ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO] #첸 sf of all jongdae & chen

    ลำดับตอนที่ #1 : ♡첸1 [#baekchen] 그 남자 작곡

    • อัปเดตล่าสุด 5 เม.ย. 58















    그 남자 작곡
    (BAEKHYUN x JONGDAE)
    เนื้อหาและประวัติชีวิตของคนในเรื่องถูกปรับแต่ง จึงไร้ซึ่งเค้าโครงความจริงร่วมอยู่ด้วยนะคะ :)

     

     

     

     

              “ขอโทษนะครับพี่มินซอก พี่พอจะเห็นสมุดผมแถวนี้บ้างไหมครับ?”

              ผมหันไปถามพี่ผู้จัดการส่วนตัวที่เพิ่งละจากการคุยกับฝ่ายเสื้อผ้ามาหมาดๆ พี่มินซอกหยิบน้ำเปล่าขึ้นกระดกน้ำลงคอก่อนจะชี้นิ้วไปทางกระเป๋าเป้ของตัวเอง

              “พี่เห็นมันตกอยู่บนรถ สงสัยนายคงเผลอหลับแล้วทำมันตกมั้ง”

              ผมยิ้มแป้นค้นกระเป๋าของพี่มินซอกที่ไม่ค่อยจะมีอะไรมากนักแล้วหยิบของที่ตามหามาซักพักออกมา สมุดปกสีน้ำตาลที่ไม่มีลวดลายอะไรอยู่บนนั้น ดูเรียบง่ายหากทว่ามันสำคัญสำหรับผมเหลือเกิน

              “ของสำคัญแบบนี้ ถ้าหายไปได้แย่กันหมดแน่ วันหลังก็เก็บไว้ดีๆล่ะ”

              พี่มินซอกกำชับผมอีกรอบแล้วเจ้าตัวก็ออกไปข้างนอกห้องแต่งตัว อาจจะเพราะต้องไปคุยงานสำหรับวันนี้ บรรยากาศในห้องแต่งตัวค่อนข้างวุ่นวายทั้งวันการแสดงครั้งสำคัญสำหรับทุกคนกำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมง ทุกคนย่อมรู้ดีว่าความพยายามมานานแรมนับปีย่อมถูกคาดหวังไว้สูง ไม่จำเป็นต้องมีคำพูดอะไรมากมาย หากทว่าทุกคนต่างรับรู้ได้ด้วยหน้าที่ของตัวเอง

              บรรยากาศในห้องถูกปกคลุมด้วยเสียงพูดเบาๆของแต่ละคน ในเมื่อหน้าที่ของแต่ละคนแตกต่างกันความกดดันในแต่ละช่วงเวลาจึงแตกต่างกันออกไป แต่ดูเหมือนว่าความกดดันทั้งหมดแทบจะเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่เขาต้องทนแบกเอาไว้ตลอดทั้งสองชั่วโมงในข้างหน้า สองชั่วโมงสำคัญของชีวิตที่จะตัดสินให้รู้ว่าตัวเขาเองนั่นควรจะเดินไปต่อในเส้นทางเดิม หรือเปลี่ยนเส้นทางใหม่ในวันข้างหน้า

              “แบคฮยอน นายอย่าลืมนะว่าตรงนี้มีเอฟเฟค พอถึงท่อนนี้นายควรจะอยู่ห่างๆจากช่วงนี้ไว้นะ”

              ผมหันไปมองกระดาษร่างรูปแบบของเวทีในวันนี้อย่างคร่าวๆ ตำแหน่งแต่ละจุดที่พี่จุนมยอนมาร์คเอาไว้ทำให้ผมรู้ว่าควรเดินไปที่จุดไหนเมื่อไหร่เพื่อเป็นการป้องกันอันตรายเล็กๆน้อยๆที่อาจเกิดระหว่างการแสดงได้ อุบัติเหตุมันสามารถเกิดขึ้นได้เสมอถ้าประมาท

              “นายว่าเราควรเพิ่มอะไรก่อนจบมั้ย? เอาให้มันเป็นความทรงจำดีๆเช่นแบบร้องเพลงเซอร์ไพร์ส หรือเลือกลักกี้แฟนซักคนน่ะ? ตอนนี้ยังพอเตรียมทันนะ”

              พี่จุนมยอนถามย้ำกับผมอีกครั้งเพราะลักษณะการแสดงที่ไม่เหมือนคนอื่นๆ ผมยิ้มให้พี่เขาก่นจะส่ายหน้าเบาๆ

              “แค่เป็นคอนเสิร์ตที่พวกเราทุกคนทุ่มเทกับมัน เท่านี้ก็เป็นความทรงจำที่ดีที่สุดแล้วไม่ใช่หรอครับ?”

              พี่จุนมยอนพยักหน้าเชิงเข้าใจแล้วยัดกระดาษวาดโครงร่างของเวทีไว้ให้ผม เป็นการกำชับกลายๆว่าให้ศึกษาเอาไว้ให้ดี

              “ถึงนายจะซ้อมมาเป็นเดือน แต่อุบัติเหตุก็เกิดได้ตลอด เข้าใจใช่ไหม?”

              ผมก้มมองกระดาษในมือที่ถูกเขียนลักษณะไว้อย่างดี ช่วงเวลาที่จะมีเอฟเฟคตลอดไปจนถึงช่วงเวลาที่ผมจะต้องเดินมาถึง ณ จุดนี้เพื่อให้ตรงกับคิวแสดงที่จัดเตรียมเอาไว้ ทุกคนในที่นี้ทุ่มเทสำหรับงานนี้มากแค่ไหน ผมเองไม่เคยลืม และให้สัญญากับตัวเองว่าจะทำให้ดีที่สุด

              ในขณะที่กำลังศึกษารายละเอียดของเวที มืออีกข้างที่ว่างก็เลื่อนไปจับสมุดปกผ้าสีน้ำตาลที่ถูกวางอยู่อย่างเคยตัว ปลายนิ้วทั้งห้าลูบปกผ้าสีน้ำตาลบางเบาแต่ทว่าเป็นสัมผัสที่ชัดเจน

     

             

              ห้องแต่งตัวช่างเงียบเหลือเกินเมื่อเทียบกับในเวลาก่อนหน้านี้ ห้องที่เคยคละไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตากลับเหลือเพียงชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนโซฟาริมผนังคนเดียว เพลงโปรโมทของอัลบั้มล่าสุดถูกซ้อมเป็นครั้งที่สี่เนื่องจากเจ้าตัวยังคงไม่พอใจในระดับเสียงของตัวเอง เพลงนี้เป็นเพลงที่มีความหมายสำหรับเขามาก เพราะนับเป็นเพลงแรกในอัลบั้มเต็มอัลบั้มแรกของเขา และเป็นเพลงที่ใช้ในการโปรโมทคอนเสิร์ตในครั้งนี้อีกด้วย คอนเสิร์ตที่เหมือนกับความฝัน คอนเสิร์ตครั้งที่สองของชีวิต

              นักร้องเดี่ยวผู้มีชื่อเสียงเป็นที่น่าจับตามองของสื่อมวลชนวางกระดาษเนื้อเพลงที่ถูกขีดฆ่าครั้งแล้วครั้งเล่าข้างๆลำตัว เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเอามืออีกข้างวางก่ายหน้าผาก หากเปรียบการเป็นนักร้องกับการสร้างบ้านซักหลัง การมีคอนเสิร์ตครั้งแรกของตนก็คงเปรียบเสมือนการทำประตูบ้าน หากมันออกมาดี ใครต่อใครก็คงจะชื่นชมและอยากเข้ามาเยี่ยม หากทว่าผลมันออกมาตรงกันข้าม บ้านทั้งหลังที่สร้างมากับมือก็อาจพังทลายลงได้โดยง่าย

              ถ้ามันยากขนาดนี้ .. แล้วทำไมนายถึงไม่บอกฉันตั้งแต่แรกละ?

              ความน้อยเนื้อต่ำใจลอยชัดขึ้นมาในความคิด ใครคนหนึ่งเคยบอกเอาไว้ตอนที่เขายังเป็นแค่เด็กธรรมดา อาชีพนักร้องสำหรับเขาตอนนั้นก็แค่คนธรรมดาเดินดินที่ได้โชว์ความสามารถด้านการร้องเพลงให้คนอื่นฟังไม่ได้โดดเด่นมากมาย แต่พอมีใครบางคนเดินเข้ามาในชีวิตพร้อมลัทธิความเชื่อบ้าบออะไรนั่น ดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนชีวิตของเขาไปมากโข จากที่ไม่เคยสนใจก็กลายเป็นสนใจ จากที่ไม่เคยเชื่ออะไรก็ดูจะเชื่อมันไปซะทุกอย่าง

              ชายหนุ่มหลับตาสะกดกลั้นอารมณ์ ความรู้สึกเขามันคอยบอกว่าตอนนี้โลกดูเหมือนจะหมุนช้าเกินไปแล้ว ยิ่งพอตอนที่อยู่ตัวคนเดียวในห้องแต่งตัวนี่ก็ด้วย ทุกอย่างดูเงียบไปซะหมด เงียบเสียจนตัวเขาเองนึกหวาด

              แบคฮยอนหยิบสมุดโน้ตสีน้ำตาลที่มักจะวางข้างตัวไม่เคยห่าง มือเรียวค่อยๆเปิดไล่ไปทีละหน้าจนเจอเข้ากับแผ่นโพสท์อิทที่ถูกระบุเอาไว้ให้เจ้าตัวอ่านเมื่อถึงเวลาสมควร เพียงแค่เห็นลายมือหวัดแต่แสดงออกถึงความตั้งใจเขียนของผู้เขียนมากแค่ไหน บยอนแบคฮยอนก็รู้สึกน้ำตารื้นขึ้นมาที่ขอบตาเอาเสียดื้อๆ ความรู้สึกหนักอึ้งและปวดมวลไปทั่วท้องจนหายใจไม่ออกเริ่มจะเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ ชายหนุ่มเปิดไปหน้าถัดไปเพื่อหวังจะอ่านเนื้อความในนั้น

     

              ‘สวัสดี คุณนักร้อง!

                       วันนี้เป็นวันแสดงคอนเสิร์ตครั้งแรกของนายในฐานะนักร้องนี่! ดีใจด้วยนะ(แต่ถ้าไม่ใช่ก็แสดงว่านายแอบอ่านก่อนแน่ๆ อย่าขี้โกงเซ่!) วันนี้คุณบยอนแบคฮยอนจะต้องเด่นเป็นประกายเหมือนกับดวงดาวบนฟากฟ้าไกลแน่ๆเลย ทีนี้นายก็จะมีเวลาเล่นกับเพื่อนๆน้อยลง เพราะนายต้องเตรียมคอนเสิร์ตและการแสดงของนายให้ดีสำหรับแฟนใช่ไหมละ!? อ่า...เวลานี้ฉันควรจะบอกนายว่ายังไงดีนะ? ยินดีด้วยนะกับการแสดงครั้งแรกของนายใช่ไหม? ส่วนของขวัญสำหรับการแสดงครั้งแรก ฉันจะขอพิจารณาก่อนนะ ... ถ้านายแสดงออกมาดี ฉันก็เอาของขวัญให้นาย แต่ถ้านายทำออกมาไม่ดี ฉันก็จะไม่มีวันให้นายเลยเด็ดขาด เชื่อซิ! แล้วถ้าฉันได้คุยกับนายตอนนี้นายก็คงจะบอกว่าฉันคงไม่เชื่อแน่ๆว่าจะมีวันนี้ที่เป็นวันของนาย แต่ฉันจะไม่บอกนายหรอกว่าฉันรู้มันอยู่แล้ว! นายน่ะทั้งเก่งแล้วก็เสียงดีสุดๆไปเลย! ทำไมจะไม่มีคนรักละ? พอนายมีคนรักมากๆ ประธานเขาก็จะสร้างคอนเสิร์ตให้นายอยู่แล้วล่ะ เชื่อมั่นในตัวเองซะบ้างสิ! พอนายอ่านถึงตรงนี้นายก็จะบ่นออกมาว่าอ่า ... ฉันเขียนอะไรของฉันเนี่ยจะทำไมกันละ? ฉันน่ะไม่เหมือนใครนะ! จะให้เขียนอวยพรนายอย่างเดียวมันก็ไม่ใช่หรือเปล่าล่ะ? ... อืม .... แต่จริงๆแล้วฉันพอรู้อยู่นะว่าที่นายเปิดอ่านสมุดเล่มนี้ นายจะต้องกังวลกับอะไรบางอย่างอยู่แน่ๆ ถ้าไม่งั้นนายจะเปิดอ่านทำไมละ ถูกป่ะ! เอาเป็นว่า .. อืม ... ด้วยพลังของฉัน ฉันจะขอให้นายหายกังวลดีไหม? เพราะถ้านายกังวลมากๆแฟนๆจะเป็นห่วงนายและพาลไม่สนุกกับคอนเสิร์ตครั้งแรกของนายไปได้นะ เพราะฉะนั้น ห้าม-เครียด-เด็ด-ขาด! ถึงจะเครียดก็ไปหาอะไรทำแก้เครียดซะ! เพราะถ้านายเครียดมากมากหน้านายจะเหมือนหมาหน้าย่นที่ไม่มีใครรักเลยซักคนเดียว! แต่ถ้าเป็นฉันต่อให้นายหน้าย่นหรือหน้าหล่อฉันก็ไม่รักอยู่ดีหรอก ฮ่าฮ่าฮ่า พอได้แล้ว เลิกอ่านไดอารี่อันแสนน่าเบื่อนี่ซักที นายควรจะไปซ้อมได้แล้วนะ เดี๋ยวเมเนเจอร์ของนายก็มาด่าฉันอีก! ไปร้องเพลงสุดโปรดของนายซะ แล้วตั้งใจร้องเพื่อแฟนๆทีซื้อบัตรนายมากเยอะแยะขนาดนี้ด้วยนะ เข้าใจไหม?

    เทพของนาย

     

              แบคฮยอนเจ้าของชื่อที่ถูกกล่าวถึงส่ายหน้าให้กับตัวเอง ริมฝีปากสีแดงสดถูกเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง ความรู้สึกหนักอกและมวลท้องเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นแรงพันธนาการเขาไม่ให้ไปไหนได้อีก ความสับสนวุ่นวายและความกดดันที่ถูกแบกเอาไว้ตั้งแต่แรกเหมือนจะเบาลง แต่กลับกลายเป็นความรู้สึกคิดถึงใครอีกคนขึ้นมาแทนที่ซะจนเด่นชัดเต็มพื้นที่ของหัวใจไปได้ ใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มให้พร้อมกับการแสดงยิ้มหยันเมื่อนึกได้ถึงครั้งแรกที่เจอกับใครคนนั้น

     

     

     

              2010, โซล

              เด็กหนุ่มในชุดนักเรียนชั้นมัธยมปลายโค้งทักทายผู้คนที่รู้จักเขามาตลอดทาง น้ำเสียงสดใสแต่ทว่าแสดงให้เห็นชัดถึงลักษณะการเติบโตเป็นชายหนุ่มที่ดีถูกเอื้อนเอ่ยทักทายทุกคนด้วยความยินดี บยอนแบคฮยอนเป็นขวัญใจของทุกคนมาตั้งแต่เด็กๆ ด้วยภาพลักษณ์เด็กน้อยจอมซนแสนแก่น แต่กลับมีด้านที่นอบน้อมมากกว่าเด็กวัยเดียวกันทั่วไป ที่เป็นเสน่ห์ทำให้ใครต่อใครหลงเอ็นดูเด็กน้อยคนนี้มาโดยไม่ขาด นึกอิจฉาอยู่ไม่น้อยที่บยอนเฮจินได้เป็นแม่ที่รักยิ่งของเด็กคนนี้

              โชคไม่ดีนักที่สุขภาพของบยอนเฮจินไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ คนเป็นแม่ของเด็กหนุ่มจึงต้องกลับไปรักษาตัวที่บ้านเกิดอีกเมืองหนึ่งกับสามีของตน มันอาจจะเป็นปัญหาใหญ่สำหรับใครหลายๆคนที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวท่ามกลางเมืองแสงสีขนาดนี้ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับแบคฮยอนเลย เขาถูกเลี้ยงให้ดูแลตัวเองได้ตั้งแต่เป็นเด็ก อาจจะมีเอาแต่ใจตัวเองบ้างตามประสาเด็กน้อย แต่เขาก็พอจะรู้ว่าทางไหนถูกทางไหนผิดและไม่ควรเดินเข้าไป อาจจะทำให้พ่อแม่ลำบากใจบ้างในบางครั้งแต่เขาเองก็พยายามที่จะไม่ทำให้มันซ้ำรอยเดิมอีก

              การใช้ชีวิตคนเดียวมันไม่ง่าย เขาพอจะรู้ แต่ก็เพราะเงินประจำรายเดือนที่พ่อและแม่มักจะส่งให้สำหรับค่าเล่าเรียนและใช้ชีวิตประจำวันทำให้เค้ายังพออยู่ได้ แถมที่นี่ก็ยังเป็นสถานที่เค้าอยู่มาตั้งแต่เล็กแล้วด้วย ถนนหนทางก็เคยลัดเลาะจนชิน พอเอาตัวเองกลับบ้านได้ยามเดือดร้อนหรือฉุกเฉินเท่านี้ก็พอแล้ว

              เด็กหนุ่มเหวี่ยงกระเป๋าเป้ที่ถูกสะพายข้างลงกับพื้นด้วยแรงที่ไม่มากนัก เขาใช้กุญแจห้องประจำไขเข้าไปในห้องพักที่แสนจะคุ้นตาแล้วล็อกมันอย่างเบามือตามเคยชิน ของบางอย่างถูกวางไว้อย่างนั้นโดยแทบจะไม่ถูกแตะต้องเลยเมื่อเจ้าของห้องเหลือเพียงคนเดียว ฝุ่นหนาเตอะและหลายๆอย่างที่รวมอยู่ในห้อง ถึงจะมากหรือน้อยแต่บยอนแบคฮยอนก็ไม่สนใจอยู่ดี เขารีบเดินดุ่มเข้าไปในห้องเพื่อที่จะวางกระเป๋าลงบนโต๊ะหนังสือ ก่อนจะออกมาหาอะไรกินเป็นมื้อเย็นสำหรับวันนี้

              เมนูง่ายๆถูกประกอบขึ้นในครัวตามประสาคนอยู่คนเดียว แบคฮยอนจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยแล้วเลือกที่จะกลับไปทำการบ้านเป็นอย่างสุดท้าย ตารางชีวิตของเขาค่อนข้างจะน่าเบื่อไปซักหน่อย ถึงตอนนี้จะเข้าสู่ชั้นมอปลายปีสองแล้ว เขาเองก็ยังไม่รู้เลยว่าอนาคตข้างหน้าจะวางแผนอย่างไร อาชีพไหนที่เขาควรจะทำ หรือแม้จะรู้ตัวว่าตอนนี้ถนัดวิชาอะไรมากที่สุดก็ยังแทบจะไม่รู้ด้วยซ้ำ

              เด็กหนุ่มนั่งมองสโนวบอลที่เป็นของขวัญจากแม่ตั้งแต่เล็กๆ เป็นเจ้าชายน้อยในประสาทหลังโต เขานึกขันถึงตอนเป็นเด็กที่มักจะถามแม่บ่อยๆว่าเจ้าชายคนนั้นคือใคร ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมาพิจารณาดูหลังจากคิดได้ว่าไม่ได้เห็นเจ้านี่มาเกือบห้าปีแล้วด้วยซ้ำ

              ตอนเด็กๆ แม่เขามักจะชอบเล่าเรื่องนิทานเรื่องหนึ่งถึงหมู่เทพจากดวงดาวแสนไกล เทพนั้นมีหลายหน้าที่ ต่างคนต่างก็มีเทพที่เป็นของตัวเอง หากทว่าเทพท่านหนึ่งที่มักจะกลายเป็นที่ต้องการของใครหลายๆคนเสมอ เทพแห่งความฝัน ที่จะนำพาคนคนนั้นให้เดินตามฝันตัวเองได้สำเร็จ ทุกคนต่างก็มีเทพแห่งความฝันเป็นของตัวเอง อยู่ที่เราจะเลือกให้ท่านอยู่เคียงข้างหรือผลักไสออกไปจากชีวิต แม่ของเขาเคยบอกกับเขาไว้อย่างนั้น และท่านก็ยังกำชับอย่างดีอีกว่าในอนาคตหากวันใดวันหนึ่งที่เขาไม่เหลือใคร และไม่สามารถบอกกับตัวเองได้ว่าอนาคตข้างหน้าของเขาจะเป็นอย่างไร พอถึงวันนั้น .. แม่ของเขาจะส่งเทพแห่งความฝันให้มาอยู่กับตัวเขาจนกว่าเขาจะทำตามความฝันตัวเองให้สำเร็จ

              เขาจำได้ดีถึงตอนยังเป็นเด็กและยังเชื่อนิทานปรัมปราพวกนั้น แม่ของเขามักบอกเสมอว่าเทพอยู่ข้างกายเราตลอด เพียงแต่เราไม่เห็น ท่านปกป้องคุ้มครองและจะลงโทษเด็กน้อยที่แสนซุกซน

              ในตอนนั้น เขาพยายามอ้อนวอนและรบเร้าคุณแม่ให้เรียกองค์เทพแห่งความฝันมาอยู่กับเขาเร็วๆ แต่พอมาถึงวัยที่ต้องเริ่มอยู่กับสิ่งที่เรียกว่า วิทยาศาสตร์ นิทานแสนสนุกก็กลายเป็นเพียงความสุขในวันวานที่ตัวเขาเองคงกลับไปจับต้องมันไม่ได้อีกแล้ว

              ผงกากเพชรที่ลอยว่อนอยู่ในน้ำของสโนวบอลเป็นเครื่องหมายแสดงถึงเหล่าเทพที่คอยปกป้องเจ้าชายจากสิ่งร้ายแรงทั้งปวง ถึงแม้จะมีอยู่แต่เจ้าชายก็ไม่เคยระแคะระคาย ภาพใบหน้าของแม่ที่กำลังอธิบายเรื่องราวลึกลับของสโนวบอลอันนี้ด้วยความตั้งใจ

              เด็กหนุ่มเก็บสโนวบอลไว้ที่เดิมอย่างเบามือ เขามองกองหนังสือที่เพิ่งจะจัดการเสร็จไปไม่นานด้วยความเหนื่อยอ่อน เขาเหนื่อยที่ต้องนั่งทำของแบบนี้ทั้งวันทั้งคืน ทั้งๆที่ก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอนาคตแล้วเขาจะได้ประโยชน์อะไรจากมันบ้าง พอคิดได้ดังนั้นเด็กหนุ่มก็เลยตัดสินใจที่จะนอนฟุบเพื่อเรียกพละกำลังของตัวเองที่เริ่มจะท้อถอยบ้างไปตามเวลา

     

     

     

              เสียงกุกกักที่อยู่ข้างๆดังเสียจนคนที่นอนฟุบอยู่บนโต๊ะต้องขมวดคิ้วไม่ชอบใจทั้งๆที่ยังนอนอยู่บนโต๊ะแบบนี้ เสียงคนเดินชนของพร้อมกับสบถดังขึ้นชัดเรื่อยๆในความคิดของเขา นี่ไม่ใช่ความฝัน? เด็กหนุ่มถามตัวเองเนื่องจากในห้องนี้มีเพียงเขาคนเดียวที่อาศัยอยู่ ถ้าไม่ใช่ความฝันแล้ว...? ใครจะเป็นเจ้าของเสียงดังน่ารำคาญเหล่านี้กันนะ หรืออาจจะเป็นขโมยที่จ้องจะขโมยของตามบ้านที่ตอนนี้กำลังออกข่าวแจ้งเตือนให้วุ่น นี่จะถึงเคราะห์ร้ายของบยอนแบคฮยอนแล้วหรือนี่?

              เด็กหนุ่มขยี้ตาให้ตื่นจากความง่วงทั้งหลาย เขาที่ยังลืมตาได้ไม่ดีนักแต่ก็ยังพอจะมีสติอยู่ที่จะคว้าอุปกรณ์ป้องกันตัวใกล้ๆแถวนั้นเช่นโคมไฟตั้งโต๊ะอันยาวพอเหมาะ เหมาะที่จะฟาดลงไปกลางหัวของขโมยให้หมดสติได้สักพัก เด็กหนุ่มแสร้งทำเป็นเท้าคางกับโต๊ะเพื่อปรับสภาพสายตาให้กลับมาชัดเจนเหมือนเดิม ก่อนจะอาศัยช่วงที่เสียงดังกุกกักนั้นเงียบไปแล้วหันไปเผชิญหน้ากับเจ้าหัวขโมยวายร้าย และเตรียมที่จะฟาดโคมไปนั่นลงไปไม่ยั้ง!

              “อย่าฟาดนะ!!”

              เสียงแหวดแหลมดังขึ้นทันจังหวะก่อนที่แบคฮยอนจะฟาดลงไป นับเป็นช่วงเวลาที่หวุดหวิดและน่าหวาดเสียวสำหรับหัวขโมยยิ่งนัก เด็กหนุ่มไม่จำเป็นต้องปรับระดับสายตาให้ชินกับความมืดเลย เพราะเขาเผลอหลับไปทั้งที่ยังเปิดไฟในห้องอยู่ ทั้งเขาและหัวขโมยต่างจ้องหน้ากันอย่างไม่ลดละ พอเห็นท่าว่าไม่มีใครพูดอะไรออกมา และแบคฮยอนยังไม่ไว้วางใจว่าคนตรงหน้าปลอดภัยจริงหรือไม่ ตัวเขาเองก็ทำท่าจะฟาดลงไปแบบไม่ยั้งมืออีกเป็นรอบที่สอง

              “ก็บอกว่าอย่าฟาดไงเล่า! นี่นายฟังฉันพูดไม่รู้เรื่องหรือไง!”

              แบคฮยอนพิจารณาคนตรงหน้าที่เป็นเด็กหนุ่มเหมือนกัน ดูจากรูปร่างแล้วก็คงไม่แตกต่างอะไรจากเขามากนัก แต่อาจจะมีรูปร่างที่บางกว่า และไหล่ก็ดูแคบกว่าด้วย นอกจากนั้นโหนกแก้มที่เป็นเอกลักษณ์ก็ทำให้เขานึกถึงสัตว์บางอย่างซะได้ แต่ถ้ามองเลยไปยังมุมที่ริมฝีปากสัตว์อีกตัวก็ลอยเด่นชัดขึ้นมาซะอย่างนั้น

              “ฉันว่าฉันพิศวาสให้นายมองฉันว่าเป็นแมว มากกว่ามองฉันเป็นอูฐนะ”

              ร่างเล็กที่ไม่ต่างจากเขาเท่าไหร่นักสวมชุดสบาย เสื้อผ้าเนื้อนิ่มสีขาวบางเบาราวกับเป็นเทพเทวดาในนิยายของแบคฮยอนตอนเด็กๆ เด็กหนุ่มพินิจมองคนตรงหน้าอีกครั้ง หากจะเป็นโจรชุดที่สวมใส่อยู่ก็คงจะรุ่มร่ามเกินไปล่ะมั้ง? แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าโจรจะต้องใส่ชุดทะมัดทะแมงเสมอไปนิ

              “หยุดความคิดเรื่องฉันเป็นโจรซักทีได้ไหม?”

              เขาเอียงคอมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย ทำไมถึงรู้เรื่องที่เขาคิดในใจได้ถึงสองครั้ง? ซ้ำยังให้ความรู้สึกที่เบาบางมากกว่าคนทั่วไปนัก เหมือนละอองฝุ่นแต่เรียงเป็นรูปคนและสามารถจับต้องได้

             

    “เพราะฉันเป็นเทพแห่งความฝันของนายไงละ”

              แบคฮยอนชะงัก ก่อนจะหลุดขำพรืดเมื่อได้ยินเนื้อความเมื่อซักครู่ เรื่องราวปรัมปราขนาดนั้นยังจะมีเด็กวัยเดียวกับเขาที่หลงเชื่ออยู่อีกงั้นหรอ?

              “นายยังเชื่อเรื่องแบบนี้อยู่อีกหรอ ฮ่าฮ่า”

              ประโยคแรกที่ได้ยินจากคนที่ตัวเองต้องดูแลทำให้เด็กหนุ่มขมวดคิ้วด้วยความไม่ชอบใจ คนตรงหน้าของเขาทำหัวเราะร่วนกุมท้อง ทำไมถึงไม่เชื่อกันนะ? ทั้งๆที่ตอนเด็กน่ะชอบรบเร้าให้เขาแสดงตัวซักทีจะเป็นจะตาย ทีพอโตมาก็ดันมาคิดว่าเขาหลอกลวงซะงั้น ใช้ได้ที่ไหนกัน!

              “ฉันควรต้องเป็นฝ่ายถามนายว่าทำไมถึงไม่เชื่อเรื่องนี้อีกไม่ใช่หรือไง!”

              แบคฮยอนแคะหูด้วยความระคายเคืองเนื่องจากเสียงหวีดแหลมที่ค่อนข้างดังของคนตรงหน้า เขาถอนหายใจเบาๆแต่ก็ยังนึกขันคนตรงหน้าปนเอ็นดูอยู่หน่อย

              “เอาล่ะ พอแล้วๆ ฉันจะไม่แจ้งตำรวจเรื่องนายเข้ามาในบ้านฉันด้วยวิธีไหนนะ แต่ช่วยออกไปจากบ้านฉันตอนนี้ได้ไหม นี่มันดึกมากแล้วนะ เดี๋ยวแม่นายก็ตามมาแหกอกฉันพอดี”

              เขาหมุนตัวอีกฝ่ายให้หันหลังให้เขาก่นจะดันให้เดินไปข้างหน้าตรงประตูทางออกของห้อง ใช่ ถึงจะเป็นหัวขโมยหรืออะไรก็ช่าง แต่แบคฮยอนจะไม่ถือโทษและยอมปล่อยออกไปดีๆ

              แต่แล้วสิ่งที่ทำให้เขาตกใจก็คือร่างตรงหน้าที่หันกลับมาพร้อมผลักอกเขาไปซะดื้อๆอย่างนั้นล่ะ เฮ้ นี่เขาไม่รู้หรอกนะว่าไปทะเลาะอะไรกับใครหรือจะทะเลาะกับคนที่บ้านมาแล้วหนีออกจากบ้านมา แต่บ้านของแบคฮยอนก็ไม่ใช่ที่สาธารณะหรือโรงแรมที่จะมาพักผ่อนกันได้ง่ายๆนะ

              “ก็บอกว่าฉันเป็นเทพแห่งความฝันของนายไงละ!”

              แบคฮยอนส่ายหน้าให้กับความดื้อรั้นของอีกฝ่าย ดูจากมุมปากและสีหน้างอง้ำตอนนี้แล้วล่ะก็ อีกฝ่ายคงจะโดนตามใจไม่มากก็น้อยจากคนเป็นแม่แน่ๆแต่เอาเถอะ ดูท่าคนตรงนี้นอกจากจะไม่ยอมเลิกราง่ายๆแล้ว ยังอาจจะมีสิทธิ์เสี่ยงโวยวายเสียงดังจนคนห้องอื่นๆตามมาแหกอกแบคฮยอนแทน

              “งั้นนายก็บอกมาสิ ว่าฉันควรจะเอาอะไรไปเชื่อนายได้ลง? นิทานปรัมปราบ้าบอนั่น”

              เด็กหนุ่มตรงหน้าทำท่าครุ่นคิดก่อนจะดีดนิ้วดังเป๊าะ

              “ตอนเด็กๆแม่นายเคยเล่าเรื่องของฉันให้นายฟังทุกคืนเลย”

              ผมส่ายหน้าให้กับเขา เพราะใครๆก็รู้ดีว่าเรื่องเล่านิทานกับชีวิตวัยเด็กเป็นของคู่กันเสมอ

              “นายชอบนอนกอดตุ๊กตาคุณปุงงี่ ตุ๊กตาเพนกวิ้นน่ารักที่ตอนนี้นายเก็บไว้ในลังเก็บของไปเรียบร้อยแล้ว”

              ผมส่ายหน้าอีกครั้ง ตุ๊กตาในวัยเด็กก็เป็นของคู่กันเหมือนกัน ใครๆก็ต้องมี แล้วยิ่งเป็นตุ๊กตาเพนกวินแล้วล่ะก็ จะมีซ้ำกันจะเป็นอะไรไป

              “นายนี่เรื่องมากจริงๆ .... แล้วทำไมฉันจะต้องมาเป็นเทพประจำตัวของนายด้วยเนีย!”

              “เอาล่ะ ว่าไง จะให้โอกาสอีกสามครั้ง ไม่งั้นก็เชิญกลับบ้านไปเลยครับ”

              ผมชูนิ้วประกอบสามนิ้ว หลังจากนั้นจึงผายมือไปยังประตูทางออกของห้องเป็นการเชื้อเชิญแกมขู่นิดๆ อีกฝ่ายแยกเขี้ยวใส่ผมแล้วถือวิสาสะไปทิ้งตัวนอนแผ่บนที่นอนของผมไปซะได้

     

              “แล้วจะให้ฉันเล่าอะไรอีก เล่าไปนายก็ไม่เชื่อ คิดว่าใครๆเขาก็ทำกันทั้งนั้น”

              เด็กหนุ่มที่เพิ่งอ้างตัวว่าเป็นเทพประจำตัวของผมไปหยกๆมุ่ยหน้าแล้วชันแขนข้างหนึ่งเพื่อนอนเอียงมองเจ้าของห้องที่นอกจากจะทำตัวไม่สุภาพต่อคนคุ้มครองตัวเองแล้ว ยังหัวดื้อหัวรั้นซะจนเขาเหนื่อยใจจนไม่อยากจะดูแลอีก

              “ก็นายไม่ยอมบอกเหตุผลที่มันพอน่าเชื่อถือได้ซักอย่างน่ะสิ ฉันถึงไม่เชื่อนายซักที”

              “แล้วจะให้ฉันบอกว่าอะไรล่ะนายถึงจะเชื่อซักที”

              แบคฮยอนครุ่นคิดซักพัก จริงๆแล้วมันก็มีไม่กี่เรื่องหรอกนะที่จะเป็นความลับของเขาเพียงแค่คนเดียวและเป็นเครื่องพิสูจน์ยืนยันการมีตัวตนของอีกฝ่ายได้หากว่าอีกฝ่ายรู้เรื่อง แต่นั่นซิ หากอีกฝ่ายเดาได้อีก มันก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าอีกฝ่ายเป็นเทพจริงๆหรือแค่สร้างเรื่องโกหกหลอกตัวเองก็เท่านั้น

              “ในห้องนี้มีอะไรบางอย่างที่ฉันไม่ชอบใจ แต่ฉันเอามันออกไปจากห้องไม่ได้ซักที นายว่าอะไร?”

              อีกฝ่ายยันตัวขึ้นชันกับเบาะที่นอน คิ้วขมวดแสดงถึงความไม่พอใจในเนื้อความอย่างไร แน่ละว่าแบคฮยอนรู้ดีว่าสิ่งของนั่นคืออะไร .. คำตอบมันก็ค่อนข้างจะชัดเจนในลักษณะที่แสดงออกมาอยู่แล้ว หากสังเกตดีก็จะตอบได้ในทันที

              “จะเล่นคำถามแบบนี้สินะ นายคิดว่าฉันอ่านใจนายไม่ออกหรือไง?”

              “ก็ตอบมาซะสิ”

              “ฉัน”

              อีกฝ่ายเปลี่ยนอิริยาบถเป็นท่านั่งห้อยขา แต่มือทั้งสองข้างยังคงชันตัวเองขึ้นจากเบาะที่นอนอยู่ แบคฮยอนชะงักก่อนจะแสร้งยิ้มอย่างไม่ไว้ใจ

              “ทำไมถึงคิดแบบนั้นละ?”

              “สายตานายนี่อ่านง่ายจะตายชัก แล้วอีกอย่างนายเป็นคนที่ไม่ชอบให้ใครยุ่งข้าวของของตัวเองถึงจะสนิทแค่ไหนก็ตามเหอะ นี่ฉันนึกแล้วยังสงสารเด็กคนนั้นไม่หาย ตอนที่นายยังอยู่ประถมใหม่ๆแล้วฉันชอบมาแอบมองนายทุกวัน นายชวนเพื่อนมาบ้านเองแต่กลับตวาดเขาเสียงดังลั่นกะอีแค่เขาจะปีนขึ้นเตียงไปหยิบหมอนมาหนุนแค่นั้นอะ”

              แขกผู้มาเยือนของบ้านโดยไม่ได้รับเชิญในยามวิกาลบ่นกระปอดกระแปด พลางทำสีหน้าไม่สู้ดีไปด้วย แน่ละ ความทรงจำเหล่านั้นยังเด่นชัดฉายวนเหมือนกับภาพในโรงภาพยนตร์ไม่มีผิด สีหน้าของแบคฮยอนน่ากลัวขนาดนั้นแล้วใครจะไปกล้าลืมได้ลง นี่แอบทำใจนานมากอยู่เหมือนกันกว่าจะกล้าเดินเข้ามาในห้องขนาดนี้

              แบคฮยอนนึกย้อนไปตอนสมัยยังเป็นเด็กอย่างที่อีกฝ่ายว่า เขาเผลอตะโกนใส่เพื่อนสนิทคนใหม่ที่เพิ่งสนิทกันได้ไม่นานในขณะที่จับได้ว่าอีกฝ่ายกำลังปีนเตียงนอนเพื่อขึ้นไปหยิบหมอนมาหนุนอย่างที่อีกฝ่ายว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เขามักจะไม่ค่อยเล่าให้ใครฟังนอกจากแม่ที่มาถามไถ่ และเพื่อนคนนั้นก็ไม่ได้ไปเล่าต่อที่โรงเรียนด้วยเพราะยังคงกลัวเขาอยู่ ไอสงสารเราก็สงสารอยู่หรอก แต่จะให้แก้นิสัยที่ติดมาตั้งแต่สมัยเด็กๆก็ไม่ไหวเหมือนกัน

              “เรื่องแบบนี้ใครๆก็เดาได้น่า ..”

              “มันก็เดาได้ซะทุกคำถามนั่นแหละ ชิ”

              คนบนเตียงบ่นด้วยเสียงที่เบาหูแต่คงความขุ่นเคืองไว้ในรูปประโยค ไม่รู้ว่าเขาไปทำผิดบาปอะไรกับใครเขาไว้อีท่าไหน ถึงต้องมารับผิดชอบคนที่เรื่องมากแล้วก็ประหลาดแบบบยอนแบคฮยอนด้วยเนี่ย ไม่เข้าใจเลยจริงๆ

              “งั้นนายก็ลองบอกฉันมาสิถ้านายเป็นเทพแห่งความฝันจริง นายจะต้องรู้บ้างว่าฉันขอเป็นอะไรบ้างตอนเป็นเด็ก แล้วเพราะอะไรด้วย”

              แบคฮยอนยืนกอดอกพินิจมองอีกฝ่ายที่กำลังทำท่าครุ่นคิด ก็อาจจะจริงที่ตอนเป็นเด็กใครๆมันก็ถามว่าเขาอยากเป็นอะไร แต่บางครั้งเขาเองก็ไม่เคยบอกความลับเล่านี้กับใครนอกจากจะพูดลอยไปกับสายลมแค่เพียงหวังว่าเทพแห่งความฝันตัวจริงจะได้ยินแล้วบันดาลพรให้ก็แค่นั้น

              “ถึงนายจะเรื่องมาก แต่ความฝันนายก็ไม่ได้เยอะเหมือนคนอื่นๆหรอกนะ ....แต่จริงๆฉันโกหก เพราะนายโคตรเป็นคนที่โลเลและสร้างเรื่องปวดหัวให้ฉันมาก”

              “...”

              “อืม ... ตอนอนุบาลนายเคยขออยากเป็นครูอนุบาล เพราะนายคิดว่าครูอนุบาลจะมีแต่เพื่อนๆรัก เพราะนายไม่มีใครมาคุยด้วยเลย”

              “พอมาซักตอนประถมนายก็อยากจะเป็นยอดมนุษย์ เพราะเพื่อนๆจะได้สนใจในตัวนายขึ้น อยากเข้าหานายมากขึ้น และอยากปกป้องเพื่อนๆได้”

              “พอมามัธยม นายก็เริ่มคิดล่ะว่าความฝันมันเป็นเรื่องตลก จะให้มานั่งขอพรกับเทพหล่อๆอย่างฉันอย่างเดียวก็คงไม่ไหว เลยอธิษฐานเล่นๆว่าอยากเป็นใครซักคนก็ได้ที่ได้มีความสุขกับเส้นทางที่ตัวเองเลือกเดิน”

              “นาย...”

              “จริงๆปกติเทพส่วนใหญ่เขาก็ไม่ต้องมานั่งสรุปหรอกนะว่าคนที่ตัวเองต้องดูแลเนี่ยอยากเป็นอะไรกันแน่ เพราะส่วนใหญ่เขาก็มีปลายทางเป็นของตัวเองแล้วทั้งนั้น ส่วนฉันต้องมานั่งปวดหัวทุกครั้งที่นายอธิษฐานเพราะมันไม่เหมือนกันซักครั้ง จะเป็นนู่นนี่ให้หมด”

              “จริงๆมันก็คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกมั้ง...”

              เขาพยายามเอ่ยแย้งคำพูดอีกฝ่ายที่ดูเหมือนจะกล่าว...เกินจริงไปนิดหน่อย แต่ก็ถูกหยุดด้วยฝ่ามือที่แผ่ตรงหน้าเป็นสัญลักษณ์ที่รู้ๆกันว่าหยุดพูด

              “แต่มันมากกว่านั้นมากๆ นายโลเลซะจนฉันต้องมานั่งจับทุกอย่างรวมๆแล้วผสมๆกัน ใน นี้!”

              ว่าพลางจิ้มจึกๆที่ขมับตัวเองไปตามพยางค์

              “ผลก็ออกมาได้ว่า ทุกอาชีพทีนายฝันจะเป็น ก็มีแต่อาชีพที่อยากให้คนรักและสนใจนายมากๆแค่นั้น เพราะฉะนั้น .. ฉันเลยคิดว่าจริงๆแล้ว ลึกๆในใจนายเข้าไปน่ะ อาจจะอยากเป็นอาชีพหนึ่งที่มีทั้งคนที่รักนาย คนที่สนใจในตัวนาย แล้วนายก็น่าจะมีความสุขกับทางที่เลือกเดินด้วย”

              แบคฮยอนมองคนตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเองอีกครั้ง เขาไม่สามารถปฏิเสธอีกฝ่ายได้เลยว่าที่อีกฝ่ายกำลังพูดถึงเขานั้นมีเค้าโครงความจริงอยู่มากแค่ไหน และเขาเองก็อยากรู้ว่าความฝันที่อีกฝ่ายว่าถึงจะเป็นอาชีพอะไร เพราะตัวเขาเองก็ยังแทบจะไม่เชื่อความฝันของตัวเองเลยด้วยซ้ำ

              “นายน่ะ อยากเป็นนักร้องใช่ไหมละ?”

     

     

              แบคฮยอนนิ่ง เงียบ เขาพยายามหลบสายตาของอีกฝ่ายที่จ้องจะจับผิด เนื้อความข้างต้นประโยคไม่ได้มีความหมายร้ายแรงอะไรขนาดนั้น เพียงแต่เขาเองก็ยังไม่อยากยอมรับว่าเขาอยากเป็นนักร้อง น่าแปลก ทั้งๆที่ความฝันเรื่องการเป็นนักร้องก็ถือเป็นความฝันปกติทั่วไป แต่ตัวเขาดันมองว่ามันแปลกและไม่อยากเป็นเสียด้วยซ้ำ อาชีพนักร้องก็แค่คนเดินดินธรรมดา แถมยังเป็นอาชีพที่ทำให้ตัวเขากับเพื่อนสนิทหลายๆคนต้องแยกห่างกันด้วยเพราะอีกคนให้ความสนใจกับนักร้องมากกว่าตัวเขาที่เป็นเพื่อนทั้งคน อาจเป็นเหตุผลงี่เง่าแต่ใครต่อใครก็ตีจากจากเขาด้วยเหตุผลพวกนี้ทั้งนั้น อาชีพนักร้องจึงกลายเป็นอาชีพในด้านลบของแบคฮยอนไปซะแล้ว หากทว่าเขารู้ดีว่าลึกๆในใจ อาชีพนี้ก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่เขาอยากเป็นเหมือนกัน

              “อย่าเถียงนะว่าไม่จริง นี่ ฉันน่ะ อ่านใจนายได้นะ”

              “ก็ไม่ได้จะเถียง..”

              “นั่นเขาเรียกว่าเถียงแล้ว ไอฉันนะก็สงสัยแทบตายว่าทำไมนายถึงไม่อยากเป็นนักร้องทั้งๆที่เสียงนายก็ออกจะดี หน้าตานายก็ไม่ได้ขี้เหร่อะไร ฉันก็เลยลองเลียบๆมองๆดู”

              “เดี๋ยวนะ... นายนี่ตามติดทั้งชีวิตของฉันเลยหรอ?”

              “ก็คุณแม่ของนายเคยบอกไม่ใช่หรอกว่าเทพอยู่ข้างนายตลอดแต่แค่ไม่เห็นอ่ะ ... เอ๊ ฉันว่าคุณแม่ก็บอกนายนะ ฉันว่านายก็จำได้ดีด้วยแหละ”

              “แต่มัน...”

              “นั่นเถียงอีกแล้ว .. ถึงไหนแล้วนะ? นั่นแหละ ฉันก็เลยตามดูนาย ก็เลยรู้ว่านายน่ะมีแผลเก่าทั้งโดนเพื่อนทิ้งเพราะเพื่อนชอบนักร้องมากกว่า ทั้งโดนผู้หญิงที่ตัวเองชอบปฏิเสธเพราะเขาชอบนักร้องที่เป็นผู้ชายที่เท่กว่านายหลายเท่าซะอีก”

              “งั้นเปลี่ยนเรื่องคุยซักทีเถอะ”

              ผมกรอกตาแล้วมองหน้าอีกฝ่ายที่ยิ้มแป้นเพราะพูดจี้ใจผมเขาอีกแล้ว ก็ใช่ ผมเคยโดนปฏิเสธเพราะผู้หญิงคนนั้นชอบผู้ชายแบบนักร้องคนนั้นมากกว่า แต่นั่นมันก็อีกเรื่อง

             

              “แล้วนายมาที่นี่ทำไมตอนนี้?”

              ผมถามอีกฝ่ายทันทีที่นึกขึ้นได้ หากอยู่ข้างตัวตลอดเวลาจริง ทำไมไม่โผล่ให้เห็นหน้าตั้งแต่ทีแรกกันเล่า หรือไม่ก็ไม่ต้องเผยตัวไปตลอดไง

              “อ้าว .. คุณแม่ไม่ได้บอกนายหรอว่าวันไหนถ้านายกำลังล้าแล้วนึกถึงฉันอีกครั้ง วันที่นายไม่รู้จะต้องเดินไปทางไหนขอแค่นายหยิบสโนวบอลที่เป็นตัวแทนของฉันขึ้นมา คุณแม่ของนายจะส่งให้ฉันมาหานายเองน่ะ จำไม่ได้หรือไง?”

     

     

     

              แบคฮยอนเดินหอบผ้าห่มที่ถูกเก็บไว้ในตู้อย่างดีเผื่อใช้ในยามฉุกเฉินเช่นมีแขกมาพักผ่อนที่บ้าน และแน่นอนว่ามันก็ถูกเตรียมเผื่อสถานการณ์ทำนองนี้ไว้ล่วงหน้าด้วยเช่นกัน

              เด็กหนุ่มคลี่ผ้าห่มออกให้มีขนาดพอเหมาะก่อนจะวางทาบร่างของใครบางคนที่นอนตรงนี้มาได้ซักพัก ถึงจะไม่ได้เชื่อที่อีกฝ่ายพูดได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เขาเองก็ไม่ได้จะใจจืดใจดำถึงขั้นปล่อยให้เจ้าเด็กนี่นอนหนาวอยู่คนเดียวที่กลางบ้านแบบนี้หรอก โชคดีทีเจ้าเด็กนี่ไม่เรื่องมาก นอนไหนนอนนั่น มีแค่ที่ให้นอนก็พอแล้ว แต่ดูท่าแล้วคงจะไม่ยอมกลับบ้านไปง่ายๆแน่ เห็นท่าว่าคงจะต้องปล่อยให้อยู่ที่นี่ซักวันสองวันก็พอไม่งั้นพ่อแม่ของอีกฝ่ายคงได้ตามมาแหกอกเขาจริงๆอย่างที่ว่า

              ถ้าจะให้พูดถึงว่าเขาเชื่อคำพูดของหมอนี่ได้แค่ไหน ก็คงตอบว่าส่วนหนึ่งได้ เพราะหนึ่งมันเป็นเรื่องที่เขาไม่เคยบอกกับใคร แต่ก็ใช่ว่าจะเดาไม่ได้(แต่ก็คงจะเก่งมากเพราะเดาถูกทุกเรื่อง) แต่ถามว่าเชื่อทั้งหมดหรือเปล่าก็คงต้องบอกว่าไม่ใช่ เพราะเขายังคงยึดมั่นและฝังใจอยู่ทุกวันว่าเทพแห่งความฝันไม่มีจริง นิทานปรัมปราไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยวิทยาศาสตร์

              หรือบางทีหมอนี่อาจจะความจำเสื่อม?

              แต่ก็คงต้องให้อยู่ด้วยไปซักพักแหละนะ

     

     

              “นายไม่กินข้าวหรือไง”

              ผมลอบถามคนตรงหน้าที่มองจานข้าวของตัวเองเฉยซะอย่างนั้น ข้าวก็ไม่แตะ ทั้งๆที่นี่ก็เลยเวลาข้าวเช้ามาเกือบสองชั่วโมงแล้วด้วยซ้ำ ถึงเมนูกับข้าวที่แบคฮยอนทำให้จะเป็นแค่กับข้าวธรรมดาก็ตามทีเถอะ แต่อย่างน้อยก็ควรจะรับน้ำใจและกินมันเข้าไปไม่ใช่หรอ?

              “ไม่อ่ะ เทพไม่จำเป็นต้องกินข้าว เทพไม่หิวแต่ถ้ากินตอนไหนนั่นก็แปลว่าอยาก อย่างตอนนี้ฉันไม่ได้อยากจะกินกับข้าวของนายซักนิด แค่เห็นปลายขอบของไข่ดาวก็สยองแล้วอะ”

              คนพูดพูดเหมือนไม่ได้ติดใจอะไรมาก แต่คนฟังนี่ซิถึงกับต้องกุมขมับ ไอที่เคยเอ่ยปากชมว่าอีกฝ่ายไม่เรื่องมากนี่ขอเรียกเก็บคืนได้ไหมนะ เพราะนอกจากจะเรื่องมากแล้วอีกฝ่ายยังปากร้ายไม่ใช่ย่อยอีก เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าจะลงทุนลงแรงทำกับข้าวแต่เช้าเพื่อแขกอีกคนทำไมถ้าอีกฝ่ายนอกจากจะไม่ทานแล้วยังเมินเฉยกันขนาดนี้

              “นายน่ะกินข้าวไปซะเถอะ กินให้อิ่มไปเลย เพราะวันนี้จะเป็นวันแรกที่นายได้ฝึกฝนสู่เส้นทางการเป็นนักร้องอย่างแท้จริง!”

              แบคฮยอนบุ้ยข้าวเข้าปากพลางเหลือบมองคนที่อ้างว่าตัวเองเป็นเทพ ทำท่าทางพิลึกพิลั่นคล้ายกับให้สัญญากับตัวเอง เขาอดขำในท่าทางของอีกฝ่ายไม่ได้จนถึงกับต้องสำลักออกมา

              อั่ก

              “นั่น ไม่ทันถึงวันก็สำลักซะแล้ว นายนี่ไม่รู้เลยซินะว่าชีวิตการเป็นนักร้องมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น!”

              คนถูกขำทำหน้าแค้นเหลือประมาณที่โดนอีกฝ่ายดูถูกในใจ ทำไม เขาก็ชอบให้กำลังใจตัวเองแบบนี้บ่อยๆ ใครก็บอกว่ามันดีเพราะจะทำให้เรารู้สึกฮึกเหิม ก็แน่ละที่แบคฮยอนขำก็เพราะไม่เคยรู้จักคำว่าฮึกเหิมจริงๆจังๆน่ะสิ

              “ร้องเพลงเป็นหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ ยังจะกล้ามาดูแลคนอื่นให้เป็นนักร้องอีก จริงๆเลย”

              แบคฮยอนบ่นเบากับตัวเองแต่ก็ลืมไปว่าอีกฝ่ายได้ยินหมดนั่นแหละ ไม่ว่าจะพูดกับตัวเองในความคิดหรือพูดเบาๆอย่างเช่นตอนนี้ก็ด้วย

              “ทำอาหารเป็นหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ ยังจะกล้ามาทำอาหารให้เทพกินอีก จริงๆเลย”

              แบคฮยอนตวัดสายตามองอีกฝายที่นั่งเยื้องกันไป ถึงบนโต๊ะอาหารจะมีแค่ข้าวผัดกับไข่ดาว แล้วยังไง แค่ทอดไข่ดาวให้พอกินได้ก็โอเคแล้วไม่ใช่หรอ แล้วทำไมอีกฝ่ายถึงชอบค่อนแขวะเขาอยู่เรื่อย นี่ลืมไปแล้วหรือไงนะว่าคนที่เป็นผู้อาศัย

              “แล้วจะกินไหมข้าว คนอุตส่าห์ตื่นมาแต่เช้า ถ้าไม่ก็ออกไป เสียน้ำใจฉันชะมัด ไอเราก็ใจดีอุตส่าห์ตื่นแต่เช้ามาทำ ถ้าจะทำแล้วมีคนกินแค่นี้วันหลังก็ไม่ต้องกินมันหมดนี่แหละ”

              “ขี้บ่น..”

              แบคฮยอนใช้สายตาตวัดมองอีกฝ่ายอีกรอบ โล่งใจนิดหน่อยที่เห็นว่าเจ้าหมอนั่นก็เริ่มจะกินข้าวกับเขาบ้างแล้ว ดีที่จะได้ไม่ต้องเป็นลมเป็นแล้งไปตอนกลางวันให้เขาต้องมานั่งดูแล ส่วนเรื่องที่ว่าตื่นเช้ามาทำกับข้าวให้นี่ก็ไม่ได้น้อยใจอะไรขนาดนั้น แค่ยังไม่อยากต้องมานั่งดูแลเจ้าเรื่องมากนี่ทั้งวัน

              “แล้วนี่ คุยกันมาจะยี่สิบสี่ชั่วโมงอยู่แล้ว ชื่อนายชื่ออะไรฉันจะได้เรียกถูก”

              เด็กหนุ่มที่ยังอยู่ในชุดสีขาวตัวเดิมกับเมื่อคืนเงยหน้าขึ้นมงีกฝ่ายทั้งที่ข้าวยังเต็มกระพุ้งแก้ม เขารีบเคี้ยวแล้วกลืนๆสิ่งที่อยู่ในปากให้หมดก่อนจะตามด้วยกระดกน้ำที่อยู่ในแก้วแถวนั้น

              “จงแด เรียกฉันว่าจงแด”

     

     

                “ครั้งล่าสุดที่ฉันคุยกับนายไปตอนกินข้าว ฉันว่ามันไม่ใช่แบบนี้นิ?”

              เทพแห่งความฝันเจ้าปัญหาหรือจงแดที่เจ้าตัวเพิ่งบอกชื่อกับผมไปหมาดๆร้องทักขึ้นเมื่อเห็นว่าอยู่ดีๆผมก็ยื่นกางเกงพอดีตัวสีน้ำตาล และเสื้อยืดสีขาวสกรีนลายดำของตัวเองให้อีกฝ่ายที่ ผมต้องใช้เวลานานนับสิบนาทีถึงจะยอมตัดใจเอาของตัวเองให้คนอื่นได้ ถึงจะเป็นนิสัยตั้งแต่เด็กแต่มันก็ส่งผลกระทบมาถึงตอนโต ดีขึ้นหน่อยตรงที่มันยังพอตัดใจง่ายกว่าตอนเด็ก ผมส่ายหน้าในความบ้องตื้นของจงแด นี่หมอนี่ไม่รู้ซินะว่าอะไรสำคัญที่สุดในเวลานี้

              “เรื่องแผนการอะไรนั่นปล่อยไปก่อนได้ไหม ฉันทนเห็นนายใส่ชุดรุ่มร่ามแบบนี้ทั้งวันไมได้หรอกนะ รีบๆเปลี่ยนไปเถอะแล้วออกไปซื้อเสื้อผ้าให้นายกัน เพราะไม่งั้นฉันได้เป็นบ้าตายกับการยกเสื้อให้นายแน่ๆ”

              จงแดกรอกตาเมื่อเห็นอีกฝ่ายพูดดูถูกสไตล์การแต่งตัวของเขา เหล่าเทพไม่จำเป็นต้องหล่อเท่เสมอนี่ แค่ใส่ชุดไหนๆให้สบายก็พอแล้วไม่ใช่หรือไง ถ้าจะมัวแต่มานั่งกังวลว่าใส่ชุดอะไรก็ไม่ต้องทำหน้าที่เทพกันพอดี แต่สุดท้ายเขาก็เอื้อมไปรับชุดทั้งหมด

              “ขอบใจ .. ใจดีเป็นเหมือนกันนะเนี่ย”

              นี่หมอนี่มองเห็นผมที่อุตส่าห์ตื่นแต่เช้ามาทำกับข้าวให้กินเป็นคนใจร้ายตลอดเลยหรือไง

     

              กว่าจะจัดการธุระของแต่ละคนได้เสร็จก็ปาไปเกือบชั่วโมงกว่า จริงๆแล้วจะมาเรียกว่าซื้อเสื้อผ้าให้คนข้างๆนี่ก็ไม่ถูกซะทีเดียว เพราะจริงๆเขาเองก็กะจะออกมาหาซื้ออะไรเก็บไว้ตุนในบ้านบ้าง ส่วนเรื่องที่มาซื้อข้าวของให้คนข้างๆนี่ก็ถือเป็นข้ออ้างรอง

              “ได้ยินนะ”

              จู่ๆตัวปัญหาก็ทักผมขึ้นมาทั้งๆที่ตัวเองมองวิวข้างทางอยู่แท้ๆ ผมแยกเขี้ยวใส่หมอนั่นที่ดันมาแอบอ่านใจผมอีกครั้งและอีกครั้ง!

              “จะได้ยินอะไร ไม่ได้พูดซักหน่อย”

              “คนเรามันรู้อยู่แก่ใจน่าแบคฮยอน”

              ผมตวัดสายตามองอีกฝ่ายด้วยความขุ่นเคือง นี่นายเป็นเทพแต่ไม่เคยรู้หรือไงว่าเขาให้ใช้ภาษาที่เป็นทางการกันเวลาสนทนากับคนที่เพิ่งรู้จัก

              “เพื่อนหรือไง”

              “ถึงไม่ใช่เพื่อนก็เห็นๆมาตั้งแต่เด็กแล้วน่า ดูจนเบื่อแล้ว”

              ผมเกือบจะหันกลับมาถลึงตาใส่อีกฝ่ายแทบไม่ทัน นอกจากคำพูดคำจาจะกำกวมแล้วยังส่อไปในทางที่ไม่น่าพิศวงอีกด้วย ผมแทบจะทำตัวไม่ถูกเมื่อสายตานับสิบเริ่มหันมาจับจ้องผมเหตุเพราะตัวปัญหาข้างๆนี่ดันพูดอะไรกำกวมออกไปซะเสียงดัง

              “ถึงแล้ว รีบๆลงซะสิ”

              หมอนั่นร้องดีใจก่อนจะหันมาผลักผมไปรีบออกๆเพราะดันนั่งขวางทางออก ผมได้แต่นับหนึ่งถึงสิบในใจเพื่อที่จะระงับอารมณ์ความโกรธที่จะปะทุขึ้นทุกเมื่อให้หายไป หมอนั่นพอลงจากรถได้ก็เหมือนเพิ่งจะนึกออกว่ามีใครมาด้วยอีกคน จงแดหันมาแยกเขี้ยวใส่ผมพร้อมชุดกระชากข้อมือของผมให้รีบลงตามหมอนั่นไปด้วย ไม่เข้าใจจริงๆว่าจะรีบไปทำไมกัน แผ่นดินไหวไม่ได้เกิดในอีกสองชั่วโมงนี่ซักหน่อย

              “เลือกแค่เฉพาะที่ชอบใส่ อย่าเลือกอะไรเพราะเห็นว่ามันสวย โอเคนะ”

              ผมกำชับกับจงแดหลังจากพาอีกคนเดินเข้ามาในร้านขายเสื้อผ้าได้ มันเป็นแบรนด์ที่ราคาค่อนข้างไม่สูง เด็กมัธยมปลายด้วยเงินเก็บเล็กๆน้อยๆอย่างผมก็พอจะสู้ได้อยู่ ถึงแม้การจะมีอีกฝ่ายในชีวิตตอนนี้จะเริ่มส่งผลต่อการเงินของเขามากก็ตามที แต่ก็ยังดีกว่าเผลอใจเอาไปซื้ออะไรไม่เข้าท่าแล้วมานั่งเสียดายทีหลังน่ะซิ บางทีถ้าเอาเงินส่วนนั้นไปทำประโยชน์ให้คนอื่นบ้างก็คงจะดีไม่ใช่น้อย

              “ไม่ชอบซักตัวอะ”

              “อย่าเรื่องมากได้ไหม เลือกกางเกงมาสอง เลือกเสื้อยืดมาสาม แล้วเดี๋ยวไปซื้อข้างในอีก”

              ผมบอกจำนวนที่ค่อนข้างเจาะจง เพราะรู้ดีว่าจงแดคงไม่สนใจแฟชั่นหรืออะไรเถือกนี้หรอก ดูจากลักษณะเสื้อผ้าที่ใส่ตั้งแต่วันแรกที่เจอก็พอจะรู้ได้อยู่บ้าง

              “เลือกแต่ข้างในได้ไหม ฉันไม่ชอบอะ เนี่ยเดี๋ยวยืมนายใส่เอาก็ได้ถ้านายไม่อยากเห็นชุดของฉัน”

              ผมเหล่มองอีกฝ่าย

              “ไม่ใช่แค่ไม่ชอบ แต่เกลียดเลยเถอะ สมัยนี้ที่ไหนเขาใส่เสื้อตัวโคร่งขนาดนั้น นี่เอาไป!ฉันเลือกให้ก็ได้ แล้วเสื้อผ้าฉันเนี่ยฉันจะให้แค่ชุดนอนเท่านั้นแหละ ที่เหลือถ้าไม่จำเป็นฉันไม่ให้หรอก ฉันหวง เข้าใจไหม”

              หมอนั่นทำปากขมุบขมิบล้อเลียนท่าทางคำพูดของผม ไอเราก็ขี้เกียจจะปะทะคารมกับอีกฝ่ายเต็มทน เลยต้องเดินวนทั่วร้านเพื่อเลือกเสื้อผ้าให้กับคนตรงหน้า ตอนแรกก็คิดว่าดีนะมีเพื่อนมาอยู่ด้วยซักพักก็อาจจะไม่เหงา แต่บางทีก็เพิ่งรู้ตัวว่าคิดผิด เพราะนอกจากจะรู้สึกเบื่อ เสียเงิน แล้วยังต้องมาเสียประสาทอีก

              “ถ้านายยังไม่เลิกด่าฉันในใจอีกนะ”

              จงแดเดินเข้ามาขู่ผมในขณะที่มืออีกฝ่ายกำลังเอาชุดชั้นในที่ผมเพิ่งสั่งให้ไปเลือกมายัดใส่ในมือของผมแล้วละออกไป ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วก้มมองสิ่งของทั้งหมดในมือ ส่วนใหญ่ก็เป็นเสื้อผ้าสไตล์ของผมทั้งนั้น ถ้าอีกฝ่ายไม่อยู่แล้วก็ดีของทั้งหมดนี่จะได้เป็นของผม จะได้ไม่ต้องไล่ซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้เสียตังค์เล่นอีกรอบ เสียทีเดียวแต่ได้คุ้มสองต่อแบบนี้แหละดี ก่อนจะเดินไปจ่ายตังค์แล้วออกจากร้านเพื่อเดินไปกับตัวปัญหาที่หนีออกมาหน้าร้านได้ซักพักแล้ว

     

              “นี่ ถ้านายตามติดชีวิตตั้งแต่เด็กของฉันจริง นายต้องเลือกนมรสที่ฉันชอบกินมากที่สุดได้”

              ผมทักจงแดในขณะที่เรากำลังเข็นรถผ่านโซนชั้นนม อีกฝ่ายหันมามองหน้าผมเชิงไม่ไว้ใจ แล้วหันไปส่ายหน้าเชิงบ่นกับตัวเองเบาๆ

              “กากๆ”

              “ถ้ากากจริงก็ทำให้ดูหน่อยซิ”

              จงแดเดินตรงไปยังชั้นที่วางนมทั้งหลาย หยิบขวดนมช็อกโกแล็ตมาพร้อมกับนมสดชนิดพร่องมันเนย ผมเลิกคิ้วสูงแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆเมื่คนที่เคยพูดเก่งกลับหยิบมาพร้อมกันถึงสองขวด

              ที่แท้ก็ไม่แน่จริงนี่หว่า

              “จริงๆนายน่ะชอบกินสตรอเบอร์รี่ แต่ฉันอยากลองกินช็อกโกแล็ต และนายก็กำลังอยู่ในช่วงเก็บตัวฝึกซ้อมสำหรับการเดบิวต์ กินนมสตรอเบอร์รี่มากๆมันไม่ดี กินนมพร่องมันเนยนี่แหละดีที่สุด”

              แบคฮยอนมองอีกฝ่ายว่าพลางหยิบนมขวดใส่รถเข็นไปพลาง เนื้อความข้างต้นน่ะ..ก็จริงอยู่ที่มันไม่ผิดเลย ... แต่เรื่องแบบนี้เดาเอาก็ได้อยู่อีกไม่ใช่หรอ?

              “เลิกคิดว่าฉันเดาได้แล้วหน่า”

              ผมจิ๊ปากใส่อีกฝ่ายเป็นรอบที่ร้อยของวันก่อนจะเข็นรถเข็นนำหน้าไป

              แอบอ่านใจฉันโดยไม่ขออนุญาตอีกแล้วนะ ตัวปัญหา!

     

     

              “ฉันว่าเราควรต้องทำพันธะสัญญากันซักหน่อยนะ”

              ผมบอกขึ้นมาในระหว่างที่เราสองคนกำลังนั่งแยกเสื้อผ้าของผมที่จะเอาไปให้อีกคนใส่นอน ชุดนั้นก็ใส่นอนดี ชุดนี้ก็ใส่นอนอุ่น พอจะยกชุดนี้ก็เหมือนมีกระแสประสาทสั่งห้ามไว้ว่าอย่านะ

              “ว่ามา”

              ผู้มาอาศัยอยู่พูดอย่างไม่ใส่ใจมากนัก แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ทำ คนเป็นเทพเมื่อพูดคำไหนก็ต้องทำตามคำพูดนั้น เป็นกฎหลักกฎใหญ่อยู่ไม่น้อยในดินแดนแห่งเทพ

              “ข้อหนึ่งนายไม่ควรจะอ่านใจฉันโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต”

              “บางทีนายก็ดันเผลอเปิดมันออกมาให้เห็นเองนี่หน่า”

              “นั่นแหละ สิ่งที่นายต้องทำก็คือเมินมันไปซะ และสองเวลาฉันไปเรียนนายต้องทำความสะอาดที่นี่ให้เป็นค่าตอบแทนกับการที่นายมาอยู่บ้านของฉัน”

              “สบายๆ”

              “สาม บ้านหลังนี้มีกฎเวลาจะไปไหนมาไหนต้องบอกกันก่อน เข้าใจใช่ไหม?”

              จงแดพยักหน้าเข้าใจก่อนจะเอื้อมมือไปรับชุดนอนผ้าเนื้อดีที่ยังมีกลิ่นหอมลอยอ่อนจางๆ มันไม่ใช่กลิ่นน้ำหอมจากแบคฮยอนหรืออะไรทำนองนั้น ดูเหมือนจะเป็นกลิ่นผงซักฟอกน้ำยาปรับผ้านุ่มผสมกลิ่นของคนตรงหน้าที่ใส่บ่อยๆมากกว่า

              “ใส่ให้ดีนะ เพราะฉันไม่ได้ใส่มานานแล้ว ตัวนี้มันอุ่นที่สุดในบ้านหลังนี้แล้วล่ะ

             

             

             

              2016, โซล

                กล้องนับสิบตัวถูกจับจ้องมายังเพียงใบหน้าเดียวที่นั่งอยู่ข้างหลังโต๊ะให้สัมภาษณ์ ทั้งกล้องและไมค์นับสิบที่ถูกจ่ออยู่ตรงช่วงมือทำให้นักร้องหนุ่มไม่รู้สึกประหม่าเท่าไหร่นัก อาจเพราะเขาเคยเจอกับเหตุการณ์นี้มามากแล้ว หรืออาจจะเพราะเขาแทบจะไม่มีความรู้สึกเลยตั้งหาก

              “วันนี้เป็นวันคอนเสิร์ตครั้งแรก รู้สึกอย่างไรบ้างคะ?”

              คำถามจากนักข่าวสักคนในแถวนั้นดังขึ้นในขณะที่เสียงรัวชัตเตอร์ของช่างกล้องก็สวนขึ้นมาไม่แพ้กัน คนโดนถามก็ต้องยิ้มหวานตามสเต็ปพร้อมกับหยิบไมค์ที่ทางทีมงานเตรียมเอาไว้ให้เพื่อตอบคำถาม

              “อันที่จริงมันก็เป็นคอนเสิร์ตครั้งแรกของผมในฐานะนักร้องนะครับ ก็รู้สึกตื่นเต้นและประหม่านิดหน่อย แต่คิดว่าจะทำเต็มที่เพื่อแฟนๆที่มาดูทุกคนครับ”

              เสียงฮือฮาดังขึ้นหลังจากแบคฮยอนตอบคำถามไป ไม่นานนักก็มีคำถามดังขึ้นมาอีกครั้ง

              “แล้วอะไรเป็นแรงบันดาลใจให้คุณแบคฮยอนเลือกที่จะเป็นนักร้องคะ? เพราะดิฉันเคยเห็นว่าคุณแบคฮยอนได้ให้สัมภาษณ์ว่าจริงๆแล้วไม่ได้คิดจะเดินตามเส้นทางนี้ตั้งแต่แรก”

              “อ่า...เพราะคนคนหนึ่งเป็นแรงผลักดันให้ผมได้มาถึงตรงนี้ครับ”

              เสียงฮือฮาดังทั่วห้องประชุม บ้างก็ว่าคนคนนั้นเป็นแฟนสาวที่กำลังเป็นที่น่าจับตองมองว่านักร้องหนุ่มกำลังมีใครอยู่หรือไม่ บ้างก็ว่าเป็นพ่อแม่

              “เขาไม่ได้เป็นผู้หญิงนะครับ”

              เสียงดังขึ้นกว่าเก่าเป็นเท่าตัวเพราะเนื้อความข้างต้น

              “ผมไม่รู้จะบอกทุกคนยังไงดีว่าเขาเป็นใครสำหรับผม .. เอาเป็นว่าเขาเป็นคนที่ทำให้ผมได้เป็นนักร้องจนถึงทุกวันนี้ก็พอแล้วครับ แล้วเขาก็ทำให้ผมยังใช้ชีวิตต่อได้ถึงแม้จะล้มเหลวแค่ไหนก็ตามครับ”

              นักข่าวหลายคนก้มหน้าเพื่อจดประโยคสำคัญในวันนี้ลงไป คนตอบคำถามยิ้มหวานเพราะประโยคที่เขาต้องการจะบอกแก่ทุกคนก็ได้พูดไปแล้ว ใช่ เขาพูดมันไปหมดแล้ว

              “แล้ววันนี้มีโชว์พิเศษอะไรเตรียมไว้หรือเปล่าคะ?”

              “อืม..จริงๆก็มีนะครับ แต่ผมว่าไว้รอลุ้นเอาในคอนเสิร์ตดีกว่า อีกไม่กี่อึดใจรอครับ”

              “คุณแบคฮยอนนี่มีเสียงที่มีเสน่ห์มากเลยนะคะ อยากทราบว่าคุณดูแลสุขภาพเสียงของคุณยังไงเอ่ย? ถึงได้มีเสน่ห์ตลอดเวลาเลย”

              คนถูกถามก็ได้แต่อมยิ้มขำเพราะเนื้อความข้างบนนั่นมีแต่ยกยอเขาทั้งนั้น จริงอยู่ที่ใครต่อใครก็มักจะชมว่าเสียงของแบคฮยอนนั้นมีเสน่ห์ แต่เสียงที่มีเสน่ห์ที่สุดสำหรับเขานั้นก็ไม่ใช่เสียงของเขาอยู่ดี

              “เพราะมีคนบอกให้ผมกินชาดอกคาโมมายล์ตลอด อย่ากินน้ำเย็น อย่าดื่มเยอะ แล้วก็พันผ้าพันคอไว้บ่อยๆ พยายามรักษาสุขภาพตัวเองให้ดีที่สุดครับ”

              “เพราะแฟนๆเยอะอย่างนี้ คุณแบคฮยอนก็ต้องมีกำลังใจมากแน่ๆเลยใช่ไหมครับ?”

              “แน่นอนครับ กำลังใจจากแฟนๆคือสิ่งที่สำคัญมากที่สุดสำหรับผม”

              “แล้วอะไรคือคำพูดที่คุณแบคฮยอนอยากได้ยินเวลาต้องการกำลังใจล่ะครับ?”

              “นายนี่มันร้องเพลงได้ห่วยที่สุดเลยนะ .. คำพูดคำนี้แหละครับ และก็อยากได้ยินจากคนคนเดิมด้วย”

              “แสดงว่าคนคนนั้นต้องสำคัญกับคุณแบคฮยอนมากเลยใช่ไหมครับ?”

              “ครับ .. ก็เขาเป็นเพื่อนของผมนี่หน่า”

     

     

    2012, โซล

    อากาศตอนปลายปีเริ่มเข้าหน้าหนาวเข้าไปทุกที จริงๆที่มันเป็นอยู่ตอนนี้ก็เกินคำว่าหนาวมามากพอแล้วนะ แต่อาจจะเพราะการที่ผมได้มาอยู่ในห้องซ้อมทั้งวันการที่ฮีทเตอร์มันทำงานและผมต้องออกกำลังกายเกือบแทบทุกชั่วโมงทำเอาผมรู้สึกได้แค่เหนื่อยกับร้อนก็แค่นั้น

    ผมเดินไปปิดเพลงที่ใช้ซ้อมมาตลอดเกือบทั้งเดือนเห็นจะได้ แล้วเดินไปหยิบน้ำเปล่าที่วางอยู่ข้างๆของใครบางคนที่เอาแต่สนใจสมุดสีน้ำตาลนั่นมากกว่าการแสดงของผม นี่มันน่าโมโหมากนะ

    “ฉันว่าฉันพานายมาเป็นคนดูแลส่วนตัวนะไม่ใช่พนักงานเขียนหนังสือ”

    ผมพูดแขวะจงแดที่เอาแต่นั่งเขียนอะไรอยู่คนเดียวมาได้เกือบสิบนาทีกว่าแล้ว เขียนไปเจ้าตัวก็หัวเราะไป โดยไมได้เงยหน้ามองคนที่ตั้งใจเต้นแทบตายตรงหน้าเพื่อที่จะได้ไม่โดนด่าอีก ทำไมเวลาเขาตั้งใจเต้นมากๆอีกฝ่ายถึงไม่ยอมมอง แล้วพอครั้งไหนที่มันเหนื่อยจนไม่ไหวจะทำถึงได้ชอบจ้องจับผิดจัง

    “นายเต้นด้วยหรอ นึกว่าเปิดเพลงไว้เฉยๆ”

    คนที่เพิ่งเขียนเสร็จและปิดสมุดไปหมาดๆหันมามองหน้าเด็กฝึกของค่ายศิลปินคนใหม่ที่ร่างกายชุ่มไปด้วยเหงื่อจากการฝึกซ้อมเต้นมาร่วมชั่วโมง จงแดนึกขยาดเม็ดเหงื่อที่เริ่มจะหยดใส่เขาเรื่อยๆเพราะอีกฝ่ายโคลงหัวมาทางนี้ซะอย่างนั้น เลยหยิบผ้าที่เตรียมเอาไว้ดันหัวเจ้าหมอนั่นให้ออกไปไกลๆ   “เป็นเทพอย่ารังเกียจคนสิ”

    “ฉันไม่ได้รังเกียจคน ฉันรังเกียจนาย”

    แบคฮยอนเหล่มองคนข้างก่อนทำปากขมุบขมิบ

    “สมัยนี้เขาเลิกจีบกันทางจดหมายแล้วลุง เอาแต่เขียนอยู่ได้ จีบกับใครหรือไง”

    จงแดยัดสมุดใส่กระเป๋าเป้และเก็บไว้อย่างดี เขาเป็นเทพ ถึงจะไม่อ่านใจอีกฝ่ายแต่ก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องการจะทำอะไร คนอย่างแบคฮยอนน่ะ

    “ยุ่งอะไรด้วย จะจีบกับคนหรือใครด้วยวิธีไหนก็ช่างฉัน ฉันมีความสุขล่ะกัน”

    ก่อนที่ทั้งคู่จะได้ปะทะคารมกันมากกว่านี้ ประตูห้องซ้อมก็เปิดออกพร้อมกับพี่มินซอก ผู้จัดการในอนาคตของแบคฮยอนออกมาบอกว่าให้เตรียมตัวและอาบน้ำให้เรียบร้อย ต่อไปจะเป็นคลาสสำหรับการร้องเพลง

    แบคฮยอนได้เป็นศิลปินฝึกหัดของค่ายนี้มาเกือบครึ่งปีแล้ว แล้วตัวเขาเองก็เรียนจบจากชั้นมัธยมปลายมาได้ครึ่งปีแล้วเช่นกัน เป็นโชคดีสองชั้นที่แบคฮยอนหาไม่ได้อีกแล้ว และแน่นอนว่าปัจจัยทั้งหลายก็มาจากเทพข้างๆที่คอยเคี่ยวเข็ญให้เขาเป็นผู้เป็นคนอย่างทุกวันนี้นี่แหละ จนบางครั้งก็อดคิดไม่ได้ถ้าหากวันหนึ่งแบคฮยอนต้องทนอยู่ทั้งๆที่ไม่มีจงแดคอยบ่นจะเป็นยังไง

    “ฉันเป็นคนหวงของนะจงแด”

    ก็แค่นั้น...ที่ผมอยากบอกเขา แค่อยากเตือนเขาเอาไว้เฉยๆ

    “หวงไปก็เท่านั้นแหละน่า ฉันน่ะ เทพประจำตัวนายแค่คนเดียวเท่านั้นแหละ”

     

    แบคฮยอนวางโน้ตเพลงในมือลงเพื่อผ่อนคลายหลังจากเหน็ดเหนื่อยกับการฝึกร้องมาได้ซักพัก เขาเองก็เคยคิดเล่นๆว่านักร้งน่ะคนเดินดินธรรมดาก็จริงแต่ทำงานหนักใช่ย่อย พอได้มาเจอกับตัวเองก็เลยยิ่งเข้าใจว่าทำงานหนักที่ว่ามันคืออะไร

    “ร้องเพี้ยนจัง”

    ผมตวัดมองคนตรงหน้าที่นั่งสบายอารมณ์เขียนอะไรเหมือนเดิมอีกแล้วทั้งวัน ตั้งแต่ได้สมุดมาจงแดก็ดูจะเขียนไม่หยุด แถมยังสนใจผมที่ซ้อมแทบเป็นแทบตายอยู่ตรงนี้ พอเราเต็มที่แล้วไงก็ไม่สนใจ พอเราไม่เต็มที่ก็ว่าบ้างล่ะ ค่อนแขวะบ้างล่ะ ท้อเป็นนะ

    “พูดเหมือนนายฟังฉันบ้างล่ะ เห็นหันมากี่ทีก็เอาแต่เขียนสมุดจีบคนอื่น”

    “มือฉันเขียนแต่หูฟังอยู่ ไม่ได้หูหนวก นายนี่มัน”

    “เออก็รู้แล้วน่า แต่นี่คนมันซ้อมเหนื่อยๆทั้งที จะไม่มีกำลังใจหรือคำแนะนำให้เลยหรือไง”

    แบคฮยอนเท้าสะเอวแว้ดๆจงแดอย่างเหลืออด ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาจะเกือบสองปี อีกฝ่ายไม่เคยพูดดีๆกับเขาซักครั้ง พอเขาทำดีเข้าหน่อยก็ทำเป็นไม่เห็น พอผิดพลาดนิดหน่อยก็โดนจวกเละซะไม่อยากทำอะไรเลย นี่มันเทพที่ดีตรงไหนกัน

    “นายนี่ร้องเพลงได้ห่วยที่สุดเลย นายคิดว่าเพลงนี้เขามีความรู้สึกยังไงถึงร้องออกมาหะ? รักผู้หญิงคนนี้มากๆแต่ที่นายร้องเหมือนนายไม่รู้สึกพิศวาสอะไรกับผู้หญิงคนนี้เลย อารมณ์ร่วมน่ะมีบ้างมั้ย? แล้วยังจะมาให้ฉันชมอีก นี่ฉันนั่งฟังมันก็ดีแค่ไหนแล้วไอบ้า”

    จากคนที่เคยโวยวายใส่อีกฝ่ายด้วยความโกรธ กลับกลายต้องมาเป็นฝ่ายเดินคอตกกลับมาที่เดิมซะอย่างนั้น ใช่ ที่จงแดพูดมันก็ถูกแล้ว เขาเป็นนักร้องก็จริงแต่กลับสื่ออารมณ์อะไรไม่ได้ซักอย่าง จงแดไม่ได้พูดเกินจริงซักนิด แถมยังเป็นความรู้สึกที่มันติดอยู่ในใจของเขามาตั้งนานแล้วด้วย แต่จะให้ทำยังไงได้ เขาก็เป็นคนแสดงออกทางอารมณ์เรื่องโรแมนติกแบบนี้ไม่เก่งมาแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่นา

    “ถ้าร้องเพลงที่มีความสุข นายก็คิดแค่ว่าพรุ่งนี้นายจะไม่ได้เจอฉันอีกแล้ว ถ้านายกำลังร้องเพลงเศร้า นายก็แค่คิดว่านายต้องทนเจอฉันไปตลอดทั้งวันก็พอแล้ว จะคิดอะไรมาก”

    แบคฮยอนที่หลบไปนั่งอยู่ตรงอีกฝั่งของห้องเงยหน้ามองเจ้าของคำพูดที่เขียนหนังสือได้หน้าตาเฉย ทั้งที่ประโยคที่เพิ่งพูดน่ะแทงใจเป็นบ้า ใช่ เขาควรจะคิดแบบนั้นสินะ

    “ไม่ต้องห่วงเรื่องฉันใจร้ายหรอก ถ้าเมื่อไหร่นายได้เดบิวต์แล้ว เดี๋ยวฉันก็ไปเองนั่นแหละ เดบิวต์ไวๆเข้าสิ ร้องเพลงให้มันเก่งไวๆซะสิ จะได้ไม่ต้องเจอหน้าฉันให้ไวขึ้นไง ไม่ต้องทนหูชาด้วย”

    “...”

    “เพราะฉะนั้น ถ้าคิดว่าฉันใจร้ายไม่สนใจแล้วเก็บเอาไปนอยด์คนเดียวก็เปลี่ยนมันให้เป็นแรงผลักดันซะสิ ฉันด่าแค่คนเดียวนายยังทนไม่ได้ขนาดนี้ ถ้านายทำผิดแล้วคนทั้งประเทศด่านายล่ะจะทำยังไง? ฉันน่ะ ปากร้ายน้อยกว่าคนร้อยคนด่านายทีเดียวอีกนะ เพราะฉะนั้นรีบร้องเพลงให้มันเป็นเพลงไวๆซะ จะได้ไม่ต้องมาเจอฉันอีกให้นอยด์เล่นไง”

    แบคฮยอนมองคนที่พูดอะไรเรื่อยเปื่อยคนเดียวก่อนจะหันมาสนใจกระดาษเพลงในมืออีกครั้ง นั่นสิ หน้าที่ของเขาตอนนี้ก็คือการต้องร้องเพลงให้มันเป็นเพลงให้ไวที่สุดไม่ใช่หรือไง?

     

     

     

    “จะไปไหนอะ”

    เสียงร้องทักจากคนที่นั่งเขียนอะไรในสมุดสีน้ำตาลเล่มเดิม(อีกแล้ว) ทำให้แบคฮยอนที่กำลังเตรียมตัวใส่รองเท้าต้องเงยหน้าขึ้นมอง

    “จะไปกินเลี้ยงกับรุ่นพี่ที่บริษัท”

    “มีแอลกอฮอลล์ไหมอะ? ไม่กินนะ”

    แบคฮยอนเบ้ปาก อีกฝ่ายชอบห้ามเขาเป็นเด็กๆอยู่เสมอ ห้ามกินน้ำเย็นบ้างล่ะ กินชานี่แทนบ้างล่ะ ไหนจะไล่ให้ไปกินข้าวทั้งๆที่เขากำลังร้องเพลงได้อยู่แล้วบ้างล่ะ

    “ไม่รู้สิ จะกินหรือเปล่าก็ค่อยคิดอีกที”

    “แล้วทำไมไม่ใส่ผ้าพันคอให้มันดีๆ อากาศหนาวแบบนี้ก็เป็นหวัดกันหมด”

    จงแดคว้าผ้าพันคอที่อีกฝ่ายต้องใส่เป็นประจำที่ถูกพาดไว้ยู่กับพนักพิงของโซฟา ก่อนจะปาไปให้อีกฝ่ายรับแล้วหันกลับมาเขียนสมุดสีน้ำตาลในมือต่อ สมุดที่สำคัญที่สุดในการเป็นเทพแห่งความฝันของจงแด สมุดที่แสดงให้เห็นว่าครั้งหนึ่งจงแดก็เคยทำสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของการเป็นเทพอย่างเขา

    “สั่งเป็นแม่อยู่นั่นแหละ คุณบยอนเฮจินไม่ได้อยู่ที่นี่ซักหน่อย แล้วก็ไม่ต้องรอนะ เพราะจะกลับดึก มาก”

    แบคฮยอนเน้นเสียงเพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาจะกลับดึกจริงๆ จงแดไม่ได้ตอบรับอะไรแต่แบคฮยอนก็คิดว่าอีกฝ่ายคงรู้เลยเดินออกจากห้องแล้วปิดประตูเพื่อไปตามนัดของงานเลี้ยง

    คืนของวันนั้น แบคฮยอนกระชับผ้าพันคอที่ห่มอยู่รอบคอตัวเองให้แน่น การไปงานเลี้ยงเมื่อครู่ถึงจะตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะไม่ดื่ม แต่ก็ไม่วายโดนรุ่นพี่บังคับให้ดื่นตามธรรมเนียมเล็กน้อยไปซะได้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็อาศัยแค่เพียงแก้วเดียว ไม่มีเพิ่มหรืออะไรทั้งนั้น

    เขาถอดรองเท้าวางไว้บนชั้นเหมือนเดิม ไฟของห้องนั่งเล่นที่อีกคนใช้เป็นที่นอนมาตลอดเกือบสองปีก็ปิดสนิท เหลือเพียงแต่แสงจากทีวีลางๆเท่านั้น คนที่เฝ้าคอยบ่นเขาราวกับเป็นแม่คนที่สองและยังปากจัดไม่รองใครกำลังนอนอยู่บนโซฟาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม แบคฮยอนแค่นหัวเราะในลำคอเมื่อดันเบนสายตาไปยังสมุดสีน้ำตาลนั่นจนได้ ไม่ใช่ว่าเขาเองไม่อยากรู้ว่าอีกฝ่ายเขียนอะไรลงไป แต่คิดว่าไว้ให้จงแดบอกดีกว่ามาแอบดูของคนอื่นไม่เข้าท่า

    ดูจากรูปสถานการณ์แล้วจงแดก็คงดูละครจนเผลอหลับไปนั่นแหละถึงได้เปิดทีวีค้างไว้แบบนี้ เขาเอื้อมมือไปหยิบผ้าห่มตรงปลายเท้าของอีกคนแล้วบรรจงห่มคลุมร่างให้อย่างเบามือ อย่างน้อยตอนหมอนี่ไม่มีพิษสงก็ดูน่าคบหาเป็นเพื่อนด้วยอยู่หรอก แต่ถ้าให้ลืมตาเมื่อไหร่ก็เหมือนพายุร้ายทันที

    “ฝันดีนะ คุณเทพแห่งความฝัน”

    แบคฮยอนเอ่ยราตรีสวัสดิ์ก่อนจะเดินเข้าห้องของตัวเองไป บางทีตัวเขาอาจจะลืมมองไปก็ได้ว่าบางอย่างไม่ได้อยู่ตามที่ที่มันจะเป็น หรือไม่ได้เกิดอย่างที่ที่เขาคิด จงแดไม่ได้นอนดูละครจนเผลอหลับไป แต่อาจจะเป็นเพราะจงแดรอใครบางคนอยู่ก็ได้

     

     

    2016, โซล

    คอนเสิร์ตของเขากำลังดำเนินมาถึงจุดสำคัญของทั้งหมด เวลาเกือบสองชั่วโมงที่ผ่านมามีทั้งความสนุกและผ่อนคลายไปด้วยกัน แบคฮยอนมีความสุขเมื่อรู้ว่าทุกคนในฮอลล์ต่างชื่นชมในตัวของเขาและมีความสุขกับสิ่งที่เขาทำ คอนเสิร์ตในวันนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลย ตลอดเวลาทั้งเดือนที่เตรียมตัวมาทำให้เขารู้ว่ามันคุ้มค่ามากแค่ไหน แน่นอนว่ามันอาจจะเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่ใครหลายๆคนมอบให้ผม

    “ตอนนี้คอนเสิร์ตก็มาจนถึงช่วงสุดท้ายแล้วนะครับ.. ผมคิดว่าผมมีบางอย่างอยากจะพูดกับพวกคุณทุกคนครับ จริงๆแล้ววันนี้ไม่ใช่คอนเสิร์ตครั้งแรกในชีวิตของผมหรอกครับ .. แต่เป็นคอนเสิร์ตครั้งแรกของผมในฐานะนักร้องคนหนึ่ง”

    “การเป็นนักร้องคือความฝันของใครหลายๆคนใช่ไหมครับ แต่สำหรับผมแล้ว..การเป็นนักร้องมันไม่ได้อยู่ในหัวผมเลย แต่เพราะมีใครบางคนเข้ามาก็เลยทำให้ผมรู้จักกับสิ่งที่เรียกว่าความฝันครับ”

    “การที่เราใช้ชีวิตอยู่ในปัจจุบันมันก็เพียงพอจริง แต่บางทีเราก็ต้องวางแผนเพื่ออนาคตของเราบ้าง นิทานที่ผมจะเล่าต่อไปนี้เป็นนิทานที่แม่ผมท่านชอบเล่าให้ฟังตอนเด็กๆครับ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเทพแห่งความฝัน ทุกคนก็มีเทพแห่งความฝันกันทั้งนั้นแหละครับ ขอแค่พวกคุณเชื่อใจในตัวพวกเขาก็พอ เพราะเทพแห่งความฝันเขาจะทำทุกอย่างเพื่อให้พวกเราประสบความสำเร็จ ขอแค่เราทำความฝันสำเร็จ แค่นั้นเทพแห่งความฝันก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้วล่ะครับ”

    “แล้วเพลงที่ผมจะร้องต่อไปนี้ ก็เป็นเพลงที่ผมอยากมอบให้กับใครบางคนที่เป็นแรงผลักดันให้ผมมายืนอยู่ตรงนี้ได้ ผมอาจจะแสดงความรู้สึกไม่เก่ง แต่ผมอยากจะขอบคุณทุกคนที่เสียสละเวลามาดูผมในค่ำคืนวันนี้นะครับ หวังว่าทุกคนจะมีความสุข และเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้นนะครับ! ขอบคุณครับ”

    แบคฮยอนก้มโค้งลงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาเป็นคนของประชาชน การจะแสดงออกให้เห็นถึงการขอบคุณสำหรับความรักอันล้ำค่านั้นทำได้ยาก เพราะสิ่งที่แฟนคลับมอบให้กับเขามันมากมายเกินกว่าที่เขาจะตอบแทนได้แค่คำว่า ขอบคุณครับ ไม่เป็นไรครับ รักพวกคุณนะครับ เพราะความรักของพวกเขามันมากมายและไม่มีสิงใดเหมาะที่จะมาทดแทนได้เลย

    ทำนองเพลงที่ดังขึ้นท่ามกลางเสียงกรี้ดของแฟนๆทำให้แบคฮยอนรู้สึกรื้นที่ขอบตา เพลงนี้เป็นเพลงที่ไม่มีทำนองช้าหรือซึ้ง แต่หากเนื้อเพลงนั้นช่างมีความหมายกับความรู้สึกของเขาเหลือเกิน

     

     

     

     

    กลางปี 2013, โซล

     

     

    With an empty feeling, I walk on the street
    And without knowing, a song comes to mind
    Sadder than the singers singing in the TV with a sad face


     

               

                วันนี้ถือเป็นอีกหนึ่งวันสำคัญในชีวิตการเป็นนักร้องของแบคฮยอน เขาต้องเข้าบริษัทแต่เช้าเพื่อประชุมและพูดถึงการเดบิวต์ของเขาในฐานะศิลปินเดี่ยว กำหนดการสำหรับตัวเขาข้นข้างเรียบง่าย ไม่มีอะไรหวือหวา ถ่ายรูปสำหรับอัลบั้ม อัดเพลง ซ้อมเต้น แถลงข่าว และเดบิวต์บนเวทีครั้งแรก เขาเหลือบมอง คนดูแลส่วนตัวที่เอาแต่นิ่งเงียบตลอดการประชุม ไม่พูดคุย ไม่ทะเลาะกับกรรมการคนอื่นๆเหมือนที่เคยทำ

              สงสัยจะเบื่อล่ะมั้ง?

              แบคฮยอนใช้ศอกกระทุ้งเข้าที่สีข้างของอีกฝ่ายเบาๆ จงแดตวัดสายตามามองเขาเหมือนเคย แต่สายตาของอีกฝ่ายนี่สิที่ทำให้เขาใจแป้ว

              “เป็นไรอีกล่ะ โกรธใครมา”

              “เทพไม่โกรธ”

              “แล้วทีนายโกรธฉันอ่ะ”

              “อันนั้นไม่นับสิ ... ก็แค่เบื่อๆนิดหน่อย”

              ผมละสายตาจากคนข้างๆแล้วหันไปสนใจกับฝ่ายบริหารและคนอื่นๆในห้องประชุมแทน จงแดไม่พูดอะไรต่อเอาแต่เงียบไปถนัดตา

              “แบคฮยอน ฉันมีให้นายเลือกวันที่นายอยากจะเดบิวต์นะ แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องอยู่ในช่วงสามวันนี้เท่านั้นโอเคนะ?”

              ประธานบริษัทเน้นย้ำกับเขาเรื่องวันเดบิวต์ จริงๆใจเขาเองนั้นอยากจะให้วันเดบิวต์เลื่อนมาไวๆอย่างที่คนข้างๆเคยพูดเอาไว้ตลอด แต่มาคิดดูอีกที ขอเลื่อนถัดจากวันเสาร์ไปอีกวันก็คงจะเหมาะกว่า

              “ขอเป็นวันที่ 22 กันยาได้ไหมครับ? พอดีมันเป็นวันอาทิตย์ คงจะเหมาะกับการเปิดตัวมากกว่าวันเสาร์ คนคงจะอยู่บ้านดูรายการเพลงเพราะต้องเตรียมตัวไปทำงานน่ะครับ”

              “เลือกวันได้ดีจริงๆ เชื่อเขาเลย”

              จงแดที่นั่งเงียบมาตลอดการประชุมจู่ๆก็โพล่งขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แน่นอนว่าเรียกความสนใจจากทุกคนในห้องประชุมได้เป็นอย่างดี

              “นายมีอะไรหรือเปล่า? ก็ฉันจะเลือกวันนี้”

              “ก็ไม่มีอะไร แค่คิดว่าอย่างน้อยก็ดี อะไรอะไรจะได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมสำหรับทั้งฉันและก็นาย”

              ผมหันไปสนใจคอนเซปต์ในมือที่เขียนถึงการเดบิวต์ของผมแทน หมู่นี้จงแดชอบทำตัวแปลกๆ พูดด้วยดีก็พาลอารมณ์เสียใส่ อย่างเช่นเมื่อกี๊แค่จะถามว่ามีอะไรข้องใจกับวันเดบิวต์ของผมหรือเปล่า เจ้าตัวก็เอาแต่ตอบวกวนไปมา พาลเงียบใส่

              ก็แค่เดบิวต์วันนั้นจะอะไรนักหนา ทำอย่างกับจะหายตัวไปอย่างนั้นแหละ

     

     

              “นายจะเดบิวต์ในไม่กี่อาทิตย์นี้แล้ว ถือเป็นของขวัญสำหรับนายล่ะกัน”

              “ของขวัญอะไรอีก”

              ผมพูดอย่างหวาดๆ คำว่าของขวัญของจงแดมักจะเป็นอะไรที่คนทั่วไปเขาไม่อยากได้กัน มันทั้งน่ากลัว แล้วก็น่าสยดสยองสำหรับเขามากนัก ไม่ค่อยจะไว้ใจอะไรได้หรอกคนนี้น่ะ

              “ฉันจะด่านายให้น้อยลง”

              “ขอบคุณ แต่คิดว่านายคงอดที่จะด่าฉันไม่ได้หรอก เชื่อสิ”

              “ฉันถึงบอกว่าจะด่านายให้น้อยลง ให้อิสระนายมากขึ้นไง อยากทำอะไรก็ทำเลย อยากร้องแบบไหนก็แล้วแต่ใจของนาย นายจะได้ชิน”

              ผมมองหน้าจงแดที่ก้มหน้าก้มตาเขียน แต่ครั้งนี้ดูเขาตั้งใจเขียนลงในสมุดมากๆ ไม่มีแววเค้าโครงล้อเล่นเหมือนแต่ก่อนเลย บางทีที่เขาพูดแบบนั้นอาจจะเพราะรู้ว่าต่อไปผมต้องร้องเพลงที่มีคอนเซปต์แปลกๆล่ะมั้ง เลยไม่อยากจะห้ามผมหรือบังคับผมซักเท่าไหร่

              “บางที ที่ฉันดูเหมือนพูดเล่น ฉันอาจจะกำลังพูดแบบนั้นจริงๆกับนายก็ได้”

              ผมเงียบ เขาเงียบ สองสามเดือนตั้งแต่จงแดรู้คร่าวๆว่าผมต้องเดบิวต์ในเดือนกันยา อีกฝ่ายก็เงียบลงถนัดตา ไม่ค่อยหยอกล้อกับผมเหมือนก่อน แต่ว่าเมื่อไหร่ที่พูดก็จะกัดเจ็บกว่าเดิมหลายเท่า หรือไม่บางทีก็ชอบพูดอะไรให้คิดมาก แล้วก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นซะงั้น

              “หลังจากนี้นายต้องเตรียมตัวด้วยตัวเอง เดบิวต์ครั้งนี้มันเป็นของนายไม่ใช่ของฉัน”

              ผมพยักหน้าเชิงเข้าใจก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงข้างอีกฝ่าย กระดกน้ำเปล่าเหลือบมองคนดูแลส่วนตัวที่จู่ๆก็หยุดเขียนแล้วกำปากกาในมือแน่นจนมือขึ้นเป็นสีแดงเถือก

              “ในอนาคตน่ะไม่มีใครรู้หรอกว่ามันจะมาเมื่อไหร่ แม้แต่ฉันก็ยังไม่รู้”

              “ก็มันเป็นเรื่องของอนาคต จะเป็นยังไงก็ค่อยเลือกเอาตอนถึงทางแยกซิ”

              “งั้นที่นายต้องทำตอนนี้ก็คือตั้งใจร้องเพลงที่นายจะใช้โปรโมทซะ แล้วถ้าวันใดวันหนึ่งฉันบอกกับนายว่านายร้องเพลงได้ดีที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้ยินมา ก็ให้นายจำไว้นะว่าวันนั้นถึงวันที่นายพร้อมจะเป็นนักร้องที่ดีจริงๆ และก็ให้รู้ว่า ที่ฉันพูดแบบนั้นไปก็เพราะฉันหมายความว่าแบบนั้นจริงๆ”

              “คงไม่มีวันนั้นซะหรอกมั้ง”

              ผมเอ่ยขึ้นอย่างล้อๆ อีกฝ่ายน่ะมาตรฐานสูงจะตายไป จะให้ร้องถูกใจอีกฝ่ายเมื่อไหร่นั่นก็คงอีกนาน กว่าผมจะได้เป็นนักร้องที่ดีของจงแด เราทั้งคู่ก็คงจะอายุสามสิบแล้วล่ะมั้ง

              “มีสิ เดี๋ยววันนั้นก็มาเอง นายแค่ต้องทำให้ดีและรอมันแค่นั้นเอง”

     

     

     

    I remember how you used to tease me,
    saying I’m a bad singer and it makes my heart ache
    trying to control my drunk and sagging shoulders, I hummed

             

     

              วันนี้เป็นวันอัดเสียงวันแรกของผม เราทั้งคู่ตื่นมาแต่เช้าด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป สำหรับผมนี่คือวันสำคัญวันแรกของการก้าวเดินเป็นนักร้องของผม หากแต่ความรู้สึกของจงแดมันไมได้อกผมว่าวันนี้จะเป็นวันที่ดีของอีกฝ่ายเลยซักนิด

              “ทำหน้าอย่างกับ..อกหักอย่างนั้นแหละ ทำไม เลิกกับคนที่เขียนจดหมายจีบกันแล้วหรอ?”

              ผมหยอกล้ออีกฝ่ายเพราะไม่อยากให้อีกคนเครียด ถึงผมกับจงแดจะไม่ถูกกันมาเกือบสี่ปี คุยกันดีๆนี่นับครั้งได้ แต่คุยกันแย่ๆนี่ทุกครั้งเลย อีกฝ่ายไม่ตอบอะไรทำเพียงแค่เดินนำหน้าผมเข้าไปในห้องอัดซะอย่างนั้น ผมเลยได้แต่ส่ายหัวด้วยความเหนื่อยใจ ไม่รู้ไปทำอะไรให้

              ดนตรีที่ดังขึ้นทำให้ผมลืมความกังวลก่อนหน้าไปหมด บทเพลงที่สื่อถึงความรักในอากาศอันอบอุ่น สิ่งที่ผมต้องทำตอนนี้ก็คือร้องเพลงให้มีแต่ความสุข ถ่ายทอดอารมณ์แสนสุขให้คนฟังฟังก็เท่านั้น

              “จงแด ฉันร้องเป็นยังไงบ้าง?”

              ผมเอ่ยถามเขาในขณะที่ออกมาพักเสียงข้างนอกห้องอัด จงแดถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนจะเงยหน้ามามองหน้าผมตรงๆเป็นครั้งแรกของวัน ผมว่าผมตั้งใจทำที่สุดแล้วนะ ถ่ายทอดอารมณ์ออกมาดีมากจนพี่โปรดิวเซอร์ออกปากชมผมไม่ได้ขาด

              “นายยังคงร้องห่วยเหมือนเดิม ก็เท่านั้น”

              ส่วนนายก็ยังปากจัดและใจร้ายเหมือนเดิม ก็เท่านั้น

              แล้วนี่ผมหวังอะไรอยู่นะ?

     

     

              วันนี้วันเป็นวันถ่ายแจ็กเก็ตอัลบั้มครั้งแรกของผม เป็นอีกครั้งในรอบสัปดาห์ที่ทั้งจงแดและผมต้องตื่นมาแต่เช้า ให้ตายเถอะ ทั้งๆที่ผมตื่นเต้นกับวันนี้แท้ๆ แต่ทำไมอีกฝ่ายถึงได้ดูไม่เร่งร้อนที่จะตื่นเลยนะ ทั้งๆทีตัวเองก็พูดตลอดว่าทุกวินาทีมันมีค่าให้ใช้ให้คุ้ม แล้วนี่อะไร นอกจากจะถ่วงเวลาของผมแล้วยังไม่รู้ตัวอีก น่าเหนื่อยใจจริงๆ

              “รีบๆเดินหน่อยสิจงแด ฉันต้องไปถ่ายรูปแล้วนะ”

              “นายจะรีบทำไมนัก เวลามันก็มีน้อยขนาดนี้”

              “ก็เพราะเวลามันมีน้อยน่ะสิ ฉันถึงได้เร่งนายไง ถามอะไรแปลกๆ”

              ผมเดินเข้ามาในสตูดิโอที่ช่างภาพนัดไว้ พอเข้าไปได้ไม่ถึงห้านาทีพี่ช่างแต่งหน้าและสไตลิสต์ทั้งหลายก็ลากผมเข้าไปในห้องแต่งตัวเพื่อที่จะเตรียมพร้อมสำหรับการถ่ายแบบ เขาไม่ได้ทันสังเกตว่าจงแดที่เดินตามกันมาไปอยู่ไหนแล้ว สงสัยก็คงจะหาที่นั่งรอแถวๆนั้นแหละมั้ง

              การถ่ายแบบตลอดทั้งวันดำเนินไปด้วยดี คอนเซปต์แบบนี้สำหรับผมที่ฝึกทำท่าโพสหน้ากระจกทั้งวันเลยทำให้ไม่รู้สึกประหม่าเท่าไหร่ พอสิ้นเสียงพักของช่างกล้องผมก็เดินไปหาคนที่เอาแต่นั่งมองจอคอมพิวเตอร์มาตลอดทั้งวัน

              “ฉันถ่ายแบบเป็นไงบ้าง เท่สุดๆใช่ไหมละ?”

              “แสดงอารมณ์ได้ห่วยมาก”

              ผมเงียบ เขาเงียบ ยอมรับเลยว่าประโยคที่จงแดเพิ่งบอกน่ะทำร้ายจิตใจผมไม่ใช่น้อยๆ ผมฝึกซ้อมมาตลอดตั้งหลายวันก็เพื่อให้อีกฝ่ายชม แต่แล้วผลมันก็ออกมาอีหรอบเดิมทุกที แล้วจะให้ผมทำยังไงอีกฝ่ายถึงจะพอใจและเห็นค่าในตัวผมบ้าง ให้ผมทำยังไงกันล่ะ

              “เสียใจไปเถอะ เพราะอีกหน่อยนายก็คงจะมีแต่ความสุขแล้วล่ะ”

              อีกฝ่ายที่เดินออกไปทั้งที่ยังคุยกับผมไม่ทันเสร็จดีก็ทำให้ผมอดที่จะถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างน้อยใจออกมาไม่ได้ จงแดคุยกับผมน้อยลงอย่างที่อีกฝ่ายว่า มันดูแปลกซะจนผมไม่อยากจะคาดคั้นอะไรจากเขาอีกแล้ว บางทีเขาอาจจะโกรธผม หรือไม่ก็อาจจะโกรธจากคนอื่นแล้วมาลงที่ผมก็ได้ ใครจะไปรู้

             

             

     

                21 กันยายน 2013, โซล

     

              วันนี้เป็นวันแถลงข่าวการเดบิวต์ของผม นับว่าเป็นวันสำคัญที่สุดในชีวิตอีกวันหนึ่ง ทุกคนต่างก็เข้ามาแสดงความยินดีกับผมไม่มีหยุด จริงอยู่ที่วันพรุ่งนี้จะเป็นวันเดบิวต์ของผมแล้ว แต่ทางบริษัทก็ใจดีให้วันหยุดครึ่งวันกับผมเป็นการตอบแทนที่งานหนักมาตลอดเกือบสองปี ทุกคนไม่ว่าจะเป็นคุณป้าที่เปิดร้านขายมินิมาร์ทข้างล่าง เพื่อนมัธยมปลาย ผู้หญิงคนที่เคยปฏิเสธผม พ่อและแม่ของผมต่างก็แสดงความยินดีด้วยทั้งนั้น เห็นจะมีแต่แค่คนเดียวที่นอกจากจะเมินผมแล้วยังทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไหนเจ้าตัวเป็นเป็นคนพูดเองว่าอยากให้ผมเดบิวต์ไวๆ แต่พอผมจะเดบิวต์ในวันพรุ่งนี้แล้วกลับทำเหมือนชีวิตเศร้านักงั้นแหละ

              “นายเป็นอะไรเนี่ยจงแด เป็นมาเกือบครึ่งปีแล้วนะ มีอะไรก็บอกกันสิ”

              ผมกระทุ้งศอกเข้าที่สีข้างของเขา อาจจะจริงที่ผมเป็นคนไม่ค่อยแคร์ความรู้สึกใคร แต่จงแดเองก็เป็นเพื่อนผมมาตั้งเกือบสี่ปี พอเห็นอีกคนเศร้าจนไม่ทำอะไรแบบนี้มันก็ทำอะไรไม่ถูกน่ะสิ

              “วันนี้นายมีวันหยุดใช่ไหม? ไปเที่ยวกับฉันหน่อยสิ”

              ผมมองคนข้างๆอย่างไมม่เชื่อใจ จงแดชอบแกล้งผม ถึงวันนี้จะเป็นวันพิเศษของผมแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอีกฝ่ายจะไม่หยุดแกล้งซักหน่อย

              “ไปก็ได้ ไปที่ไหนดีละ?”

     

              จริงๆที่ผมคาดหวังเอาไว้สำหรับการไปเที่ยวเพื่ผ่อนคลายอารมณ์ของจงแดจะเป็นที่ที่มีแต่แสงไฟอย่างเช่นในเมืองสำหรับตอนกลางคืนอย่างนี้ สถานที่ท่องเที่ยวที่อีกฝ่ายรบเร้าให้เขาพามาดันกลายเป็นทะเลสีมืดเพราะท้องฟ้ายามกลางคืนซะอย่างนั้น

              “นายจะมาที่นี่ทำไมตอนนี้เนี่ย”

              “ฉันแค่จะพานายมาดูอะไรบางอย่าง”

              ผมนั่งลงตรงขอบทางลงไปยังทะเลข้างๆจงแด เพราะอยู่ในที่ที่มีแสงไฟทำให้ผมไม่รู้สึกตัวเลยซักนิดว่าจงแดดูบางเบาลงไปจากแต่ก่อนมาก ดูบางเบาแต่สัมผัสได้เหมือนกับวันแรกที่ผมเห็นเขาไม่มีผิด ใบหน้าของจงแดที่เคยเอาแต่ว่าผมก็ซีดเผือดลงจนเห็นได้ชัด ทำไมผมถึงไม่เคยสังเกตกันนะ

              “ฉันมีอะไรอยากจะพูดกับนาย .. ขอแค่นายช่วยฟังเงียบๆในขณะที่ฉันกำลังพูดก็พอแล้วนะ”

              ผมพยักหน้ารับคำขอของอีกฝ่ายด้วยใจที่โหวงแปลกๆ

              “ท้องฟ้าข้างบนนั่นมันมืดและก็เงียบเหงามากๆ .. ฉันน่ะ อธิษฐานทุกวันเลยว่าขอให้เจอกับคนที่ฉันจะต้องไปดูแลไวๆ ขอแล้วขอเล่าจนวันหนึ่งฉันก็ได้รู้ซักทีว่าใครกันนะที่ฉันต้องมาดูแล”

              “....”

              “เด็กคนนั้นน่ะ ทั้งตัวเล็ก จอมบงการ แสบซนแล้วก็ขี้หวงของไม่มีผิด ตอนนั้นฉันน่ะ .. แค่คิดว่าจะต้องมาดูแลเด็กคนนี้เผื่อจะได้หายเหงาจากข้างบนนั่นซักที ก็เลยรีบลงมาตามดูแลเด็กคนนั้นตั้งแต่เริ่มเข้าอนุบาลใหม่ๆ นายรู้อะไรไหม ... ฉันเพิ่งรู้ความจริงก็วันนั้นแหละ”

              “...”

              “ความคิดที่ว่าลงมาดูแลเด็กคนนั้นจะได้หายเหงาเป็นความคิดที่ผิดสิ้นดี ทำไมฉันถึงคิดไม่ได้นะว่าถึงฉันลงมาเฝ้าดูเด็กคนนั้นทุกวัน แต่พูดอะไรกับอีกคนไมได้ซักอย่าง คุยกันก็ไม่รู้เรื่อง แถมยังไม่มีใครให้คุยด้วยอีก”

              “....”

              “พอถึงวันหนึ่งที่ฉันได้รู้ข่าวว่าต้องลงมาดูแลเด็กคนนั้นให้เดินตามความฝันได้ซักที ฉันก็ดีใจจนจะเป็นบ้าแหน่ะเพราะอย่างน้อยฉันก็จะได้คุยกับเด็กคนนั้นบ้างแล้ว ถึงตอนนั้นเขาจะเริ่มโตจนดูแลตัวเองได้แล้วก็ตามทีเถอะ แต่อย่างน้อยฉันจะได้พาให้เขาไปถึงความฝันซักที”

              “....”

              “พอมาเป็นมนุษย์ ฉันกับเด็กคนนั้นไม่เคยญาติดีกันซักเรื่อง ทะเลาะกันก็บ่อย ทำร้ายจิตใจกันก็บ่อย เวลามันผ่านไปเร็วมากจนฉันลืมไปว่าไม่วันใดวันหนึ่งเด็กคนนั้นก็จะต้องประสบความสำเร็จซักครั้งบ้างแหละ และฉันก็คงจะลืมไปว่าถ้าเด็กคนนั้นประสบความสำเร็จก็หมายความว่าฉันหมดหน้าที่ที่จะต้องดูแลเขาอีกแล้ว .. มันหมายความว่า .. ฉันจะไม่มีค่าสำหรับเด็กคนนั้นอีกแล้ว”

              ผมผินหน้าไปมองอีกฝ่าย ทำไมจะไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นที่จงแดหมายถึงคือใคร .. แต่เพราะใจความในเนื้อประโยคนั่นทำให้ผมรู้สึกจุกอยู่ที่อกจนพูดอะไรไม่ออก ไม่..จงแดสำคัญสำหรับเขาเสมอ ถึงเราจะทะเลาะกันบ่อย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่รู้ใจของตัวเอง ผมรู้ดีว่าผมคิดยังไงกับอีกฝ่ายแบบไหน แต่นี่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ผมคิดเลยซักนิด นี่มันเร็วเกินไป

              “ตอนแรกที่ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าไม่วันใดวันหนึ่งฉันก็ต้องหายไปจากชีวิตของเด็กคนนั้น ฉันน่ะทำอะไรไม่ถูกเลย เลยคิดได้แค่เด็กคนนั้นจะเป็นยังไงนะถ้าไม่มีฉันแล้ว จะดีใจมากแค่ไหน จะใช้ชีวิตในฐานะคนตามฝันของตัวเองได้จริงๆหรือเปล่า ฉันเป็นห่วงเขามาก มากซะจนฉันเพิ่งรู้ว่าจริงๆแล้วฉันน่ะ .. ทำผิดกฎของเทพแห่งความฝันไปแล้วข้อหนึ่ง”

              “...”

              “ฉันรักเด็กคนนั้น รักมากจนไม่อยากไปไหนจากเขา ... แต่ให้ฉันทำยังไงได้ มันเป็นกฎ ถ้าเด็กคนนั้นประสบความสำเร็จก็หมายถึงฉันหมดหน้าที่ ความรักของฉันมันไม่ได้มีค่ามากพอที่จะรั้งให้เด็กคนนั้นล้มเลิกความฝันของตัวเองหรอก ฉันก็เลยได้แต่ปล่อยให้เด็กคนนั้นเดินตามความฝันของตัวเองต่อไป แต่นั้นก็หมายความว่าเวลาที่ฉันจะได้ใช้ชีวิตเป็นคนได้อีกไม่นาน”

              “....”

              “ฉันก็เลยต้องทำยังไงก็ได้ให้เด็กคนนั้นเกลียดฉันที่สุด เกลียดถึงขั้นว่าถ้าฉันไปจากชีวิตเขาก็จะไม่รู้สึกเสียดายอะไรในตัวฉัน หรือไม่ก็ดีใจสุดขีดเมื่อรู้ว่าจะไม่เจอฉันแล้วในวันถัดไป ฉันก็เลยต้องพูดแรงๆใส่เขา ทำตัวไม่ดีใส่เขา ทำให้เขาท้อ ด่าเขาสารพัดเพื่อที่จะทำให้เขารู้สึกสู้ต่อบนโลกอันโหดร้ายนี้ต่อไปได้ .. แต่นั่นก็เหมือนกับการทำร้ายฉันเต็มๆเลยล่ะ”

              “....”

              ผมอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เพราะก้อนสะอื้นที่จุกอยู่ในลำคอทำให้ทุกอย่างมันยุ่งยากไปหมด ลำคอที่แห้งปากแต่กลับมีอะไรบางอย่างดันเอาไว้จนรู้สึกปวดไปทั้งอก และก็เหมือนเขากำลังจะหายใจไม่ออกเรื่อยๆ

              “พอถึงวันที่ฉันรู้แล้วว่าตัวฉันต้องกลับไปเป็นเทพวันไหน ฉันก็ดันทำตัวงี่เง่าจนเด็กคนนั้นอารมณ์เสียใส่บ่อยๆ แต่เพราะเวลาเหลือไม่มาก ฉันก็เลยอยากจะได้ใช้ชีวิตอยู่กับเด็กคนนั้นให้นานกว่าเดิมซักหน่อย แต่ก็คงลืมไปว่าเขาต้องใช้ชีวิตอยู่กับคนอื่นด้วยเหมือนกัน”

              “...”

              “สิ่งที่ฉันอยากจะบอกกับเด็กคนนั้นมันมีมากเหลือเกิน อย่ากินน้ำเย็นนะ อย่าลืมพันผ้าพันคอ อย่าดื่มให้มันมาก อย่านอนดึก อย่าลืมรักษาสุขภาพตัวเอง ฝึกซ้อมบ่อยๆ ฉันอยากขอโทษเด็กคนนั้นที่ทำให้เหนื่อยใจและต้องมาวุ่นวายเพียงเพราะฉันอยากดูแลเขาใกล้ๆ ฉันอยากจะขอโทษที่ต้องทำให้เขาเสียใจอยู่ทุกครั้งเวลาเขาตั้งใจทำอะไรให้ฉันดู แต่เพราะฉันเป็นอย่างนี้ จะให้ฉันทำยังไงได้ ฉันอยากจะขอโทษในทุกๆเรื่องที่มันทำให้เด็กคนนั้นลำบากใจ  และฉันก็อยากขอบคุณที่เด็กคนนั้นยังทนฉันได้จนถึงทุกวันนี้ ฉันอยากจะขอบคุณที่ทำให้ฉันมาตลอดทั้งๆที่มันไม่ใช่นิสัยของเด็กคนนั้นเลยซักนิด”

              “...”

              “ฉันรู้ว่ามันผิดกฎของการเป็นคนดูแล ... แต่ฉันอยากจะบอกเด็กคนนั้นว่าฉันรักเขามากเหลือเกิน ฉันอยากจะดูแลเขาไปตลอดทั้งชีวิต แต่ก็คงทำไม่ได้”

              “นาย...”

              “แบคฮยอน .. ฉันฝากนายไปบอกเขาทั้งหมดนี่ได้ไหม? ทั้งหมดที่ฉันพูดกับนายไปเมื่อกี๊ ขอฝากไปบอกเด็กคนนั้นหน่อยได้ไหม? บอกเขาว่าขอบคุณแล้วก็ขอโทษ บอกแค่นี้ก็ได้ แล้วก็ฝากบอกเด็กคนนั้นด้วยนะว่าถึงไม่มีฉันอยู่แล้ว แต่เด็กคนนั้นก็ต้องสู้ด้วยตัวเองให้ได้เหมือนที่เคยทำมาตลอด อย่าท้อกับอะไรง่ายๆ อย่ายอมแพ้ เพราะฉันมาส่งเด็กคนนั้นได้แค่นี้จริงๆ ฝั่งฝันของเขาน่ะ”

              น้ำตาที่ไหลออกมาทำให้ผมพูดอะไรไม่ออก มันเจ็บ เจ็บอยู่ตรงอกนี่แต่ทำอะไรไม่ได้ซักอย่าง ทั้งๆที่ผมก็รู้ใจตัวเองอยู่ตั้งนานแล้ว ผมแค่ไม่พูดออกไปเพราะกลัวอีกฝ่ายจะรำคาญ และคิดว่าเวลาทั้งหมดที่มีอยู่คงจะมากพอที่เราทั้งคู่จะอยู่แบบนี้ตลอดไป ไม่ต้องเป็นคนรัก ไม่ต้องมีคำพูดหวานๆแต่อยู่ดูแลกันแบบนี้ ทำให้ผมไม่อยากที่จะบอกคำนั้นกับเขา .. แต่มันก็สายเกินไป

              “นายน่ะ..ไม่ต้องร้องไห้เลยนะ ฉันร้องไห้ได้แค่คนเดียวพอ เข้าใจไหม?”

              มือที่เอื้อมมาเช็ดน้ำตาให้ผมอย่างเบามือนั่นทำให้ผมน้ำตาผมไหลออกมาอีกรอบ มันเร็วเกินไป นี่มันไม่ใช่ที่ผมคิดเลยซักนิด จงแดจะต้องไม่ไปไหน แล้วเราทั้งสองก็ต้องอยู่ดูแลกันตลอดไป

              “ร้องเพลงให้ฟังหน่อยสิ ทำให้ตอนนี้เป็นคอนเสิร์ตครั้งแรกของนาย ร้องเพลงให้ฉันฟัง ให้ฉันเป็นคนดูคนแรกของนาย ร้องเพลงให้ฉัน .. ขอร้องเถอะ ให้ฉันได้ยินเสียงของนายซักครั้งก่อนไปก็ยังดี”

              ผมกัดปากกลั้นเสียงสะอื้นที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ทั้งผมและจงแดเราต่างก็ร้องไห้ทั้งคู่ ผมพยายามกลื้นก้อนที่มันจุกอยู่ในลำคอก่อนจะร้องเพลงออกมา ตามคำขอของคนที่นั่งซบไหล่ผมอยู่ตอนนี้

     

     

     

    Singing hmm, Again hmm
    I thought of you as I sang, trying to comfort myself
    Singing hmm, Again hmm
    But you won’t come back

     

     

     

              “กอดฉันไว้สิ”

              คำพูดสั้นๆแต่มีความหมาย คืนวันนั้นเป็นคืนวันแรกที่ผมออกมานอนตรงโซฟาโดยไม่มีอิดออดใดๆ ผมกอดเขาไว้แน่น แน่นจนอดคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกอึดอัดบ้างหรือเปล่า ถ้าทำได้ผมไม่อยากจะหลับตาลงในคืนวันนี้เลย ผมไม่อยากลืมตาขึ้นมาแล้วพบว่าทุกอย่างมันคือความฝัน หรือไม่ถ้าเลือกได้ผมก็อยากจะลืมตาขึ้นมาแล้วพบว่าทุกอย่างเป็นความฝัน หลังจากนั้นจงแดก็จะกลับมาหาผมใหม่ อยากให้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นแค่เรื่องล้อเล่นแค่นั้น มันไม่ควรจะเป็นอย่างนี้

              “ฉันรักนายนะ...ให้ทุกอย่างมันเป็นความฝันได้ไหม ให้แค่..ฉันลืมตาแล้วยังมีนายอยู่ได้ไหม”

              ผมเกลียดโลกแห่งความจริง เพราะนี่มันโหดร้ายมากเกินไป น่ากลัว กลัวที่จะต้องมาเผชิญอะไรแบบนี้อีกเป็นครั้งที่สอง

              “ฉันน่ะ..ดูแลนายได้ดีแค่นี้หละ ... พอถึงอนาคตนายก็จะมีคนที่มาดูแลนายได้ดีกว่าฉันตั้งมากมาย มีคนที่รักนายมากกว่าฉันอีกเป็นหลายๆคน เพราะฉะนั้น .. นายต้องตอบแทนความรักที่พวกเขามอบให้ด้วยใจจริงของนายนะ พิสูจน์ให้เขารู้ว่านายเป็นคนยังไง ให้เขารู้ว่านายรักพวกเขามากไม่แพ้กับใครๆเลย”

              ผมสะอื้น น้ำตาที่มันเพิ่งหยุดได้ไม่นานก็ไหลเอ่อขึ้นมาอีกรอบ ทำไมจงแดต้องพูดแบบนี้ ทั้งๆที่วันพรุ่งนี้เป็นวันที่ผมจะประสบความสำเร็จที่สุดในชีวิต วันนี้กลับกลายเป็นวันที่ผมรู้สึกล้มเหลวที่สุดในชีวิต

              “หลับตาลงซะเถอะ เดี๋ยวยังไงวันพรุ่งนี้ก็จะต้องดีกว่าวันนี้อยู่แล้ว”

              ผมจูบเขาไว้เพื่อไม่ให้พูดอะไรอีก นี่มันเป็นจูบครั้งแรกระหว่างเราสองคน แต่ทำไมถึงได้ไม่มีความสุขเอาซะเลย ถึงจะเป็นเพียงสัมผัสที่บางเบาไม่มีอะไรรุกล้ำไปมากกว่านั้นแต่ผมก็แค่อยากจะให้เขารู้ว่าผมรู้สึกยังไงกับเขา อยากให้เขาอยู่ตรงนี้ จะดุจะด่าผมกี่ทีก็ได้ ผมไม่หนีหายไปไหนหรอก

              “ขอบคุณนะ นายเป็นมนุษย์ที่ดีที่สุดของฉันเลย”

              “ขอบคุณเหมือนกัน นายก็เป็นเทพที่ดีที่สุดของฉันเหมือนกัน อย่าหายไปไหนนะ”

              ผมกระชับอ้อมกอดที่กอดเขาอยู่ให้แน่นขึ้นไปอีก ไม่อยากให้เขาไปไหนเลย เขาควรจะอยู่กับผมดูแลผมตลอดไปสิ

              “ไม่ได้หรอก..ฉันเอง..ก็มีขีดจำกัดของกาลเวลา .. ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะ หลับตาเถอะแล้วฉันจะร้องเพลงกล่อมนายเอง”

              ผมช้อนตามองอีกฝ่าย อยากเก็บช่วงเวลานี้ให้นานที่สุดอย่างน้อย ก็อยากให้สัมผัสเหล่านี้ไม่หายไป จงแดยิ้มให้ผม  นี่เป็นรอยยิ้มครั้งแรกที่ผมได้เห็นจากเขาหรือเปล่านะ? ทำไมมันถึงได้สว่างและก็อบอุ่นขนาดนี้ .. เวลาที่ผ่านมาผมเอาไปทำอะไรหมดนะ ถึงได้ไม่เคยเห็นรอยยิ้มนี่เลยสักครั้ง

              เสียงของจงแดหยุดความคิดของผม เสียงที่เคยเอาแต่ว่าผมต่างๆนานากลับร้องเพลงได้เพราะเสียจนผมไม่อยากนึกเชื่อ ยังจำได้ดีถึงตอนที่ผมเคยปรามเขาไว้แรกๆว่าร้องเพลงก็ไม่เป็นแล้วยังจะมาเที่ยวสอนคนอื่น วันนี้ผมเพิ่งรู้ตัวว่าผมพลาดอะไรไปมาก จงแดเขาร้องเพลงเก่งมากๆจนสามารถสะกดผมไว้ได้ ถึงผมจะเป็นนักร้องที่รุ่นพี่ชมมามากต่อมากว่าเสียงหวาน แต่ผมกลับคิดว่าเสียงของจงแดคือเสียงที่เพราะที่สุดในโลกที่ผมเคยได้ยิน

              บางทีนั่นอาจเป็นการตัดสินใจที่พลาดที่สุดในชีวิตของผมที่ยอมหลับตาลง เพราะผมอาจจะไม่ได้เห็นจงแดอีก แต่ในอีกแง่หนึ่งมันก็ดีที่ผมยอมหลับตา เพราะถ้าผมลืมตาภาพที่เห็นอาจจะทำร้ายจิตใจผมมากจนเกินรับไม่ไหวก็ได้

              ภาพที่อีกคนกลายเป็นผงธุลีภายในพริบตาน่ะ...

     

     

              2016, โซล

     

              การแสดงในวันนี้จบลงอย่างสมบูรณ์แบบ นักร้องหนุ่มเดินลงจากเวทีด้วยรอยยิ้มเปื้อนหน้า เขากล่าวขอบคุณทุกท่านที่ช่วยงานกันจนทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดี ทุกๆคนต่างมีส่วนร่วมที่ทำให้วันนี้สมบูรณ์แบบ ถ้าหากไม่มีเหล่าสต๊าฟฟ์ในวันนี้ งานในวันนี้ก็คงไม่สำเร็จถึงขั้นได้รับกำลังใจมากมาย เขาโค้งขอบคุณทุกคนมาตลอดทาง รับทุกคำชมและพร้อมจะไปปรับปรุงเสมอ

              มือเรียวบิดกลอนประตูห้องแต่งตัวให้เปิดออก ตอนนี้ห้องแต่งตัวกลับมาอยู่ในสภาพเดิมอีกแล้ว ทุกคนเก็บของจนเหลือเพียงแค่ข้าวของของเขาและของทางผู้จัดนิดหน่อย เขาเดินไปเก็บของใส่กระเป๋าเป้ทั้งหมดแล้วสะพายกระเป๋าขึ้นโดยไม่ลืมที่จะหยิบสมุดโน้ตตัวสำคัญที่ทำให้เขามีทุกวันนี้มาได้ติดตัวไปด้วย ครั้นพอจะหยิบเอาไว้ให้แนบอก สิ่งของบางอย่างก็ดันร่วงลงมาจากสมุดโน้ตซะได้ นึกแปลกใจที่แต่ก่อนเคยถือแบบนี้ตลอดก็ไม่เห็นจะมีอะไรหลุดร่วงลงมาเลย

              เขาก้มลงไปหยิบซองจดหมายสีขาวที่ถูกปิดผนึกไว้อย่างดี บนซองจดหมายขึ้นลายมือของใครที่คุ้นตา เขาพลิกหน้าพลิกหลังเพื่อตรวจสอบให้ดีว่าเป็นของตนใช่หรือไม่

     

    ถึง บยอนแบคฮยอน

     

              ก็คงจะใช่แหละนะ?

     

              เขาแกะซองจดหมายออกอย่างเบามือ ตั้งใจจะถนอมทุกสิ่งทุกอย่างของคนคนนี้ไว้ไม่ให้ขาด ก็รู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่กลับมาด่าเขาหรอก แต่มันก็อดกลัวและคิดถึงไม่ได้อยู่ดี

     

                สวัสดี..คุณนักร้องที่เพิ่งมีคอนเสิร์ตไปหมาดๆ!

     

                คอนเสิร์ตของนายสำเร็จลงแล้วใช่ไหมละ? ประสบความสำเร็จมากๆเลยสิน้า ก็ถูกแล้วล่ะนายผลาญเงินบริษัทไปตั้งเท่าไหร่แล้ว! ล้อเล่นน่า .. อืม .. นายร้องเพลงอะไรไปบ้างนะ? ใช่เพลงที่ฉันคิดหรือเปล่า? แต่คิดว่าต้องใช่แน่ๆเลย .. นายก็คงสงสัยสินะว่าฉันจะเขียนจดหมายให้นายทำไม ทั้งๆที่ฉันก็เขียนให้นายเต็มสมุดซะขนาดนั้น ก็ฉันบอกแล้วไงว่าฉันมีของขวัญให้นายถ้านายแสดงดีอ่ะ! แต่จริงๆก็ไมได้ดีเท่าที่ฉันคิดไว้นะ .. เพราะนายจะต้องเท่มากๆๆๆๆ แต่ฉันดันนึกภาพนายตอนเท่ไม่ออกน่ะสิ เอาเป็นว่าขอบคุณที่ตั้งใจทำคอนเสิร์ตครั้งนี้ออกมานนะ ในฐานะผู้ดูแลนายมาตลอดสี่ปีฉันพูดได้ว่าฉันภูมิใจในตัวนายที่สุดเลย! ตอนนี้นายคงจะต้องหน้าเต็มไปด้วยเครื่องสำอางแน่ๆ อย่าลืมล้างออกนะเดี๋ยวสิวขึ้น .. อืม .. ของขวัญนายเป็นอะไรดี? คำชมจากฉันดีไหม? ฮุๆเพราะมันได้ยากมากเลยใช่มั้ยละ? เอาเป็นว่า .. อืม .. ขอให้วันต่อๆไปจากนี้เป็นวันที่ดีที่สุดของนาย เป็นวันแห่งความทรงจำ เป็นวันที่นายจะไม่ลืม บางทีที่นายเป็นอยู่ตอนนี้อาจจะทำให้นายเหนื่อยจนท้อ แต่เชื่อสิ พอนายผ่านตอนนี้ไปด้วยกำลังใจจากแฟนๆ นายะจะรู้สึกว่าปัญหาทั้งหมดในชีวิตของนายมันก็แค่เรื่องเล็กๆน้อยๆ ทุกปัญหามันก็มีทางออกหมด ขอแค่ให้นายเชื่อใจมันแล้วก็รอมัน .. ฉันเองก็คงพูดอะไรมากกว่านี้ไม่ได้แล้วล่ะ เพราะยังไงนายก็ต้องไปอ่านในสมุดต่ออยู่แล้ว คึๆ ส่วนของขวัญของนายก็หาดีๆล่ะ อยู่ในจดหมายนี่และ

     

    รักนะ คุณซุปเปอร์สตาร์

     

     

              แบคฮยอนอ่านจดหมายด้วยความรู้สึกตีวนอยู่ในอก จงแดชอบทำให้เขาอึ้งอยู่เสมอ ชอบมาแบบไม่ทันตั้งตัว และนี่ก็ด้วย คงจะเล่นอะไรแผลงๆอย่างที่เจ้าตัวชอบทำนั่นแหละ

              ถึงเวลาวันที่เราทั้งสองคนแยกจากกันมันจะผ่านมาเกือบสองปีแล้วก็เถอะ แต่แบคฮยอนกลับรู้สึกว่ามันเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวาน แต่ก่อนเขาอาจจะร้องไห้ที่ต้องเสียอีกคนไป พออยู่ปัจจุบันเขาเลยรู้สึกว่าอีกคนกำลังคอยดูเขาอยู่ข้างๆเสมอ ความเหงาและคิดถึงอาจจะมาเยือนบ้าง แต่ก็ไม่ทำให้เขาต้องทุกข์ทรมานเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว

              เขาค้นในซองจดหมายนั่นอีกรอบ แล้วก็เจอกับภาพที่ถูกถ่ายจากกล้องโพลารอยด์ มันเป็นภาพเวลาไหนเขาจำมันได้ดี ใบหน้าที่หลับลงพร้อมกับรอยยิ้มเพราะเสียงเพลงอันไพเราะนั่น

              ภาพตอนเขากำลังนอนกอดจงแดในคืนวันสุดท้ายที่เราอยู่ด้วยกัน

              เขาพลิกไปด้านหลังของรูปแล้วก็เจอเข้ากับตัวอักษรที่อีกคนเขียนไว้เมื่อนานมาแล้ว

     

              นี่คือของขวัญของนายสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา คอนเสิร์ตอาจจะเหนื่อยไปนิดแต่มันก็คงจะผ่านไปด้วยดี ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง ทั้งอ้อมกอดและรอยจูบของนายจะอยู่กับฉันไปตลอดเลยล่ะ XD เลิกทำตัวขี้หวงได้แล้วนะ ขอโทษที่เคยพูดไม่ดีด้วย รู้สึกผิดมากๆเลยล่ะ .. แต่ว่าขอบคุณสำหรับของขวัญวันเกิดในวันนี้นะ ฉันนี่เป็นเทพแห่งความฝันที่โชคดีที่สุดในโลกเลย!’

     

              เขาแนบภาพนั้นไว้กับอกพร้อมกับทั้งจดหมายและสมุดนั่น เพราะจงแดทำให้เขาเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้ โชคดีแค่ไหนที่ครั้งหนึ่งในชีวิตเขาเคยได้รู้จักกับจงแดตัวเป็นๆ จับต้องได้ และไม่หายไปไหนหรือมีอยู่เพียงในจินตนาการ

              ถ้าจงแดเป็นเทพแห่งความฝันที่โชคดีที่สุดในโลก เขาเองก็คงจะเป็นมนุษย์ที่โชคดีที่สุดในโลกเหมือนกันที่ครั้งหนึ่งเคยได้รับความรักและการดูแลที่ดีจากใครซักคนที่เขารักขนาดนี้ ครั้งหนึ่งได้เคยมีอกาสอยู่ด้วยกัน พูดคุยกัน ทำให้อีกฝ่ายหายเหงา และได้มีโอกาสดูแลอีกฝ่ายจนถึงวันสุดท้ายที่เราจะได้เจอกัน ถึงแม้บางครั้งอีกฝ่ายจะพูดจาทำร้ายจิตใจเขามากแค่ไหน แต่นั่นก็เพราะความรัก แบคฮยอนคงจะเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลกที่ได้รับทั้งความรักดีๆ ได้ดูแลคนที่รัก และได้เจอกับจงแดคนนี้

              หวังว่าเราจะได้เจอกันอีก

    เทพของฉัน...









    #CHEN1ST

    สวัสดีค่ะทุกๆท่าน .. อืม นี่จะเรียกว่าช็อทฟิคยังไงดี 55555
    เอาเป็นว่าเรียกว่าช็อทฟิคที่ยาวที่สุดเท่าที่เราเคยแต่งมาเลยล่ะกันนะคะ เพราะตั้งใจมากมาก
    จริงๆเราได้แรงบันดาลใจจากฟิคเรื่องนึงที่เคยอ่าน เป็นฟิคภาษาอังกฤษที่คุณจงแดเป็นหมู่ดาว
    แต่เราจำไม่ได้แล้วคู่ไหนค่ะ ถ้ามีโอกาสอีกครั้งจะมาอีดิทให้นะคะ :)
    อืม .. ถือว่าเป็นแบคเฉินที่ค่อนข้างทำร้ายจิตใจคนอ่านได้ไหมนะ?
    อย่าโทษเราเลยน้า โทษฟีลเพลงนู่น ได้อารมณ์พอดีเลยค่ะ 5555555
    จริงๆมีแรงบันดาลใจจากเพลงหลายๆเพลงรวมกันเลยค่ะ ทั้งเพลงของจิน ของแบคอายอน
    แล้วก็สุดท้ายเพลงของเฮียวิล .. เราพอดีเป็นคนชอบเพลงแนวนี้น่ะค่ะ ฮ่าๆ
    เอาเป็นว่าถ้ามีโอกาสจะเขียนเรืองราวในสมุดโน้ตมาแบ่งปันทุกคนนะคะ
    ก็อยากจะขอบคุณทุกคนเลยนะคะที่ให้กำลังใจ อยากรู้จังว่าทุกคนอ่านจบแล้วรู้สึกยังไง . _.
    สารภาพว่าเรื่องนี้แต่งได้สักเกือบอาทิตย์แล้วค่ะ แต่เพราะนอนเร็วตลอดเลยแต่งไม่จบซักที
    หนุ่มๆก็คัมแบ็คแล้ว .. ยินดีด้วยกับรางวัลถ้วยแรกจากรายการอินกิกาโยนะคะ #Callmebaby1stwin




     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×