คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : คำสอนข้อที่ 4 ผู้สืบทอดเจตนารมณ์แห่งแสงคือผู้ขัดเกลาจิตใจของผู้คน
‘อ้าว! ข้าก็นึกว่าท่าน ใช้ศาสตร์มืดแขนงไหนมาทำเสน่ห์ใส่หม่ามี้ซะอีก’
‘ข้าเป็นผู้สืบทอดเจตนารมณ์แห่งแสงใช้ศาสตร์มืดไม่เป็นโว้ยย!...แต่ถ้าให้ย้อนเวลาไปได้ข้าก็จะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับนางซะจะดีกว่า’ (กระซิบ)
‘ทำไมล่ะขอรับ หม่ามี้สวยออกจะตาย’
‘สวยก็สวยอยู่หรอก...แต่น่ากลัวเป็นบ้า!’ (ลืมกระซิบ)
‘อุย~! ท่านอาจารย์ ข้าขอตัวก่อนล่ะขอรับ!’
ผ่างงง~!!
‘โอ้ยแม่จ๋า!! พ่อเจ็บ! อย่าทำพ่อเลย! พ่อสำนึกผิดแล้ว จะไม่นินทาแม่อีกแล้วจ้า~!! โอ้ย!!’
‘จักรพรรดิมืด’ ชื่อที่ไม่ว่าจะเด็กเล็กอายุ 2 ขวบ ยันเด็กใหญ่อายุ 60 อัพ ไม่ว่าจะมนุษย์หรือไม่ใช่มนุษย์ เมื่อได้ยินก็ต้องรีบมุดเข้าใต้โต๊ะอย่างหวาดผวา ด้วยเหตุที่ว่าเจ้าของชื่อนี้ขึ้นชื่อเรื่องความน่ากลัวชนิดถ้ามองหน้า...หัวก็จะหลุดออกจากบ่า ถ้าไม่ถูกชะตา...หัวก็จะปลิวหายไปตามสายลม ซึ่งถ้าพูดถึงความอำมหิต คงไม่มีใครกล้ามองข้ามชื่อนี้ไปเป็นแน่
ชื่อนี้มีปรากฏไปทั่วทุกสารทิศ ไม่ว่าจะเป็นแบบเรียนเด็กประถม นิทานบ้านสุขสันต์ นิยายสยองขวัญเขย่าประสาท ตำนานโบราณ นิทานท้องถิ่น นิตยาสารรายสัปดาห์ บลาๆๆๆ...
ซึ่ง ณ ตอนนี้ข้าก็กำลังเล่นจ้องตากับนายแบบนิตยาสารชื่อดังคนนั้นอยู่เสียด้วย
“ยินดีที่ได้รู้จักในร่างจริงนะไอซี” รอยยิ้มแสยะชวนสยองเผยให้เห็นแบบเต็มๆ ตา ทำให้คนขวัญอ่อนอย่างข้าเขยิบถอยโดยไม่รู้ตัว
“พวกเจ้าต้องการอะไรจากข้า” รอยยิ้มเป็นมิตรสุดๆ แต่ยังข่มเสียงไม่ให้สั่นได้ไม่เนียนนัก
ข้าควรจะทำยังไงดี ระหว่างหวาดกลัวในเกียรติศักดิ์อันแสนน่ากลัวที่เล่าต่อกันมา กับหัวเราะในพฤติกรรมของตัวจริงที่กำลังจัดดอกไม้ในแจกัน
“ข้าไม่ได้ต้องการอะไรจากเจ้าหรอก แต่อาจารย์ของเจ้าฝากให้ข้าทดสอบเจ้า” ปากพูดแต่มือทั้งสองยังวุ่นวายอยู่กับการจัดดอกไม้
“ทดสอบ?”
“ทดสอบเป็นหนึ่งในเทพแห่งการควบคุมที่ขึ้นตรงต่อองค์มหาเทพ ข้าพูดให้เจ้าฟังไปแล้วไม่ใช่หรือ เจ้าภูติน้อย อืม...ขอดอกกุหลาบสีชมพูสองดอก”
ประโยคหลังเขาพูดกับข้ารึเปล่านะ?
“หยิบให้หน่อยสิ อยู่บนหัวเตียงของเจ้า ข้าหยิบไม่ถึง” เด็กชายชี้ไปที่แจกันอีกใบบนหัวเตียงของข้า
ข้าเลยเอื้อมไปหยิบแล้วส่งให้เขาอย่างงงๆ
ข้าว่าจักรพรรดิมืดกับการจัดดอกไม้มันไม่เข้ากันเท่าไหร่นะเจ้าว่าไหมล่ะ! ถึงจะเตี้ย...หมายถึงตัวเล็ก ตัวเล็กกว่าข้า หน้าตาสู้ข้าไม่ได้ แต่งตัวเหมือนเด็กหนีออกจากบ้าน เรื่องความสยองก็ยังพอได้อยู่...แต่มันก็ไม่เข้ากันสักนิด!
ข้าพยายามตัดความคิดฟุ้งซ่านของตัวเองทิ้ง “การทดสอบเป็นเทพเนี่ยนะ ใครเป็นคนคิดกัน! ข้าคิดว่าเทพอาจเป็นเผ่าพันธุ์หรืออะไรสักอย่างที่สูญพันธุ์ไปแล้วด้วยซ้ำ ถึงไม่มีคนเคยเห็นเคยรู้จัก!” ตอนนี้หน้าข้าคงเหลอหลาน่าดูทีเดียวในเมื่อเวลเดย์ถึงกับหยุดจัดดอกไม้ในแจกันนั่นแล้วหันมาขำข้าแทน
“อัชลานไม่ได้สอนอะไรที่มันถูกต้องกับเจ้าเลยจริงๆ ด้วย” สายตาเขาดูเวทนาชอบกล “น่าเสียดาย แต่อัชลานก็เป็นเด็กที่เก่งทีเดียว เรื่องวิชาความรู้น่าจะพอไหว”
เด็ก...อืม...ข้าว่าคำนี้ไม่ค่อยเหมาะกับท่านอาจารย์เท่าไหร่
“เจ้าอายุเท่าไหร่กัน เวลเดย์”
“อืม...จำไม่ได้แล้วล่ะ” เขาครุ่นคิดอยู่สักพัก “ข้าอยู่มานานแล้ว...ตั้งแต่ยุคแรกเริ่มของเผ่าเงาน่าจะได้”
เฮือก!
เท่าที่ข้ารู้เผ่าเงาสูญพันธุ์ไปแล้วไม่ต่ำกว่าแสนปี!
“ขะ...ข้าไม่ถามต่อแล้วล่ะ เชิญเจ้าพูดต่อเถอะ” ข้าพยายามทำใจในเมื่อเด็กตรงหน้าข้าไม่ค่อยมีอะไรปกติตั้งแต่แรกเห็นแล้ว ข้าว่าข้าลืมไอ้ที่รู้ไปจะดีกว่า...
“ข้าอยู่ในนามจักรพรรดิมืดสำหรับพวกอมนุษย์อย่างพวกเราก็จริง แต่ถ้าเป็นพวกมนุษย์พวกเขารู้จักข้าในนามเทพแห่งความมืด ซึ่งเป็นหนึ่งในเทพแห่งการควบคุมทั้ง 7 ที่ขึ้นตรงต่อองค์มหาเทพยังไงล่ะ หาว~” เขาพูดเนิบๆ ก่อนจะเอามือมาป้องปากแล้วหาววอดใหญ่
“แล้วผู้สืบทอดเจตนารมณ์แห่งแสงคืออะไร”
ท่านอาจารย์เป็นผู้สืบทอดเจตนารมณ์แห่งแสงรุ่นที่ 21 ส่วนข้านั้นเป็นรุ่นที่ 22 ข้ายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไอ้ตำแหน่งนี่มีไว้เพื่อทำอะไรกันแน่
“ถ้าจะให้พูดง่ายๆ พวกเขาก็คือผู้ที่มีสิทธิรับการทดสอบเป็นจักรพรรดิแห่งแสงยังไงล่ะ 21 คนที่ผ่านมาไม่มีใครสอบผ่านสักกะคน” เวลเดย์ทำสีหน้าหน่ายๆ เหมือนอยากจะบอกว่า ขอให้เจ้าผ่านเถอะข้าขี้เกียจพูดอะไรซ้ำซากบ่อยๆ
“21 คนที่ผ่านมาไม่มีใครผ่านเนี่ยนะ! แล้วข้าจะผ่านได้ยังไง ไม่ต้องทดสอบก็เห็นๆ กันอยู่แล้ว!” มือทั้งสองขยี้ผมตัวเองอย่างหัวเสียเป็นที่สุดเมื่อนึกถึงระดับความยากของบททดสอบที่ว่า
“อย่าพึ่งกังวลไป อัชลานอาจารย์ของเจ้าเกือบผ่านเชียวนะ” ดาเกอร์แทรกบทสนทนาเหมือนจะพยายามบอกว่า ‘เฮ่ ข้ายังนั่งอยู่ตรงนี้นะ’ อะไรแบบนี้
“แล้วเจ้ารู้ได้ไง” คิ้วขมวดเป็นปมเมื่อหัวข้อสนทนามันช่างวุ่นวายวนเวียนวกวน น่าปวดหัวอย่างเหลือแสน
ชายหนุ่มจากคณะตัวตลกแย้มรอยยิ้ม ยืนขึ้นก่อนจะโค้งทำมุม 90 องศาขนานกับพื้นโลก “ข้ามีนามว่าดาเกอร์ เมทัล เผ่าพันธุ์ต้นกำเนิดคือมนุษย์ อาชีพหลักคือการตะลอนไปตามคณะละครสัตว์ต่างๆ เพื่อแสดงโชว์ ขึ้นรับตำแหน่งเป็น 1 ใน 7 เทพแห่งการควบคุมผู้ขึ้นตรงต่อองค์มหาเทพตอนอายุ 25 ปี บริบูรณ์แป๊ะๆ ดำรงตำแหน่งมาเป็นเวลา 52 ปี อายุตอนนี้ก็ 25 ปีบริบูรณ์แป๊ะๆ อยู่เช่นเดิม”
“ตาลุงขี้ตู่เอ้ย! แก่ปูนนี้ยังบอกว่าตัวเองอายุ 25 อยู่อีกหรอเนี่ย!”
คิ้วกระตุกกึกก่อนที่จะทิ้งมาดดูดีไปเสียสิ้น “ใครเป็นลุงเจ้ากัน! ไอ้แก่หน้าเด็ก! อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะว่าเจ้าน่ะอายุจริงๆ อายุเท่าไหร่! เจ้าเด็กสตอ!” มือทั้งสองคว้าคอเสื้อคนป่วยที่นอนอยู่บนเตียงจนตัวลอย
“ใครแก่กันโว้ยยย!!” คนป่วยโวยวาย พยายามแกะโครงกระดูกที่คอเสื้อออก
“เจ้าไง! ไอ้แก่หน้าเด็ก! ตัวก็เตี้ยหม้อต้อ! สตอได้อย่างหน้าด้านๆ!”
แฮ่ม!!
เสียงกระแอมไอเรียกให้ศึกขนาดย่อมหยุดชะงัด สายตาทั้งสองคู่เบนไปทางร่างเล็ก
อืม...ไอ้แก่หน้าเด็ก ตัวเตี้ยหม้อต้อ สตอได้อย่างหน้าตาย
คุ้นๆ เนอะ...
“...” เชลยคนที่หนึ่งรูดซิบปากก่อนจะปล่อยมือทั้งสองออกอย่างรวดเร็ว
“...” เชลยคนที่สองก็กริบไม่แพ้กัน พอก้นถึงเตียงก็รีบคว้าผ้าห่มมาคลุมโปงจนไม่เหลือให้เห็นแม้แต่ผมสักเส้น
ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่คนพูด แต่ก็เป็นจำเลยในเหตุการณ์
ข้าลอบกลืนน้ำลายหนืดๆ ลงคอโดยไร้เสียง ถึงแม้ว่าข้าจะไม่เคยเห็นภัยอันตรายใดๆ จาก...ไอ้แก่หน้าเด็ก คนนี้ แต่ข้าก็ไม่อยากจะลองประสบกับภัยนั้นกับตัวนัก
“อืม...ว่าแต่ อัชลานจะรอดมาถึงที่นี่รึเปล่านะ” เวลเดย์เอ่ยเบาๆ
นั่นสิ...ข้อนี้ข้าก็ไม่แน่ใจนัก
รองเท้าส้นสูงก้าวไปตามทางเดินของห้องโถงกว้าง เกิดเสียงเป็นจังหวะจนทำให้สายตาหลายต่อหลายคู่หันไปมองต้นกำเนิดเสียง เพราะที่นี่ไม่บ่อยนักที่จะได้ยินเสียงของรองเท้าส้นสูงที่เป็นรองเท้าสำหรับสุภาพสตรีจากแขกที่มาใช้บริการ
สถานที่เริงรมย์สำหรับคุณผู้ชายผู้เปล่าเปลี่ยวหัวใจ รวบรวมสิ่งผ่อนคลายชวนให้หายเหนื่อยล้า สถานที่ที่ถูกขนานนามว่า ‘อาบอบนวด’ (!?)
สาวหุ่นสวยแต่งตัวเผยนู่นนิดนี่หน่อยแต่ดูมีระดับ ผมสีฟ้าครามสยายพลิ้วไปตามจังหวะการก้าวเดิน หน้าตาสละสลวยชวนเก็บไปฝันถึง ริมฝีปากสีแดงสดน่าลิ้มลอง กับดวงตาสีแดงเพลิงที่เข้ากัน สาวสวยขนาดฟ้าประทาน แต่ท่านผู้ชายทั้งหลายเมื่อสบตากลับต้องหันหนี!
ทำไมนะ! สาวสวยมาอยู่ตรงหน้าแล้วทั้งที แต่ใยแล้วต้องหันหน้าหนีกันเสียหมด! เสียชาติชายชาตรีกันพอดี!
นั่นคือเรื่องปกติ ซึ่งนี่ก็ไม่มีข้อยกเว้น...สบกับดวงตาสีเพลิงเพียงเสียววินาทีก็อยากจะวิ่งเข้าไปกอดร่างบางที่อวบอิ่มนั่นสักทีให้ชื่นใจ แต่สบตาอย่างเดียวไม่พอกลับต้องสบกับเคียวขนาดมหึมาที่หล่อนแบกติดมาด้วยทำให้ต้องหันหนีแบบฉับพลัน
“ไม่ทราบว่า...พอจะบอกได้ไหมว่าแขกที่ชื่ออัชลานอยู่ห้องไหนคะ” เสียงหวานปานน้ำผึ้งหลุดออกจากปากสาวเนตรสีเพลิง
พนักงานสาวที่เคาเตอร์อ้ำอึ้ง เพราะปกติแล้วการที่มีผู้หญิงเข้ามาถึงที่นี่ก็คือเหล่าภริเมียของแขก ซึ่งการบอกว่าแขกใช้บริการอยู่ที่ห้องไหนนั้นเป็นข้อห้ามของพนักงานต้อนรับอย่างเธอ
เมื่อเห็นอีกฝ่ายอ้ำอึ้งอารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่แล้วก็ยิ่งทวี เพราะการที่เธอมาที่นี่ก็เพื่อจะจัดการกับสามีตัวแสบที่แวบมาขลุกอยู่ในสถานที่แบบนี้
เสียงหวานถูกกดต่ำ “อัชลานอยู่ห้องไหน!” เคียวยักษ์ถูกฟาดลงไปยังโต๊ะรับแขกที่อยู่ด้านข้างเคาเตอร์อย่างไม่ปราณีจนแหลกกระจาย ก่อนจะลุกไหม้กลายเป็นเถ้าถ่านภายในทันที
“1313 ค่ะ!! คุณอัชลานอยู่ห้อง 1313 ค่ะ!” เสียงที่ตอบกลับมาแทบจะกลืนหายไปกับอากาศ ตัวสั่นงกยิ่งกว่าร่างทรง
ถึงแม้จะไล่ออกเธอก็จะไม่เสียดายที่ยอมตอบไปในเมื่อเธอยังเสียดายชีวิตอันน้อยนิดของตัวเอง
“ขอบคุณค่ะ” เสียงใสเอ่ยขอบคุณด้วยรอยยิ้ม สะบัดมือคราหนึ่งโต๊ะที่พึ่งจะพังไปต่อหน้าต่อตาก็กลับมาสวยงามเหมือนเดิม หันหลังก่อนจะมุ่งหน้าไปที่ประตูลิฟต์ “เห็นแก่ที่ช่วยบอก...เตรียมไปหางานที่อื่นทำไว้ได้เลยนะคะ” หันกลับมายิ้มให้ก่อนจะหันกลับไปเดินต่อ
ติ๊ง...
เสียงดังขึ้นก่อนที่ประตูลิฟต์จะเปิดออก ประตูห้องมากมายเรียงรายอยู่ตามทางเดิน
สาวเท้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเจอเลขที่ต้องการ ‘1313’
ก๊อกๆ
ก๊อกๆ
“หือ? ใครกันนะ”
“พี่คะอย่าสนใจเลยน่า มามะเหมาๆ นวดให้” หนึ่งในบรรดาหญิงสาวนุ่งน้อยห่มน้อยดึงแขนชายหนุ่มที่กำลังจะลุกขึ้นไปเปิดประตูด้วยสภาพรุ่งริ่ง (?)
ซึบ! โครม!
ประตูที่หวังว่าจะไปเปิดคงไม่ต้องเปิดอีกแล้ว...ในเมื่อประตูไม้บานใหญ่พังทลายลงมาก่อนจะไหม้เป็นจุนจนไม่เหลือสภาพเดิม
“หนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้มีความสุขดีไหมล่ะ...คุณสามีที่รัก”
เสียงหวานจ๋อยแต่กลับทำให้คนในห้องถึงกับหน้าถอดสี
“แม่จ๋า!!”
“มีอะไรจะแก้ตัวไหมล่ะ อัชลาน คาซาล” เคียวอันยักษ์หวดเข้ากลางเตียงสีขาวสะอาดอย่างไม่ปราณีส่งผลให้มันพังลงมาอย่างไม่เหลือซาก
“แม่จ๋าเดี๋ยวก่อน! ฟังพ่อก่อนสิจ๊ะ เหวอ~!!” กระโดดหลบรัศมีการฟาดฟันอีกครา ก่อนจะกลิ้งลงกับพื้น
ซึบ!
เคียวอันใหญ่ที่ไม่ได้น่ากลัวแต่ขนาด ถูกปักลงบนพื้นระหว่างขาของเป้าหมาย
รอยยิ้มเย็นเผยอขึ้น “ทิ้งลูกให้เดินทางคนเดียวอย่างยากลำบาก แต่ตัวเองมาขลุกอยู่ที่นี่” พูดพลางเอามือดันอาวุธคู่กายให้ถลำลึก “นิสัยอย่างนี้! วิธีให้เลิกมีแต่ต้องตัดมันทิ้งใช่ไหม หา!!!”
“ไม่จ้ะแม่ๆ ไม่อ้าวไม่เอา! แม่ใจเย็นๆ ก่อนเถอะนะ โอ้ว! แม่ใจเย้นนน!!” เหงื่อกาฬแตกพลั่กสองมือได้แต่ยันคมมีดให้อยู่ไกลตัวที่สุด
“ใจเย็นงั้นรึ...ก็ได้ๆ”
“แม่อภัยโทษให้พ่อแล้วใช่ไหม” น้ำตาปริ่มดวงตาทั้งสองข้าง เมื่อเห็นแววรอดเงื้อมือยมทูตสาว
“หึ...ตายซะเถอะไอ้แก่!!”
“แม่ก็ไม่น่าจะทำแบบนั้น ที่นั้นมีคนต้องใช้หาเลี้ยงชีพตัวเองอยู่ตั้งเยอะ แม่ไม่สงสารพวกมนุษย์พวกนั้นบ้างหรอ” น้ำเสียงออดอ้อนอย่างเต็มที่ ตาทั้งคู่มองไปยังกองเพลิงขนาดมหึมาตรงหน้า แต่ก็ต้องเงียบกริบเมื่อถูกถลึงตาใส่
“สถานที่ผิดต่อศีลธรรมการทำลายมันให้ ‘สิ้นซาก’ ถือเป็นจรรยาบันของตัวแทนมหาเทพอย่างฉัน มีอะไรจะคัดค้านอีกไหม!”
“...ผิดศีลธรรมอะไรกัน ของดีๆ ทั้งนั้น” ชายหนุ่มพึมพำเสียงเบา แต่มีหรือจะรอดหู
“ยังเจ็บไม่พอใช่ไหม!!” มือบิดหูอีกฝ่ายอย่างเต็มที่หวังให้หลาบจำ แต่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าถึงจะเผาสถานที่แบบนี้ไปจนหมดโลก ผู้ชายคนนี้ก็สามารถจะไปหาอีหนูในหลืบแถวไหนมาใหม่ก็ได้
“โห...” ข้าอ้าปากค้างกับสภาพของบุคคลตรงหน้า
หลังจากที่เวลเดย์บ่นไม่นานนักเปลวเพลิงสีเขียวก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง เมื่อหายไปก็พบกับหนึ่งหญิงสาวกับหนึ่งชายหนุ่ม...
หญิงสาวคนแรกไม่ใช่ใครที่ไหน นางก็คือเอลซ่า หม่ามี้สุดสวยของข้า
ส่วนอีกหนึ่งหนุ่มที่มาด้วยสภาพค่อนข้างจะย่ำแย่ขนาดหนักก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล เขามีนามว่า ‘อัชลาน คาซาล’ นั่นเอง
ท่านอาจารย์มาด้วยสภาพค่อนข้าง...รุ่งริ่งอย่างหนัก เสื้อผ้าหลุดลุ่ยไม่เป็นชิ้นเป็นอัน หน้าตาที่ปกติมักจะประดับด้วยรอยยิ้มกวน (อะไรสักอย่าง) กลับมุ่ยจนกู่ไม่กลับคล้ายๆ กับเด็กที่พ่อแม่ไม่ยอมซื้อลูกอมให้ ดวงตาสีเงินมีแต่น้ำตาเอ่อคลอ เส้นผมสีเดียวกับดวงตาที่ปกติมักจะสยายยาวสวย กลับกระเซิงจนไม่เป็นทรงอีกทั้งยังสั้นจนระต้นคอ แถมตอนนี้เจ้าตัวก็เอาแต่ทำแก้มป่องไม่ยอมลุกขึ้นจากพื้น
“ลุก” เอลซ่ากระตุกคอเสื้ออัชลาน
หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้...
“จะลุกไหมอัชลาน...” เสียงถูกลากยาว รอยยิ้มเย็นเผยอขึ้นอีกครั้ง
“ลุกก็ได้” น้ำเสียงเหมือนงอนๆ
พอข้าเหลือบเห็นเส้นผมของท่านอาจารย์ข้าก็พอจะรู้แล้วว่าทำไมเขาถึงดูงอนหม่ามี้ขนาดนั้น เพราะส่วนที่ท่านอาจารย์หวงรองจากจุดสำคัญของตัวเองก็คือเส้นผมสีเงินยาวสุดแสนจะนุ่มนิ่มของเขา
“หึ...สมน้ำหน้า” เอลซ่าพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
“แม่ก็ทำเกินไป ทำไมแม่ต้องตัดผมเค้าด้วยอะ” เสียงอู้อี้สั่นเครือ น้ำตาที่เอ่อคลออยู่ทะลักออกมาราวกับเด็กที่ลูกโป่งหลุดมือลอยหายไปบนฟากฟ้า
“สมน้ำหน้า” เชลยคนที่หนึ่งกล่าวขึ้นซึ่งเชลยคนที่สองและต้นคดีต่างพยักหน้าหงึกหงัก
ที่การลงมติพร้อมเพรียงทั้งสภาในครั้งนี้อาจเป็นไปได้สองข้อด้วยกันคือ หนึ่ง...ไม่อยากขัดหม่ามี้ หรือสอง...เพราะเหตุการณ์ในอดีตที่ผุดขึ้นก่อให้เกิดความสะใจส่วนตัว (?)
ซึ่งสภาลงมติแล้วว่าเหตุทั้งสองนี้เป็นเอกฉันท์!
“พวกตัวกลั่นแกล้งเก๊า!!!”
“เหตุที่อัชลานไม่ผ่านการทดสอบที่จริงมีเหตุอยู่นิดเดียว” เอลซ่านั่งไขว่ห้างบนเก้าอี้โดยมีอัชลานนอนซบตัก
ภายในห้องมีเสียงสะอื้น ฮึกๆ ฮักๆ จากร่างเจ้าของผมทรงหนูแทะ (?) เป็นพักๆ
“เขาพลั้งมือฆ่าปฐพีเทพไป”
ฮึก!
คราวนี้ไม่ใช่เสียงสะอื้นน่ารันทดของท่านอาจารย์ แต่เป็นเสียงสะอึกของข้า
“ไหนเจ้าบอกว่าเทพไม่แก่ไม่ตายไงล่ะ!” หน้าซีดเผือดหันไปมองจักรพรรดิมืดตัวจิ๋ว เลือดทั้งตัวเหมือกับไม่ยอมไหลขึ้นมาเลี้ยงสมองฉับพลัน
ดูมันจะไม่คุ้มเลยที่ต้องมาโดนฆ่าแบบนั้น...
เขาส่งยิ้มแปลกๆ ให้ข้า “ระหว่างการทดสอบ เพื่อไม่ให้ยากจนเกินความสามารถของคน อืม...เหล่าผู้รับการทดสอบไป พวกเราจะต้องผลึกอำนาจเอาไว้ ทำให้การเป็นอมตะนั้น เป็นโมฆะ...กฎของพวกเราคือคือห้ามเบียดเบียนชีวิต ซึ่งการคร่าชีวิตของเทพปฐพีนั้นทำให้อัชลานหมดสิทธิรับตำแหน่ง”
ข้ามองไปที่หม่ามี้ “ท่านทำได้ไม่ใช่หรือ การชุบชีวิตน่ะ”
นางส่ายหน้า “เหล่าเทพนั้นล้วนยอมแลกของสำคัญเพื่อเข้ารับตำแหน่ง จากนั้นวิญญาณของพวกเราก็จะถูกจองจำ ซึ่งแม้แต่ข้าที่เป็นเทพีแห่งอัคคีไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวในส่วนนั้นได้” นางมองข้าด้วยสายตาบอกว่ามันเกินความสามารถจนเกินไป
ยังไงก็มีโอกาสที่จะตาย ถึงแม้จะยื้อได้นานแค่ไหนก็ตาม...นี่สินะชีวิต
ข้าถอนหายใจ
ชีวิตนี่มันช่างยุ่งยากซะจริง...
“งั้นเทพแห่งปฐพีก็ไม่มีน่ะสิ”
“ใช่แล้ว...แต่เดี๋ยวก็หาเจอ อีกไม่นานหรอก” เวลเดย์หัวเราะร่า
โถ...เวรกรรมแท้ พูดอย่างกับหาได้แถวๆ ตลาดนัดใกล้บ้านอย่างนั้นล่ะ
“วิญญาณที่ถูกจองจำจะไปเกิดใหม่...เขาจะเกิดเป็นทายาทของเหล่าเทพองค์ใดองค์หนึ่ง” เอลซ่าพูดด้วยสีหน้าครุ่นคิด “ไม่ใช่ข้าแน่ๆ” พูดด้วยเสียงกลั้วหัวเราพลางส่ายหน้า “ข้ามีลูกที่น่ารักอยู่แล้วทั้งคน” นางยิ้มแป้นส่งให้ข้า
“ว่าแต่...ที่นี่ที่ไหนกัน” ข้ากวาดตามองรอบๆ ห้อง
คงไม่ใช่โรงพยาบาล เพราะถ้าใช่...คงโดนตะเพิดออกไปเป็นชาติแล้ว เสียงดังซะขนาด
“ที่นี่หรอ...บ้านเกิดข้าเองล่ะ อยู่ระหว่างชายแดนของนครจันทร์เสี้ยวกับเมืองตุ๊กตาแก้ว” ดาเกอร์ยกมือ
“เมืองตุ๊กตาแก้ว!”
ข้ามองท่านอาจารย์ที่อยู่ดีๆ ก็ลุกพรึบขึ้นมาอย่างกับติดสปริง
“ที่นี่คือสนามทดสอบแรก!” เขาตาโตเท่าไข่ห่าน
แต่ข้ากลับต้องตาโตเท่าไข่ก็อตซิล่า!
สนามสอบแรก!!
...............................................................................................................................................................................................
อุวะฮ่ะฮ่า!!! ท่านอาจารย์โผล่มาดังตุ้บเลย! (สะใจ!)
ประโยคข้างต้นนั้นไม่ใช่ของผมแต่เป็นของไอซีนะครับ เฮอๆ =3=
ภาพไอซีจากฝีมือของไอ้หนอนเพื่อนกระผมขอรับ =w=)b
ความคิดเห็น