คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 3 : หัวใจซ่อนเร้น
บทที่ 2
ก็อกๆๆ
เสียงเคาะประตูเรียกความสนใจจากชายหนุ่มที่กำลังก้มหน้าอ่านตำราเรียนได้เป็นอย่างดี ใบหน้าคมเข้มภายใต้กรอบแว่นเงยหน้าจากหนังสือที่อ่านอยู่ขึ้นมองนาฬิกาตั้งโต๊ะ เห็นเข็มนาฬิกาขี้ไปที่เวลาหกโมงเย็น เวลาที่เขากำลังตั้งหน้าตั้งตาคอยอยู่ มุมปากข้างหนึ่งหยักขึ้นเล็กน้อยอย่างพอใจ ก่อนที่ร่างสูงจะลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อไปเปิดประตู
ร่างเล็กคุ้นตาปรากฏขึ้นหลังจากประตูเปิดออก คนทั้งคู่เผชิญหน้ากัน ใบหน้าหวานเงยหน้าขึ้นสบตาเขาอย่างโกรธเกรี้ยว ไม่พูดพร่ำทำเพลงมือบางก็ขว้างปาบางอย่างใส่อกของชายหนุ่มอย่างจังก่อนที่มันจะกระเด้งตกลงสู่พื้น สิ่งของเล็กๆที่เธอขว้างใส่เขานั้นไม่ได้ทำให้เขาสะทกสะท้านหรือสร้างความเจ็บปวดใดๆ แต่ทว่าเมื่อชายหนุ่มก้มลงมองวัตถุต้องสงสัยนั้น ใบหน้าของเขาก็เย็นวาบทันที ดวงตาภายใต้กรอบแว่นคุกรุ่นละสายตาขึ้นมองหญิงสาวตรงหน้า ก่อนจะใช้มือแกร่งลากเธอเข้ามาในห้องและล็อคกลอนประตูทันที
“ปล่อยนะ” ตติยาร้องขึ้น พยายามที่จะดิ้นหนีจากคีมเหล็กที่หนีบแขนเธออยู่ แต่ยิ่งดิ้นมันก็ยิ่งแน่นจนเธอเจ็บไปหมด ริมฝีปากบางเม้มแน่นจนเป็นสีแดงจัด ถลึงตามองคนป่าเถื่อนอย่างโกรธเคือง
“ทำไม”
“ทำไมงั้นเหรอ พี่นั่นแหละต้องการจะทำอะไร!”เสียงเย็นไร้ความรู้สึกรู้สาของมนุษย์เพศชายตรงหน้าทำให้เธอยิ่งโมโหหนัก กรีดร้องออกมาอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่
“ฉันทำอะไร”ชายหนุ่มพูดอย่างไม่รู้ความผิดของตัวเอง เขามองหญิงสาวในอ้อมแขนด้วยความอดกลั้น อดกลั้นจนถึงที่สุด ความรู้สึกเกลียดชังที่หล่อนส่งมาให้กำลังทำให้ไฟในร่างลุกโชน
“พี่เอาต่างหูนั่นไปให้แม่ฉันทำไม ต้องการให้ฉันอกแตกตายใช่มั้ย!”
“ต้องการให้ฉันเดือดร้อนอย่างงั้นเหรอ คนเลว!”
ร่างเล็กอาละวาดทุบตีด่าทอเขาต่างๆนาๆ ซึ่งชายหนุ่มก็ยังคงยืนอยู่นิ่งๆปล่อยให้เธอทำร้ายเขาจนพอใจกระทั่งเหนื่อยและหยุดไปเอง
“พอใจแล้วใช่ไหม” ติณพงษ์มองหญิงสาวที่กำลังหอบหายใจแรงจากการประทุษร้ายเขา ใบหน้าเนียนแดงก่ำผมเผ้ากระเซอะกระเซิง วงแขนแข็งแรงรวบรัดร่างนั้นมาไว้ในอ้อมกอดเต็มรัก ริมฝีปากทาบทับไปที่กระหม่อมชื้นเหงื่อของเธออย่างรักใคร่
“เธอลืมไว้ พี่เอาไปคืน” ไม่ได้ลืม เธอตั้งใจทิ้งมันไปต่างหาก หญิงสาวแย้งอยู่เงียบๆในใจ
“โกหก ถ้าจะคืน ทำไมพี่ไม่คืนฉันตั้งแต่บนถนนตอนนั้น” พูดถึงเรื่องเมื่อวานเย็นที่เธอเรียกเขาให้ไปส่งร้านโกเฮง แต่เขาปฏิเสธ พอนึกถึงเรื่องนั้นทำให้เธอแอบขุ่นเคืองเขาขึ้นอีกครั้ง
“เธอบอกว่าอยู่ข้างนอกห้ามทำเป็นรู้จัก ห้ามทัก” เสียงแหบพร่าแฝงไปด้วยความเจ็บปวดของเขาทำให้เธอสะอึก ใช่ ตติยาเป็นคนบอกให้เขาทำเช่นนั้น เธอไม่ต้องการให้คนข้างนอกรับรู้ถึงความสัมพันธ์ของเธอกับพี่ชายอดีตเพื่อนบ้านคนนี้ และที่สำคัญเธอไม่ต้องการให้แม่และน้องสาวรู้
“อย่าทำแบบนี้อีก”
“...” เธอมองเขาอย่างุนงง
“ต่างหูนั่น” ติณพงษ์ผละออกจากเธอไปหยิบต่างหูอันเล็กนั่นขึ้นมา ก่อนจะนำมันมาสวมใส่ให้เธอที่ใบหูข้างซ้าย “อย่าทิ้งมัน อย่าทำแบบนั้นอีก”
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นสบตาคนตรงหน้า เหลือบตาไปที่ใบหูข้างขวาของเขาที่มีต่างหูอีกข้างเหมือนของเธออยู่ ความละอายใจเริ่มเอ่อล้น เธอรู้ดีว่าชายคนนี้รักและแคร์เธอที่สุด การมีปากเสียงกันเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อย ทำให้เธองี่เง่าถึงขนาดขว้างปาต่างหูที่เป็นตัวแทนความรักระหว่างกันทิ้ง และหลบหน้าไม่ยอมพบเขาเกือบเดือน จนชายหนุ่มต้องทำเรื่องเรียกร้องความสนใจให้เธอรู้สึกเป็นเดือดเป็นร้อนจนต้องมาหาเขาที่นี่
“ต๋าขอโทษ”
“อืม”
เรียวปากของคนตัวโตก้มลงมาประทับลงบนเรียวปากเล็กชุ่มชื้นด้วยแรงเสน่หา บดเบียดคลึงเคล้าแนบชิดจนไม่มีช่องว่าง อ้อมแขนใหญ่กระชับร่างเล็กแนบแน่นจนแทบหลอมรวมเป็นร่างเดียวกัน ชายหนุ่มจุมพิตเธอด้วยแรงอารมณ์ที่หลากหลายจนเธอรู้สึกได้ มันมีทั้งรัก โกรธ ผิดหวัง เสียใจ และหวาดกลัว จุมพิตหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆและยาวนานจนร่างเล็กรู้สึกเหมือนกำลังถูกเขาดูดวิญญาณ แขนขาอ่อนแรงจนคนตัวใหญ่ต้องพยุงไว้เพื่อไม่ให้เธอทรุดลงกับพื้น จนเขาถอนริมฝีปากออกจากเธออย่างอ้อยอิ่งแล้วเลื่อนไปจูบแก้มแดงปลั่งพลางกระซิบใกล้ๆหู
“อย่าหายไปไหนอีกนะ”
คำพูดของเขาทำให้หญิงสาวน้ำตารื้น ความรู้สึกผิดถาโถมขึ้นมาเต็มหัวใจ สองแขนเล็กกอดกระชับเอวหนาไว้แน่น ซุกซบใบหน้าไปที่อกเขาร้องไห้ฟูมฟายเหมือนเด็กๆ ปากเล็กพึมพำคำว่าขอโทษออกมาไม่หยุดจนชายหนุ่มหลุดยิ้มออกมาอย่างเอื้อเอ็นดู
ตติยาไม่แน่ใจว่าความรักที่เธอมอบให้แก่ติณพงษ์มันเริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนไหน รู้แต่เพียงว่าวันที่เขาบอกว่าจะย้ายออกไปทำให้เธอรู้สึกใจหาย ทุรนทุรายที่อาจจะไม่ได้พบเจอกันอีก จนกระทั่งได้มีโอกาสพบเขาอีกครั้งในคลาสการบรรยายของคณะแพทย์ที่ทางมหาวิทยาลัยเปิดให้คนภายนอกทั่วไปสามารถเข้าฟังได้ เธอในวันนั้นถูกนีรนุชเพื่อนสาวลากไปฟังบรรยายนั้นด้วยความมึนงง และบังเอิญสุดๆเมื่อพบว่าติณพงษ์ก็ได้เข้าร่วมฟังการบรรยายในครั้งนั้นด้วยเช่นกัน เสียงบรรยายต่างๆที่ศาสตราจารย์สูงวัยพูดมานั้นไม่ได้ผ่านเข้าหูของเธอเลยแม้แต่น้อย สายตาของเธอกำลังจดจ้องไปยังร่างของชายหนุ่มที่นั่งหน้าถัดไปอีกสองแถวนั่นอย่างเหม่อลอย และเหมือนว่าติณพงษ์เองจะรู้สึกถึงสายตาที่จ้องมองมาจากด้านหลังตลอดเวลา ทำให้เขาหันมาสบตากับเธอเข้าอย่างจัง เวลานั้นหญิงสาวคล้ายกับต้องมนตร์สะกด ใบหน้าแดงก่ำก้มงุดรู้สึกกระดากอายเมื่อถูกจับได้ ตอนนั้นเองที่เธอเริ่มรู้สึกสึกได้ว่าตัวเอง ‘กำลังตกหลุมรัก’
“คืนนี้ค้างที่นี่นะ” เสียงทุ้มแหบดังขึ้นข้างหูจากคนที่โอบกอดเธอจากด้านหลัง หญิงสาวร่างเล็กนอนพิงกายอย่างสุขสบายในอ้อมกอดของคนตัวใหญ่ สายตาของเธอจดจ่อใบที่จอโทรทัศน์เหมือนไม่ได้สนใจในสิ่งที่เขาพูด และนั่นก็ทำให้ชายหนุ่มต้องกระชับแขนแกร่งให้แน่นขึ้นเพื่อกระตุ้นคนตัวเล็ก
“ฮื้อ อึดอัดนะ”
“ค้างที่นี่” เขาย้ำอีกครั้ง
“ไม่ได้หรอก เดี๋ยวที่บ้านสงสัย”
คำตอบของคนรักทำให้ชายหนุ่มอดรู้สึกน้อยใจไม่ได้ เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งแต่เขากลับไม่เคยชินกับมันสักที ความรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นทุกครั้งที่เกิดขึ้น เขากับตติยาคบกันแบบหลบๆซ่อนๆไม่เคยเปิดเผยความสัมพันธ์ให้ใครรู้มาได้ปีกว่าแล้ว มันเป็นความลับที่หญิงสาวไม่เคยคิดจะบอกใคร จนบางทีเขาก็อดคิดไม่ได้ว่าเธออายที่มาคบกับเด็กกำพร้า หัวเดียวกระเทียมลีบเช่นเขา
ติณพงษ์รักตติยาอย่างสุดหัวใจ ชายหนุ่มไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าได้แอบเผลอไผลกับผู้หญิงคนนี้ได้อย่างไร รู้แต่ว่าในหัวของเขามักปรากฏภาพของคนตัวเล็กที่เดินจูงจักรยานตามเขาต้อยๆในวันที่โดนทำร้าย และคอยนั่งข้างๆปลอบใจในวันที่เขาสูญเสียยายผู้เป็นที่รัก หรือจริงๆแล้วเขาไขว้เขวตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้สบตาหวานของหญิงสาวที่มานั่งจ้อกับยายในบ้าน ใบหน้าเล็กรูปหัวใจล้อมกรอบด้วยผมหยักศกสีนำตาลเข้มยาวถึงกลางหลัง ดวงตากลมโต ริมฝีปากเล็กบางช่างพูดนั่นทำให้เขาที่กำลังตั้งใจท่องหนังสือเผลอเหลือบมองอยู่บ่อยครั้ง จนรู้สึกหงุดหงิดใจที่ผู้หญิงคนนี้โผล่มาที่บ้าน มันทำให้เขาไม่มีสมาธิเลย ติณพงษ์รำคาญเสียงของเธอ แต่ก็รำคาญใจตัวเองที่มันรู้สึกหวิวประหลาดในวันที่ไม่ได้ยินเสียงของเธออีกเช่นกัน ชายหนุ่มไม่เคยเข้าใจตัวเองเลยจนกระทั่งเธอได้ก้าวเข้ามาในชีวิตของเขาแบบจริงจัง ติณพงษ์สังเกตได้ถึงสายตาของเธอที่ลอบจ้องมองมาที่เขา เด็กสาวเพื่อนบ้านที่แทบไม่เคยได้พูดคุยกันจู่ๆก็เข้ามาวุ่นวายในชีวิตแบบไม่ทันตั้งตัว เธอมักพกพารอยยิ้มกว้าง และเสียงใสๆอันเป็นเอกลักษณ์มาหา แรกๆยอมรับว่ารำคาญอยู่ไม่น้อย แต่นานเข้าก็เกิดเป็นความเคยชิน จนขาดไม่ได้ ตติยาเริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตของเขามากเกินไป เธอทำให้เขาอยากเดินออกจากโลกอันมืดมิดที่หลบซ่อนอยู่มานาน ทำให้เขายิ้มออกมาได้หลังจากที่ไม่เคยยิ้มเลยกว่าสิบปี และเป็นคนแรกที่ชายหนุ่มยอมเปิดเปลือยหัวใจเดินออกจากอดีตอันเจ็บปวด ความอ้างว้าง โดดเดี่ยว ทำให้เขายอมให้เธอเดินก้าวล้ำเข้ามาอยู่ในหัวใจอย่างง่ายดาย
ความสัมพันธ์ในวัยหนุ่มสาวของคนทั้งสองพัฒนาก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว ความห่วงหาอาทรมีมากขึ้นๆทุกทีจนกลายเป็นความหลงใหลอย่างห้ามไม่อยู่ ตติยาและติณพงษ์เดินข้ามผ่านเส้นของคำว่าเพื่อนบ้าน คำว่าพี่น้องไปจนเกิดเป็นความรัก รักอย่างถอนตัวไม่ขึ้น เป็นความลุ่มหลงรุนแรงและลามเร็วเหมือนเพลิงพายุที่ลุกไหม้โหมกระหน่ำ จนลืมกระทั่งความไม่เหมาะสมไป หนุ่มสาวต่างปล่อยตัวปล่อยใจให้กันอย่างลึกซึ้ง เลือดเนื้อกายใจถูกหลอมละลายกลายเป็นหนึ่งเดียว กว่าที่ทั้งคู่จะรู้ตัวก็ยากที่จะถอยกลับออกมาเสียแล้ว
“ดึกดื่นป่านนี้ทำไมเพิ่งกลับพี่ต๋า งานเลิกตั้งแต่บ่ายโมงแล้วไม่ใช่เหรอ”
มณชยาที่นั่งข้างมารดาบนโซฟาซึ่งกำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่เอ่ยถามขึ้นทันทีที่เห็นพี่สาวเปิดประตูเข้าบ้านมา สายตาเหลือบมองเวลาเห็นว่าล่วงเลยไปเกือบสี่ทุ่ม
“เอ่อ พี่ไปติวหนังสือกับเพื่อนน่ะ”หญิงสาวตอบออกไปอย่างไม่เต็มบางเต็มคำ
“อืม นี่ แม่บอกพี่ต๋าแล้วใช่ไหมว่าเหมียวไม่ไปเรียนพิเศษแล้วนะ ถึงสอบไม่ได้มหาลัยรัฐก็ไม่เป็นไร เหมียวเข้าเอกชนก็ได้” คำพูดของน้องสาวทำให้เธอขมวดคิ้ว มหาลัยเอกชนที่ค่าเทอมแสนแพงนั่นน่ะเหรอ
“พี่ว่าเหมียวตั้งใจสอบเข้ามหาลัยของรัฐดีกว่าไหม เธอก็รู้ค่าเทอมของมหาลัยเอกชนมันแพงมากนะ”
“ไม่เอาหรอก สอบไปก็ไม่ติดอยู่ดี เหมียวไม่ได้เรียนเก่งแบบพี่ต๋านะ อีกอย่างเพื่อนเหมียวก็เรียนกันออกเยอะแยะ ยังไงเหมียวก็จะเรียนมหาวิทยาลัยเอกชน” มณชยาค้านหัวชนฝา ท่าท่างดื้อรั้นทำให้รู้ว่าพูดไปยังไงเธอก็ไม่ยอมฟัง ตติยารู้สึกอ่อนใจกับน้องสาวที่เธอรู้ดีว่าติดเพื่อนมากแค่ไหน เด็กคนนี้คงจะตามเพื่อนในกลุ่มไปเรียนที่เดียวกันอย่างไม่ต้องสงสัย
“ช่างน้องเถอะลูก เหมียวอยากเรียนอะไรก็ตามใจเค้าเถอะ เงินเก็บในธนาคารเรายังพอมีเยอะอยู่ เรื่องค่าเทอมนั่นต๋าไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอก”
“งั้นก็ตามใจแล้วกันค่ะ”
ตติยาเออออตามแม่ทั้งที่ในใจกำลังคิดหนักถึงค่าใช้จ่ายที่จะเพิ่มมากขึ้น จริงๆแล้วเงินในธนาคารนั่นเป็นเงินที่เก็บไว้สำหรับยามฉุกเฉิน ในวันที่มีปัญหาหรือคนในครอบครัวเกิดเป็นอะไรขึ้นมาจะได้หยิบจับมาใช้ได้สะดวก ซึ่งหากว่าแม่นำเงินก้อนนั้นออกมาใช้จริงๆเงินเก็บที่เหลืออยู่ก็แทบจะไม่เหลือเลย เธอพ่นลมหายใจทางปากออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย ดูท่าทางว่าที่ทำอยู่ทุกวันนี้มันจะไม่เพียงพอสำหรับครอบครัวอีกต่อไป
“ต๋า พรุ่งนี้หยุดงานวันนึงนะลูก วันนี้แม่โทรไปลาให้แล้ว”
“หยุดทำไมคะ มีอะไรงั้นเหรอ”
“พรุ่งนี้แม่จะพาพวกเราไปพบคนๆนึงน่ะ” มารดาของเธอบอกแค่นั้น ทำให้ตติยาหันไปมองน้องสาวอย่างต้องการคำตอบ
“เรากำลังจะมีพ่อใหม่แหละพี่ต๋า” เสียงซุบซิบเบาๆทว่ากลับได้ยินชัดเจน ทำให้หญิงสาวเบิกตากว้าง
‘พ่อใหม่’
แม่ของเธอกำลังมีความรักอีกแล้วอย่างนั้นหรือ
วันนี้แทบจะเรียกได้ว่าเป็นวันที่ตติยาแต่งตัวดูดีเต็มยศที่สุดเลยก็ว่าได้ ร่างบางอยู่ในชุดกระโปรงสีชมพูหวานแหววลายลูกไม้แขนกุด ชายกระโปรงพริ้วยาวพอดีเข่า ยุวดีจับหญิงสาวแต่งหน้าอ่อนๆ พร้อมกับถักผมเปียเดี่ยวหลวมๆ ปลายผมถูกเบี่ยงมาไว้คลอเคลียบ่าด้านซ้ายอย่างสวยงาม เธอมองตัวเองในกระจกอย่างงุนงง ไม่เข้าใจว่าการไปพบคนชายผู้เป็นคนรักใหม่ของแม่จะต้องแต่งตัวพิถีพิถันขนาดนี้เลยเหรอ หญิงสาวเหลือบมองมารดาและน้องสาวที่วันนี้แต่งตัวสวยไม่ต่างกัน โดยเฉพาะแม่ที่วันนี้ดูงดงามอ่อนหวานเป็นพิเศษ แต่ถึงชุดจะสวยหวานสะดุดตายังไงก็ยังเจิดจ้าไม่เท่ากับประกายในตาของท่าน วันนี้มารดาของเธอดูเปี่ยมสุขอย่างบอกไม่ถูก ใบหน้าของสาวใหญ่วัย 42 ที่ยังสวยไม่สร่างดูผุดผาดมากขึ้นกว่าเดิม มันคงเป็นเพราะความรักล่ะมั้งที่ทำให้ท่านดูงามกระจ่างตาได้ขนาดนี้
“เค้าคือใครเหรอคะ”
“เดี๋ยวลูกก็จะรู้จักเขาเองแหละจ๊ะ” ยุวดีกล่าวแค่นั้น พอดีกับที่ออดหน้าบ้านดังขึ้น เธอหันมาฉีกยิ้มให้ลูกสาวก่อนจะจูงมือทั้งสองไปยังหน้าบ้าน
ชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่ดูภูมิฐานหน้าตาหล่อเหลา อายุอานามน่าจะประมาณ 45 ปี แต่งกายด้วยชุดสูทที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าแพงระยับ ใบหน้าคมเข้มของเขาเปื้อนยิ้มดูเป็นผู้ใหญ่ใจดี มองเลยไปด้านหลังมีรถยุโรปคันหรูจอดเทียบอยู่ที่หน้าบ้านบ่งบอกฐานะอันมีจะกินของผู้เป็นเจ้าของได้อย่างดี
“ยินดีที่ได้พบกันนะจ๊ะ น้องต๋า น้องเหมียว”
“สวัสดีค่ะ” ตติยาและมณชยาแทบตั้งรับไม่ถูกเมื่อเขาทักมา สายตาของทั้งสองกำลังอึ้งตะลึง เขาช่างดูดีเพรียบพร้อมอย่างไม่น่าเชื่อ
“นี่คุณลุงพิพัฒน์ โรจนวัฒน์จ๊ะ”มารดาของเธอเอ่ยแนะนำชื่อของของเขา และนั่นก็ทำให้ตติยายิ่งเบิกตากว้างเป็นสองเท่า ‘พิพัฒน์ โรจนวัฒน์’ ชื่อและนามสกุลนี้หญิงสาวคุ้นนัก คล้ายกับเป็นคนที่มีชื่อเสียงในอดีตที่เธอเคยได้ยินมาผ่านหูมา
“คุณลุง คุณลุงคือ...”
“ถ้าตอนเด็กๆหนูได้ดูทีวี หนูอาจจะจำลุงได้นะ”
ชัดเจน ไม่ผิดแน่! ชายคนนี้ คือ พิพัฒน์ โรจนวัฒน์ อดีตพระเอกคนดังเมื่อสิบกว่าปีก่อน
มื้อกลางวันมื้อนี้ดูจะขัดเขินต่อตติยาไม่น้อย เมื่อมองไปรอบๆภัตตาคารหรูระดับห้าดาวที่พิพัฒน์พาในวันนี้ มันช่างใหญ่โตฟู่ฟ่าจนไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้มีโอกาสเข้ามาเหยียบ แถมราคาอาหารก็ทำเอาเธอถึงกับสะดุ้ง เบิกตากว้างเมื่อพบว่าราคาอาหารจานนึงของเธอสามารถนำไปใช้จ่ายได้เป็นอาทิตย์เลยทีเดียว
“อยากทานอะไร สั่งเลยนะจ๊ะ ไม่ต้องเกรงใจ”
“เอ่อ ค่ะ” ตติยาตอบ รู้สึกวางตัวไม่ถูก ที่นี่ดูไม่ค่อยเหมาะกับเธอเลยซักนิด มันหรูหราเกินไปจนเธออึดอัด แต่ความรู้สึกนั้นเหมือนจะเป็นกับเธอแค่คนเดียวเท่านั้น เมื่อมารดาและน้องสาวต่างสั่งอาหารอย่างคล่องแคล่วไม่ขัดเขินประหนึ่งว่าทั้งคู่เคยมาสถานที่แบบนี้บ่อยครั้ง
อาหารยกมาเสิร์ฟในเวลาถัดมา หญิงสาวเลือกเมนูพาสต้าที่ดูเรียบง่ายที่สุดทาน ทุกคนเริ่มจัดการกับอาหารตรงหน้าของตนพร้อมกับพูดคุยทำความรู้จักกันอย่างเป็นกันเอง พิพัฒน์เป็นคนอารมณ์ดี คุยสนุก และไม่ถือตัวเลย แถมสายตาและท่าทางของเขายังทำให้เธอค่อนข้างมั่นใจว่าผู้ชายคนนี้รักแม่ของเธออย่างใจจริง มณชยาเองก็ดูจะปลื้มเขามากเช่นกัน ทุกคนดูสนุกสนานมีเพียงตติยาที่ไม่ค่อยได้มีส่วนร่วมในวงสนทนานั้นเท่าไรนัก
“นั่งเงียบเชียวลูก อาหารอร่อยถูกปากมั้ย” พิพัฒน์หันมามองเด็กสาวที่นั่งทานเงียบๆ ก่อนจะเอ่ยปากถามอย่างเป็นมิตร
“ค่ะ อร่อยมากค่ะ”
“ได้ข่าวว่าต๋าเรียนบัญชี ตอนนี้อยู่ชั้นไหนแล้วลูก”
“ปีสามแล้วค่ะ”
“งั้นอีกปีเดียวก็จะจบแล้วล่ะสิ ใช่ไหม”
“ค่ะ” เธอตอบไป จริงๆแล้วหญิงสาวตั้งใจว่าจะเร่งเรียนให้จบภายในสามปีครึ่ง เนื่องจากเธอต้องการที่จะทำงานเร็วๆเพราะฉะนั้นจึงต้องพยายามทำคะแนนให้เกรดออกมาสวยที่สุด นี่ก็อีกไม่ถึงสองเดือนก็ใกล้จะสอบปลายภาคแล้ว เธอคิดว่าจะหยุดงานที่มินิมาร์ทช่วงเสาร์อาทิตย์มาอ่านหนังสือสอบอย่างจริงจังสักที
“อืม ได้ข่าวว่าเรียนเก่งนี่ จบแล้วอยากไปทำงานที่ไหนได้มองเอาไว้บ้างหรือเปล่า”
“ยังเลยค่ะ กะว่าถ้าที่ไหนรับก็คงจะทำที่นั่น”
“หนูสนใจอยากไปทำงานที่บริษัทของลุงไหม บริษัท PP คอเปอร์เรชั่นน่ะ”
หญิงสาวเบิกตากว้าง ดวงตาวาวด้วยความยินดีเมื่อเขาพูดจบ บริษัท PP คอร์เปอร์เรชั่นเป็นบริษัทที่นำเข้าและจัดจำหน่ายอะไหล่รถยนต์รายใหญ่ของประเทศ เธอไม่เคยทราบมาก่อนว่าพิพัฒน์เป็นเจ้าของ
“บริษัทของคุณลุง หนูสามารถเข้าไปทำงานได้เหรอคะ” เธอถามอย่างไม่แน่ใจ ว่าเธอจะมีความสามารถถึงขนาดจะเข้าไปทำงานในบริษัทที่ใหญ่โตขนาดนั้นได้เชียวหรือ
“ได้สิ เรียนเก่งอย่างหนูไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ถ้าสนใจจริงๆลุงจะช่วย ลุงเชื่อว่าหนูมีความสามารถพอ”
“จริงเหรอคะ” หญิงสาวแสดงความดีใจอย่างห้ามไม่อยู่
“จริงสิ แต่มันก็มีเงื่อนไขอยู่นิดหน่อยนะ” พิพัฒน์กล่าวต่อ
“เงื่อนไขอะไรเหรอคะ”
“หลังจากจบจากที่นี่แล้ว ลุงอยากให้หนูไปเรียนด้านบริหารที่ประเทศอังกฤษต่อ เมื่อจบแล้วลุงถึงจะให้หนูมาทำงานที่บริษัทได้”
คำพูดถัดมาของพิพัฒน์ทำให้ใบหน้าของตติยาจืดเจื่อน ความหวังที่จะได้ไปทำงานที่บริษัทใหญ่หายวับไปกับตา เงื่อนไขของเขามันยากเกินไป การไปเรียนต่อต่างประเทศที่ต้องใช้ค่าใช้จ่ายในการเดินทางและมีค่าใช้จ่ายส่วนตัวสูงมาก มันเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับเธอ
“ลุงอยากให้หนูมีประสบการณ์มากขึ้น ที่โน่นมีแต่คนเก่งๆเราจะสามารถเรียนรู้งานจากเขาได้ มันทำให้เราพัฒนาตัวเอง ลุงอยากให้หนูได้รับโอกาสเหล่านั้น”
“แต่หนูไม่มีเงินถึงขนาดจะไปต่างประเทศได้หรอกค่ะ” แค่เรียนอยู่ทุกวันนี้เธอก็แทบไม่มีเวลาพักแล้ว
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงเลย ไหนๆเราก็กำลังจะกลายเป็นครอบครัวเดียวกันอยู่แล้ว ลุงมีทุนให้หนูไปเรียนที่นั่นได้อย่างสบาย”
ครอบครัวเดียวกัน หมายความว่ายังไง...
เธอหันไปมองหน้ามารดา ยุวดีฉีกยิ้มให้ลูกสาวคนโตก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำเอาเธอแทบช็อค
“อีกสองเดือนแม่กับคุณพิพัฒน์เราจะแต่งงานกันจ๊ะ”
แต่งงาน!
Talk
ในที่สุดก็ผ่านไปอีกตอน สมองตีบมากค่ะตอนนี้
พล็อตมีอยู่ในหัว แต่พยายามที่จะแต่งให้สำนวนมันลื่นไหล
เรื่องนี้พระเอกน่าสงสารค่ะ นางเอกแอบน่าหมั่นไส้(แต่รักนะ)
ช่วยติดตามเป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ เม้นติชมกันเข้ามาเยอะๆเลย >///<
ความคิดเห็น