คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 1 : จุดเริ่มต้น ความรัก(ในความลับ)
บทที่ 1
กระเป๋าสัมภาระและพวงกุญแจถูกเหวี่ยงวางไว้บนโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนที่ร่างบางจะฟุบตัวลงบนเตียงนอนเก่ากลางใหม่ของตนอย่างเหนื่อยล้า เวลาล่วงเลยไปถึงสี่ทุ่มกว่า ตติยาเพิ่งได้กลับบ้าน หลังจากการโดนบ่นจนหูชาของพี่ชายเพื่อนและการทำงานอันแสนทรหด โกเฮงเหมือนต้องการจะทำโทษเธอ จึงหาเรื่องใช้เธอได้สารพัด ตั้งแต่ดูแลแขกไปจนถึงเก็บกวาดทำความสะอาดร้าน จมูกรั้นได้รูปพ่นลมหายใจออกมายาวเหยียด หลับตาลงอย่างอ่อนเพลีย ตั้งใจว่าจะงีบซักพักแล้วค่อยตื่นขึ้นมาอาบน้ำและทบทวนบทเรียน แต่ทันทีที่หลับตา ใบหน้าของชายหนุ่มสวมแว่นตากรอบหนาที่เธอได้พบเจอเมื่อเย็นก็ผุดขึ้นมาเต็มหัว ภาพความทรงจำเก่าๆเริ่มไหลเวียนกลับเข้ามา
ติณพงษ์ พันธ์เทวา หรือ พี่ต๊ะ ที่เธอพบเจอในวันนี้ เธอได้พบกับเขาครั้งแรกเมื่อสี่ปีก่อน เขาเป็นผู้ชายตัวสูงผอม สวมแว่นหนาอย่างคนแก่เรียน ทว่าก็ไม่สามารถปกปิดใบหน้าหล่อเหลานั้นได้ ตอนนั้นติณพงษ์และยายนวลเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ในระแวกนี้ บ้านของเขาอยู่ถัดจากเธอไปเพียงสามหลัง เธอจำได้ว่าวันนั้นมารดาของเธอให้นำแกงส้มที่เพิ่งทำเสร็จไปให้กับเพื่อนบ้านที่เพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ บ้านปูนเล็กๆสภาพทรุดโทรมชั้นเดียวที่บ่งบอกถึงฐานะทางบ้านที่ไม่ดีเท่าไรนัก ก่อนหน้านี้บ้านหลังนี้ถูกปล่อยร้างมานานเกือบสิบปีไม่มีคนอยู่อาศัย และไม่มีคนมาเช่าอยู่ ตติยาก้าวเข้าไปในบริเวณรั้วไม่เก่าๆและตะโกนเรียกคนในบ้าน หญิงชราอายุราวๆหกสิบคนหนึ่งโผล่หน้าออกมาหาเธอด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ฉายแววความใจดีเอาไว้อย่างเต็มเปี่ยม ยายนวลชวนเธอเข้าไปในตัวบ้านและยื่นขนมหม้อแกงหน้าตาหน้ากินให้กับเธอตอบแทน แถมยังชวนคุยอย่างสนุกสนานเป็นกันเอง แนะนำให้เธอได้รู้จักกับหลานชายของยายนั่นก็คือ ‘ติณพงษ์’
ชายหนุ่มกำลังเรียนอยู่คณะแพทย์ปีที่หนึ่ง เป็นเด็กหัวดีเข้าขั้นอัจฉริยะที่ได้รับทุนเรียนฟรีจากมหาวิทยาลัยจนจบปริญญา ตติยาแอบทึ่งและอิจฉาในความเก่งกาจของเขาอยู่ลึกๆ เนื่องจากตัวเธอเองก็เคยหวังไว้ว่าอยากจะได้ทุนเรียนจนจบแบบนั้นเช่นกัน ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นคนหัวดีคนหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้เก่งกาจขนาดที่จะได้รับโอกาสเช่นนั้น
หลังจากที่ได้พูดคุยและมีโอกาสแวะเวียนมาที่บ้านหลังนี้อยู่บ่อยครั้ง เธอสังเกตได้ว่าติณพงษ์ดูจะไม่ค่อยชอบหน้าเธอสักเท่าไร ชายหนุ่มดูหงุดหงิดทุกครั้งที่หญิงสาวโผล่ไปที่บ้าน ใบหน้านิ่งจนดูดุนั้นไม่เคยยิ้ม นัยน์ตาสีดำสนิทฉายแววไร้อารมณ์หม่นหมองตลอดเวลา เปลือกตาเหลือบต่ำมองพื้นไม่สนใจคนรอบข้าง ดูปิดกั้นตัวเองจากโลกภายนอก เธอเคยพยายามชวนเขาคุย ก็เป็นการถามคำตอบคำ ใบหน้าหล่อติดจะบึ้งนั้นฉายแววรำคาญที่จะพูดคุยกับเธอชัดเจน ตติยาขัดเคืองใจไม่น้อยว่าผู้ชายคนนี้ถือดีอะไรมารำคาญเธอ และนั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่หญิงสาวได้คุยกับเขา จนเวลาผ่านไปแม้จะได้เจอกันแต่ทั้งคู่ก็ไม่เคยคิดจะทัก บรรยากาศความเป็นมิตรแทบไม่มีอยู่ระหว่างคนทั้งสอง ผิดกับยุวดีผู้เป็นแม่และยายนวลที่เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย พูดคุยกันได้ตลอดตามประสาหญิงม่ายไร้คู่แม้จะต่างวัยกันแล้วก็ตาม
เวลาล่วงเลยผ่านมากว่าสองปี ตติยาเพิ่งเข้าเรียนในชั้นปีที่หนึ่งของมหาวิทยาลัย หญิงสาวพอจะทราบว่าติณพงษ์เองก็ศึกษาอยู่ที่นี่เช่นกัน ชีวิตในมหาวิทยาลัยของเด็กปีหนึ่งแน่นอนว่ามันช่างสนุกสนาน การได้พบเพื่อนใหม่และการทำกิจกรรมต่างๆร่วมกับเพื่อนทำให้เธอมีความสุข จนเธอลืมไปถึงการมีตัวตนของเขา เธอไม่เคยได้พบเจอติณพงษ์ในมหาวิทยาลัยเลยสักครั้งเดียว
จนวันหนึ่ง
ตติยาจำได้ว่าวันนั้นเป็นวันที่ฝนตกหนัก เธอขอลางานที่ร้านโกเฮงมาอ่านหนังสือเตรียมสอบช่วงมิดเทอมที่หอสมุดของมหาวิทยาลัยกับกลุ่มเพื่อน เวลาล่วงเลยไปเกือบสี่ทุ่ม ต่างคนต่างเริ่มแยกย้ายกันกลับบ้าน ยกเว้นเธอที่ยังคงรอให้ฝนซาเนื่องจากขี่จักรยานมาเรียน บ้านของเธอห่างจากมหาวิทยาลัยไม่ถึงสองกิโลเมตร จักรยานจึงเป็นยานพาหนะนอกเหนือจากการเดินไปเรียนในวันที่เร่งรีบ กว่าฝนจะหยุดก็ปาไปเกือบห้าทุ่ม ท้องฟ้ามืดครึ้มเนื่องจากถูกเมฆบดบังดวงจันทร์ไปจนหมด เธอเก็บหนังสือและชีทเนื้อหาการเรียนไว้ในกระเป๋าซึ่งถูกห่อหุ้มด้วยถุงพลาสติกสำหรับกันฝน มัดปากถุงอย่างแน่นหนาก่อนจะก้าวไปคว้าจักรยานคันเก่งปั่นไปตามถนนเปียกชื้น ในมหาวิทยาลัยเงียบสงบผิดวิสัย เนื่องจากเป็นช่วงเวลาใกล้สอบ แถมยังอยู่ในฤดูฝนที่แสนเฉอะแฉะ หญิงสาวปั่นจักรยานอย่างเอื่อยเฉื่อยมิได้รีบร้อน แม้เวลาจะดึกดื่นแต่เธอก็ไม่ได้หวาดกลัวต่อสิ่งใดๆ เพราะกลับบ้านดึกเช่นนี้จนชิน แถมจากมหาวิทยาลัยไปบ้านเธอก็ไม่ได้เป็นทางเปลี่ยว ตากลมโตมองเพ่งไปตามถนนที่ไร้ซึ่งผู้คนอย่างเพลิดเพลิน ขาทั้งสองปั่นจักรยานมาเรื่อยๆจนถึงเขตของตึกคณะแพทย์ ซึ่งเป็นตึกสูงสี่ชั้นตั้งโดดเดี่ยวห่างไกลจากคณะอื่น บริเวณรอบล้อมไปด้วยต้นไม้สูงมากมายดูวังเวงสมคำล่ำลือเกี่ยวกับสิ่งลี้ลับที่คนต่างนำมาพูดกันต่างๆนาๆ ถัดไปใกล้ๆกันมีอาคารที่กำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง บริเวณนั้นยังไม่มีไฟให้แสงสว่าง ความมืดบริเวณนั้นดูน่ากลัวกว่าตึกคณะแพทย์ที่เธอผ่านมาเมื่อกี้ซะอีก ระหว่างที่หญิงสาวกำลังจะรีบพาตัวเองให้ผ่านตึกนี้ไปเพราะรู้สึกขนลุกซู่อย่างน่าประหลาด ก็มีเสียงบางอย่างที่ดังขึ้นสามารถดึงรั้งเธอเอาไว้ให้หันกลับไปมองด้วยความสงสัยระคนแปลกใจ
‘เวรเอ๊ย! ไอ้นี่มันน่ากระทืบให้ตายจริงๆว่ะ ดูหน้ามันสิ หยิ่งชิบ’
‘เออ มันเป็นเด็กแพทย์แน่เหรอวะ กูคิดว่าไอ้พวกเรียนหมอมันจะรวยซะอีก แต่ไอ้ห่านี่แม่งโคตรจนเลย’
เสียงพูดคุยด้วยถ้อยคำหยาบคายดังออกมา ตติยาพยายามเพ่งสายตามองผ่านความมืดเข้าไปบริเวณหน้าตึกก็พบว่ามีเงาของคนกลุ่มหนึ่งกำลังยืนล้อมรอบบางอย่างอยู่
‘แล้วจะเอายังไงกับมันดี ดูสภาพมันสิ พวกมึงซ้อมมันหนักมือไปนะ แลกกับเงินแค่ไม่กี่ร้อยเดียวในกระเป๋ามันเนี่ย’
‘เออสิ เสียเวลากูมาก ทิ้งมันไว้อย่างนี้แหละ ถ้ามันตายพรุ่งนี้ก็คงมีคนมาเก็บศพมันเองแหละ’
ชายสี่คนหัวเราะกันอย่างขบขัน หนึ่งในนั้นใช้เท้าเตะซ้ำแรงๆไปที่บางอย่างที่นอนขุดคู้อยู่กลางวงซึ่งคาดว่าจะเป็นมนุษย์ ก่อนที่พวกนั้นทั้งหมดจะเดินออกมา ทำให้เธอซึ่งมองดูเหตุการณ์อยู่ห่างๆต้องรีบซ่อนตัวให้พ้นจากสายตาคนกลุ่มนั้น
‘มีคนถูกซ้อม’ เธอแน่ใจว่าอย่างนั้นไม่ผิดแน่ ทันทีที่ชายทั้งสี่คนเดินจนพ้นไป ตติยาก็รีบออกจากที่ซ่อน จอดจักรยานไว้แล้วตรงไปที่บริเวณตึก มีคนนอนอยู่ตรงนั้นจริงๆ
‘คุณคะ เป็นยังไงบ้าง’
เธอย่อตัวนั่งลงข้างร่างของชายผู้โชคร้าย เขย่าไหล่เขาเบาๆเพื่อเรียกสติ ในใจกำลังกระวนกระวายเพราะสภาพของคนตรงหน้าค่อนข้างแย่ ใบหน้าโดนซ้อมจนฟกช้ำเต็มไปด้วยเลือด ชุดนักศึกษาที่เขาใส่หลุดลุ่ยเปื้อนฝุ่นและมีเลือดย้อมอยู่ประปลาย รอบๆตัวมีหนังสือ คู่มือเตรียมสอบและแว่นตาที่แตกหักตกอยู่
‘คุณคะ คุณได้ยินฉันหรือเปล่าคะ’ ตติยาเรียกเขาอีกครั้ง พร้อมกับประคองใบหน้าเขาขึ้นมาไว้บนตัก มือบางล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าสีชมพูในกระเป๋าขึ้นมาเช็ดเลือดที่ใบหน้าให้นั้นอย่างแผ่วเบาด้วยเกรงว่าเขาจะเจ็บ หลังจากเช็ดคราบเลือดไปส่วนหนึ่งก็เริ่มเผยดวงหน้าที่เธอคุ้นตาขึ้นมา
‘พี่ต๊ะ’ ดวงตาเบิกกว้าง หลุดชื่อเขาออกมาด้วยความตกใจ
เธอไม่นึกเลยว่าผู้ชายที่โดนซ้อมหนักปางตายคนนี้จะเป็นเพื่อนบ้านของเธอ ถึงแม้จะไม่ได้สนิทสนมคุ้นเคย แต่ดูยังไงชายคนนี้ก็ไม่น่าจะสามารถไปมีเรื่องกับคนอื่นได้
‘อย่ามายุ่งกับฉัน’ เสียงแหบแผ่วทว่ามั่นคงหนักแน่นดังมาจากคนเจ็บข้างหน้าเธอ ดูเหมือนจะรู้สึกตัวแล้ว เขาพยายามที่จะลุกทั้งที่ตาบวมเป่งจนแทบลืมไม่ขึ้น ท่าทางทุลักทุเลนั้นทำให้เธอซึ่งมองอยู่อดไม่ได้ที่จะเข้าไปช่วย แต่ก็โดนมือจากคนตัวใหญ่ปัดออกมา
เจ็บจะตาย แล้วยังจะมาท่ามากอีก
ตติยาคิดด้วยความหมั่นไส้ อดขุ่นเคืองไม่ได้กับท่าทีรังเกียจรังงอนของติณพงษ์ เธอยืนมองเขาพยายามพยุงตัวเองลุกขึ้นจนสำเร็จและค่อยๆเดินไปเก็บหนังสือที่ตกอยู่พร้อมกับแว่นตาหักๆอันนั้น ก่อนจะพาตัวเองเดินออกไปจากบริเวณนี้อย่างยากลำบาก ดูเหมือนเขาจะเจ็บขา แต่จริงๆแล้วเรียกได้ว่าน่าจะเจ็บทั้งตัวเลยมากว่า สี่คนนั้นคงรุมเขาซะน่วมอย่างไม่ปราณีเลยทีเดียว
‘ทำไมพี่ถึงโดนพวกนั้นซ้อมเอาได้’ คนตรงหน้าหยุดกึก เขาหันมามองเธอด้วยสายตาเยือกเย็น บ่งบอกถึงความไม่พอใจ ซึ่งตัวเธอเองก็ไม่แน่ว่าเขาไม่พอใจที่เธอสาระแน หรือไม่พอใจที่ไปเรียกเขาว่าพี่ด้วยท่าทีสนิทสนมแบบนั้นกันแน่
เอ.. หรือว่าจะทั้งสองอย่าง
‘ให้ฉันไปส่งพี่ที่บ้านมั้ย’ เธอออกตัวอาสาพร้อมกับวิ่งไปที่จักรยานคันเก่ง ขี่ออกมาหาเขาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม แต่ก็ต้องหุบยิ้มฉับทันทีเมื่อเจอตาขวางๆท่าทางไม่เป็นมิตรนั่น
‘เอ่อ ให้ฉันไปส่งคุณที่บ้านนะคะ คุณเจ็บอยู่ เกรงว่าจะเดินลำบาก’ เธอปรับเปลี่ยนคำพูดพูดใหม่ ถามเขาอย่างหยั่งเชิงอีกครั้ง ดวงตานั้นไม่ดุเท่าเมื่อครู่ แต่ก็ไม่ได้บ่งบอกอารมณ์ใดๆ ใบหน้านิ่งผินหน้าไปมองทาง ค่อยๆเดินออกไปโดยไม่หันกลับมาสนใจเธออีก
สุดท้ายวันนั้น ตติยาจึงต้องเดินจูงจักรยานตามเขาไปจนถึงบ้าน เธอเหลือบตามองนาฬิกาบนข้อมือพบว่าตอนนี้เกือบจะตีหนึ่งแล้ว อาการง่วงงุนเริ่มแสดงให้ให้เป็นระยะจากการหาวติดต่อกันหลายครั้งภายในระยะเวลาไม่กี่นาที เขาเดินกระเผลกก้าวเข้ารั้วบ้านตัวเองไปอย่างเงียบๆ เธอมองท่าทางเหล่านั้นมาตลอดทาง ดูก็รู้แล้วว่ามันเจ็บขนาดไหน แต่มนุษย์บ้าพลังคนนั้นก็ยังฝืนเดินกลับมา แต่ที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าก็คงจะเป็นตัวเธอนี่แหละ เดิมตามเขาต้อยๆทั้งที่ดึกดื่นขนาดนี้ ดีนะที่เธอกลับบ้านดึกจนชินตา จึงไม่เป็นเรื่องแปลกสำหรับที่บ้าน แต่วันนี้ก็ถือเป็นวันที่เธอกลับบ้านดึกที่สุดเลยก็ว่าได้ ร่างบางมองคนเจ็บจนลับตา แล้วจึงเลี้ยวตัวเพื่อที่จะกลับไปที่บ้านของตัวเอง แต่ยังไม่ทันที่จะก้าวขา เสียงร้องตะโกนอย่างเจ็บปวดก็ดังขึ้นมาจากบ้านที่ชายหนุ่มเพิ่งเดินเข้าไป
‘เกิดอะไรขึ้น เขาเป็นอะไร ทำไมถึงร้องเสียงดังขนาดนั้น’
โดยที่ไม่ต้องคิดให้มากความ สองขานั้นก็วิ่งตรงไปที่บ้านของต้นเสียงด้วยความร้อนใจ
‘ยาย!’ เสียงร้องโหยหวนดังขึ้น พร้อมกับสิ่งที่ปรากฏให้เห็นตรงหน้าที่ทำให้เธอช็อคยิ่งกว่า ดวงตาเริ่มพร่าเลือน มือบางยกขึ้นมาปิดปากตัวเองอย่างพูดไม่ออก ลำคอตีบตันไปหมด
ติณพงษ์กำลังร่ำไห้กอดร่างของหญิงชราซึ่งนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นที่เปื้อนไปด้วยเลือดแดงฉาน บริเวณหัวและใบหน้าซีกหนึ่งชุ่มไปด้วยเลือดเช่นกัน เธอค่อยๆก้าวลงไปนั่งข้างคนทั้งสอง ก่อนจะเอื้อมมือไปจับที่ข้อมือเย็นเฉียบของคนสูงวัย
ชีพจรแน่นิ่ง...
น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองของเธอทันที หญิงสาวมองภาพตรงหน้าด้วยความสะเทือนใจ ในหัวของเธอตื้อไปหมด ไม่เคยคิดเลยว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
‘ยาย ยายฟื้นสิครับ’ ผู้ชายที่แสนเย็นชาคนนั้นกำลังร้องไห้ปานจะขาดใจ เขากอดร่างอันไร้วิญญาณของยายนวลไว้แน่น ราวกับกลัวว่าเธอจะหนีไปไหน ปากพร่ำเพ้อราวกับคนละเมอ
‘ยาย อย่าทิ้งต๊ะนะ อย่าหนีต๊ะไปอีกคน’
เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมง ชายหนุ่มยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ท่าเดิมไม่ไปไหน น้ำตายังคงไหลออกมาจากดวงตาคู่นั้นไม่หยุด เนื้อตัวเขาสั่นระริกหวาดกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้นจับใจ
ตติยาเขยิบก้าวไปชิด ยื่นมือเตะไปที่ไหล่หนาซึ่งกำลังสั่นไหวด้วยแรงสะอื้นนั้นอย่างปลอบโยน
‘ยายนวลแกไปสบายแล้วนะ’
‘ไม่ ไม่ ยายไม่ไปไหน ยายจะอยู่กับฉัน’ ชายหนุ่มปฎิเสธคำพูดเหล่านั้น พร้อมกับกอดรัดร่างนั้นแน่นกว่าเดิม พอดีกับที่เสียงโทรศัพท์มือถือเธอดังขึ้น
‘ต๋า ลูกอยู่ไหน ดึกป่านนี้ทำไมยังไม่กลับบ้านอีก’
‘แม่คะ ยายนวล...’
เช้านี้ทุกอย่างดูจะวุ่นวายไปหมด ตำรวจได้เข้ามาตรวจหาสาเหตุการตายของยายนวลจากการแจ้งไปของยุวดี จากหลักฐานรอบตัวพบ โต๊ะขนาดเล็กที่ล้มและหลอดไฟที่แตกกระจายอยู่ใกล้ๆศพ ทำให้ตำรวจได้สรุปว่าผู้ตายน่าจะพยายามขึ้นไปเปลี่ยนหลอดไฟที่เสียภายในบ้าน ก่อนจะพลัดตกลงมาจากโต๊ะที่มีความสูง ทำให้หัวฟาดพื้นอย่างแรงจนเสียชีวิต ตอนนี้ศพของยายนวลถูกย้ายไปบำเพ็ญกุศลที่วัดใกล้หมู่บ้าน งานถูกจัดอย่างเงียบๆโดยมียุวดีแม่ของเธอเป็นเจ้าภาพ จากการที่ได้รู้จักกันมาสองปีนี้ยายนวลไม่เคยพูดถึงญาติที่ไหนนอกจากติณพงษ์ ยุวดีและเพื่อนบ้านในระแวกนี้จึงต้องช่วยกันลงขันจัดงานศพให้กับหญิงสูงวัยที่ล่วงลับไป แขกที่มาก็ล้วนเป็นบรรดาเพื่อนบ้านที่รู้จักกันเพียงไม่กี่คน
เมื่อคืนหลังจากที่ตติยาได้บอกเรื่องของยายนวลให้กับยุวดีได้ทราบทางโทรศัพท์ ท่านก็รีบมาทันที มารดาของเธอปลอบโยนติณพงษ์อยู่นานกว่าเขาจะยอมปล่อยร่างของยาย ใบหน้าที่บวมช้ำจากการโดนทำร้ายยิ่งดูแย่ไปใหญ่เมื่อเขาร้องไห้อยู่เป็นเวลานาน ดวงตาบวมปูดอยู่แล้วแดงก่ำน่าเวทนา เธอทำแผลบริเวณใบหน้าให้เขาตอนเช้าตรู่ ดวงตาของเขาเลื่อนลอยไม่รู้สึกรู้สาเหมือนคนไร้วิญญาณ ประหนึ่งว่าชีวิตของเขาได้จบสิ้นไปพร้อมกับยายผู้เป็นที่รักเสียแล้ว
วันนั้นเธอมีเรียนตอนบ่ายจึงเข้าไปช่วยงานที่วัดในช่วงเช้า มีคนที่วัดเพียงสิบกว่าคนเท่านั้น ทุกคนต่างพากันมาแสดงความเสียใจและรู้สึกเห็นใจกับหลานชายของนายนวลที่ต้องมาไร้ญาติขาดมิตรตั้งแต่อายุยังน้อย ติณพงษ์อาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้ามาในชุดสีดำสนิททั้งตัว เขานั่งอยู่หน้ารูปของยายนวลอย่างเศร้าสร้อย ใบหน้าหมองดูซูบซีดไร้สีเลือดเหมือนคนป่วยจนเธออดห่วงไม่ได้ว่าเขาอาจจะล้มไปอีกคน
‘ต๊ะ ยังไม่ยอมทานอะไรเลย ต๋าช่วยเอาข้าวต้มนี่ไปให้พี่เค้าหน่อยนะลูก เดี๋ยวจะเป็นอะไรไปอีกคนซะก่อน’ ยุวดียื่นถ้วยข้าวต้มมาให้เธอ พยักเพยิดหน้าไปที่ชายหนุ่ม
‘พี่ต๊ะ กินข้าวหน่อยนะ พี่จะไม่สบายเอาได้’ หญิงสาวยื่นชามข้าวต้มไปให้ แต่ชายหนุ่มไม่แม้แต่จะหันมามอง ดวงตาของเขายังคงเหม่อลอยไปที่รูปของยายนวล
ติณพงษ์ช่างน่าสงสาร ภาพภายนอกดูเข้มแข็ง แต่จริงๆแล้วเปราะบางยิ่งกว่าแก้วใส เธออดคิดไม่ได้ว่าหากไม่มียายนวลแล้ว ต่อไปเขาจะมีชีวิตต่อไปยังไง คนตัวคนเดียว ชีวิตขาดเสาหลักขาดญาติมิตร ตอนนี้เขาไม่เหลือใครเลย
งานศพของยายนวลผ่านพ้นไป ยุวดีมีความคิดที่จะชวนติณพงษ์ให้มาอยู่ที่บ้านด้วย เธอรู้สึกเอ็นดูและสงสารเด็กหนุ่มคนนี้จับใจ และยินดีที่จะรับเขามาเป็นลูกอีกคนหากว่าเขาเต็มใจ แม้ตัวเธอเองนั้นจะไม่ได้ร่ำรวยเงินทอง ออกจะขัดสนบ้างเป็นบางครั้งเสียด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่อยากทอดทิ้งเขาให้อยู่เพียงลำพัง เด็กคนนี้เป็นเด็กมีปม ซ่อนความอ่อนแอมากมายไว้ใต้หน้ากากอันเงียบขรึม เขาพาตัวเองออกมาจากสังคมจนกลายเป็นคนเก็บตัว เธอพอจะสังเกตได้ และเมื่อมีโอกาส ยุวดีจึงได้พูดคุยเรื่องนี้กับเขา ซึ่งติณพงษ์ก็ได้ปฎิเสธกลับมา
‘คุณน้าอย่ามาลำบากเพราะผมเลยครับ ผมอยู่ได้ ไม่ต้องเป็นห่วง’
‘ผมจะย้ายออกจากบ้านนี้ไปอยู่หอครับ อย่างน้อยค่าเช่ามันก็คงจะถูกกว่าการเช่าบ้านหลังนี้’
หลังจากวันนั้นผ่านไม่ถึงสองสัปดาห์ ติณพงษ์ก็ได้ย้ายออกจากบ้านหลังนั้น ในวันนั้นตติยา ยุวดี และมณชยาได้ออกมาล่ำลาเขา ยุวดีนำเงินก้อนนึงจำนวนห้าพันบาทยื่นให้เขา ซึ่งชายหนุ่มก็ปฏิเสธ
‘ผมรับไม่ได้หรอกครับ แค่เรื่องงานศพยายคุณน้าก็ให้มามากพอแล้ว’
‘อย่าปฏิเสธน้าเลยนะต๊ะ ถือว่าน้าให้ยืมก็ได้ อนาคตต๊ะมีเงินเมื่อไรค่อยเอามาคืน’ ชายหนุ่มมองเงินในมืออย่างชั่งใจ ก่อนจะยกมือไหว้คนตรงหน้า
‘ผมขอบคุณน้ามากครับ ถ้าผมมีเงินเมื่อไรจะรีบเอามาคืน’
‘จ๊ะ ว่างๆก็แวะมาเยี่ยมน้า กับน้องๆมากนะ’ ยุวดีลูบไหล่เขาเบาๆอย่างเอื้อเอ็นดู
ตติยาซึ่งยืนอยู่ข้างผู้เป็นแม่ยืนมองชายหนุ่มตรงหน้า แอบใจหายที่ต่อไปนี้เขาจะจากไปอยู่ที่อื่น แม้ที่ผ่านมาทั้งคู่แทบจะไม่ได้พูดคุยกัน แต่เธอก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่มีต่อเขา มันเป็นความรู้สึกที่ไม่อยากให้คนๆนี้หายไปจากสายตา ตากลมโตพยายามจ้องเขม็งไปหวังว่าเขาจะหันมามองเธอบ้าง และก็ได้ผล ติณพงษ์เงยหน้าขึ้นมาสบตาเธอ ดวงตาดำสนิทวูบไหว แวบนึงที่เธอเห็นถึงแววตาเว้าวอนที่ส่งผ่านมา ใบหน้าของตติยาร้อนผ่าวแดงก่ำอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ลมหายใจสะดุดติดขัด รีบก้มหน้าหลบดวงตาคู่นั้นอย่างเขินอาย
กริ๊งๆๆๆ
นาฬิกาปลุกส่งเสียงดังเมื่อเข็มนาฬิกาชี้ไปที่เลขหก ร่างเล็กสะดุ้งเฮือกผุดลุกขึ้นมาจากเตียงด้วยความตกใจ มือบางเอื้อมไปกดปิดนาฬิกาปลุกที่ส่งเสียงดังน่ารำคาญ สายตากวาดมองไปรอบๆห้องก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ในหัวกำลังตีวนสับสนวุ่นวาย
‘เธอฝัน’
ตติยาไม่แน่ใจว่าตัวเองเผลอหลับไปตอนไหน จำได้คร่าวๆว่าเมื่อวานที่บ้านเธอมีเรื่องจนไปทำงานที่ร้านโกเฮงสายจนโดนบ่นยกใหญ่ กว่าจะเสร็จงานก็ดึกดื่น ใช่แล้ว เมื่อวานเธอได้พบกับติณพงษ์ อดีตเพื่อนบ้าน และเมื่อคืนเธอก็นึกถึงเขาจนเก็บเอาเรื่องอดีตนั้นมาฝัน หญิงสาวนึกภาพหน้าของชายหนุ่มขึ้นมาอีกครั้ง ใบหน้าขาวซีดหลังตื่นนอนเริ่มมีเลือดฝาด สองมือเล็กบีบกันจนแน่นเกร็ง ดวงตาสั่นระริกอย่างห้ามไว้ไม่อยู่
“จะออกไปทำงานแล้วเหรอต๋า” ยุวดีที่กำลังจัดโต๊ะอาหารทักขึ้นเมื่อเห็นลูกสาวคนโตเดินลงบันไดมาตั้งแต่เช้าตรู่ในวันเสาร์ ร่างเล็กในชุดเสื้อยืดสีขาวพอดีตัวกับกางเกงยีนขายาวสีซีดดูทะมัดทะแมงเป็นลุคที่คุ้นตาสำหรับตติยา
“ค่ะแม่ วันนี้ต๋าเข้ากะเช้า” หญิงสาวนั่งลงบนโต๊ะกินข้าวก่อนจะเหลือบตามองใบหน้าที่มีรอยเขียวช้ำตรงมุมปากและโหนกแก้มของมารดา “แม่โอเคนะคะ เจ็บแผลมากรึเปล่า”
“ไม่เป็นไรหรอก แผลแค่นี้ไม่กี่วันเดี๋ยวก็หาย ว่าแต่ต๋าเถอะ หน้าซีดเซียวจังลูก ไม่สบายหรือเปล่า”ผู้เป็นแม่ถามเมื่อเห็นหน้าตาอ้อนล้าของลูกสาว อดนึกห่วงสุขภาพของคนตรงหน้าไม่ได้ ตติยาเรียนและทำงานจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน จนเธอกลัวว่าสักวันลูกคนนี้จะล้มป่วยเอา
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะแม่ เมื่อวานอยู่ช่วยงานที่ร้านโกเฮงจนดึก แถมกลับมายังนอนไม่ค่อยหลับอีก เลยดูโทรมไปหน่อย”
“รักษาสุขภาพตัวเองด้วยนะต๋า เกิดเป็นอะไรขึ้นมามันจะแย่นะ อย่าหักโหมนักเลย แม่ว่างานที่ร้านมินิมาร์ทวันเสาร์อาทิตย์นี่ไม่ต้องไปทำหรอก จะได้พักผ่อนเหมือนคนอื่นเขาบ้าง แค่ลูกทำงานที่ร้านโกเฮงหลังเลิกเรียนแม่ก็ว่าน่าจะพอแล้ว”
“โธ่แม่ค่ะ อย่าห่วงไปเลยน่า ต๋าทำแบบนี้มาตั้งหลายปีแล้วนะ ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย”หญิงสาวยังคงดื้อรั้น ทำเอาผู้เป็นแม่ส่ายหัวอย่างระอาใจ
“ว่าแต่ วันนี้เหมียวไปเรียนพิเศษหรือเปล่าคะ” ตติยาเอ่ยถาม เมื่อเห็นว่าปกติวันเสาร์เช่นนี้มณชยาจะต้องไปเรียนพิเศษ เนื่องจากใกล้ถึงเวลาสอบเข้ามหาลัยแล้ว เธออย่างให้น้องสาวได้เรียนมหาวิทยาลัยดีๆ
“เหมียวมันบอกว่าจะไม่เรียนแล้วนะ ต๋าก็รู้ว่าน้องมันหัวไม่ค่อยดี” คำตอบนั้นทำให้หญิงสาวไม่พอใจเท่าไรนัก เธอเองก็รู้ดีว่าน้องสาวคนนี้เรียนไม่เก่ง จึงอยากให้ได้เรียนรู้มากขึ้น อุตส่าห์เสียเงินค่าคอร์สแพงๆให้มณชยาได้ไปเรียนพิเศษ แต่น้องสาวตัวดีกลับไม่ยอมไป
“อย่าไปเครียดกับเรื่องของเหมียวมันเลย กินข้าวเถอะ เดี๋ยวไปทำงานสายนะ” ยุวดีตัดบด ก่อนจะตักข้าวต้มปลาร้อนๆหอมฉุยให้กับลูกสาว ซึ่งตติยาเองก็ไม่อยากจะบ่นน้องสาวให้แม่ลำบากใจ จึงก้มหน้าก้มตากินข้าวต้มของโปรดของตัวเองไป
“เออต๋า นั่นของลูกใช่มั้ยจ๊ะ”
“คะ? อะไรเหรอ” เธอเงยหน้าขึ้นมองแม่อย่างแปลกใจ
“นี่น่ะของลูกหรือเปล่า” ยุวดีเดินไปหยิบของที่ว่านั่นมายื่นให้เธอ และเมื่อเห็นว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร ใบหน้าเล็กก็ซีดเผือดจนแทบไม่มีสีเลือด ดวงตาของหญิงสาวก็เบิกกว้างอย่างตกใจ มือเรียวรีบคว้าเจ้าของสิ่งนั้นมาจากมารดาอย่างรวดเร็ว
“มะ..แม่ไปเอามันมาจากไหนคะ” เธอกำลังหวาดกลัว มือกำของสิ่งนั้นแน่น
“เมื่อวานต๊ะเขาเอามาฝากไว้ให้นะจ๊ะ แม่ยังแปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงรู้ว่าเป็นของหนู แล้วต๊ะเขาไปเจอมันมาได้ยังไง”
“พี่ต๊ะ มาที่นี่” เธอครางแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน
“จ๊ะ เอาต่างหูนี่มาฝากไว้ให้หนูปุ๊บก็กลับออกไปเลย”
เขามาที่นี่จริงๆ มือที่กำต่างหูข้างนั้นของเธอสั่น ในใจกำลังหวาดระแวง เขาทำแบบนี้ทำไม ต้องการอะไร ร่างเล็กผุดลุกออกจากโต๊ะกินข้าวแล้ววิ่งออกไปจากบ้านทันทีโดยไม่บอกกล่าว ทำเอาผู้เป็นแม่ตกใจกับท่าทางเหล่านั้นของลูกสาวไม่น้อย
ตติยาวิ่งออกมาจนพ้นตัวบ้าน เธอกลัวว่ามารดาจะเห็นใบหน้าที่บิดเบี้ยวของเธอยามเก็บอารมณ์ไม่อยู่ กลัวมารดาจะสงสัยและรับรู้ในสิ่งที่เธอไปแอบกระทำหลับหลัง หญิงสาวมองต่างหูตัวปัญหาที่อยู่ในมือเธอด้วยความไม่เข้าใจ ผู้ชายคนต้องการจะยั่วประสาทเธอเล่นงั้นหรือ ทำเกินไปหน่อยแล้ว ตติยาตั้งใจจะขว้างสิ่งที่อยู่ในมือลงพื้นด้วยความโมโห แต่แล้วก็ต้องชะงัก เธอทำไม่ได้ น้ำใสๆไหลจากดวงตาคู่งามช้าๆอย่างห้ามไม่อยู่ เธอมองต่างหูเงินที่อยู่ในมือเธออีกครั้ง
ต่างหูรูปตัวอักษร ‘Ta’
ต่างหูที่มีเพียงข้างเดียว
เพราะอีกข้างมันอยู่ที่คนอีกคน... ‘Ta = ต๊ะ=ต๋า’
Talk
สวัสดีค่ะ ตอนที่ 1 มาแล้วววว!!!
ปั่นสุดชีวิต นิยายเรื่องนี้แต่งไปอัพไปนะคะ
วันเวลาอาจไม่แน่นอน แต่จะพยายามเขียนและอัพให้ทันตามที่กำหนดไว้
เรื่องนี้พระเอกน่าสงสารค่ะ นางเอกแอบน่าหมั่นไส้(แต่รักนะ)
ช่วยติดตามเป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ เม้นติชมกันเข้ามาเยอะๆเลย >///<
ขอบคุณค่ะ
แสนโสภา
ความคิดเห็น