิงสาวยอมรับว่า อานัชเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัว ที่เนตรลดาไม่อยากให้เกิดเรื่อง
เลวร้ายใดๆ กับเขา ขอเพียงชายหนุ่มปลอดภัย เนตรลดาสัญญากับตัวเอง จะเปิดใจยอมรับเรียนรู้ความรู้สึกของเขาโดยไม่หวาดกลัวกับความเจ็บปวดใดๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอีกต่อไป เพราะเธอรู้แล้วว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือการพลัดพรากต่างหาก
เมื่อรถวิ่งเข้ามาจอดในบริเวณโรงพยาบาล เธอก็เดินลิ่วเข้าไปในตัวตึก ถามเจ้าหน้าที่ถึงคนบาดเจ็บจากอุบัติเหตุรถชน ที่ชื่ออานัช พิทักษ์กุล
เมื่อรู้ว่าเขาอยู่ไหนหญิงสาวก็วิ่งตรงไปยังหน้าห้องฉุกเฉิน รออย่างกระวนกระวาย โดยมีลุงเม่นตามมานั่งเป็นเพื่อนอยู่หน้าห้อง
นั่งรออยู่นานนับชั่วโมง นายแพทย์กับพยาบาลก็เดินออกมาจากห้อง เนตรลดาถลาเข้าไปหาแทบจะทันที
“คนไข้ปลอดภัยแล้วครับ แต่ว่ายังไม่ฟื้น”
“เขาเป็นอะไรมากมั้ยคะ” น้ำเสียงเธอสั่นเครือ
“กระดูกสะโพกร้าวนิดหน่อย ศีรษะแตก”
“ขอบคุณมากค่ะ” หญิงสาวยกมือไหว้นายแพทย์เจ้าของไข้ด้วยความโล่งอก
เมื่อชายหนุ่มถูกเคลื่อนย้ายเข้าไปในห้องพักฟื้นพิเศษ เนตรลดาก็บอกให้ลุงเม่นกลับจันทร์ดาว
รีสอร์ตไปก่อน
“ลุงเม่นบอกป้าแจ่มให้เตรียมเสื้อผ้ามาให้หนูสองชุดนะคะ”
“ได้...เดี๋ยวลุงจะมาแต่เช้าเลย” คนขับรถเก่าแก่ของครอบครัวหญิงสาวรับคำสั่งแล้วหมุนร่างจากไป
เนตรลดาเข้ามานั่งบนเก้าอี้ข้างเตียงมือกุมมือชายหนุ่มไว้ น้ำตาที่เพิ่งเหือดเริ่มเอ่อท้นอีกครั้งเมื่อเห็นสภาพของชายหนุ่มเต็มตา ใบหน้าคมคายดูซีดเซียวอิดโรย ศีรษะมีผ้าพันรอบไว้ ดูๆ ไปก็น่าสงสารเหมือนกัน เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเรื่องร้ายๆ ถึงเกิดขึ้นกับเขาอีก ทุกครั้งก็หนักหนาเอาการ ความรู้สึกเห็นใจท่วมท้นในหัวใจหญิงสาว ยิ่งเมื่อคิดว่าชายหนุ่มอยู่ที่นี่ตัวคนเดียว หากเธอไม่เหลียวแลเขา
ก็ดูจะไร้น้ำใจเกินไป เพราะอย่างน้อยอานัชก็ช่วยเหลือเธอไว้ถึง
สองครั้งสองครา
เนตรลดานั่งมองชายหนุ่ม กระทั่งรู้สึกง่วงนอน เพราะหลายคืนแล้วที่เธอนอนไม่ค่อยหลับ กังวลเรื่องของพี่ชาย แล้วยังมาคิดฟุ้งซ่านเรื่องอานัชกับนางแบบสาวคนนั้นอีก เนตรลดาจึงเอนตัวนอนบนโซฟายาวมุมห้อง หลับลึกอย่างอ่อนล้า กระทั่งได้ยินเสียงเรียกของใคร
คนหนึ่งดังทุ้มนุ่มหู เนตรลดางัวเงียลุกขึ้นนั่ง หันไปทางเตียงนอน
ก็เห็นว่าคนป่วยยังหลับตา พึมพำอะไรออกมาเหมือนคนละเมอ
หญิงสาวจึงรีบถลาเข้าไปหา
“เนตร...คุณอยู่ไหน” ชายหนุ่มยกมือขึ้นเหมือนพยายามไขว่คว้าอะไรบางอย่างในอากาศ
“ฉันอยู่นี่...” หญิงสาวกุมมือเขาไว้แล้วบีบเบาๆ
“ทำไมผมมองไม่เห็นคุณ”
“คุณลืมตาสิคะ...” หญิงสาวโน้มใบหน้าไปใกล้ใบหน้าคมคาย แล้วแก้มนุ่มของเธอก็ถูกริมปากร้อนผ่าวจุมพิตเข้าให้อย่างจัง
“คุณ!” หญิงสาวอุทานอย่างตกใจ เงยหน้าขึ้นก็เห็นดวงตา
คมพราวมองเธออยู่ก่อนแล้ว
“ดีใจจังเลยที่ตื่นขึ้นมาแล้วเห็นเนตร” เขาบอกด้วยน้ำเสียงร่าเริง ทั้งที่ใบหน้ายังซีดเซียว เนตรลดาอยากจะโกรธเขานักที่ถูกชายหนุ่มหลอก แถมยังโดนเอาเปรียบอีกต่างหาก พอเห็นแววตาสดใสของเขาแล้วก็ใจอ่อน ครั้นจะดึงมือออกจากอุ้งมือใหญ่ เขากลับรั้งร่างเธอเข้ามาใกล้
“เรียกหมอมาดูคุณก่อนเถอะค่ะ” หญิงสาวแย้งขึ้นเมื่อเขายังรั้งเธอเข้าไปกอดไว้แนบอก
“ไว้ทีหลังเถอะนะ ตอนนี้ผมอยากกอดเนตรให้หายคิดถึงก่อน รู้มั้ย...ตอนที่ผมจะหมดสติไป ผมคิดถึงแต่เนตร กลัวว่าจะไม่ได้เจอ
กันอีก ผมกลัวจริงๆ” น้ำเสียงสั่นๆ ของเขาทำให้หญิงสาวยอมซบหน้านิ่งกับอกกว้างอย่างจำยอม เนตรลดาไม่อยากเชื่อคารมเขานัก แต่วินาทีนี้เธอรับรู้ถึงกระแสความรู้สึกของเขาที่หลั่งไหลแผ่ซ่านมาสู่ร่างกายและหัวใจเธอ
“ฉันก็กลัว...กลัวไปหมดทุกอย่างเลย” ในที่สุดเนตรลดาก็หลุดสิ่งที่หวาดหวั่นออกมา หยาดน้ำใสรื้นขอบตาก่อนที่มันจะหยดริน
ชายหนุ่มดึงใบหน้าสวยของเธอมาใกล้ จูบซับดวงตาวาวรื่นของเธออย่างอ่อนโยน แล้วนาทีต่อมาร่างของหญิงสาวก็สั่นเทาเพราะแรงสะอื้น อานัชรั้งร่างบางเข้ามาในอ้อมแขนอีกครั้ง กระซิบบอกด้วยเสียงอ่อนโยน
“ผมไม่เป็นไรแล้ว...อย่าร้องนะคนดี” อานัชจูบซับน้ำตาให้หญิงสาว พลางกระซิบปลอบโยนอ่อนหวาน กระทั่งน้ำตาเธอหยุดไหล ชายหนุ่มยังกอดเธอไว้ในอ้อมแขน อานัชรู้สึกอิ่มเอมใจ
เมื่อรู้ว่าแท้จริงแล้วเนตรลดาไม่ได้เย็นชาอย่างที่เธอแสดงออก เธอก็ยังเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาคนหนึ่ง หวาดกลัวและหวั่นไหวกับทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเขา คงเพราะหลายวันมานี้มีเรื่องร้ายเกิดขึ้นติดกัน สภาพจิตใจเนตรลดาเลยอ่อนแอกว่าที่เคยเป็น กระทั่งไม่สามารถกักเก็บความรู้สึกอัดอั้นภายในไว้ได้อีกต่อไป
ตำรวจมาสอบปากคำอานัชในตอนสายของวันรุ่งขึ้น ชายหนุ่มเริ่มต้นบอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตั้งแต่ตอนเย็นหลังเลิกงาน เขาตั้งใจจะไปกินมื้อค่ำในร้านอาหารฝั่งตรงข้ามกับออฟฟิศ ขณะที่กำลังจะเดินข้ามถนน มีรถกระบะคันหนึ่งจอดบนไหล่ทางติดเครื่องอยู่ เหมือนกำลังจะเคลื่อนออกไปกลางถนน แต่มันกลับพุ่งตรงเข้ามาหาเขา ดีที่ว่ามองเห็น ชายหนุ่มจึงทันได้เบี่ยงตัวหลบ ทำให้ไม่โดนชนอย่างจัง แค่เฉี่ยวๆ บริเวณสะโพก แต่โชคร้ายที่จังหวะเบี่ยงตัวหลบ เขาเสียหลักล้มหัวกระแทกขอบถนนหมดสติไป พอฟื้นขึ้นมาอีกทีก็อยู่ในโรงพยาบาล รับรู้เพียงว่ามีมอเตอร์ไซค์รับจ้างเห็นเหตุการณ์ จึงโทร. แจ้งหน่วยกู้ภัย
“คิดว่าเป็นเจตนาหรือเปล่าครับ” นายตำรวจหนึ่งในสองตั้งคำถามกับเขา
“ผมไม่มั่นใจครับ คนขับอาจเมาก็ได้” อานัชยังไม่กล้าบอกสิ่งที่เขากำลังครุ่นคิด ทั้งที่มั่นใจแล้วว่ามันไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่เป็นเจตนาฆ่า ด้วยการทำให้เหมือนว่าเป็นอุบัติเหตุเท่านั้น คนที่ต้องการชีวิตเขา คงไม่อยากให้เป็นเรื่องราวใหญ่โต จึงไม่กล้าลงมืออย่างตรงไปตรงมา อย่างเช่นส่งมือปืนมาเก็บ แต่ทำในลักษณะแอบแฝงเพื่อให้เป็นอุบัติเหตุ หรือไม่ก็จัดฉากให้เข้าข่ายเรื่องชู้สาว อย่างครั้งแรกที่พวกมันลงมือที่หน้าบ้านของเจนนี่ โชคดีที่เขารอดมาได้ ครั้งนี้ก็เช่นกัน เขามั่นใจว่าครั้งหน้ามันอาจทำอะไรที่รุนแรงมากขึ้น เพราะการจัดฉากไม่สำเร็จมาแล้วถึงสองครั้ง
“เสียดายนะครับ ตอนที่เกิดเรื่องไม่มีใครสังเกตเห็นป้ายทะเบียนรถ” นายตำรวจเอ่ยขึ้น
“ครับ...คงมัวแต่ตกใจกัน” การขับรถชนคนแล้วชิ่งหนี มันเกิดขึ้นจนเป็นเรื่องปกติ แต่เจตนาทำร้ายคนอื่นถึงชีวิต มันคงวางแผนไว้เป็นอย่างดี ไม่ปล่อยให้ใครสามารถแกะรอยมันได้ง่ายๆ อยู่แล้ว
ชายหนุ่มมั่นใจว่ารถกระบะคันนั้น คงไม่ติดป้ายทะเบียนอย่างแน่นอน
“ผมว่าหมู่นี้คุณควรไปรดน้ำมนต์ที่วัดบ้างแล้ว ปีนี้คุณเจอเรื่องร้ายมาสองครั้งแล้วนะ” นายตำรวจที่ดูแลคดีของชายหนุ่มเอ่ยอย่างหวังดี
“ขอบคุณครับ...ไว้หายดีเมื่อไหร่ผมไปแน่” อานัชตอบรับด้วยรอยยิ้ม เมื่อนายตำรวจทั้งสองกลับไปแล้วเขาก็หันมาทางหญิงสาว
“แน่ใจเหรอคะว่าเป็นแค่อุบัติเหตุ” เนตรลดาถามเสียงเครียด
“ไม่ใช่แน่นอนครับ” ชายหนุ่มตอบอย่างมั่นใจ ทำให้ใบหน้าสวยของเนตรลดาฉายแววตื่นตระหนกระคนหวาดกลัว
“แล้วจะทำยังไงดีคะ ฉันว่าคุณน่าจะบอกตำรวจนะ” เธอไม่เข้าใจการกระทำของเขาเลยสักนิดที่ปกปิดความจริงไว้
“ผมกลัวว่าคนที่ทำ...อาจเป็นคนใกล้ตัว” หากตัดเนตรลดาออกจากรายชื่อผู้ต้องสงสัย คนที่อานัชกลัวมากที่สุดก็คือคนในครอบครัวของเขาเอง นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้อานัชไม่กล้าบอกความจริงกับทางตำรวจ แต่จะเป็นใครนั้น...อานัชไม่กล้าคิดต่อ ได้แต่ภาวนาอย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย หัวใจเขาคงแหลกสลายหากต้องรับรู้ว่าคนที่เขารัก ต้องการทรัพย์สมบัติมากกว่าตัวตนของเขา
“ถึงงั้นก็เถอะ เขาทำกับคุณขนาดนี้ คุณยังจะห่วงเขาอีกเหรอ” เนตรลดาพูดอย่างฉุนๆ
“ผมจะจ้างบอดีการ์ดสักสองคนก่อน อาจจะต้องเก็บตัวสักพัก จากนั้นก็หาทางจับตัวคนร้ายให้ได้”
“ถามจริงๆ เถอะ คุณคิดว่าเรื่องที่มันเกิดขึ้น มันเกี่ยวกับเรื่องสมบัติของคุณเหรอคะ”
“ก็อาจเป็นไปได้”
“งั้นฉันก็มีสิทธิ์ถูกทำร้ายน่ะสิ” ความคิดนั้นทำให้หัวใจเธอ
ชาวูบ
“ก็อาจเป็นไปได้”
“คุณพูดอย่างอื่นไม่เป็นเหรอคะ” เนตรลดาเริ่มโมโหคนพูดประโยคซ้ำ
“ผมคิดอะไรไม่ออกจริงๆ เนตร มันมึนไปหมด ยิ่งเรื่องสมบัติด้วยแล้วนะ ยิ่งมึน เนตรเป็นเมียผม ถ้าผมตายไปทุกอย่างของผม
ก็เป็นของเนตร ผมทำพินัยกรรมไว้แบบนั้น” ชายหนุ่มบอกเธอด้วย
น้ำเสียงอ่อยๆ
“คุณไม่ได้แบ่งให้คุณอานนท์เหรอคะ” หญิงสาวถามอย่างสงสัย
“ไม่หรอก...หมอนั่นได้เงินสดจากพ่อไปตั้งมากมาย ใช้จนตาย
ก็ไม่มีวันหมด ทั้งที่มันก็ไม่ได้ช่วยทำงานในบริษัทสักนิดเดียว มีแต่ผลาญเงิน” ชายหนุ่มรู้สึกว่าน้องชายฝาแฝดเอาเปรียบมาตลอด
ปล่อยให้เขาทำงานอยู่คนเดียว ส่วนเจ้าตัวก็บินปร๋อใช้ชีวิตแบบ
อาร์ติสต์อย่างมีความสุขในการตระเวนไปทั่วโลก กับงานถ่ายภาพสารคดีชีวิตผู้คน
“เขาได้เยอะกว่าคุณหรือไง” หญิงสาวถามขึ้นเมื่อเห็นว่าเขาทำท่าขุ่นเคืองน้องชายฝาแฝด
“มันได้เงินเยอะกว่าผม แต่ผมได้ทุกอย่างที่เป็นธุรกิจของครอบครัว รวมทั้งบ้านและที่ดินทั้งหมดที่มีอยู่”
“งั้น...คนที่น่าสงสัยที่สุด ก็คือฉันอีกน่ะสิ งั้นไปหย่ากันพรุ่งนี้เลย ฉันไม่อยากได้อะไรของคุณหรอก” หญิงสาวไม่อยากตกเป็น
ผู้ต้องสงสัยของใคร
“เนตร...ผมไม่ได้สงสัยคุณนะ” อานัชยอมรับว่าเคยสงสัยเธอ ตามหลักของเหตุและผลของแรงจูงใจ ทว่าหลังจากได้ถามเนตรลดาตรงๆ ในคืนวันนั้น เขาก็เชื่อเธออย่างสนิทใจ นั่นเพราะใจเขาต้องการจะเชื่อเธออย่างไร้เหตุผล ตอนนี้ชายหนุ่มเห็นหยาดน้ำใสรวมทั้งความหวาดหวั่นจากดวงตาของหญิงสาวแล้วก็ยิ่งมั่นใจว่าเนตรลดาไม่คิดร้ายกับเขาแน่นอน เว้นแต่เธอจะเป็นนักแสดงขั้นเทพ ที่ตบตาเขาให้หลงเชื่อได้สนิทใจเท่านั้น เนตรลดาที่เขารู้จักมาเกือบสองปี เธอเป็นคนที่ตรงไปตรงมาเสมอ โดยเฉพาะยามที่แสดงความรู้สึกต่อเขา ทั้งความเย็นชาชิงชังรังเกียจ หรือแม้แต่ความสับสนอย่างเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ชายหนุ่มก็สามารถรับรู้ได้จากดวงตาเรียวกว้าง และตอนนี้
อานัชก็รู้ว่าเธอกำลังหวั่นไหวกับตัวเขาอยู่มากพอสมควร ความคิดนั้นทำให้หัวใจเขาพองโตคับอก
“คุณเคยคิดนี่ จำไม่ได้แล้วเหรอ” เธอย้อนถามเสียงแข็ง
“แค่เคย...แต่ตอนนี้ไม่แล้ว”
“เชื่อคนง่ายจัง” ไม่วายแดกดัน
“เนตร...ผมเครียดๆ อยู่นะอย่าชวนทะเลาะได้มั้ย” น้ำเสียงเขาเริ่มหงุดหงิดที่หญิงสาวยังคอยตอกย้ำเรื่องเก่า
“ถ้าไม่เกี่ยวกับเรื่องสมบัติ สงสัยจะเป็นเรื่องชู้สาว” หญิงสาวยิ้มหยัน
“ผมไม่เคยยุ่งกับผู้หญิงคนไหนตั้งแต่มีเนตร” เขายังย้ำคำเดิม
“อือ...จะมีใครเชื่อบ้างมั้ยหนอ...”
“ถ้าเนตรไม่เชื่อนะ ต่อไปนี้ผมจะไม่ติดต่อ จะไม่เจอกับผู้หญิงคนไหนอีก”
“เกรงว่าคุณจะขาดใจตายก่อนน่ะซี่”
อานัชส่ายหน้าอย่างอ่อนใจที่หญิงสาวไม่เชื่อมั่นในความรู้สึกของเขา ชายหนุ่มมองหญิงสาวด้วยสายตาตัดพ้อ จากนั้นเขาก็หันหน้าไปทางอื่น เนตรลดามองแผ่นหลังกว้างอย่างรู้สึกผิด เขากำลังกลุ้มใจแต่เธอกลับตีรวนเขาเกี่ยวกับเรื่องผู้หญิงคนอื่น ทั้งที่ก่อนมา
โรงพยาบาล เธอสัญญากับตัวเองว่าจะเปิดใจยอมรับเขา พอเอาเข้าจริงๆ ก็อดไม่ได้ที่จะหวาดระแวง ตามประสาคนเคยมีบาดแผลจากการถูกทรยศมาก่อน...สงสัยว่าแผลคงจะลุกลามเกินว่าเธอจะเยียวยาได้ในเวลาอันสั้น
“คุณไม่โทร. บอกคุณอาคุณเหรอคะ” เนตรลดาเอ่ยเสียงเรียบ เดินมานั่งที่เก้าอี้ข้างเตียง ชายหนุ่มยังคงนิ่งเงียบ
“คุณนัช...โกรธฉันเหรอคะ” เธอถามเสียงแผ่ว รู้สึกผิดที่ทำให้เขาไม่สบายใจ
“เปล่า แต่ผมรู้สึกเหนื่อย ท้อแท้ที่เนตรไม่เคยมองเห็นความจริงใจของผม หัวใจคุณทำด้วยอะไรน่ะเนตร ทำไมถึงเย็นชาไม่รับรู้ในสิ่งที่ผมหยิบยื่นให้” เขาต่อว่าเสียงขื่น ทำเอาคนใจแข็งเริ่มมีหยาดน้ำคลอหน่วยตา
“ผมถามจริงๆ เถอะ ที่เนตรไม่รักผมเพราะกลัวผมทำเนตรเจ็บ เหมือนอย่างที่ผู้ชายคนนั้นทำกับคุณ หรือเพราะว่าเนตรยังรักผู้ชายคนนั้นอยู่” น้ำเสียงเศร้าสร้อยของชายหนุ่มทำให้เนตรลดาน้ำตารื้นก่อนหยดริน เธอกลั้นเสียงสะอื้นไว้สุดกำลัง เมื่อแน่ใจว่าไม่สามารถเก็บกักมันไว้ได้อีกต่อไป หญิงสาวก็ผุดลุกเดินออกจากห้องไปทันที การเอ่ยถึงผู้ชายที่เคยทำร้ายหัวใจเธอจนยับย่อย ทำให้ความทรงจำอันรวดร้าวย้อนกลับมาเล่นงานเธออีกครั้ง
เนตรลดานั่งร้องไห้เงียบๆ เพียงลำพัง กระทั่งแก้วขวัญโทร. เข้ามือถือ หญิงสาวจึงบอกเรื่องอานัชถูกรถชนให้อีกฝ่ายรับรู้ แก้วขวัญบอกจะมาเยี่ยมอานัชหลังเลิกงาน
หญิงสาวกำลังจะเดินเข้าห้องพักฟื้น สายตาเหลือบไปเห็นคุณเพทายกับเนวินเดินตรงมาพอดี หน้าตาคุณเพทายบอกบุญไม่รับ ขณะยกมือรับไหว้เนตรลดาอย่างแกนๆ ส่วนเนวินส่งยิ้มทักทายตามประสาคนอารมณ์ดีเป็นนิตย์ เนตรลดาจึงไม่กลับเข้าไปห้องพักฟื้นของอานัชในตอนนี้ เลือกที่จะไปหากาแฟดื่มที่คอฟฟี่ช็อปของโรงพยาบาลแทน
การที่เนตรลดาได้ขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยาของอานัชนั้นได้สร้างความไม่พอใจให้กับคุณเพทายเป็นอย่างมาก บ่อยครั้งที่อีกฝ่ายแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเหม็นขี้หน้าเธอ ใช่ว่าเนตรลดาจะไม่เคยได้ยินคำซุบซิบที่ว่า...เธอเป็นหนูตกถังข้าวสารเศรษฐีหนุ่มรูปหล่อ
บางคนก็พูดทำนองว่าเธอไม่มีอะไรเหมาะกับผู้ชายที่แสนเพอร์เฟ็กต์อย่างอานัช พิทักษ์กุล ทุกคำพูดล้วนทำให้หญิงสาวรู้สึกคับแค้นใจ มันเหมือนเธอเป็นผู้หญิงที่ต่ำต้อยไร้ค่าที่วิ่งไล่จับอานัชมาเป็นสามี ทั้งที่ความจริงแล้วเขาต่างหากที่บีบบังคับเธอด้วยอำนาจเงิน ทำให้เธอกลายเป็นภรรยาของเขา ที่เนตรลดายินยอมก็เพียงเพราะไม่อยากสูญเสียบ้านไปก็เท่านั้น
อานัชทำหน้าเครียดเมื่อได้ยินคำพูดของคุณเพทาย เพราะมันไปสะกิดความคิดบางอย่างที่เป็นตะกอนนอนก้นให้ขุ่นคลั่ก การที่อานัชบาดเจ็บอีกครั้งทำให้คุณเพทายกับเนวินมั่นใจว่านี่ไม่ใช่อุบัติเหตุธรรมดา แม้ชายหนุ่มจะพยายามอธิบาย ยืนยันที่จะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับไปก่อน เพราะยังไม่มั่นใจว่าใครกันแน่ที่อยากให้เขาตาย
ดูเหมือนความพยายามของอานัชจะไม่สำเร็จ แถมคุณเพทายยังมาสงสัยเนตรลดา...ด้วยเหตุผลที่ว่าเธอเป็นคนหนึ่งที่จะได้รับผลประโยชน์มากเมื่อเขาเสียชีวิตลง
โดยที่คุณอาเพทายและครอบครัว ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเนตรลดาคือคนที่ได้รับมรดกทุกอย่างจากเขาเพียงคนเดียวต่างหาก หาใช่เพียงแค่ครึ่งหนึ่งอย่างที่คุณอาเพทายและคนในครอบครัวเข้าใจว่าเขาเขียนพินัยกรรมยกมรดกอีกครึ่งหนึ่งให้อานนท์ เพราะอีกฝ่ายเป็นน้องชายเพียงคนเดียวของเขาที่สมควรได้รับทรัพย์สมบัติของครอบครัว ไม่มีใครรู้เรื่องนี้นอกจากจามรซึ่งเป็นทนายส่วนตัวและยังเป็นเพื่อนรักของเขาเท่านั้น แน่นอน...ตราบใดที่เขายังมีชีวิตอยู่ ทุกอย่างก็ยังคงเป็นของเขาทั้งหมด เว้นแต่เขาจะตายไปเท่านั้น
“ผมว่าพี่นัชไม่ควรไว้ใจเธอนะ” เนวินสำทับความคิดของมารดา
“ไม่ใช่หรอกครับ...ผมไว้ใจเนตร” ตั้งแต่ที่เนตรลดาปฏิเสธว่า
ไม่เคยคิดร้ายต่อเขา อานัชก็ไม่เคยระแวงใดๆ ในตัวเธออีกเลย
นั่นเพราะลึกลงในใจเขาพร้อมจะเชื่อหญิงสาวทุกอย่าง หยาดน้ำตาของเธอในวันนี้มันยิ่งตอกย้ำความเชื่อมั่นของเขามากยิ่งขึ้น คนเราอาจสรรหาคำโกหกมาหลอกลวงกันได้ ทว่าดวงตาของคนเราไม่สามารถซ่อนเร้นความจริงได้ เขาเห็นทุกอย่างในดวงตาเรียวกว้างของเนตรลดา ดวงตาที่สะกดเขาไว้ตั้งแต่แรกเห็น ที่เคยมองเขาอย่างเกลียดชัง แต่ ณ วันนี้ถูกแตะแต้มด้วยความรู้สึกหวั่นไหว สับสน...วันหนึ่งอานัชจะทำให้ดวงตาคู่นั้นของเธอสดใสราวกับดอกไม้บาน ด้วยความรักของเขา...
“อาว่านัชกลับบ้านที่กรุงเทพฯ ก่อนเถอะ” คุณเพทายบอกด้วยน้ำเสียงห่วงใย
“ผมจะยังไม่กลับ” ชายหนุ่มยืนยันเสียงหนักแน่น
“นัชจะหลงเมียมากไปแล้วนะ ทำไมไม่ห่วงความปลอดภัยของตัวเองบ้าง” คุณเพทายทำเสียงหงุดหงิดเมื่อเห็นว่าหลานชายไม่ยอมคล้อยตามกับความเห็นตนเอง
“อย่าเพิ่งคุยอะไรกันตอนนี้เลยครับ พรุ่งนี้พ่อจะมา แล้วค่อยคุยกันอีกทีแล้วกันนะครับ แม่ครับกลับก่อนเถอะพี่นัชจะได้พักผ่อน” เนวินไม่อยากให้ญาติผู้พี่อารมณ์เสียมากกว่านี้ จึงพยายามกล่อมมารดาให้กลับบ้านพักไปก่อน เพราะรู้ว่ามารดาของเขาจะไม่ยอมยุติเรื่องนี้ง่ายๆ คุณเพทายทำท่าฮึดฮัดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยอมออกจากห้องไป
“หายไวๆ นะพี่” เนวินบอกญาติผู้พี่พร้อมรอยยิ้ม
“นายก็รีบเข้าไปทำงานที่บริษัทไวๆ ด้วยล่ะ” อานัชย้อน ทำเอาใบหน้าที่เปื้อนยิ้มอยู่หุบลงแทบจะทันที
“ทวงสัญญาอีกล่ะ เบื่อจัง” เนวินบ่น ก่อนเดินออกจากห้อง
พักฟื้น
อานัชมองกวาดตามองรอบๆ ห้อง ด้วยความรู้สึกอ้างว้างอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ชายหนุ่มปิดเปลือกตาลงพร้อมกับที่เนตรลดาเดินเข้ามาในห้อง หญิงสาวคิดว่าเขาหลับจึงนั่งลงข้างเตียง พิศใบหน้าชายหนุ่มด้วยความรู้สึกอันหลากหลายที่ประเดประดังเข้ามาในใจ
สิ่งที่เธอสัมผัสอย่างชัดเจนในเวลานี้ก็คือความกลัว...หากมีใครกำลังจะวางแผนฆ่าผู้ชายที่นอนอยู่ตรงหน้าเธอจริงๆ
ดวงตาโตกว้างมองสำรวจใบหน้าซีดเซียว หากทว่ายังดูหล่อเหลาอย่างเพิ่งพิศ ตั้งแต่โค้งหน้าผาก ไล่มาถึงคิ้วเข้ม แพขนตายาว สันจมูกโด่งรับกับเรียวปากหยักได้รูปสวย ปลายคางแข็งแรงที่มีรอยผ่าเล็กๆ เขาเป็นผู้ชายแบบไหนกันนะ ทำไมดูดีได้อย่างเหลือเชื่อ มันทำให้เธอกลัวมากยิ่งขึ้น เพราะเนตรลดาเป็นผู้หญิงที่ดูธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น ถ้าวัดจากรูปลักษณ์ภายนอก ทั้งหน้าตารูปร่าง ฐานะ เธอห่างไกลจากเขามากเสียจนเนตรลดาไม่เชื่อมั่นว่าคนอย่างอานัช พิทักษ์กุลจะมาหลงรักเธอได้ ที่ผ่านมาเธอจึงสรุปว่าอานัชแค่ต้องการเอาชนะเธอเท่านั้น ลึกๆ หญิงสาวก็ยอมรับว่านับวันเธอก็หวั่นไหวกับคำรักของเขามากขึ้นทุกที
เนตรลดาจับมือของชายหนุ่ม นึกสงสัยว่าเขาเป็นผู้ชายที่ตัวโตมาก ทำไมนิ้วเขาดูเรียวเล็ก เมื่อเทียบกับผู้ชายคนอื่นๆ ...มือของคนที่จับแต่ปากกา หญิงสาวไม่วายค่อนแคะในใจ
อานัชที่นอนหลับตานิ่งตั้งแต่ที่หญิงสาวก้าวเข้ามาในห้อง แทบบังคับการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติไม่ได้ มือนุ่มที่จับมือเขาอยู่นำความอบอุ่นแผ่ซ่านไปถึงหัวใจ เนตรลดาช่างเป็นผู้หญิงที่ทำให้อานัชประหลาดใจอย่างนึกไม่ถึง ตอนที่เขาลืมตาขึ้นหลังจากหมดสติไป เธอร้องไห้อย่างขวัญเสียราวกับเด็กตัวเล็กๆ มันทำให้ชายหนุ่มคิดว่าเธอกลัวการสูญเสียเขา พอลืมตาขึ้นมาพูดคุยกัน ทุกอย่างก็กลายกลับเป็นเช่นเดิม คือขัดแย้งห่างเหินเย็นชาในเวลาต่อมา พอเขาหลับตาลงหญิงสาวกลับแสดงสิ่งที่ตรงกันข้ามกับตอนที่เขาลืมตาตื่น มันยากที่เขาจะคาดเดาความรู้สึกที่แท้จริงของเธอ แต่เวลานี้อานัชชอบการแสดงออกของเธอ กระทั่งไม่อยากจะลืมตาขึ้น
อานัชลืมตาตื่นขึ้นมาอีกทีในเวลาเย็นย่ำ ในห้องมีเพียงแสงสลัวจากโคมไฟบนผนังหัวเตียง ชายหนุ่มมองออกไปยังนอกหน้าต่าง เห็นฟ้าเบื้องนอกเป็นสีเทาหม่น มีสายฝนโปรยปรายลงมาเบาบาง เขาเบนสายตามองกวาดไปทั่วห้อง หวังจะเจอร่างบางของผู้หญิงที่เขารักหมดใจ แต่ก็ต้องผิดหวัง...ภายในห้องมีเขานอนอยู่เพียงลำพัง คิ้วเข้มขมวดมุ่นอย่างขัดใจ ต่อมาคลายออกเมื่อได้ยินเสียงประตูห้องถูกผลักเข้ามาตามด้วยเสียงฝีเท้าแผ่วเบา
อานัชทำหน้าผิดหวังอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเป็นพยาบาลสองคนเข้ามาวัดไข้ เช็ดตัว ทำแผลที่ศีรษะและให้ยา กำชับให้เขาพักผ่อนเยอะๆ ก่อนพากันออกจากห้องไป ไม่นานอาหารเย็นก็ถูกวางไว้
บนโต๊ะ แล้วคนที่เขาเฝ้ารออยู่ก็โผล่หน้าเข้ามาในห้อง
“หายไปไหนมา”
“เดินเล่นแถวนี้แหละค่ะ ทานข้าวเถอะค่ะ เดี๋ยวจะเย็นเสียก่อน” หญิงสาวเข็นโต๊ะอาหารมาชิดที่เตียงคนไข้
“พรุ่งนี้เนตรเช็ดตัวให้ผมได้มั้ย” อยู่ๆ ชายหนุ่มก็ตัดบทไปพูดอีกเรื่องเสียเฉยๆ ทำเอาเนตรลดาเงอะงะไปชั่วขณะ เพราะไม่รู้จะตอบเขาว่าอย่างไร
“ทำไมล่ะพยาบาลเขาทำไม่ดีหรือยังไง” เนตรลดารู้สึกร้อนวูบที่ใบหน้า เมื่อคิดว่าตัวเองต้องดูแลเขาอย่างใกล้ชิดขนาดนั้น
“เปล่า แต่ผมอยากให้เนตรทำ” เสียงนุ่มแฝงความรื่นเริงนั้นทำให้เนตรลดาเงยหน้าขึ้น เจอกับดวงตาพราวกระจ่าง ใบหน้า
หญิงสาวก็แดงก่ำขึ้นทันควัน อานัชคลี่ยิ้มบางๆ เพราะมองจากภายนอก เนตรลดาคือหญิงสาวเย็นชานิ่งเรียบและดูมาดมั่น แต่จริงๆ แล้วกลับขี้อายอย่างไม่น่าเชื่อ นั่นละคือของจุดอ่อนของ
หญิงสาวที่อานัชต้องการจะเล่นงานเธอกลับ เพราะเบื่อท่าทีเย็นชาห่างเหินของเนตรลดาเต็มที
“ฉันทำไม่เป็นหรอก” บอกออกไปตรงๆ ตามนิสัยเธอ
“เนตรไม่อยากโดนตัวผม เพราะกลัวห้ามใจไม่ได้ใช่มั้ย” เขาเย้าเสียงร่าเริง
“บ้า...ฉันจะไปกลัวอะไรบ้าๆ แบบนั้นได้ไง” บอกไปทั้งที่แก้มยังแดงปลั่ง
“งั้น...ต้องพิสูจน์นะ” เขามองเธออย่างท้าทาย
“ไม่ทำ...ฉันไม่อยากโดนตัวคุณ เพราะรังเกียจ!” หญิงสาวเน้นคำ พยายามแสร้งทำหน้าดุวางมาดเยือกเย็นอย่างที่เคยทำมาตลอด ดูเหมือนครั้งนี้นอกจากชายหนุ่มจะไม่นึกเกรง หากกลับ
หัวเราะหึๆ จนเธอเริ่มหงุดหงิด
“ไม่เป็นไร...ถ้ารังเกียจนักก็ให้พยาบาลสาวๆ สวยๆ มือนุ่มๆ เช็ดให้ก็ได้”
เนตรลดาระงับความขุ่นเคืองในถ้อยคำของเขา เบือนหน้าตึงๆ ออกไปนอกหน้าต่าง
“ทานข้าวซะ!” บอกห้วนๆ แล้วเดินไปชิดกระจก มองสายฝน
ที่เริ่มโปรยสายหนักขึ้นเรื่อยๆ
ชายหนุ่มกินข้าวเงียบๆ ลอบมองหญิงสาวบ่อยครั้ง เขาเริ่มจับอารมณ์ความรู้สึกของหญิงสาวได้มากขึ้น รู้ว่าควรทำอย่างไรเพื่อให้เธอแสดงความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองออกมา
หลังอานัชกินอาหารเสร็จ แก้วขวัญก็โผล่หน้ามาพร้อมกระเช้าผลไม้
“ตอนรู้ข่าวใจหายหมดเลยค่ะคุณนัช ไม่คิดเลยว่าจะมีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นกับคุณนัชอีก” แก้วขวัญเอ่ยด้วยน้ำเสียงเห็นใจ อานัชยิ้มให้หญิงสาว
“ผมโชคร้ายนิดหน่อยครับคุณแก้ว ก็หวังว่าวันหนึ่งจะโชคดีบ้าง”
“คุณนัชเป็นคนดี แก้วเชื่อว่าต้องเจอสิ่งดีๆ อยู่แล้ว”
“อย่านานนักละโชคชะตา” ชายหนุ่มรำพึงกับตัวเองมากกว่าจะพูดกับแก้วขวัญ
เนตรลดานั่งฟังเพื่อนรักคุยกับชายหนุ่มอย่างเงียบๆ กระทั่งผ่านไปยี่สิบนาที แก้วขวัญก็ขอตัวกลับ เนตรลดาจึงเดินมาส่งเพื่อน
“เนตรมานั่งคุยกันตรงนี้ก่อน” แก้วขวัญลากแขนเพื่อนเข้าไปในคอฟฟี่ช็อป
“มีอะไรเหรอ”
“แก้วว่ามันแปลกๆ นะ ทำไมคุณนัชต้องเจ็บตัวถึงสองครั้งภายในปีเดียวแบบนี้ มันบังเอิญเกินไปหรือเปล่า”
“เขาบอกว่ามีคนพยายามลอบฆ่าเขาน่ะ” เนตรลดาบอกเสียงเครียด แก้วขวัญอุทานเสียงแผ่ว นัยน์ตาเบิกกว้าง
“เขาสงสัยใครล่ะ”
“ฉันมั้ง...”
“จะบ้าเหรอ...”
“ไม่รู้สิ...ฉันรู้สึกนะว่าแม้ปากเขาจะบอกว่าเชื่อว่าฉันไม่ได้เป็นคนทำ แต่ลึกๆ ฉันรู้สึกว่าเขาไม่มั่นใจนักหรอก”
“คิดมากไปหรือเปล่าเนตร ฉันว่าคุณนัชดูเขาเป็นคนตรงไปตรงมานะ ไม่เหลี่ยมจัดหรอกน่า”
“คิดตามเหตุผล...หากเขาตายคนที่ได้ผลประโยชน์มากที่สุดคือฉัน...”
“ตกลงเขายกทุกอย่างให้เนตรเหรอ”
“เขาบอกฉันอย่างนั้นนะ”
“แสดงว่าเขารักเธอมากนะเนตร” แก้วขวัญรู้สึกปลาบปลื้มแทนเพื่อนรักที่ในที่สุดก็เจอรักแท้ไม่แพ้อะไร
“เราจะตัดสินคนคนหนึ่งว่ารักเรามาก เพราะสมบัติที่เขายกให้ไม่ได้หรอกนะแก้ว” เนตรลดาแย้ง
“แล้วครอบครัวเขาล่ะ” แก้วขวัญซักต่อ
“เขาจะสงสัยคนในครอบครัวได้ยังไงล่ะ เป็นไปไม่ได้หรอก”
“มันก็จริง ถ้าเขาทำพินัยกรรมไว้ว่ายกทุกอย่างให้เธอหลัง
เขาตาย ครอบครัวเขาก็ไม่ได้อะไรอยู่แล้ว เว้นเสียแต่ว่าเนตรจะตายก่อนเท่านั้น”
“นั่นน่ะสิ...ฉันจึงน่าสงสัยมากที่สุดในตอนนี้”
“ถ้ามันไม่เกี่ยวกับเรื่องสมบัติล่ะ”
“งั้นคงมีใครสักคนเหม็นหน้าเขาขนาดหนัก จนไม่อยากให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไปล่ะมั้ง”
“หรือว่า...เป็นฝีมือสามีของยายเจนนี่”
“เขายืนยันว่าไม่มีอะไรกับเจนนี่ และคุยกับทางคุณคิมหันต์แล้ว” เนตรลดาอธิบายตามที่อานัชเคยบอกเธอ
“แล้วรายอื่นล่ะ”
“นั่นสินะ...”
“แต่ท่าทางคุณนัชเขารักเธอออกนะเนตร” แก้วขวัญพูดไปตามที่สายตาเห็น
“ฉันไม่ค่อยรู้สึกนะ” ปากบอกออกไปอย่างนั้น แต่ใจก็ไหวๆ กับสายตาและท่าทีของเขา
“เธอโกหกแน่เลยเนตร จริงๆ แล้วแก้วรู้น่าว่าเนตรรู้สึก แต่บ่ายเบี่ยงจะยอมรับใช่มั้ยล่ะ” แก้วขวัญเอ่ยขึ้นอย่างรู้ทันคนปากแข็ง
“ทำเป็นรู้ดี” เนตรลดาตีแขนเพื่อนอย่างหมั่นไส้
“เนตร...เรื่องความรักครั้งก่อนลืมๆ ไปเถอะน่า คุณนัชเขาจริงใจกับเนตรขนาดนี้ แล้วยังทำเป็นมองไม่เห็นอยู่ได้ ผู้ชายบ้าที่ไหนจะยอมจดทะเบียนและยอมใช้หนี้ให้มากมาย รวมทั้งเขียนพินัยกรรมยกทรัพย์สินทั้งหมดให้ ถ้าไม่ใช่เพราะรัก” แก้วขวัญยกเหตุผลเพื่อจูงใจเพื่อนสาวให้ยอมรับความจริง ที่ดูเหมือนว่าเนตรลดาจะพยายามบ่ายเบี่ยงมานานแล้ว โดยเฉพาะความรู้สึกของตัวเองที่มีต่ออานัช
“ไม่รู้สิ...ฉันไม่แน่ใจในหลายอย่าง”
“เพราะคุณนัชเข้ามาในชีวิตเธอแบบไม่ปกติใช่มั้ยเนตร เธอน่ะตีกรอบตัวเองและความสัมพันธ์เกินไปนะ ใช่ว่าทุกอย่างจะต้องเริ่มต้นที่ศูนย์เสมอไป บางอย่างมันก็ก้าวกระโดดข้ามขั้นตอนบางอย่างได้ มันแล้วแต่จังหวะชีวิตมากกว่านะเนตร หรือไม่ก็ด้วยพรหมลิขิต”
“ฉันว่าตอนต้นมันก็ฟังดูดีนะแก้ว แต่ตอนจบเพ้อฝันอ่ะ”
“เฮ้อ...พูดกับคนดื้อรั้นอย่างเธอนี่เหนื่อยจังเลย ว่าแต่พี่รุจติดต่อกลับมาบ้างหรือยังล่ะ” เมื่อเห็นว่าเพื่อนสาวท่าทางจะกล่อมยาก แก้วขวัญจึงเปลี่ยนเรื่องคุยทันที
“ยังเลย...”
“บ้าผู้หญิงหนักขนาดนั้นเชียวเหรอ!” เสียงเริ่มขุ่น ใบหน้าก็งอง้ำ
“แก้ว...ฉันว่าพี่รุจคงไม่ได้ไปกับผู้หญิงหรอก”
“อ้าว...แล้วพี่รุจไปกับใครล่ะ” รู้สึกเหมือนใครดึงเสี้ยนออกจากปลายนิ้ว พลอยทำให้หัวใจมันโปร่งโล่งอย่างบอกไม่ถูก
“คืออย่างนี้นะแก้ว...” เนตรลดาตัดสินใจบอกเรื่องที่เธอโดนจับตัวไปให้แก้วขวัญรับรู้ ถ้าสิ่งที่เนตรลดาสงสัยว่าแก้วขวัญจะรู้สึกพิเศษกับพี่ชายเธอเป็นจริงก็อยากให้แก้วขวัญทบทวนใหม่ เพราะพี่ชายเธอไม่ใช่คนที่จะสามารถดูแลหรือเป็นหัวหน้าครอบครัวได้ ตัวเขาเอง
ยังเอาตัวไม่รอด แถมยังสร้างปัญหาให้คนอื่นเดือดร้อนอีกต่างหาก
แก้วขวัญถึงกับทำหน้าเศร้าเมื่อได้ยินสิ่งที่เนตรลดาบอก ไม่คิดเลยว่าจารุจจะก่อปัญหาให้เนตรลดาได้มากมายขนาดนี้ รู้สึกเสียใจผิดหวังเป็นอย่างมาก
“เราผิดเองที่ไม่บอกเรื่องนี้กับเนตร” หากแก้วขวัญบอกเรื่องที่เธอเห็นจารุจเข้าบ่อนกับเนตรลดาตั้งแต่แรก บางทีเนตรลดาอาจจัดการกับจารุจได้ก่อนที่เขาจะก่อเรื่องใหญ่ เป็นเพราะเธอเชื่อ
คำสัญญาของจารุจ ไม่น่าเลย...
“หมายความว่าไงแก้ว” คิ้วเรียวสวยของเนตรลดาขมวดมุ่น
มองแก้วขวัญอย่างคาดคั้น
“คือก่อนหน้านั้นแก้วเห็นพี่รุจเข้าไปในบ่อน แต่ไม่ได้บอกเนตร” แก้วขวัญทำเสียงอ่อย มือพันผมตัวเองเล่นเหมือนไม่รู้จะเอาไปวางไว้ตรงไหน
“ทำไมไม่บอกฉันล่ะแก้ว” น้ำเสียงเนตรลดาเริ่มเข้มขึ้น แก้วขวัญทำหน้าหงอย
“คือ...” ไม่รู้จะบอกเพื่อนรักยังไง เพราะแก้วขวัญก็ยังไม่เข้าใจในการกระทำตัวเองนัก
“ทำไมล่ะแก้ว!” รุกไล่อย่างไม่ลดละ
“เราบังคับให้พี่รุจเลิกกับยายปิ๋มน่ะ โดยขู่ว่าจะบอกเนตรเรื่องพี่รุจเข้าบ่อน และพี่รุจก็สัญญาว่าจะไม่เข้าบ่อนอีก เราก็เลยไม่ได้บอกเนตร” ขืนไม่บอกความจริงไป เนตรลดาคงโดดมาหักคอเธอแน่
“แก้วทำแบบนั้นทำไม” เมื่อรู้คำตอบก็มีคำถามอื่นตามมา
เป็นคำถามที่แก้วขวัญรู้ว่ามันดูไร้เหตุผลสิ้นดี
“ก็ไม่มีอะไรหรอก แก้วเกลียดยายปิ๋ม ชอบมาหว่านเสน่ห์ใส่คุณภีม” ตอบไม่ค่อยเต็มเสียงนักแถมยังหลบตาเนตรลดาด้วย
“มันฟังไม่ค่อยขึ้นเลยนะแก้ว มีแต่พี่รุจนั่นล่ะมั้งที่เชื่อ”
“พี่รุจยังเชื่อเลย แล้วทำไมเนตรไม่เชื่อแก้วล่ะ” เธอย้อนเสียง
อ่อยๆ
“เพราะเนตรไม่ได้ซื่อบื้อเหมือนพี่รุจนี่ ถามจริงเถอะ...แก้วชอบพี่รุจเหรอ” หญิงสาวขี้เกียจสงสัยและคาดเดาต่อไป จึงถามออกไปตรงๆ
“บ้า...ใครจะไปชอบล่ะ” รีบปฏิเสธเป็นพัลวัน ดวงตาเสมองไปทางอื่นอย่างมีพิรุธ
“ดีแล้วละที่ไม่ชอบ พี่รุจน่ะเขาไม่เหมาะจะเป็นหัวหน้าครอบครัวหรอก ดูแลตัวเองยังไม่ได้เลย” ยังไงแก้วขวัญก็เป็นเพื่อนรัก เนตรลดาก็อยากให้เพื่อนเจอคนที่ดีกว่าพี่ชายตัวแสบของเธอมากกว่า
“แต่ถ้าแก้วชอบพี่รุจ เนตรจะรังเกียจแก้วเหรอ” ถามเหมือนลองใจเพื่อนรัก
“ไม่รังเกียจ แต่คิดว่าถ้าแก้วเป็นพี่สะใภ้ ชีวิตเนตรคงป่วนมากกว่าเดิม”
“อ้าว...หาว่าแก้วเป็นตัวป่วน” เจ้าตัวบ่นทำหน้ามุ่ย
“จริงๆ เนตรห่วงแก้วน่ะ พี่รุจเป็นแบบนั้นเนตรก็ยิ่งห่วง อยากให้แก้วเจอคนที่ดีกว่าพี่รุจมากกว่า”
“ไม่คิดว่าพี่รุจจะปรับปรุงตัวเองเหรอ” ถึงตอนนี้แก้วขวัญก็ยังคาดหวังในตัวจารุจ
“ไม่รู้สิ...ขนาดมีพ่อเป็นตัวอย่างให้เห็นพี่รุจยังคิดไม่ได้เลย แล้วตอนนี้พี่รุจก็อายุสามสิบเข้าไปแล้ว ยังทำตัวเหลวไหลสร้างปัญหา เนตรเลยไม่กล้าหวัง ไม่อยากให้แก้วเอาชีวิตดีๆ ของแก้วมาเสี่ยงกับพี่รุจ เอ...แก้วพูดยังงี้หมายความว่ารักพี่รุจเหรอ” เนตรลดาเริ่มเอะใจในท่าทีของเพื่อนรัก
“ไม่รู้สิ...มันบอกไม่ถูก สับสนเหมือนกัน” แก้วขวัญทำหน้าครุ่นคิด
“แก้วอาจจะแค่หวงพี่รุจ ตามประสาคนที่รู้จักมักคุ้นกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย เพราะพี่รุจก็ถือว่าเป็นผู้ชายที่แก้วสนิทสนมด้วยที่สุดในชีวิต” เนตรลดาสันนิษฐาน
“อาจเป็นแบบนั้น แต่เวลาที่เห็นพี่รุจเดินกับผู้หญิงอื่นทำไมมันรู้สึกจี๊ดๆ ขึ้นมาล่ะเนตร” สารภาพเสียงเศร้าสร้อย เนตรลดาคิดว่านั่นคงเป็นแค่คำเปรย ไม่ได้หวังคำตอบ เธอจึงเลือกที่จะเงียบ
“เนตร...คนเราถ้าไม่รักจะหึงทำไมล่ะ เนตรเคยรู้สึกหึงใครบ้างมั้ย” รบเร้าจะเอาคำตอบจากเพื่อน เนตรลดาปรายตามองเพื่อนรักอย่างขัดใจ พูดเรื่องตัวเองอยู่ตั้งนาน ทำไมวกมาถามเธอแบบนี้
“ว่าไงล่ะเนตร...” ยังคะยั้นคะยอไม่เลิก
“แก้วกลับบ้านไปเถอะ ค่ำแล้ว” นอกจากไม่ตอบแล้ว เนตรลดายังไล่ให้อีกฝ่ายกลับบ้าน
“ถึงไม่ตอบแก้วก็รู้น่า...หึงสามีตัวเองใช่มั้ยล่ะ” พูดจบแก้วขวัญก็รีบลุกจากเก้าอี้เดินตัวปลิวจากไปทันที ก็ถ้าช้ากว่านั้นโดนเนตรลดาทุบเอาแน่ๆ เห็นแววตาเรียวกว้างวาบขึ้นมาก็รู้แล้ว เรื่องอะไรจะรอช้าให้แม่เพื่อนรักเล่นงานล่ะ
++++++++++++++++++++
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

จะพยายามให้ทันก่อนพี่จูนิจะลบเรื่องน้า
ยัดเหยียด > ยัดเยียด
พอรุ่ง > พอย่ำรุ่ง , รุ่งขึ้น
ค่อยข้าง > ค่อนข้าง
เห้นหน้า > เห็นหน้า
บนเก้า > บนเก้าอี้
ปลิบ > ปลอบ
พยาบาท > พยาบาล
เจ้าของไหว้ > เจ้าของไข้
อยู่กระทั่ง > จนกระทั่ง
ทำยังไงดีค่ะ > ดีคะ
ยังจะห่วงเขาเหรอ > ยังจะห่วงเขาอีกเหรอ
อาร์ตติสต์ > อาร์ติสต์
ตะเวน > ตระเวน ดีกว่า
คอฟฟี่ช้อป > คอฟฟี่ช็อป มีสองที่ค่ะ
ค่อยแคะ > ค่อนแคะ
บางเบาราว > บางเบา
คาดหวังในจารุจ > ในตัวจารุจ
เจอแค่นี้ค่ะ
รู้สึกว่าความสงสารที่มีให้พี่นัช
จะเริ่มหดหายเข้าไปเรื่อยๆ
(>__<)