ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO] #첸 sf of all jongdae & chen

    ลำดับตอนที่ #2 : ♡첸2 [#baekchen] 말할 수 없는 비밀

    • อัปเดตล่าสุด 19 เม.ย. 58






     

    말할 수 없는 비밀

    (baekhyun X jongdae)









    ถ้าเลือกจะเดินไปแล้ว ก็เดินไปซะ
    อย่าหันกลับมาบอกว่า
    มันยังเหมือนเดิม
    ไม่เคยรู้หรือไง ฉันไม่เคยเหมือนเดิม

    ใช่ ระหว่างเรานั่นก็ด้วย

     

     

     

     

     

    เปลือกตาบางกระพริบขึ้นลงเมื่อรู้สึกได้ถึงการมาเยือนของเช้าวันใหม่ หรี่ตาลงเพียงนิดแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อแสงแดดที่ลอดผ่านมาทางผ้าม่านชักจะกระทบต่อประสาทตาเขามากเกินไปแล้ว ชายหนุ่มขยับกายพลิกตัวไปอีกฝั่งเพื่อหันหน้าหนีแสงแดดก่อนจะร้องโอดครวญเสียงดังเมื่อความรู้สึกปวดจนจุกแล่นริ้วไปทั่วร่างกาย

    แทบจะไม่ต้องบอกเขาเองก็พอรู้ว่าสิ่งของหนักๆที่กำลังถาโถมตัวเองใส่ร่างกายของเขาอย่างเต็มที่ในตอนนี้คืออะไร และฝีมือการเปิดหน้าต่างรับแสงแดดยามตั้งแต่เช้าตรู่นั่นเป็นของใคร สองมือขยี้หัวอย่างไม่ชอบใจ เขาเองเพิ่งจะได้หลับตานอนอย่างจริงจังก็เมื่อสองชั่วโมงที่แล้วและนี่เองก็เพิ่งจะเจ็ดโมงเช้า ให้ตายเถอะ รู้สึกหงุดหงิดมากที่วิธีรบกวนการนอนของมินซอกฮยองใช้ได้ผลกับเขาทุกทีสิหน่า!

     “โอ๊ะ ขอโทษนะเด็กน้อย แค่อยากจะมาถามว่าต้นฉบับเสร็จรึยัง”

    ผมส่งเสียงครางฮือในลำคอเมื่อเขาลุกออกจากตัวผมไปได้ซักที รู้สึกตัวของมินซอกฮยองชักจะหนักขึ้นทุกวัน อย่างนี้ผมควรส่งเรื่องไปให้เจ้านายหักเงินเดือนเจ้าพี่นี่ดีไหมนะ? ผมรู้อยู่แก่ใจว่าต่อให้ผมจะขอนอนต่อ มินซอกฮยองก็จะไม่ยอมเสียเวลาเดินไปปิดผ้าม่านอีกแน่ๆ เลยมุดหน้าลงกับหมอนมันเสียเลย

              “เอ็จอั้งแอ่เอื่ออืนแอ้ว”

    ตอบอีกคนไปอย่างไม่ใส่ใจ สาเหตุที่เขานอนเกือบฟ้าสางของอีกวันนี่ก็ไม่ได้พ้นอะไรจากอาชีพของตัวเองซักเท่าไหร่ การเป็นคนเขียนมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ยิ่งมีคิมมินซอกเป็นบก.ด้วยแล้วก็ยิ่งเหมือนเห็นคำว่ายากถูกยกกำลังสักล้านครั้ง แล้วผมก็ไม่อยากจะนึกภาพตัวเองตอนเดินไปส่องกระจกตอนนี้ด้วย รู้แค่ว่ามันคงไม่ต่างอะไรจากซากศพเดินได้ หรือถ้าอย่างดีก็อาจจะเหมือนกับคนที่ไปเข้าป่ามาซักสองสามสัปดาห์ อืม ก็แย่เหมือนกันนี่นะ

     “แล้วเมื่อไหร่จะไปตัดผมเนี่ย”

      ผมส่งเสียงครางฮือในลำคออีกครั้งเมื่อรู้สึกได้ถึงแรงกระตุกบนเส้นผม ถึงแม้ว่ามันจะเพียงบางเบาแต่ดันทำให้รู้สึกตึงจนปวดหนึบ ผมเอื้อมไปจับมือของมินซอกฮยองออกแล้วค่อยฟุบหน้าลงกับหมอนอีกที

     “อ่อยไออุ่งอี้”

              ผมปล่อยให้มินซอกบ่นอะไรไปตามประสาคนชอบความมีระเบียบ และแน่นอนว่าผมไม่หือไม่อือซักคำ ปล่อยให้แกได้พูดแบบนั้นแหละเดี๋ยวอีกซักหน่อยก็คงเงียบไปเอง หรืออย่างมากก็คงเดินไปบ่นไปตอนออกไปอุ่นอาหารให้ผมกิน แกก็เป็นประเภทแบบนี้แหละครับ ปากร้ายแต่ใจดี

     

     

     ณ ตอนนั้นผมเองคงง่วงมากจริงๆถึงขั้นมุดหน้าลงกับหมอนจนแทบจะไม่เหลือพื้นที่ให้หายใจขนาดนั้นยังจะสามารถหลับยาวได้ถึงสี่ชั่วโมงถัดมา กว่าจะรู้ตัวอีกทีแสงแดดก็ส่องตรงหัวซะแล้ว ถอนหายใจเป็นรอบสุดท้ายแล้วค่อยยันตัวเองขึ้นกับที่นอน หันไปมองหัวเตียงถึงเห็นโพสท์อิทสีเหลืองสดใสเขียนด้วยลายมือแสนจะเป็นระเบียบว่ากลับไปสำนักงานแล้ว ไว้เจอกันวันถัดไป ยังนับว่าเป็นบุญของผมอยู่ที่จะมีคิมมินซอกมาคอยป้วนเปี้ยนเฉพาะช่วงเช้าๆเท่านั้น หากให้เจอกันทั้งวันคงรู้สึกชีวิตจะอาภัพมากเกินไปหน่อย

    ชายหนุ่มที่เพิ่งจัดการธุระของตัวเองเสร็จเดินอาดๆเข้ามากลางห้องครัวด้วยสภาพไม่สู้ดีนัก อาการออฟฟิศซินโดรมที่ดูเหมือนจะเป็นโรคเรื้อรังก็กำลังถาโถมเข้าใส่จนปวดหนึบไปหมด แล้วยิ่งอาการง่วงที่เป็นผลมาจากการนอนไม่พอติดต่อกันมาหลายวันนี่ก็ด้วย ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายของเขายืนยันได้ดีว่าการเป็นนักเขียนมันไม่ได้ง่ายอย่างที่เคยคิดไว้เลย

    หันไปเห็นถ้วยข้าวต้มที่ยังคาไว้ข้างในตั้งแต่มินซอกฮยองเข้ามาปลุก แทบจะไม่ต้องคิด มือเรียวก็ผลักไมโครเวฟให้ปิดแล้วกดอุ่นอีกรอบ เดินลากสังขารตัวเองไปยังฝั่งกระติกน้ำร้อน กดมันให้ทำงานอีกครั้งแล้วก็ค่อยยืนพิงเคาน์เตอร์จ้องตัวเลขบนหน้าปัดของไมโครเวฟที่กำลังบอกเวลาถอยหลัง แต่ละวินาทีผ่านไปอย่างเอื่อยเฉื่อย ไม่มีความเร่งรีบ มีแต่ความเรียบง่ายในตัวของมัน เขาไม่มีเหตุผลที่จะต้องรีบ ต้นฉบับทุกเล่มก็ส่งไปหมดแล้ว มินซอกฮยองก็ไม่อยู่ และก็ไม่มีแขกที่บ้านด้วย มันไม่จำเป็นเลยที่จะต้องใจร้อนในวันหยุดแสนสบายแบบนี้

    ทีวีที่ดูเหมือนจะมีค่าที่สุดในห้องเช่าแห่งนี้ถูกเปิดขึ้นด้วยฝีมือของผมที่เพิ่งล้างจานเสร็จไปเมื่อครู่ ตรวจดูรายการออกอากาศแล้วอีกไม่ถึงสิบนาทีละครช่วงค่ำเมื่อคืนก็คงจะรีรันขึ้นมาให้ดูอีกรอบ พล็อตน้ำเน่าเดิมๆที่ผมจำได้ว่าได้ดูมันเมื่อสิบปีที่แล้ว เคยได้ยินข่าวมาคร่าวๆว่าจะนำเรื่องนี้ขึ้นมารีเมคใหม่ให้เข้ากับสมัยใหม่มากขึ้น ซึ่งผมไม่เห็นว่ามันจะมีประโยชน์อะไรเลย ความคลาสสิคและความเป็นเอกลักษณ์ของมันต่างหากล่ะที่ทำให้มันมีเสน่ห์

     

               “แค่เธอบอกให้ฉันรอ ฉันก็จะรอ”

              น้ำเสียงอ่อนยวบจากปากของพระเอกหน้าซึนทำเอาผมนิ่วหน้า รองั้นหรอ? นี่ไม่รู้หรือกินหญ้าเป็นอาหารถึงได้ดูไม่ออกว่าคนที่จะจากไปทั้งร้อยทั้งพันเขาไม่มีวันกลับมาหรอก คนจากไปเขาก็คงไปหาความสุขของเขา ปากบอกว่าจะกลับมานะ แล้วสุดท้ายเป็นยังไง คนถูกทิ้งมีทางเลือกที่ไหนได้ล่ะนอกจากรอกับลืม ห้าหกปีช่วยอะไรได้ไหม? ก่อนจะรอเขาช่วยถามเขาก่อนว่าหัวใจของเขาเป็นของใคร คิดว่าคำว่ารอจะทำให้ใครบางคนเขาทิ้งทุกอย่างมาหาหรือไง?

     

    โง่
    และอันที่จริงละครเรื่องนี้มันก็ตลกร้ายสิ้นดี

     

              เขาปิดเปลือกตาที่แสนอ่อนล้าด้วยมือทั้งสองข้างของตัวเอง ลมหายใจร้อนถูกพ่นออกเป็นครั้งที่สอง ผมทั้งเหนื่อยและก็อ่อนล้า แถมละครบ้าๆนี่ก็ทำให้ผมหวนนึกถึงใครบางคน ไม่ ผมไม่เคยถูกบอกให้รอ และผมเองก็ไม่คิดจะรอด้วย ในเมื่ออีกฝ่ายยังได้โอกาสได้การเริ่มต้นใหม่กับใครมากมาย แล้วทำไมผมจะไม่ได้ในเมื่อความสัมพันธ์ของเรามันก็ไม่เคยเกินเลยมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เรื่องอะไรผมจะรอ ในเมื่อมันยังมีเหลืออีกทางให้ผมเลือกเดิน

     

    นั่นคือลืม ลืมหมอนั่นออกไปให้หมด
    ทำเหมือนทุกวันคือวันใหม่ ก็แค่ปลอบใจตัวเองว่ายังไงก็คงได้เจอใครอีกมากมาย
    แค่คนคนเดียวไม่ทำให้เจ็บเจียนตายเท่าไหร่นักหรอก

     

     

              ก๊อก ก๊อก

     

    เสียงเคาะประตูดังขึ้นเล่นทำเอาผมสะดุ้งจากภวังค์และกรอบความคิดที่ไม่รู้เผลอกลับไปคิดถึงคนคนนั้นอีกทำไม รีโมตเรียวยาวสีดำถูกกดให้ปิดรายการโทรทัศน์นั่นเสีย ผมลุกขึ้นยืนจัดแจงการแต่งกายของตัวเองให้เรียบร้อย ขอบอกว่าคนที่อยู่หน้าประตูห้องของเขาตอนนี้มั่นใจได้เลยห้าสิบเปอร์เซ็นต์แน่ๆว่าไม่ใช่คิมมินซอก แต่อาจจะเป็นป้าแม่บ้าน หรืออาจจะเป็นเพื่อนข้างห้องที่ย้ายเข้ามาใหม่ก็ได้ เห็นพี่มินซอกเคยเปรยเอาไว้เมื่อวาน หากเป็นเพื่อนข้างห้องจริงก็คงอยากจะมาทักทายตามมารยาทเท่านั้นแหละ

     

    เพราะผมไม่เคยล่วงรู้ว่าการเปิดประตูครั้งนั้นจะเหมือนกับการกระชากให้ผมกลับไปอยู่ในกรอบเดิมอีกครั้ง, ภาพของคนตรงหน้ามันพร่ามัว และกว่าผมจะรู้ตัวใครคนนั้นก็เดินเข้ามาในห้องอย่างหน้าตาเฉยเสียแล้ว ก้าวฉับๆไปนั่งบนโซฟาตัวเล็กที่ผมเพิ่งจะลุกขึ้นมา

     

              แย่มาก, แย่ที่สุด มารยาทไม่มีหรือยังไง?

              ผมนึกได้แต่คำนี้วนไปวนมาในสมอง แย่ แย่ แย่มาก แปลกที่ปากของผมทำได้แค่เพียงอ้าออกมาน้อยๆ เส้นเสียงที่เหมือนโดนกระชากให้ขาดออกจากกันตั้งแต่แขกไม่ได้รับเชิญเดินเข้ามา ริมฝีปากของผมไม่มีเสียง และคอก็แสนจะแห้งผากเหลือเกิน

     

    เคยมีคนบอกเอาไว้ว่าเราจะไม่มีทางรู้เลยว่าเราคิดถึงใครคนหนึ่งมากขนาดไหน
    จนกว่าเราจะได้เห็นหน้าเขาอีกครั้ง

     

    วินาทีนั้นเองที่ทำให้ผมรู้ตัวว่า

    ผมกำลังคิดถึงเขามากเหลือเกิน

     

     

     

    ไม่มีคำทักทายใดๆหลุดออกมาจากปากของผมซักนิด เพราะผมทำได้แต่ยืนมองเขาอยู่อย่างนั้น อีกฝ่ายโตขึ้นมากกว่าคนเดิมที่เขาเคยเห็นเมื่อซักเจ็ดปีที่แล้วได้มั้ง?  ส่วนสูงก็เพิ่มขึ้น ผิวพรรณก็เปล่งปลั่ง ใบหน้าก็ดูสมส่วน การแต่งตัวก็ดูจะมีรสนิยมมากกว่าเดิม แต่แปลกชะมัดที่ดวงตาของเจ้าหมอนั่นไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่นิดเดียว
     

    “ไม่คิดถึงกันบ้างหรือไง?”
     “ฉันน่ะ คิดถึงนายมากเลยรู้ไหม”

     

     ประโยคที่ไม่น่าจะหลุดออกจากปากของคนคนนั้นเล่นเอาก้อนสะอื้นของผมมาจุกอยู่ตรงที่คอ ผมรู้ดีว่าผมไม่ได้เข้มแข็ง กรอบกำแพงมากมายที่เคยสร้างเอาไว้นั่นก็เพียงเป็นเกราะบังตาจากคนมากมายก็แค่เท่านั้น ห้องสี่เหลี่ยมแคบๆที่ถูกสร้างเอาไว้กักผมอยู่อย่างนั้น ดูจากภายนอกแล้วเหมือนมันจะแข็งแรง แต่ไม่ใช่เลย เหมือนภายนอกที่ดูว่าทำจากเหล็ก แท้จริงกลับเป็นพลาสติกที่กร้านแดดจนเปราะ ใครใจกล้าหน่อยก็พังเข้ามาได้ง่ายๆ

              หรือถ้าเป็นคนตรงหน้าก็คงเดินเข้ามาอย่างเฉยเมย

     

     “โอ กำลังเปิดละครของฉันพอดีเลยนี่หน่า”

              เขาเอื้อมมือไปหยิบรีโมตขึ้นมาเปิดทีวีช่องที่ผมเปิดค้างเอาไว้ รายการละครเมื่อคืนยังคงฉายไม่จบ ผมไม่รู้หรอกว่าโชคชะตาเล่นตลกหรือหมอนี่จงใจกันแน่ แต่ผมไม่ชอบตอนนี้เอาเสียเลย ผมเกลียดที่เขายังคงทำทุกอย่างได้หน้าตาเฉย ทำได้ยังไง ทั้งๆที่ผมใช้เวลาไปไม่ใช่น้อยในการลืมเขา ลืมใครซักคนที่ใช้ชีวิตด้วยกันมาตั้งนาน ทิ้งกันไปขนาดนั้นยังกล้ากลับมาได้ยังไง

    “นายดูผอมลงไปนิดนึงนะ กินเยอะๆซิ”

     เขาหันมายิ้มจนปากเป็นรูปสี่เหลี่ยม เอกลักษณ์ที่ผมเคยเห็นจนชินตา ไม่รู้ว่าทำไมพอมาเห็นตอนนี้อีกครั้งในรอบเจ็ดปีตรงหน้า ระบบหายใจมันถึงได้พาลปั่นป่วนไปหมด แย่ แย่จริงๆ
     

     

     

    “แต่นายยังเหมือนเดิมเลยนะ”

    เขาเป็นพวกชอบพูดอะไรโดยไม่ทันได้ยั้งคิด แต่ตัวผมเองก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่นักว่าตอนที่เขาพูดประโยคเมื่อกี๊เขาตั้งใจพูดมันจริงๆ หรือแค่อยากทำลายบรรยากาศมาคุนี่กันแน่

    ผมรู้แค่อย่างเดียวคือเขาไม่มีสิทธิ

     

    ไม่เคยได้ยินหรือไง คนจากไปไม่มีสิทธิพูดคำว่าเหมือนเดิม

    จะจากไปแล้วก็ไปให้ไกลๆเลยสิ ไปไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ตรงนี้ ไปไหนก็ได้ที่จะไม่ต้องย้อนกลับมาเก็บอะไรที่เคยหล่นข้างทางแล้วไปอีก ไปเส้นทางไหนก็ได้ที่อยากจะหนีไปตั้งแต่แรก เลือกจะไปแล้วก็อย่ามาทำว่าเหมือนไม่ได้ทิ้งกัน ไม่เคยรู้สึกผิดบ้างเลยหรือยังไง

     ทิ้งฉันไว้ข้างทาง แล้วตัวเองก็เดินไปต่อ สุดท้ายแล้วจะเดินย้อนกลับมาที่เดิมทำไม?

             

     

     ผมสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะพยายามปะติดปะต่อคำพูดทั้งหมดที่ตีเวียนอยู่บนหัวให้ออกมาเป็นประโยคที่รู้เรื่องที่สุดเท่าที่สติจะมี

    “ฟังนะ”

    “ฉันจะไม่ถามว่านายมาที่นี่ได้ยังไง หรือรู้จักที่อยู่ของฉันได้ยังไง”

    “ฉันจะทำอยู่แค่อย่างเดียว คือบอกให้นายไปจากที่นี่ซะ”   

    ผมรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้โง่ คะแนนปลายภาคแต่ละเทอมเมื่อสมัยก่อนก็เป็นเครื่องชี้วัดได้ดีว่าเจ้าหมอนี่ฉลาดแค่ไหน คำพูดแค่นี้คงไม่ทำลายระบบประสาทสักเท่าไหร่

     หมอนั่นรู้จักผมดีพอ พอกันกับที่ผมรู้จักตัวตนของเขา

    เขารู้ว่าเมื่อไหร่ที่ผมออกปากไล่ นั่นคือหมายความว่าให้ไป ไม่มีคำว่ารั้ง ไม่มีคำว่ารอใดๆทั้งสิ้นในประโยคเหล่านั้น เพราะผมรู้ดีว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรเลย จะรั้งไว้ทำไม

     เขาคงเข้าใจสภาพจิตใจของผมพอควร เรียกว่าห่วง? ก็คงไม่ใช่ อย่างมากก็คงแปลกใจที่เห็นเพื่อนที่เคยสนิทกันมากที่สุดทำตัวห่างเหินกันขนาดนี้ทั้งๆที่ไม่ได้เจอหน้ากันเลยถึงเจ็ดปี ถึงได้ลุกขึ้นจากโซฟาโดยที่ไม่พูดอะไรซักคำ ผมข่มตาตัวเองแน่น ไม่อยากรับรู้การมีอยู่ของเขาตอนนี้ อาการปวดหนึบที่หัวใจมันแล่นริ้วกัดกินไปทั่วร่างกายหมดแล้ว แย่ แย่ ตัวเขาเองกำลังแย่

     ผมไม่รู้หรอกว่าอีกฝ่ายอยู่ตรงไหน แต่เมื่อได้ยินเสียงจับลูกบิดประตูพร้อมเสียงลมหายใจดังเฮือก คำกล่าวที่ตีวนอยู่ในหัวถูกกรองออกมาเป็นคำพูดอีกครั้ง และผมขอสาบานเลยว่าต่อให้ผมมีสติมากกว่านี้ คำพูดเหล่านี้ผมก็ยังจะพูดมันอยู่ดี

     

     

     

    “บยอน แบคฮยอนอย่ากลับมาอีก”

    “นายไม่มีสิทธิ”

    “คนที่เลือกจะจากไปไม่มีสิทธิพูดว่าทุกอย่างยังเหมือนเดิม

     

     

     


     แกร๊ก

     เสียงปิดประตูนั้นช่างแผ่วเบาแต่ดังสะท้านไปทั่วทั้งห้อง ผมกวาดสายตามองสิ่งของไร้ชีวิตที่วางอยู่รอบห้อง ทำไมเขาถึงพูดว่ามันเหมือนเดิม ทั้งๆที่ไม่ได้มีอะไรเหมือนเดิมซักนิด ตุ๊กตาไม่ได้ยิ้มเหมือนเดิม รูปภาพไม่ได้สีสดใสเหมือนเมื่อก่อน และที่สำคัญผมเองก็ไม่ได้เหมือนเดิม

    และก็ไม่ต่างอะไรจากโลกหยุดหมุน ผมทิ้งตัวเองให้นั่งพิงกำแพงอย่างคนหมดแรง และพอหันกลับไปมองโซฟากะทัดรัดที่เคยมีใครนั่งอยู่เมื่อไม่นานมานี้ อารมณ์พลุ่งพล่านที่ถูกเก็บกดเอาไว้ในส่วนลึกของจิตใจก็เหมือนโดนกระตุ้นให้กลับมาปะทุอีกรอบ ผมแย่ และแย่มากๆ

     พอสองมือที่เคยเป็นที่พักยามสายตาอ่อนแรงได้กลับมาทำหน้าที่ของมันอีกครั้ง หยาดน้ำใสๆที่เปรอะติดมาตามฝ่ามือทำให้ผมรู้ตัวดีว่ากำลังร้องไห้อีกแล้ว แค่เพียงได้ยินเสียงเขาพูดทุกอย่างได้หน้าตาเฉย ทำเหมือนทุกอย่างไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ทำเหมือนว่าการตัดสินใจเลือกทางเดินของเขามันศูนย์เปล่า ตลกชะมัด ทั้งๆที่ผมพยายามลืม เขากลับมองว่ามันเป็นเรื่องขำขัน พูดทุกอย่างด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ 

    หรือผมเองจะเป็นฝ่ายลืมว่าเรามันก็แค่เพื่อน?

     

     

    ผมไม่รู้ว่าอีกคนเขาเอาอะไรเป็นตัวชี้วัดในความเหมือนเดิม
    อาจจะเพราะว่ารูปถ่ายยังวางอยู่ตรงที่เดิม โทนสีของห้องที่ยังคงคู่กัน สไตล์เสื้อผ้าที่ผมชอบใส่ หรือแม้กระทั่งหนังสือการ์ตูนมากมายเรียงรายอยู่ตรงมุมห้องนั่น

     

    แต่นั่นแหละ แบคฮยอนเลือกจะเป็นฝ่ายจากไปจากเขา
    อีกคนไม่มีสิทธิที่จะพูดว่ามันยังเหมือนเดิม เพราะคิมจงแดไม่เคยเหมือนเดิม
    และทุกอย่างที่เป็นเรื่องระหว่างเรา มันก็ไม่เคยเหมือนเดิม

     

    สุดท้ายก็คงจะมีเพียงแค่เสียงสะอื้นของผมและความหดหู่ของห้องห้องนี้ที่มันเกิดขึ้นซ้ำๆ
    บางที นี่อาจจะเป็นความหมายคำว่าเหมือนเดิมของแบคฮยอนก็ได้

     

     

     

     

    คำสัญญา การจากลา การหลอกลวง
    สามสิ่งที่มักจะมาด้วยกัน เมื่อมีฉันย่อมมีเธอ เมื่อสัญญาแล้วจึงจำจาก
    คำสัญญาสวยหรูถูกเคลือบเอาไว้ด้วยการหลอกลวงชั้นยอด
    และไม่นานนัก กว่าจะรู้ตัว หัวใจก็พองโตไปด้วยคำสัญญาเหล่านั้นเสียแล้ว

     

    ผมยัดหูฟังใส่หูทั้งสองข้างของตัวเอง ตัดขาดจากการรับรู้ของโลกภายนอก ในเมืองน่ะวุ่นวาย คนเดินก็มากมาย แต่น่าแปลกที่เพียงแค่เสียงเพลงจากหูฟังทำให้ผมรู้สึกได้ว่าบนโลกใบนี้ยังมีพื้นที่ว่างสำหรับคนคนหนึ่งเสมอ โลกของเสียงดนตรีเป็นโลกที่น่าหลงใหล เช่นเดียวกันกับโลกของตัวอักษร ที่ผมคิดว่าความมีเสน่ห์ของมันต่อให้จะผ่านไปอีกซักกี่ปีก็ยังคงเสน่ห์เหมือนเดิม

              แบคฮยอนไม่ได้ปรากฏตัวที่ห้องผมอีกเลยหลังจากเหตุการณ์วันนั้น คิดว่าอาจจะเพราะหน้าที่การงานของเขา เขาไม่มีเวลาว่างพอที่จะต้องมาตามดูแลคนอย่างผมหรอก และที่สำคัญมากกว่านั้นการที่เขาเข้ามาในห้องของผมวันนั้นก็คงจะเป็นแค่การหลงทางกลับมาในทางเดิมที่ถูกปิดตายไปแล้ว เขาไม่สามารถเดินกลับมาที่เก่าและผมก็ไม่สามารถทำให้ทางเหล่านั้นเปิดขึ้นใหม่โดยไม่มีอะไรถูกทำลาย

              เมื่อกลับนึกย้อนไปถึงช่วงเวลาเหล่านั้น ความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่ไม่ต่างอะไรกับความฝันในวัยเด็ก เราโตมาด้วยกันกินหม้อข้าวเดียวกัน มันคงไม่แปลกนักหรอกถ้าอีกฝ่ายจะรับรู้ความรู้สึกของผมได้มากกว่าที่ผมรู้สึก ผมเคยเดินผิดทาง หมอนั่นเคยทำผิดพลาดแต่นั่นก็ไม่เป็นไร เพราะเราเชื่อใจกัน

              บางทีผมก็น่าจะลบคำว่าเชื่อใจนั่นออกจากสมองผมได้แล้ว คงจะลืมไปหน่อยว่าที่เจ็บเจียนตายอย่างทุกวันนี้นั่นก็เพราะอะไร และควรจะจดจำเอาไว้ว่าความเชื่อใจไม่ใช่เหตุผลของทุกอย่างเสมอไป

                สัญญา

              เสียงอื้อที่จี๊ดแล่นไปถึงก้านสมองทำให้ผมเบลอและหยุดเดินชั่วขณะ บทเพลงที่ถูกเปิดเอาไว้กลับกลายเป็นว่างเปล่า คำสั้นๆสองพยางค์ที่เข้ามากลบแทนที่เสียงดนตรีทำให้ผมรู้สึกสะท้านไปทั้งตัว ถึงมันจะอื้ออึ้งอยู่ในหู และทำให้ผมพร่าเบลอไปชั่วขณะ แต่คำคำนั้นยังคงชัดเจนและหนักแน่นอยู่ในความรู้สึกของผมอยู่ดี

              ร่างทั้งร่างเหมือนไร้เรี่ยวแรง ขาทั้งสองข้างที่เคยคิดว่ามั่นคงและทำให้ผมยืนหยัดมาได้ตลอดถึงเจ็ดปีกลับทรุดลงบนทางเดินที่ผู้คนเดินผ่านไปมา ถึงในสถานการณ์ตอนนี้มันจะน่าอายและย่ำแย่มากก็ตามทีเถอะ ในที่สาธารณะแบบนี้หน่ะ แต่ตอนนี้ผมคิดอยู่แค่อย่างเดียวจริงๆว่าตัวผมต่างหากที่กำลังจะแย่ ทางออกที่มืดมนและไร้คนนำทางทำให้ผมนึกหวาดกลัว กลัวว่าสุดท้ายแล้วทุกสิ่งทุกอย่างจะทำให้โลกใบเดิมของผมกลับมา

              และกว่าจะรู้ตัว ดวงตาของผมทั้งสองข้างก็ปิดลงและไม่สามารถรับรู้อะไรอีก

     

     

     

               

              ถ้าหากคุณพอจะมีเวลาฟังนิทานซักเรื่องก่อนนอน

              ถ้าผมขออาสาเล่านิทานเหล่านั้นให้คุณฟัง มันจะมากเกินไปหรือเปล่า?

              นิทานของคนที่เดินจากไป คนที่เห็นแก่ตัวน่ะ คุณจะยอมฟังมันหรือเปล่า?

     

              เสียงเครื่องบอกชีพจรที่ดังเพียงแผ่วเบา คงไม่ต่างอะไรกับการเต้นของหัวใจผมที่กำลังเต้นอยู่ ถึงจังหวะมันจะแผ่วเบาและไม่หนักแน่นแต่ความเจ็บปวดนั้นก็มีอำนาจมากพอที่จะเหนี่ยวรั้งและโอบรัดก้อนเนื้อก้อนนี้ให้ทรมานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ สภาพของคนบนเตียงผู้ป่วยในโรงพยาบาลไม่ต่างอะไรกับรูปปั้น แน่นิ่ง ไม่ไหวติ่ง แต่ยังมีลมหายใจอยู่เพียงทว่าเบาบางเหลือเกิน

              ผมไม่กล้าแม้แต่จะจับมือเขามาเพื่อบอกว่าให้รีบตื่นขึ้นมาด้วยซ้ำ แน่ละ มันคงไม่มีผลอะไรถ้าร่างของคนตรงหน้าไม่ได้สติ แต่หากจริงๆแล้วนั้นสิ่งที่ทำให้ผมไม่มีความกล้าและอ่อนแอได้ขนาดนี้ก็อาจจะเป็นเพราะคนตรงหน้าบอบบางเหลือเกิน บอบบางเสียจนผมคิดว่าถ้าเขาต้องมาบุบสลายเพียงเพราะผม มันก็คงจะไม่ดีและผมก็คงจะไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้แน่ๆ

              แค่ที่เป็นอยู่ผมก็ละอายใจตัวเองจะแย่

              ผมเกลียดเขา เกลียดที่เขายอมปล่อยให้สุขภาพตัวเองย่ำแย่แบบนี้ เกลียดที่เขาไม่เคยดูแลตัวเองและชอบยกคนอื่นมาเป็นข้ออ้าง เกลียดที่เขามักจะใส่ใจคนอื่นมากจนไม่มีเวลาดูแลตัวเอง ผมเกลียดนักล่ะที่เขาชอบมาปลอบโยนในวันที่คนอื่นเขาลำบาก และตัวเองก็ลำบากไม่แพ้คนอื่นด้วยซ้ำ ผมเกลียดความมีน้ำใจของเขาที่ทำให้คนคนหนึ่งพบเจอกับเส้นทางใหม่ในชีวิต ผมเกลียดรอยยิ้ม เกลียดเสียงหัวเราะ เกลียดแววตาคู่นั้นที่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนโดนดูดลงไปในมหาสมุทรลึก และสิ่งที่ผมเกลียดที่สุดก็คือการที่ผมตกหลุมรักเขาเข้าอย่างจังในทุกๆอย่างที่ผมเกลียดเขา

                ผมเกลียดที่ต้องยอมรับว่าทุกอย่างในชีวิตของผมมันเกิดขึ้นได้เพราะเขา

                และผมก็ตกหลุมรักและยินดีอย่างยิ่งที่ได้เขามาสร้างทุกอย่างในชีวิต

     

     

     

    เราจะไม่มีทางรู้เลยว่าเราคิดถึงใครคนหนึ่งมากขนาดไหน
    จนกว่าเราจะได้เห็นหน้าเขาอีกครั้ง

     

              นั่นก็เพราะผมคิดถึงเขาในทุกวินาที และความรู้สึกนั้นมันก็ชัดเจนและโอบรัดหัวใจของผมเอาไว้ได้หนักแน่นมากที่สุดเมื่อในวินาทีนั้นเองที่ผมได้เห็นหน้าเขาอีกครั้ง

             

              ดวงตาไล่มองตั้งแต่โคนผมที่ดูเรียบและสม่ำเสมอ หัวคิ้วที่กลายเป็นเอกลักษณ์ของเจ้าตัวและมักจะทำให้ไม่ชอบใจบ่อยๆ ขนตาเป็นแพที่แนบไปกับโหนกแก้มเหล่านั้นทำให้มันดูโดดเด่นขึ้น จมูกเป็นสันที่เจ้าตัวมักจะภูมิใจ แต่ท้ายที่สุดแล้วมุมปากที่ยกขึ้นตลอดเวลานั่นต่างหากล่ะที่ยังคงกลายเป็นสิ่งที่เจ้าตัวพึงพอใจและชื่นชอบอยู่เสมอ จรดสุดท้ายที่ปลายคาง สันกรามที่เด่นและนูนออกมาอย่างเห็นได้ชัดเจนเพราะมันเป็นผลพวงจากการหลีกเลี่ยงมื้ออาหารของเจ้าตัวอยู่บ่อยๆ

              ผมไม่ได้มองเขาในระยะแบบนี้มานานแล้วเหมือนกัน เท่าที่จำได้มันก็เกือบเจ็ดปีได้แล้วล่ะที่เราห่างกันไป อันที่จริงจะใช้คำว่าเราเลยก็คงจะไม่ถูกนัก มันควรจะเปลี่ยนไปเป็นคำว่าผมที่ทิ้งเขาไปซะมากกว่า และมันก็คงจะไม่แฟร์กับเจ้าตัวมากๆถ้าหากมันกลายเป็นคำว่าเราห่างกันไป

              มือของผมที่เรียวบางซะจนเขาบ่นกับผมบ่อยๆว่ามันไม่ควรจะกลายมาเป็นมือของผู้ชายเลยซักนิด มันค่อนข้างจะทำให้ผมหัวเสียอยู่ไม่หยอก และในตอนนี้ผมเองก็เพิ่งจะคิดได้ว่ามือของผมมันบอบบางเกินกว่าที่จะปกป้องใครได้ สุดท้ายก็เลยต้องวางไว้อย่างนั้น วางไว้ที่ข้างมือของคนตรงหน้า ที่ๆมันอยู่ใกล้มากที่สุด แต่ก็ไม่สามารถเอื้อมไปถึงได้ ไม่ใช่เพราะมันไกลแต่มันเป็นเพราะผมมันขี้ขลาดเกินไป

              เรื่องราวระหว่างเรามันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่?

              คำถามที่ผุดขึ้นมาในหัวเอาซะดื้อๆทำให้ผมต้องแค่นหัวเราะ นี่สินะ นิทานก่อนนอนของคนเห็นแก่ตัว ความสัมพันธ์ที่เหมือนกับฝันในวันวานของเราสองคน

     

              เดือนเมษายนคือช่วงเวลาแห่งฤดูใบไม้ผลิ และฤดูใบไม้ผลิก็คือช่วงเวลาแห่งการเริ่มต้นใหม่ และนั่นก็นับรวมไปถึงชีวิตของผมที่ได้เริ่มต้นใหม่ในสถานที่แปลกตา บ้านเล็กที่อยู่ตรงหน้าคือสิ่งที่ยืนยันได้ว่าตัวตนใหม่ของผมได้เกิดขึ้นแล้ว

              ผมเพิ่งเสียพ่อไปได้ไม่ถึงเดือนดี ไม่แปลกที่ผมจะไม่รู้สึกซึมเศร้าหรือเดียวดายอย่างที่เด็กผู้ชายคนอื่นควรจะเป็น ผมไม่สนิทกับพ่อ ไม่สิ ผมไม่เคยได้ใช้เวลาร่วมกับพ่อเหมือนเด็กผู้ชายคนอื่นๆ แต่นั่นก็ไม่เป็นไร เพราะผมยังมีแม่ที่ผมรักคอยมอบทุกอย่างให้ผมเพื่อชดใช้สิ่งที่ผมขาดหายไป

              ผมเคยรู้สึกว่างเปล่ามากเมื่อวันหนึ่งในฤดูหนาวที่เย็นยะเยือก ผมถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวบนชิงช้าสนิมเกรอะและหิมะที่ตกโปรยปราย ผมไม่รู้ว่านั่งคนเดียวอย่างนั้นไปนานเท่าไหร่ เพราะจริงๆแล้วอายุของผมในขนาดนั้นไม่ควรจะแบกรับอากาศแย่ๆได้เลยด้วยซ้ำ แต่ผมก็ยังรอ

     

              เพราะคำพูดที่พ่อพูดเอาไว้ครั้งสุดท้ายที่ผมคุยโทรศัพท์กับเขา คือการที่ให้ผมไปรอที่สนามเด็กเล่นๆเก่านั่นในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำหรอกว่าเพราะอะไร แต่เพราะว่าผมคิดถึงเขาเหลือเกินและมั่นใจว่าพ่อของผมคนนั้นจะมา ใช่ คำสัญญาโง่เง่าที่ดูไม่มีเหตุผลเลยซักนิด

     

              ผมไม่รู้เรื่องอะไรซักอย่างและยังคงนั่งรออย่างนั้นจนกระทั่งรู้ตัวอีกทีก็เห็นแม่ที่ยื่นอยู่ข้างหน้าของผม เธอหอบจนตัวโยน แต่อย่างนั้นก็ยังเลือกที่จะถามผมทั้งๆที่ตัวเองหายใจไม่ทันด้วยซ้ำ

              “แบคฮยอนมาทำอะไรตรงนี้ลูก มั- หนาวนะ ไปกันเถอะ กลับบ้านเรากันเถอะนะลูก”

              มันทำให้ผมรู้ตัวว่าพลาดท่าเข้าอย่างจัง มันเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่างเปล่าเพราะคำว่าพ่อ และมันเป็นอีกครั้งที่ทำให้เกิดเหตุผลอีกข้อที่จะทำให้ผมรักแม่ไปตลอดชีวิต

              เพราะพ่อไม่เคยมีเวลาให้ผม เพราะเราไม่เคยอยู่ด้วยกัน ทำให้ภาพของเด็กที่ส่งเสียงดังกับครอบครัวที่อยู่เยื้องไปด้านขวาของเขามันค่อนข้างจะแปลกตาหน่อยๆ เด็กน้อยที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับผมกำลังวิ่งเล่นอยู่กับพ่อของเขา คงจะมีความสุขและสนุกน่าดู และนั่นมันก็เป็นครั้งที่สองที่ผมรู้สึกว่างเปล่าเพราะคำว่าพ่อ

              ถึงจะอยู่กันแค่สองคน แต่แม่ก็ยังจะเลือกที่จะซื้อบ้านสองชั้นเพียงเพราะอยากสร้างพื้นที่ส่วนตัวให้กับผมในอนาคต เฟอร์นิเจอร์สีเรียบที่ถูกเลือกโดยแม่ผมอย่างดีถูกจัดวางเป็นระเบียบตามทางของมัน ขาทั้งสองข้างของผมเดินไปวางกระเป๋าเป้ใบเล็กที่ถูกสะพายมาตลอดทั้งวันลงบนเก้าอี้สำหรับทำงาน สายตาของผมสอดส่องไปทั่วห้องและสุดท้ายก็สะดุดอยู่ตรงนี้หน้าต่างใบใหญ่ ที่อยู่ชิดจนแทบจะปีนไปยังอีกบ้านหนึ่งได้ มันเหมือนถูกสร้างให้เป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองบ้าน

              และน่าแปลกที่ผมดันยิ้มเมื่อเห็นว่าเด็กคนที่เล่นกับพ่อเมื่อกี๊เดินขึ้นมาหยิบของเล่นในห้องฝั่งตรงข้ามออกไป เหตุผลเท่าที่ผมจะหาให้ตัวเองในตอนนั้นได้ก็คงจะมีแต่คำว่า ถ้าเราสองคนได้เป็นเพื่อนกัน มันก็คงจะดี

     

     

                “สวัสดีเราชื่อจงแด นายชื่ออะไรอะ? เพิ่งย้ายมาอยู่ใหม่หรอ?”

                “บยอนแบคฮยอน ยินดีที่ได้รู้จักนะจงแด”

                “อืม.. เรามาเป็นเพื่อนกันเถอะ!”

     

     

             

     

              “นายรู้บ้างไหมว่าบุหรี่นี่มันคร่าชีวิตคนไปกี่รายแล้ว?”

              เสียงบ่นที่ติดจะออกรำคาญนิดๆทำให้ผมอยากที่จะแกล้งเขาด้วยการเป่าลมเย็นๆนี่ใส่หน้าอย่างห้ามไม่ได้ เสียงไอคล่อกแคล่กดังขึ้นตามมาอีกเป็นระลอก จงแดไม่ใช่คนสูบบุหรี่และหมอนั่นยังเกลียดกลิ่นบุหรี่ยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น แตกต่างกับผมที่เจ้านิโคตินพวกนี้จะกลายเป็นอวัยวะชิ้นที่สามสิบสามไปเสียแล้ว ผมสูดเจ้าสารเสพติดในมือรับกลิ่นอายและความเป็นมันทั้งหมดเพื่อที่จะผ่อนคลายตัวเอง

              “ฉันบอกไปเคยฟังบ้างไหมเนี่ย?”

              หลังจากที่พอหายใจคล่องคอและไม่ไอเพราะควันบุหรี่ เจ้าคนวัยเดียวกันกับผมที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กก็ออกปากบ่นตั้งแต่สองวินาทีแรก จงแดน่ะน่าเบื่อ ห่วงคนอื่นเขาไปทั่ว ทั้งๆที่รู้ว่าบุหรี่มันอันตรายและไม่ควรเข้าใกล้ แต่ก็ยังกล้าที่จะโดดเรียนแล้วมายืนผิงพนังตรงนี้ ที่ๆข้างผม

              เพราะจงแดห่วงคนอื่นมากกว่าตัวเอง มันเลยเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ผมชักชวนให้สิ่งที่คนเป็นเด็กเรียนอย่างจงแดไม่ควรจะทำ เพราะผมรู้ว่าเขาไม่มีทางปฏิเสธผม

     

              “อากาศมันหนาว”

              “เลิกเอาอากาศมาอ้างซักทีเถอะ ถ้านายอยากรู้สึกอุ่นนักก็แล้วทำไมไม่ใส่เสื้อหนาๆอย่างที่ชาวบ้านเขาทำกันล่ะ!”

              น้ำเสียงของเขาที่จะติดแหวหน่อยๆทำให้ผมรู้ดีว่าเขากำลังหงุดหงิดมากแค่ไหน ผมชอบนะที่เขาเป็นแบบนี้ ชอบที่เขามักจะรำคาญและโวยวายใส่ผมทั้งๆที่รู้ว่ายังไงมันก็ยังจะทะลุหัวผมไปอยู่ดี ชอบที่เขายอมทิ้งทุกอย่างเพื่อมากับผม ชอบที่เขาเห็นผมเป็นคนสำคัญในชีวิตเขาขนาดนี้

              “ถ้างั้น.. ฉันขอกอดนายแก้หนาวได้ไหมละ?”

              สีหน้าของจงแดน่ะนิ่งสนิทไปเลยตอนที่ได้ยินผมพูดแบบนั้น แก้มขาวๆของเขาชักจะขึ้นสีระเรื่อ ผมไม่อยากจะเดานักหรอกนะว่าเป็นเพราะอะไร แต่คำตอบมันก็คงชัดเจนในตัวของมันเองอยู่แล้ว

     

              “จะให้ได้ยังไงกันโว้ย!”

              “ฉันไม่ชอบใส่เสื้อหนาๆเพราะมันรุ่มร่าม”

              ผมชอบที่จะเห็นสีหน้าของเขาตอนนี้ที่สุด หน้าที่สับสนระหว่างจะเขินหรือจะโกรธก่อนดีนั่นละที่เป็นเสน่ห์ เขาคงไม่รู้หรอกว่าสีหน้าของตัวเองตอนนี้มันน่าแกล้งมากกว่าเดิมแค่ไหน

              “งั้นก็เชิญสูบบุหรี่ให้ตับแข็งตายกันไปข้างหนึ่งนี่แหละ!”

              อ้อ อีกอย่างหนึ่งที่ผมชอบในตัวเขามากๆจนคิดว่านี่คือเสน่ห์ของคนที่ชื่อคิมจงแดเลยล่ะ มันก็คือการที่เขาเลือกที่จะทำเป็นโกรธเพื่อกลบเกลื่อนใบหน้าที่แดงสุดจนเหมือนมะเขือเทศนั่น

     

              ถ้าให้เลือกใครซักคนไปอยู่บนเกาะร้างด้วยกัน เขาก็คงจะเลือกคิมจงแด

              เพราะถ้าเขาไม่ได้เห็นสีหน้าตอนโกรธของหมอนี่ซักวัน เขาคงจะได้เป็นบ้าตายเลยจริงๆ

     

             

              เวลามักผ่านไปไวอย่างที่ใครเขาชอบพูดกัน เพียงแค่เราหลับตาและเปิดเปลือกตาขึ้นมาใหม่ ชีวิตของคนเราก็อาจจะผ่านไปแล้วซักสิบปีก็ได้ ดีขึ้นมาหน่อยที่เราเพิ่งจะผ่านมาได้ยี่สิบกว่าปี และเขากับจงแดตอนนี้ก็กำลังเรียนจะจบอยู่แล้วด้วย

              เราทั้งสองตัดสินใจย้ายมาอยู่ด้วยกันในหอพักนักศึกษา จงแดตัดสินใจที่จะไปต่อทางด้านภาษาตามที่เจ้าตัววาดฝันเอาไว้(แล้วเขาก็ชอบที่จะแกล้งเยาะเย้ยบ่อยๆ) ในขณะเดียวกันผมก็เลือกที่จะเรียนทางด้านการแสดง แต่มักจะออกไปแนวทางเบื้องหลังมากกว่า เพราะยังไงล้วการที่ได้อยู่ต่อหน้ากล้องก็ไม่ต่างอะไรกับการสร้างภาพลวงตาขึ้นมาทั้งนั้น

              สัปดาห์นี้จงแดจะไม่อยู่ที่ห้องทั้งวันเพราะหมอนั่นนึกครึ้มอยากเป็นคนดีช่วยเหลือคนอื่น หมายความว่าทั้งสัปดาห์นี้ผมมีอิสระ และผมจะพาใครมาสานสัมพันธ์ก็ได้ไม่ใช่เรื่องผิด เพราะนี่มันคือโอกาสของผม และนี่ก็คือความผิดพลาดของจงแดเองทั้งนั้น

              ผมใช้ชีวิตอยู่เหมือนกับเด็กวัยรุ่นทั่วไป นี่คือชีวิตปีสี่ แน่นอนล่ะว่ามันจะไม่ง่าย โปรเจคร้อยแฟดพันเก้าจะต้องถาโถมเข้าใส่ราวกับพายุฤดูร้อน แต่เพราะนี่คือผม และแน่นอนว่าผมเองก็จัดการพวกเหล่านั้นเรียบร้อยแล้วด้วย สุดท้ายก็เหลือแค่รอรับปริญญา ชีวิตเลยอิสระได้ไม่มีปัญหาอะไรทั้งนั้น

     

              เช้าวันนั้นผมจำได้ดีว่าคือวันพฤหัส บางทีผมเองก็ควรจะฉุกคิดซะบ้างว่าวันพฤหัสนี่มันอัปมงคลแค่ไหน เสียงเคาะที่ดังจากหน้าประตูทำให้ผมที่เพิ่งจะตื่นได้ไม่เต็มตาต้องออกไปเปิดประตูต้อนรับ อันที่จริงเสียงเคาะยามเช้าไม่ค่อยจะทำให้ผมรู้สึกแปลกใจเท่าไหร่เพราะป้าแม่บ้านเขาก็มาเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ในวันนี้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูนั่นแหละที่เป็นเหตุผลทำให้ผมกลืนน้ำลายเหนียวๆนี่ไม่ลงคอซักที

             

              “สวัสดีครับคุณคิม

              “จงแดไม่อยู่ที่นี่ใช่ไหม?”

              น้ำเสียงติดร้อนรนของคนตรงหน้าส่งผลให้ผมรู้สึกแปลกใจอย่างประหลาด ลางสังหรณ์ของผมมันกำลังบอกว่านายควรจะปิดประตูนั่นแหละขังตัวเองอยู่ในห้องนั้นซะ แต่เพราะสิ่งที่เรียกว่ามารยาทและความเป็นเพื่อนทำให้ผมไม่สามารถที่จะทำเรื่องแบบนั้นได้ลงคอ

              ผมพยักหน้ารับและคุณคิมเขาก็เข้าใจในทันที

              “งั้นลุงเข้าไปนะ”

              ผมเอี้ยวตัวเพื่อเปิดทางให้คุณคิมได้เดินเข้ามาในห้อง เขาค่อนข้างดูรีบร้อนและเป็นกังวล แต่ผมไม่คิดนะว่าจะเป็นเพราะเรื่องของจงแด เพราะสิ่งหนึ่งที่ผมมั่นใจได้เลยคือจงแดจะไม่ทำให้คนที่เขารักต้องผิดหวัง

              คุณคิมตรงไปยังโซฟาตัวเล็กๆ เขาเงยหน้าขึ้นมองผมแทบจะทันทีเมื่อผมเดินตรงเข้าไปหา เขาไม่เปิดโอกาสให้ผมได้พูดอะไรซักนิดหรือเดินไปเอาน้ำมาให้เลย แต่เขาดันพูดคำพูดที่ผมคิดว่ามันเป็นคำพูดที่ไม่ควรจะพูดที่สุดในชีวิต

                “ลุงคิดว่าลุงจะหย่ากับแม่ของจงแด”

     

     

              “คุณไม่ควรจะบอกผม คนเดียวที่คุณควรจะปรึกษาคือจงแด ไม่ใช่ผมที่นั่งอยู่ตรงนี้”

              เขาถอนหายใจพรู ใช่ ผมอาจจะเป็นเด็กก้าวร้าวที่หัวรั้นและไม่ฟังใคร ถึงผมจะทำให้แม่ของผมหนักใจอยู่บ่อยๆแต่ผมก็พอจะแยกแยะออกว่าสิ่งไหนคือสิ่งที่ถูก และสิ่งที่ไหนคือสิ่งที่ผิด อะไรที่มันควรทำ แต่สิ่งที่คุณคิมกำลังทำอยู่ตอนนี้มันไม่ถูกเลยซักนิด

              “แต่คนที่ลุงควรปรึกษามากที่สุดก็คือเธอนะแบคฮยอน และฉันเองก็ยังไม่อยากให้จงแดรู้เรื่องในตอนนี้ด้วย”

              ผมเกลียดสถานการณ์ในตอนนี้ ถ้าผมตอบตกลงมันก็เท่ากับว่าผมกำลังหักหลังเพื่อนของผมเต็มๆ จงแดควรจะเป็นคนที่มีสิทธิ์รับรู้ในเรื่องนี้ เพราะนี่คือเรื่องของครอบครัวจงแดไม่ใช่ของผม และผมที่เป็นคนนอกมาตลอดไม่ควรที่จะไปก้าวก่ายอะไรทั้งนั้น

              “ไม่ครับ ผมจะไม่ฟังอะไรทั้งนั้น จงแดคือคนคนเดียวที่คุณควรพูดด้วยมากที่สุดครับ”

     

              คงเพราะผมไม่อยากให้จงแดต้องเสียพ่อไปเหมือนที่ผมเจอ

              เพราะผมยังไม่อยากให้รอยยิ้มและแววตาคู่นั้นหม่นหมองเลยซักนิด

     

              “แต่ฉันกำลังจะแต่งงานใหม่กับแม่ของเธอนะแบคฮยอน”

              พระเจ้ากำลังเล่นตลกร้ายกับชีวิตของเขาแน่ๆ ถึงได้ทำให้เรื่องราวมันกลับตาลปัตรได้มากขนาดนี้ ผมควรจะทำยังไงกันล่ะในเมื่อมันมีทางเลือกอยู่แค่สองทางคือยอมรับที่จะเป็นคนทรยศกับคนที่ตัวเองรักหรือหนีจากเรื่องนี้ไปให้ไกล ไปที่ไหนก็ได้ซักที่

              “ฉันไม่รู้ว่ามันกะทันหันมากไปหรือเปล่า แต่ฉันกับแม่ของเธอเราก็รักกัน”

              “ในขณะที่ฉันกับแม่ของจงแดเราก็ทะเลาะกันบ่อยขึ้น ความสัมพันธ์ที่ยาวนานเป็นสิบๆปี มีหรอที่มันจะไม่มีจุดด่างพร้อย และพอมันมีจุดด่างพร้อยมากๆเข้า นานวันมันก็กลายเป็นหลุมดำที่ดูดกลืนทุกอย่างไปหมด มันไม่ใช่ว่าฉันไม่ละอายใจตัวเอง”

              “แต่..ฉันคิดว่าฉันคงหยุดรักแม่เธอ และทำให้หลุมดำเหล่านั้นหายไปไม่ได้เหมือนกัน”

              ผมไม่อยากทำร้ายใครทั้งนั้น จงแดคือทุกอย่างในชีวิตของผม เขาทำให้ผมเป็นอย่างทุกวันนี้ เขาเติมเต็มและผมเองก็คงจะเกลียดตัวเองไปจนวันตายถ้าผมต้องกลายมาเป็นคนที่ทำให้ชีวิตของเขาว่างเปล่า คนดีๆอย่างจงแดไม่ควรจะได้รับเรื่องร้ายแรงแบบนี้

              แต่ผมเองก็รักแม่ของผมไม่แพ้กัน

     

              “คุณคิมครับ .. ถ้าจะแต่งงานกับแม่ของผมจริงๆ”

              “ขออะไรอย่างหนึ่งได้ไหมครับ? .... อย่าให้จงแดรับรู้เรื่องแบบนี้ได้ไหม?”

              “ได้สิ แต่เธอต้องไปจากชีวิตของเขานะ ทำได้หรือเปล่า?”

              บางทีนี่อาจจะเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิตของผม

     

              “ผมยอม ถ้าจะทำให้จงแดไม่ต้องมารับรู้เรื่องพรรค์นี้”

     

     

              ถึงตอนนี้จะล่วงเข้าสู่วันใหม่ได้ไม่นานแต่ร่างกายของเขากลับไม่ตอบสนองอะไรทั้งนั้น ผมนั่งนิ่งๆอย่างนี้มาได้เกือบจะทั้งวันตั้งแต่คุณคิมขอตัวกลับไป เรื่องราวที่น่าเศร้าคือพวกเขาทั้งสองกำลังจะไปทำการหย่าในวันนี้ เรื่องมันจะยิ่งแย่เข้าไปอีกเพราะวันนี้คือวันที่จงแดจะต้องกลับมาจากค่ายบ้าๆนั่น และผมก็ต้องเก็บของทั้งหมดนี่ไปให้หมดก่อนที่เขาจะมา

     

              เขาจะเป็นยังไงบ้างนะถ้าต้องมาพบว่าผมไม่ได้อยู่กับเขาอีกแล้ว?

              เขาจะสบายขึ้นหรือเปล่าถ้าไม่มีผมมาคอยทำของให้รกแบบทุกวันนี้

              เขาจะเป็นยังไงบ้างนะหลังจากกลับค่าย จะป่วยหรือเปล่า แล้วใครจะไปซื้อยาพาราฯมาฝากถ้าเกิดเจ้าหมอนั่นเกิดป่วยจนเดินไม่ได้

              จะเป็นยังไงบ้างนะ?

     

              เสียงเรียกเข้าที่ดังขึ้นในช่วงจังหวะที่ผมกำลังเอาของทั้งหมดมาวางไว้ตรงประตูพอดี มันค่อนข้างที่จะทุลักทุเลนิดหน่อยที่ต้องหยิบโทรศัพท์ทั้งๆที่ของเต็มมือขนาดนี้ แต่นั่นมันก็ไม่ทำให้เขาเหน็ดเหนื่อยหรือรู้สึกแย่เท่ากับเบอร์โทรที่ขึ้นและรายชื่อถูกบันทึกเอาไว้

              คิมจงแด is calling..

              ผมสูดลมหายใจเข้าลึกพลางเม้มริมฝีปากแน่น ถ้าผมไม่อยากให้เขารู้ผมก็ควรต้องทำตัวปกติใช่ไหม เหอะ ทั้งที่ผมกำลังจะเป็นบ้าตายขนาดนี้เนี่ยนะ?

     

              “....”

              “....”

              “....”

              “....”

              “.....”

              “..จงแด..”

              “แบคฮยอ-..”

              น้ำเสียงแหบแห้งจากปลายสายทำให้ผมใจอ่อนยวบ ถึงมันจะแหบแห้งแต่ก็ติดจะขึ้นจมูกเล็กน้อยทำให้ผมรู้ว่าจงแดกำลังไม่สบาย และเจ้าทึ่มนั่นกำลังร้องไห้

              “เป็นอะไร..”

              “แม่ทิ้งฉันไปแล้วแบคฮยอน แม่ทิ้งฉันไปแล้ว แม่ฉันหย่ากับพ่อฉันไปแล้ว และฉันก็แย่มากที่จะมารู้เรื่องเอาก็ป่านนี้ ตอนนี้ฉันไม่เหลือใครแล้ว ฉัน..ฉันไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว มันตื้อไปหมดแล้วฉันก็รู้สึกเหมือนจะเป็นบ้า ฉันไม่เหลือใคร ฉันมีแค่นายคนเดียว”

              “....”

              “นายจะอยู่กับฉันใช่ไหมแบคฮยอน? นายจะ

              “....”

              “นายจะอยู่กับฉันใช่ไหมแบคฮยอน? ..................”

              “.......”

              “นายจะ ไม่ นายจะทิ้งฉันไปอีกคนใช่ไหม!

              ตื้ด

              ถึงน้ำเสียงปลายสายจะดูร้อนรนและน่าเป็นห่วงแต่ผมก็ต้องตัดใจที่จะวางสายและขนของทั้งหมดนี่ไปจากตรงนี้ และทำเหมือนว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น

     

              จบแล้วล่ะ นิทานก่อนนอนจากคนเห็นแก่ตัวคนหนึ่ง

     

     

          

                Don’t come to me(อย่ามาหาฉันเลย)
    I can’t help my heart being like this (ฉันช่วยอะไรไม่ได้ที่หัวใจฉันเป็นแบบนี้)
    I’m afraid the pain will go to you (ฉันกลัวว่าความเจ็บปวดเหล่านี้จะส่งไปถึงเธอ)
    I don’t know if you know that’s why I’m pushing you away (ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเธอจะรู้หรือไม่ว่าทำไมฉันถึงจากเธอไป)
    Forget the me that used to love you (ลืมฉันคนที่เคยรักเธอซะเถอะ)
    Just remember the bad me who only made you cry (จดจำแค่เพียงฉันคนเลวที่ดีแต่ทำให้เธอร้องไห้)
    The lies I reluctantly say (คำโกหกที่ฉันต้องพูดไปอย่างไม่เต็มใจ)
    I say with no choice because it’s for you (ฉันไม่มีทางให้เลือก แต่นั่นก็เป็นเพราะเธอ)
    Though I can’t tell you I love you, I love you”(ถึงฉันจะไม่สามารถบอกรักเธอได้ ฉันรักเธอนะ)

     

     

              ผมร้องคลอไปตามทำนองเพลงที่แสนจะคุ้นเคย จงแดคงไม่ได้ยินเสียงที่ผมร้องหรอก แต่นั่นก็ไม่เป็นไร เพราะผมเองก็ไม่อยากให้เขาได้ยินมันอยู่แล้ว มันจะพาลลำบากใจเขาเปล่าๆ

              “ขอโทษนะที่เคยรักษาสัญญาที่ให้ไว้ไม่ได้”

              หลังจากร้องเพลงเสร็จ ความรู้สึกมันตีอวนในอกผมไปหมด ทั้งหนักอึ้ง และริมฝีปากก็แห้งผาก ผมไม่รู้ว่าจะพูดอะไรให้มันสวยหรูที่สุด ผมมีแค่ใจดวงเดียว และผมเองก็รู้มาตลอดด้วยว่าใครคือคนที่ผมอยากจะดูแลและปกป้องไปตลอดชีวิต

              ติดแค่ที่ผมทำมันไม่ได้อีกแล้ว



     

              ค่ำคืนอันหนาวเหน็บหิมะที่โปรยปรายลงมาทำให้ผมนึกหวนถึงวันนั้น ทุกปีวันที่ผมเกลียดที่สุดในชีวิตก็คือวันที่ 13 กุมภาพันธ์ มันไม่ใช่เพราะเป็นศุกร์ 13 หรืออะไรเถือกนั้น แต่มันเป็นเพราะผมต้องมาว่างเปล่าเพราะคำว่าพ่อเป็นครั้งแรกในชีวิต และมันก็เป็นวันที่ผมได้รับรู้ว่าคำสัญญาไม่มีความสำคัญ

              แต่ในปีนี้มันแตกต่างออกไป ปีที่ผมและจงแดเองก็จะจบชั้นมัธยมปลายกันทั้งคู่ เรายิ้มและหัวเราะมาทั้งวัน เขานั่งพร่ำเพ้อขอโทษทุกเรื่องที่เคยทำไม่ดีไว้กับผม(ซึ่งถ้าเทียบกับสิ่งที่ผมทำกับเขามันแตกต่างกันชัดเจนเลยล่ะ) แต่นั่นก็ไม่เป็นไรเพราะเราทั้งสองไว้ใจกัน ผมใจดีที่ไม่โกรธเขา ไม่สิ ผมควรจะต้องพูดว่า เขาใจดีมากที่สุดที่รู้ว่าผมเป็นคนยังไงแต่เราก็ยังคบกันได้จนถึงทุกวันนี้

              เราทั้งคู่นั่งมองหิมะที่ตกลงมาเรื่อยๆ ถึงอากาศจะหนาวเยือก ถึงคนข้างๆเขาจะตัวสั่นเหมือนกับลูกนกตัวเล็ก แต่นั่นเขาก็บอกกับผมด้วยตัวเองว่า ไม่เป็นไร เพราะฉันจะอยู่เป็นเพื่อนนายเอง

              ผมไม่รู้ว่าจะมานั่งที่ชิงช้าทำไมทั้งๆที่รู้ว่ายังไงพ่อก็ไม่มีทางกลับมา ความว่างเปล่าที่เกิดในชีวิตของผม รูโหว่ที่ไม่รู้ว่าจะถูกเติบเต็มให้ครบได้เมื่อไหร่ ผมไม่อยากจะให้ใครได้รู้สึกแบบผม โดยเฉพาะคนโง่ข้างๆที่รู้ว่าตัวเองจะต้องเจ็บป่วยแต่ก็ยังยืนยันที่จะออกมาเป็นเพื่อนกับผม

              “ฉันมากับนายขนาดนี้ นายห้ามทิ้งฉันไปนะ”

              น้ำเสียงของเขาทั้งสั้นและแผ่ว มันช่างน่าขันเหลือในเกินในเวลาแบบนี้ แต่ผมก็รู้ดีว่าคนอย่างจงแดมีเหตุผลเสมอ และที่ต้องพูดแบบนั้นก็เพราะเจ้าตัวกลัวว่าจะมีช่องโหว่ในชีวิตซะจริงๆน่ะสิ

              “สัญญาซะสิเว้ย คนเขาพูดมาถึงขนาดนี้”

              “มัดมือชกสิ้นดี”

              “ทีนายแกล้งฉัน ฉันยังไม่เห็นว่านายมัดมือชกฉันซักคำ”

              “สัญญาน่ะ เอาเป็นแบบนี้ได้ไหมละ?”

              “ว่า?”

              “ถ้าวันไหนฉันต้องทิ้งนายไป เราทั้งสองคนจะกลับมาเจอกันภายในเจ็ดปี

              หมอนั่นยู่หน้าเหมือนกับเด็ก มันชักจะทำให้ผมอยากเอื้อมมือไปบีบจมูกนั่นซะจริง

              “เจ็ดปีมันนานไปขอน้อยกว่านั้นได้ไหม?”

              “ไม่หรอก เจ็ดปี คือเวลาที่พิสูจน์ให้ได้รู้จริงๆว่า ถ้าคนใดคนหนึ่งกลับไปหาอีกคนก่อน นั่นก็เพราะคนคนนั้นไม่สามารถขาดกันและกันได้”

              ผมยอมสัญญาทั้งๆที่รู้อยู่แก่อกว่าคำสัญญามันไม่มีจริง

              “ฉันต้องเป็นฝ่ายตามหานายแน่ๆ”

                “ก็รอดูเอาแล้วกันนะ”

     

             



              “ที่เคยบอกว่าจะไม่หนีไปไหน ขอโทษนะ.. ขอโทษที่ทำให้นายต้องมีความว่างเปล่าเข้ามาในชีวิต ขอโทษที่ทำให้นายต้องเดียวดาย ความทรมานเหล่านั้นน่ะขอมันได้ไหม?”

              ผมพูดพร่ำทั้งๆที่รู้ว่ายังไงก็ไม่มีประโยชน์ แต่จะให้ทำยังไงได้ล่ะ ในเมื่อทั้งชีวิตของผมผมเหลือโอกาสที่จะใช้ชีวิตอยู่ใกล้ๆเค้าเพียงแค่เท่านี้

              “อย่าทรมานอีกเลยนะ อย่ารอฉันอีกเลยนะ อย่าทำให้ตัวเองต้องป่วยอีกเลยนะ อย่าลำบากตัวเองอีกนะ คำมากมายอีกเป็นล้านคำที่ฉันอยากจะบอก ฉันไม่สามารถบอกกับนายได้ ฉันขอโทษ”

              “ฉันอาจจะเป็นเพื่อนที่แย่ที่สุดเท่าที่นายเคยมีมา ฉันขอโทษ”

              “ฉันอาจจะเคยแกล้งนายไปหลายครั้ง ฉันขอโทษ”

              “คำขอโทษเป็นล้านๆครั้งมันคงชดเชยอะไรไม่ได้ ถ้าวันนั้นฉันไม่ตัดสินใจผิดพลาดไปมันก็คงไม่เป็นแบบนี้ ถ้าฉันเลือกจะหนีไปกับนายป่านนี้ฉันก็คงยังเป็นเพื่อนกับนายอยู่”

              “ขอโทษจริงๆนะ .. ที่แอบตามนายมาตลอดที่นายไม่รู้ตัว"

              “และที่ฉันไปหานายที่ห้องในวันนั้น มันก็เพราะว่าฉันขาดนายไม่ได้ .. เจ็ดปีแล้วนะจงแด”




              “วันไหนที่นายไม่รู้สึกเมื่อคิดถึงฉันแล้ว .. อยากให้รู้ไว้นะว่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่เพราะนายทำอะไรผิด”

                “แต่เพราะนายไม่สมควรจะได้รับความรักจากคนเห็นแก่ตัวอย่างฉัน นายควรได้เจอคนดีๆที่จะรักนายได้และดูนายไปได้ตลอดชีวิต”

                “ขอบคุณที่เกิดมานะ และขอบคุณที่รักและดูแลคนอย่างฉันได้ดีเสมอมา”


     












     


    extrarovvx

    ถือว่าเป็นนิทานสั้นๆก่อนนอนและตื่นนอนสำหรับใครหลายๆคนแล้วกันนะคะ
    ความสัมพันธ์ของทั้งคู่อาจไม่ชัดเจน และมันก็ดูเหมือนว่าคุณพ่อของจงแดจะใจร้ายไปเหลือเกิน
    แต่เราอยากให้ลองมองที่ว่าถ้าเกิดเราต้องอยู่กับใครซักคนที่เราจะไม่มีวันเข้าใจเขาได้ตลอดชีวิต
    กับคนที่เราพร้อมจะดูแลเขา เราก็ควรจะเลือกสิ่่งไหน .. อยากให้ลองคิดนะคะ
    ในเรื่องนี้ไม่มีใครผิด ถ้าจะโทษ ก็คงโทษที่มันเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรก โทษโชคชะตาและทุกๆอย่างที่ทำให้เรื่องราวแบบนี้ต้องเกิด
    ที่เราเขียนแต่ฟิคแนวนี้ไม่ใช่เราอกหักนะคะ .. แค่คิดว่าบางทีความรักไม่ต้องสมหวังไปซะทุกอย่างหรอก
    บนโลกใบนี้ ไม่มีอะไรแน่นอนทั้งนั้น เพราะฉะนั้น .. ดูแลทุกคนของคุณให้ดีนะคะ
    อย่าทำให้เกิดช่องว่างและความเดียวดายเข้ามาแทนที่ เพราะมันทรมานจริงๆค่ะ :)
    ท้ายที่สุดนี้เราไม่รู้ว่าคุณจะร้องไห้หรือไม่ หรือคุณจะโกรธแค้นเราที่เขียนแต่ฟิคอกหัก(XD)
    ขอบคุณที่เลือกที่จะมาอ่านและซึมซับชีวิตของคนคนหนึ่งค่ะ




    ปล.สำหรับประโยคสองประโยคก่อนบรรทัดสุดท้าย
    เรายืมมาจากซี่่รี่ย์เรื่อง kill me,heal me ค่ะ เผื่อจะมีใครเคยดูและรู้สึกคุ้นๆ XD
    เพราะซี่รี่ย์เรื่องนี้ ฟิคเรื่องนี้จึงเกิดค่ะ ขอบคุณนะคะ

     @rovvxpaer_




    #CHEN2ND


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×