ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ปาณรวัฐ-ปราลี

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่2

    • อัปเดตล่าสุด 28 พ.ค. 47


    แล้ว”ที”  ที่นายปาณรวัฐรอคอยก็มาถึงเร็วยังกับติดจรวดตามหลังมา  เมื่อวันเวลาแงการสอบ



    Grammar  พื้นฐานมาถึง  นักเรียนทุกคนที่อ่อนEngต่างถูก(บังคับ)จับคู่กับนักเรียนที่เก่งกว่าเพื่อติวให้สอบผ่าน



    พร้อมๆกันทั้งห้อง  เรียกว่า  จับมือไว้แล้วไปด้วยกันนั่นแหละ  ยังโชคดีมานิดหน่อยในกรณีของปราลี  เพราะคน



    เก่งEngอย่างนายปาณรวัฐหายาก  ความคิดที่ว่าจะต้องติวเป็นคู่จึงกลายมาเป็นกลุ่มเล็กๆแทน  แต่ทุกอย่างมัน



    กลับไม่เป็นอย่างที่ปราลีคิดน่ะสิ  เพราะนายปาณรวัฐทำตัวราวกับไม่มีเธออยู่ในห้องนี้  เขาผ่านเธอไปมาหลาย



    รอบ  อธิบายคนโน้นนิด  คนนี้หน่อย  ไม่ยอมหันมามองเธอเลย  จะเรียกเขาก่อนก็กลัวเสียฟอร์ม  คนอย่างปราลี



    ไม่เคยง้อใครอยู่แล้ว  แต่จะทำไงดีล่ะ  แบบฝึกหัดตั้ง100ข้อ  แถมแต่ละคนยังได้คนละชุดกันอีก  โอ๊ย!  แย่แล้ว  



    เพื่อนๆลุกออกไปทีละคนสองคน  จนเวลาล่วงเลยไป  ตอนนี้เหลือเพียงเธอ  และคุณครูจำเป็นที่กำลังวางท่า



    ตรวจ  work  sheet  อยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง

            

    “มีอะไรข้องใจตรงไหน  ถามได้นะครับ  แต่คนอย่างคุณปราลีคงเก่งอยู่แล้ว  ที่แกล้งทำเป็นส่งหลังสุด  



    ก็เพราะอยากจะรอเป็นเพื่อนผม  คงไม่ใช่เพราะทำไม่ได้หรอกนะ”



    ปราลีเคียดแค้นกับคำเย้ยหยันแกมเสียดสีของเขา  เธอจึงเกิดมานะที่จะทำให้ได้  ปราลีค้นตำราที่พอ



    จะหาได้ในตอนนั้น  ก้มหน้าก้มตาอ่านอย่างไม่สนใจคนที่นั่งอยู่อีกมุมห้องอีก  จนกระทั่ง  แบบฝึกหัด100ข้อ



    เธอเสร็จสมบูรณ์เรียบร้อย (แต่จะถูกหรือเปล่าก็ไม่รู้)



    เงยหน้าขึ้นมาอีกที  ท้องฟ้าก็มืดกลายเป็นสีดำ  คนที่นั่งอยู่เมื่อกี้หายไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้  รู้แต่ว่า…



    เธอชักกลัวขึ้นมาเสียแล้ว  บรรยากาศรอบตัวเริ่มวังเวงน่ากลัวเนื่องจากความมืดที่เข้ามาครอบงำ  มองออกไปที่



    ระเบียงทางเดิน  เห็นเพียงเงาตะคุ่มของต้นคูนต้นใหญ่  อันเกิดจากแสงไฟดวงเล็กส่องเล็ดลอดเล็กน้อยเท่านั้น  



    ปราลีแทบไม่กล้าก้าวออกจากห้อง  แต่จะทำยังไงได้  ในเมื่อเธอต้องกลับบ้าน  ใช่แล้ว  มืดค่ำป่านนี้ประตูใหญ่



    หน้าตึกคงถูกปิดไปเรียบร้อยแล้ว  เธอจะกลับยังไงล่ะเนี่ย  คงจะไม่ต้องถูกขังอยู่ที่นี่คนเดียวหรอกนะ  ว่าแล้วเท้า



    ก็ไวกว่าความคิด  เธอรีบวิ่งไปตามระเบียงมุ่งตรงไปยังบันไดทางออกทันที



    ผิดคาดเสียแล้ว  เธอประเมินสถาณการณ์ผิดไปอย่างมาก  ที่วิ่งออกมาโดยไม่ทันคิดอย่างนั้น  เพราะ



    ไฟดวงเล็กๆที่ส่องสว่างอยู่หน้าห้อง  สามารถให้ความสว่างกระจายเป็นรัศมีไม่ถึง1เมตร  ในขณะที่ระยะทางจาก



    หน้าห้องไปสู่บันไดทางลงห่างกันถึง3เมตร  สิ่งที่ปกคลุมตัวเธอขณะนี้คือ  ความมืด  มืดสนิทจริงๆ  จะวิ่งกลับก็



    ไม่ได้  จะเปิดไฟก็ไม่ได้  เพราะมองหาสวิตซ์ไม่เจอ  คงต้องมุ่งหน้าไปที่บันไดอย่างเดียว  ปราลีตัดสินใจรวบรวม



    ความกล้าที่แทบจะไม่เหลือวิ่งอีกครั้ง  อีกนิด  อีกนิด  ใกล้ถึงแล้ว  กลั้นใจไว้  ในที่สุดปราลีก็วิ่งมาถึงบันไดทางลง  



    ค่อยๆก้าวลงไปทีละขั้นอย่างระมัดระวังที่สุด  ถ้าเธอช่างสังเกตกว่านี้  คงจะรู้ว่าสวิตซ์ไฟแต่ละแห่งอยู่ตรงไหน  



    ไม่ต้องมางมอยู่มืดๆอย่างนี้  เสียงสุนัขประสานกันเห่าหอนทำลายขวัญอันน้อยนิดที่มีอยู่ในตัวปราลีตอนนี้ให้



    หมดไป  “จะมาเห่าอะไรกันตอนนี้  คนจะบ้าตายอยู่แล้ว”



    ปราลีเร่งฝีเท้าอีกนิด  แต่ด้วยความเร่งร้อนเกินไป  เท้าซ้ายที่ควรจะก้าวลงบนบันไดกลับเหยียบไปบน



    อากาศที่ว่างเปล่า  เท้าขวาที่ก้าวตามมาก็ดูจะเสียจังหวะไปด้วย  ตัวของเธอพุ่งไปข้างหน้า  ลมสงบยามดึก



    ปะทะใบหน้าเธอเพียงแผ่วเบา  ปราลีรู้สึกว่าร่างกายของเธอกำลังลอยละลิ่วลงสู่เบื้องล่าง  ลมเย็นพัดปะทะทั้ง



    ร่างกาย….หนาวเหน็บเหลือเกิน



    แต่แล้วก็เหมือนเกิดกองไฟอันอบอุ่น  ไล่ความเย็นยะเยือกภายในร่างกายของเธอออกไป  เมื่อร่างบอบ



    บางของเธอ  ปะทะกับแผงอกใหญ่เข้าอย่างจัง  แขนทั้งสองข้างของเธอกอดร่างใหญ่นั้นไว้แน่น  เหมือนใฝ่หา



    ความอบอุ่น  ความหนาวเย็นจองอากาศส่งผลให้ร่างบางในอ้อมแขนใครบางคนยังคงสั่นน้อยๆ  ร่างใหญ่กอด



    ร่างบางตอบพร้อมทั้งใช้มือลูบผมเธอเบาๆ  “ไม่เป็นไร  ผมอยู่ตรงนี้แล้ว”  เขาประคองเธอไว้  พลางเอื้อมมือไป



    เปิดสวิตซ์ไฟ  แสงสว่างช่วยเพิ่มความอบอุ่น  และส่องให้เห็นใบหน้าของเจ้าชายขี่ม้าขาวของปราลีอย่างชัดเจน  



    เขาไม่ใช่ใครที่ไหน  ก็”นายปาณรวัฐ”นั่นแหละ

        

    ปราลีเงยหน้าขึ้นสบตาเขา  ในขณะที่แขนสองข้างยังคงโอบกอดเขาแน่นอยู่  แทนที่ปราลีจะผลักเขา



    ออกไปอย่างที่นางเอกนิยายมักจะทำกับพระเอก  เธอกับปล่อยโฮออกมาทันที  เหมือนอัดอั้นอะไรสักอย่างมา



    นาน  เขาจึงกอดประทับรร่างเธอไว้ในอ้อมแขนให้แน่นยิ่งกว่าเดิม  ปล่อยให้อกเสื้อของเขาเป็นที่ซับน้ำตาของเธอ



    ไปก่อน  เอาไว้คนขี้แยหายกลัวเมื่อไหร่  ค่อยเปิดศึกทะเลาะกันใหม่



        แต่เธอก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดร้องง่ายๆ  เขาไม่รู้จะทำอย่างไร  จึงได้แต่ลูบหัวเธอเบาๆพร้อมทั้งปลอบว่า  



    “ไม่เป็นไรแล้วนะคนดี  ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น  ผมอยู่ตรงนี้ทั้งคน”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×