ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    I can't, can I? (exo) chanchen

    ลำดับตอนที่ #1 : ➠first: did everyone be like that?

    • อัปเดตล่าสุด 10 เม.ย. 58




    I can’t, can I?
    first: did everyone be like that?

     

     

     

    “เดี๋ยวช่วยยกลังใบนั้นไปไว้ในห้องพี่ให้ด้วยนะ”

    ผมหันไปรับคำจากพี่จุนมยอนหัวหน้าฝ่ายบุคคลที่ดูช่วงนี้ค่อนข้างจะงานเยอะเป็นพิเศษ เพราะนอกเหนือจากว่าจะเพิ่งผ่านพ้นวันหยุดหฤโหดได้ไม่นาน บริษัทก็มีนโยบายจะรับคนเข้าทำงานใหม่ เรียกได้ว่าทั้งเดือนนี้ฝ่ายบุคคลของเรานั้นงานล้นเหลือกันเลยทีเดียว

    แย่สักหน่อยที่ทั้งแผนกนี้มีเพียงสี่คนคอยดูแล ต่างจากแผนกอื่นที่มีพนักงานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งพนักงานเพิ่มขึ้นแบบนี้ ยิ่งหมายความว่าภาระงานของคนในฝ่ายบุคคลอย่างผมก็ต้องเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณด้วย  แต่ถึงนั้นแล้วพนักงานผู้ช่วยต๊อกต๋อยอย่างผมยังมีภาระงานน้อยกว่าพี่จุนมยอนหัวหน้าฝ่ายบุคคลอีกหลายเท่านัก นับว่าเป็นความโชคดีหนึ่งในร้อยของผมที่มาทำงานในบริษัทที่นี่

     

    “จงแดอา... นายว่ามยองซูฝ่ายพีอาร์เป็นยังไงบ้าง?”

    “คุณคิมที่เพิ่งเข้ามาใหม่น่ะหรอครับ? พี่มินซอกมีอะไรหรือเปล่า?”

    ผมถามพี่มินซอก พนักงานแผนกเดียวกันกับผมเป็นเชิงไม่มั่นใจ เพราะนอกจากนี่จะเป็นเรื่องงานที่เราไม่ควรพูดในที่สาธารณะแล้วแต่ตอนนี้ก็อยู่ภายในออฟฟิศของพวกเขา เพราะฉะนั้นข้อนี้ตัดไป แต่ใบหน้าของพี่มินซอกก็ยังดูกังวลจนอดเป็นห่วงไม่ได้

    “ไม่มีอะไรหรอก ... ก็เห็นเขาเข้ามายังไม่มีปัญหาอะไรเลย มันก็แปลกนะทั้งๆที่แผนกนั้นปัญหามีแทบทุกวัน เรื่องร้องเรียนก็เข้ามาอย่างกับน้ำป่าไหลหลาก แต่หมอนั่นเข้ามาจะสองเดือนอยู่แล้วยังไม่มีปัญหาอะไรซักนิดเลย”

    ผมเองก็อดพยักหน้าตามพี่มินซอกอย่างช่วยไม่ได้ มันเป็นเรื่องจริงที่ฝ่ายพีอาร์มักจะมีปัญหาเสมอ และจดหมายร้องเรียนที่ส่งมาก็ดูเหมือนว่าจะเป็นฝ่ายพีอาร์จนเกือบหมด เห็นก็มีแต่คุณคิมพนักงานคนใหม่นี่แหละที่ดูจะไม่มีปัญหาอะไร แถมยังไม่เคยมีเรื่องร้องเรียนอีกด้วย

     

    “เขาอาจจะชอบงานนี้ก็ได้นะครับ พี่เองก็อย่าคิดมากเลยนะครับ”

    พี่มินซอกมักจะห่วงคนอื่นเสมอถึงแม้ว่าจะไม่ได้สนิทกัน นับว่าเป็นปัญหาใหญ่ของพนักงานฝ่ายผมเวลาที่จะต้องพิจารณาโบนัส หรือเวลาต้องพิจารณาการทำงานของพนักงานคนอื่นๆ ดังนั้นพี่มินซอกก็เลยโดนพี่จุนมยอนโยกย้ายให้ไปทำงานส่วนจัดการการปฐมนิเทศพนักงานใหม่ ซึ่งก็เป็นงานที่ดูจะเข้ากับพี่มินซอกที่สุดแล้ว

    “คนแก่ก็งี้แหละ คิดมากไปเรื่อย .. เอ้อว่าแต่ พูดแล้ว ฝ่ายแอดนี่เหมือนจะดวงดีสุดๆไปเลยนะ ประธานกำลังจะจ้างผู้จัดการมาใหม่หนิ เห็นว่าเป็นคนที่มีประสบการณ์จากต่างประเทศเลยนะ ว่ากันว่าคราวนี้ทุ่มเทสุดๆ มีเท่าไหร่ก็ยอมยกให้เลย”

    พี่มินซอกยกนิ้วโป้งขึ้นมาเป็นสัญญาณว่าเจ๋งสุดๆ ผมเองที่เห็นท่าทางแบบนั้นก็อดขำไม่ได้ตั้งแต่ทำงานที่นี่มา เวลาจะมีใครคนไหนเข้ามาทำงานตำแหน่งใหญ่ๆ ดูเหมือนว่าประธานบริษัทของเขาก็ทุ่มหมดตัวให้ทั้งนั้นแหละ

     

    “ผมเองก็เห็นเขาทุ่มมาหลายคนแล้วนะครับ ไม่เห็นจะไปรอดซักราย”

    มักจะเป็นสัจธรรมของมนุษย์เสมอ อย่าว่าแต่งานในหน่วยงานรัฐเลย เอกชนนั้นถ้าหากว่ามียศตำแหน่งใหญ่ๆแล้วก็มักจะถือหางยกยอตัวเอง ทำทุจริตกันเป็นว่าเล่น แต่จะให้พนักงานฝ่ายบุคคลอย่างผมไปฟ้องร้องก็ดูเหมือนจะไม่ได้ เพราะนอกจากว่าจะเป็นทั้งคนที่มียศใหญ่แล้ว ลำดับเส้นก็น่าจะยิ่งใหญ่พอตัว

    “เอาหน่า... คนพวกนั้นประธานเขาก็ทำไปตามหน้าที่ คนเด็กๆอย่างประธานเขาจะไปหืออะไรได้ เป็นคำสั่งของพ่อเขาซะขนาดนั้น อีกอย่างคนพวกนั้นก็แก่เกินจะไปเล่นด้วยแล้ว”

    บริษัทของผมถึงจะเป็นเพียงองค์กรเล็กๆ แต่ก็นับว่าเป็นองค์กรที่มีชื่อเสียงพอตัว เพราะเป็นองค์กรย่อยจากองค์กรใหญ่ระดับประเทศที่ผู้บริหารเป็นถึงพ่อของประธานบริษัท จะว่าไป ประธานเองก็คงจะสู้กับพ่อของเขาไม่ไหว เลยต้องยอมให้พวกลุงๆที่เห็นแต่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารในฐานะผู้ถือหุ้น นี่ถึงเข้าล็อกของคำว่า เงินซื้อได้ทุกอย่าง

     

    “เอาเถอะครับ พูดเรื่องเจ้านายมาก ระวังน้า...”

    ผมพูดกลั้วขำก่อนจะไปยกลังขนาดใหญ่ที่วางอยู่ตรงทางเข้าแผนกตามคำขอของพี่จุนมยอน พี่มินซอกยู่หน้าเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปเคลียร์งานอย่างเก่า

     

    ผมใช้ด้านข้างลำตัวดันตัวเองเข้าไปในห้องของพี่จุนมยอนได้สำเร็จ พี่จุนมยอนดูเคร่งเครียดกับเอกสารบนโต๊ะที่ทำให้พี่เขาดูตัวเล็กลงเรื่อยๆ นี่แหละนะ ข้อเสียของการทำงานตำแหน่งใหญ่ๆ ความสะดวกสบายที่ได้มาฟรีๆมันไม่มีอยู่ในโลกอยู่แล้ว

    “วางไว้ตรงนั้นแหละจงแด ขอบคุณมากนะ เอกสารพวกนี้ทำเอาพี่จะอ้วกออกมาเป็นตัวอักษรอยู่แล้วเชียว”

    พี่จุนมยอนบ่นกระปอดกระแปดตามประสา ก่อนจะดันกรอบแว่นให้กลับเข้าไปอยู่ในตำแหน่งเดิม ช่วงนี้พนักงานดูเหมือนจะไม่ลงรอยกันเป็นพิเศษเพราะดูท่าว่าแค่ใช้เวลาอ่านจดหมายร้องเรียนในแต่ละวันให้หมด พี่จุนมยอนก็แทบจะไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่นแล้ว

    ผมเบนสายตาไปยังรูปถ่ายเล็กๆของนักร้องผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง ขวัญใจของพี่จุนมยอนเขาละ ถึงจะเป็นคนที่มีตำแหน่งใหญ่โตแต่พี่จุนมยอนก็ยังเป็นหนุ่มวัยสามสิบต้นๆที่ยังคงมีความปลาบปลื้มในวงการดนตรีอยู่บ้าง

     

    “ผมได้ยินข่าวจากฝ่ายแอดว่าเขากำลังจะหาพรีเซนเตอร์โฟมล้างหน้าสูตรใหม่ของเราอยู่ใช่ไหมครับ?”

    “ก็ใช่นะ เห็นเจ้าซองกยูบ่นอยู่ว่าหาไม่ได้ซักที ไม่รู้จะไปจ้างใครแล้ว”

    “ผมว่าผมพอจะมีคนแนะนำให้อยู่นะครับ”

    พี่จุนมยอนเงยหน้ามองผมด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก แต่ยังไงผมก็ยังยืนยันว่าคนที่ผมจะแนะนำ น่าจะเป็นกระแสและคนปฏิวัติรายได้ของบริษัทของเราได้ดียิ่งนัก

     

    “พี่จุนมยอนวางใจได้เลยครับ ผมไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน”

    แม้ว่าจะเป็นเพียงพนักงานต๊อกต๋อย แต่คิมจงแดคนนี้ก็พอจะกอบกู้บริษัทได้อยู่แหละน่า แม้จะเป็นเพียงก้าวเล็กๆ แต่ผมเองก็เชื่อว่ามันจะต้องสร้างความสำเร็จมากมายแน่ๆ

     

     

     

    ผมวางกระเป๋าและงานทั้งหมดลงบนโต๊ะทำงานขนาดเล็กในห้องของตัวเอง งานวันนี้ก็เหมือนปกติธรรมดาที่แทบจะไม่มีอะไรเลย แต่เพราะเป็นหน้าที่เล็กๆก็ยังพอมีภาระงานให้ปวดหัวเล่นกันอยู่บ้าง แต่แค่นี้คงเทียบอะไรไม่ได้สักนิดกับสิ่งที่พี่จุนมยอนต้องเผชิญในค่ำคืนนี้เลย ผมจัดการตัวเองให้เรียบร้อย อาบน้ำอาบท่าสลัดความเมื่อยล้าทั้งหมดเมื่อถึงบ้าน อยากซึมซับช่วงเวลาพักผ่อนนี้ให้มากที่สุด เพราะไม่แน่ว่าวันพรุ่งนี้อาจไม่สบายเช่นดั่งวันนี้ก็ได้ ไม่มีใครล่วงรู้ได้หรอก

    เมนูมื้ออาหารง่ายๆอย่างข้าวผัดกิมจิถูกประกอบอย่างผิดๆถูกๆตามประสาคนไม่ค่อยทำเมนูอาหารยากๆอย่างผม การอยู่คนเดียวช่วยให้ผมทำอะไรเป็นได้มากมาย แต่ก็ทำให้ผมทำอะไรไม่ได้หลายอย่างอยู่เหมือนกัน

    ผมนั่งทานข้าวผัดกิมจิที่รสชาติก็พอถูๆไถๆไปได้บ้างอยู่หน้าทีวี บนจอขนาดปานกลางกำลังถ่ายทอดให้พบกับนักร้องหนุ่มเสียงดีพร้อมกับเอกลักษณ์กีต้าร์โปร่งสีน้ำตาลของเขา รอยยิ้มที่แสนคุ้นตานั่นทำให้ผมอดที่จะหมั่นไส้ไม่ได้ ปาร์คชานยอลชอบยิ้มเป็นเจ้าบ้าอยู่ในทีวีเสมอ และผมเองก็รู้ดีว่าเจ้านั่นทำไปเพียงเพราะฐานแฟนคลับของตัวเองทั้งนั้น

    ผมหยิบโทรศัพท์สมาร์ทโฟนที่ผ่านการใช้งานมาอย่างโชกโชนขึ้นมาพิมพ์ข้อความสั้นๆส่งไปหาคนบางคนที่ผมเพิ่งนึกได้ว่าต้องติดต่อให้กับบริษัท ถึงแม้ว่าจะเป็นพนักงานฝ่ายบุคคล แต่ถ้าหากช่วยเหลืองานแผนกไหนได้บ้างผมเองก็คงไม่ได้ติดขัดอะไร พอเห็นว่าบนหน้าจอขึ้นว่าอ่านเรียบร้อย ผมจึงกดโทรหาปลายสายทันทีโดยไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายตอบข้อความในโปรแกรมแชทให้เสร็จเสียก่อน

    ถือสายรออีกฝ่ายได้ไม่นานนัก เสียงสัญญาณโทรศัพท์ก็ถูกแทนที่ด้วยน้ำเสียงทุ้มที่ชินหูตั้งแต่เด็ก และก็เป็นเสียงเดียวกันกับที่ผมได้ยินในโทรทัศน์เมื่อซักครู่นี้ด้วย

     

    “สวัสดีพ่อหนุ่มร็อคสตาร์”

    นี่ซาแซงแฟนหรือเปล่าครับ? ขอโทษนะครับพอดีว่าปาร์คชานยอลไม่ค่อยว่างสำหรับซาแซงแฟนเท่าไหร่

    ผมมุ่ยหน้าใส่ปลายสายแม้รู้ว่าอีกฝ่ายจะมองไม่เห็นก็ตามที ชานยอลเป็นอย่างนี้เสมอ กวนประสาทคนอื่นอยู่เรื่อย

     

    “อยากไม่ว่างตลอดชีวิตไหมละ? ลองได้นะ”

    อะไรเล่าเจ้าบ้า ฉันเพิ่งจะได้พักจากรายการเมื่อกี๊เองนะ กวนแค่นิดๆหน่อยๆเอง

    ปาร์คชานยอลพูดเสียงอ่อยแสร้งทำน้อยใจ ซึ่งมันเป็นการกระทำที่สุดยอดจะหลอกลวง ผมเองนี่รู้เรื่องของมันหมดนั่นแหละตั้งแต่ลิ้นไก่ไปจนถึงปลายเท้า

     

    “เอาเป็นว่าพ่อหนุ่มร็อคสตาร์จะช่วยหยุดกวนประสาทฉันซักครั้งได้หรือยัง นี่จะมาขอร้องนะ รู้อย่างนี้โทรหาแบคฮยอนตั้งแต่แรกดีกว่า”

    ชานยอลแอบโห่อยู่ปลายสายหลังจากได้ยินว่าผมเอาเพื่อนอีกคนที่ทำงานเป็นผู้จัดการของชานยอลมาอ้าง ถึงเราสามคนจะสนิทกัน แต่เห็นจะมีก็แค่ผมนี่แหละที่ทำงานประสบความสำเร็จน้อยกว่าชาวบ้านเขาทุกคน

     

    จะขอร้องอะไรละ ร้อยวันพันปีที่ฉันยื่นมือไปช่วยไม่เห็นจะเอา ทีพอฉันดังละมาเห็นความสำคัญ ใช่ไง ฉันมันก็แค่ปาร์คชานยอลผู้มีชื่อเสียงโด่งดังและน่าเชื่อถือได้เวลานายไม่เหลือใครไง ไม่ได้คนที่นายคิดจะขอความช่วยเหลือตั้งแต่แรกอยู่แล้วนี่หน่า

    “จะช่วยไม่ช่วย”

    ผมรู้ว่าเจ้านี่น้อยใจผมอยู่ ที่เวลาตัวเองเสนอให้ความช่วยเหลือผมเท่าไหร่ไม่รู้เท่าไหร่ผมก็ไม่ยอมรับซักที มันไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนเชื่อถือไม่ได้นะ(ถ้าเป็นแต่ก่อนนี่ก็คงจะเป็นเหตุผลแรกที่ผมปฏิเสธความช่วยเหลือของเขา) แต่เพราะบางครั้งผมเองก็เกรงใจเจ้านี่ กว่าจะมีเวลาว่างมันไม่ใช่ง่ายๆ แล้วยิ่งมีชื่อเสียงอีก ผมยังไม่อยากเป็นคนที่ขึ้นชื่อว่าเกาะเพื่อนกินหรอกนะ ถึงแม้ว่าตอนมอปลายมันจะชอบเกาะผมแจอยู่เรื่อยก็ตามที

     

    บอกมาก่อนสิ ไม่ใช่ว่าให้ฉันไปช่วยจ่ายหนี้พันล้านให้นะ ไม่ไหวหรอก ทั้งชีวิตฉันไม่มีเงินถึงขนาดนั้น แล้วโควตาของนายก็อยู่ที่ร้อยล้านด้วย

    “หยุดพล่ามแล้วฟังสาระซักนาทีได้ไหม”

    ก็ได้ ... ว่ามาสิ

    “มาเป็นพรีเซนเตอร์บริษัทฉันให้หน่อย”

    บริษัทนายทำอะไรอะ? เครื่องสำอางปะ?

    “อืม โปรเจคใหม่อะ จะทำโฟมล้างหน้าสำหรับผู้ชาย เลยว่าจะมาชวนนายไปเป็นพรีเซนเตอร์ อยากจะรู้นักว่าพ่อร็อคสตาร์จะช่วยกอบกู้บริษัทเพื่อนต๊อกต๋อยคนนี้ได้หรือเปล่า”

     

    ได้ดิ เดี๋ยวไปบอกแบคฮยอนให้ ให้เจ้านั่นไปคุยกับบริษัท

    ผมแอบส่งเสียงเยสเบาๆกับตัวเอง ถึงแม้จะเป็นการตกลงที่ดูเหมือนจะไม่คิดหน้าคิดหลังซักนิด แถมยังไม่สนใจด้วยว่าผลตอบรับจะเป็นยังไง แต่ปาร์คชานยอลก็พร้อมใจจะช่วยเหลือเขาอยู่เสมอ

    “เดี๋ยวดิ ไม่คิดหน้าคิดหลังหน่อยเหร้อ”

    ผมลองถามหยั่งเชิง ก็รู้ทั้งรู้อยู่แก่ใจว่าปาร์คชานยอลมันไม่ค่อยคิดอะไรละเอียดเท่าไหร่นักหรอก

     

    จะคิดทำไม ไปเป็นพรีเซนเตอร์ให้นายฉันก็ได้ค่าจ้าง ฝ่ายแอดนายก็ได้ชื่อเสียง บริษัทนายก็ขายของได้ พูดตรงๆนะจงแด ฉันไม่คิดว่านี่จะเป็นการช่วยเหลือนายตรงไหน

    ผมร้องฮึ อยู่ในใจ แค่ไปบอกพี่จุนมยอนว่าผมได้ใครมาเป็นพรีเซนเตอร์ให้แค่นี้เงินเดือนผมก็ขึ้นกระฉูดอยู่แล้ว ไม่เห็นหรอว่าผมได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้ไปเต็มๆ เจ้าชานยอลน่ะบ๊องตื้น คิดอะไรสั้นๆ

     

    “ได้ดิ เงินเดือนฉันขึ้นเพราะเจ้านายจะพิศวาสฉันมาก”

    มันจะเพิ่มซักกี่บาทเชียว

    “มันก็ขึ้นอยู่กับยอดขายที่นายทำได้นั่นแหละ ขอบคุณม๊ากมากเพื่อนรัก ฉันรักนายที่สุดเลย รักกว่าแบคฮยอนก็ได้”

    ปาร์คชานยอลกลั้วขำ ก่อนจะตัดบทโดยการขอวางไปอย่างดื้อๆ ผมดูทีวีก็เห็นว่ารายการกำลังจะกลับเข้าสู่การถ่ายทอดสดตามปกติ ก็คงจะเป็นการที่เจ้านั่นเข้ารายการนั่นแหละ เวลาผมเดือดร้อนปาร์คชานยอลมักเข้ามายืนมือช่วยผมตลอด เพราะหมอนั่นรู้ดีว่าเวลาตัวเองมีปัญหาอะไร ผมจะเป็นคนแรกที่ให้คำปรึกษาที่ดีที่สุดกับมันเสมอ

    เยส! เสร็จไปแล้วหนึ่งอย่าง ทีเหลือก็แค่รอให้แบคฮยอนยืนยันจากทางบริษัทว่าจะไปเป็นพรีเซนเตอร์ให้ แล้วผมก็จะเอาไปนำเสนอกับพี่จุนมยอน แล้วทีนี้ชื่อเสียงของบริษัทก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างนี้เขาเรียกว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวชัดๆ

     

     

     

              “อรุณสวัสดิ์ ยิ้มแป้นมาแต่เช้าเลยนะ”

              ผมพยักหน้ารับทักทายพี่มินซอกที่จะมาทำงานเร็วกว่าผมเล็กน้อย วางกาแฟร้อนเจ้าประจำที่พี่เขาวานให้ผมซื้อให้ทุกเช้า วันนี้ผมมีความสุขจนทุกคนรอบข้างทักทายแต่เช้า ดูเหมือนว่าวันนี้จะเป็นวันแห่งความโชคดี เพราะผมทั้งตื่นเช้ามาทำงานก่อนเวลาตั้งนานมีเวลาให้ทำอะไรตั้งเยอะ

             

    “พอดีไปเจอเรื่องอะไรดีๆมาน่ะครับ เอ๋ พี่จุนมยอนมาทำงานแล้วหรอครับ?”

              ผมส่งเสียงนึกประหลาดอยู่ในใจ ไม่ให้แปลกใจได้ยังไงกัน ปกติพี่จุนมยอนถึงจะมาเช้าแต่ผมเห็นว่าเมื่อวานพี่จุนมยอนก็ยังไม่กลับบ้านเลยแม้จะเลิกงานแล้วก็ตาม

              “เห็นว่าเกือบไม่ได้นอนทั้งคืนนะ รีบตื่นมาแต่เช้าเพราะต้องมาดูแลเอกสารให้ผู้จัดการคนใหม่ฝ่ายแอดอะ น่าสงสารลุงแกอยู่เหมือนกัน สงสัยไม่ได้นอนยาว ตานี่โหลเลย”

              พี่มินซอกพูดปนขำเล็กน้อยก่อนจะไปให้ความสนใจกับประกาศในอินเตอร์เน็ตต่อ สงสัยจะเป็นผู้จัดการคนใหม่ที่พี่มินซอกพูดถึงเมื่อวาน ... มาเร็วเคลมเร็วเหมือนกันแหะ

             

    ผมผลักประตูเข้าไปเพื่อที่จะไปวางกาแฟที่พี่เขาเองก็ฝากซื้อเหมือนกัน ผมรู้หมดแหละว่าทั้งแผนกต้องการอะไร แล้วมันก็เป็นหน้าที่เด็กใหม่ในแผนกอย่างผมด้วยที่ต้องไปหามาให้ มันเรียกว่าหลักในการใช้ชีวิตให้รอดในออฟฟิศเช่นนี้

              “กาแฟครับพี่จุนมยอน พักบ้างนะครับ เดี๋ยวจะหน้ามืดตาลายไปซะก่อน”

              พี่จุนมยอนครางหืมในลำคอ แต่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองผมสักนิดเดียว เอกสารที่ผมเห็นเมื่อวานว่าอยู่บนโต๊ะเต็มไปหมดก็เริ่มดูน้อยลงบ้างแล้วเหมือนกัน ตอนแรกผมเองก็นึกว่าจะเป็นเอกสารของเรื่องร้องเรียนอย่างเดียว เพิ่งมานึกออกว่าลังของที่พี่จุนมยอนให้ยกให้เมื่อวานเป็นลังเอกสารเก่าๆที่ฝ่ายแอดร้องเรียนไปเมื่อเดือนก่อนๆ

             

    “พี่จุนมยอนครับ”

              “ว่าไง.. พี่กำลังวุ่นอยู่น่ะ โทษทีนะ”

              “พี่จุนมยอนเป็นแฟนคลับของนักร้องที่ชื่อปาร์คชานยอลใช่ไหมครับ?”

              พี่จุนมยอนชะงักมือที่กำลังจัดเอกสารที่กองๆอยู่บนโต๊ะ แล้วเงยหน้าขึ้นมามองผมประมาณว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า? ผมยิ้มเผล่ๆ ก่อนจะเกาข้างหูเล่นแก้เก้อ

             

              “พอดีผมรู้จักกับใครบางคนที่บริษัทนั่นน่ะครับ...เมื่อคืนก็เลยติดต่อให้ปาร์คชานยอลมาเป็นพรีเซนเตอร์ให้ ตอนนี้กำลังรอให้ทางบริษัทรับเรื่องอยู่น่ะครับ เห็นว่าเขากำลังพิจารณาอยู่พอดีเลย”

              “ห๊ะ? อะไรนะ!?

              พี่จุนมยอนดูท่าจะตกใจมากจนเกือบจะรุดมากระชากผมเขย่าไปมาแล้ว ยังดีที่พี่เขาเป็นคนค่อนข้างเก็บอารมณ์เก่ง เลยยืนเกๆกังๆอยู่ตรงโต๊ะนั่นแหละ มันอาจจะมีส่วนที่พี่แกตกใจเรื่องที่ว่านักร้องขวัญใจของแกจะได้มาเป็นพรีเซนเตอร์ที่บริษัท แต่ผมรู้ดีว่าที่แกตกใจก็เพราะว่าแกเป็นห่วงว่าถ้าคนแผนกอื่นมารู้ว่าผมเป็นคนติดต่อให้ ทำเกินหน้าที่ของตัวเองแบบนี้ มันอาจจะอันตรายต่อหน้าที่ของผมและความสัมพันธ์ของสังคมในบริษัทได้ เพราะต่างฝ่ายต่างก็ต้องการได้หน้าจากประธานทั้งนั้น แล้วยิ่งผมมาทำอะไรที่เกินหน้าที่แล้วไปแย่งงานของอีกฝ่ายมาทำ ผมได้โดนเกลียดไปยันลูกผมคลอดแน่ๆ

     

              “...แต่.... ผมยังไม่ได้บอกใครเลยนะครับ พี่มินซอกก็ไม่ได้บอกเลย.. คือผมจะมาบอกพี่ไว้ก่อน เผื่อว่าเขาสนใจ พี่จะได้ไปบอกประธานเอาไว้ ให้ประธานไปบอกกับฝ่ายแอดอีกที ให้เขาเข้าใจว่าเป็นประธานที่ติดต่อกับบริษัทปาร์คชานยอลไปน่ะครับ”

              ผมร่ายยาวทีเดียวแล้วหายใจหอบหนักตอนช่วงท้ายๆ แน่ละว่าผมไปบอกกับใครไม่ได้เลยว่าเป็นคนติดต่อเรื่องนี้เอง แล้วก็บอกใครไม่ได้อีกว่าผมรู้จักและสนิทกับปาร์คชานยอลมากแค่ไหน เพราะนอกจากมันจะไม่ช่วยอะไรแล้ว มันยังทำลายงานและทำลายชีวิตของเราทั้งคู่อีกด้วย แย่สองต่อแบบนี้ใครเขาจะยอมบอกกันละครับ ความภาคภูมิใจเพราะเพื่อนสนิทเป็นนักร้องที่มีชื่อเสียงมันกินกันไม่ได้หรอกนะ

     

              “ค่อยยังชั่วไปหน่อย พี่ก็นึกว่าเราไปบอกฝ่ายแอดไว้แล้ว .. จำไว้นะจงแด อย่าทำอะไรเกินหน้าที่อีก แค่เราเป็นฝ่ายบุคคลเขาก็เกลียดขี้หน้าเรามากพออยู่แล้ว ยิ่งไปแย่งหน้าแย่งงานเขามาทำ เขาจะยิ่งแค้นเกลียดเราเข้ากระดูกดำไปใหญ่นะ”

              ผมขานครับๆอย่างเชื่อฟัง ตั้งแต่ผมเข้ามาทำงานในบริษัทนี้ พี่จุนมยอนก็มักจะเตือนผมเหมือนกับพ่อคนที่สองเสมอ แผนกของเราก็มีอยู่แค่สี่คน ยิ่งไปยุ่งเกี่ยวกับหน้าที่การงานชาวบ้านเช่น ต้องมานั่งพิจารณาโบนัสอย่างนี้ คนก็มักจะเกลียดเราตั้งแต่ได้ตำแหน่งในฝ่ายบุคคลอยู่แล้ว พี่จุนมยอนมักจะห่วงคนในแผนกเราเสมอ โดยเฉพาะผมเป็นพิเศษ แต่นั่นก็ไม่ได้เพราะว่าพี่แกพิศวาสอะไรแบบนั้นกับผมหรอกนะ แต่เพราะว่าผมเป็นเด็กใหม่แล้วชอบทำอะไรเปิ่นๆให้แผนกเราเสียชื่อเสียงอยู่บ่อยๆ(ภูมิใจทันไหมเนี่ย)

     

              “รับทราบครับทั่นหัวหน้า! ผมไปทำงานแล้วนะครับ ดูแลตัวเองด้วย พี่มินซอกฝากมาบอกว่า ลุงในห้องอย่าเหี่ยวตายไปก่อนงานแต่งงานพี่แกซะก่อนนะครับ เจอกันครับ”

              ผมตะเบะก่อนจะหยอกเล็กๆน้อยๆให้พี่แกหายเครียด ทีนี้ก็เหลือแค่เอากาแฟที่เหลืออีกแก้วนึงไปให้อีกคนที่แผนกของผม เจ้าจงอินเป็นเด็กน้อยที่มีประสบการณ์เยอะเหลือเชื่อ เข้ามาทำงานก่อนผมได้สามเดือน แต่กลับทำงานเก่งกว่าผมตั้งหลายด้าน ถึงแม้จะชอบมาสายแล้วทำหน้ามึนอยู่เรื่อย แต่ถ้าถามถึงการทำงานของจงอินล่ะก้อ เก่งกว่าผมหลายเท่าเลยครับ ไม่อยากจะโม้ให้หมอนั่นเล้ย

     

              “จงอินอา! พี่ซื้อกาแฟมาฝากนายล่ะ นอนดึกอีกแล้วสิท่า”

              ผมวางแก้วกาแฟของจงอินไว้ที่ด้านขวาของเขา เขากล่าวขอบคุณเบาๆก่อนจะให้ความสนใจกับสิ่งที่อยู่บนจอคอมพิวเตอร์มากกว่า แต่เอาจริงๆแล้วก็ดูเหมือนกำลังมองผ่านๆเท่านั้นแหละ ใครก็พอจะมองออกว่าเจ้านี่น่ะง่วงแค่ไหน พี่จุนมยอนบ่นไปสิบกว่ารอบแล้วในแต่ละวัน

              ด้วยความที่ผมหมั่นเขี้ยวแล้วก็รักจงอินมากเลยแอบยื่นมือไปบิดแก้มนิ่มๆนั่นสักหน่อย เจ้านั่นหันมามองผมตาขวางก่อนจะเบะปากเล็กน้อย ดึงดันจะทำแม้จะไม่เข้ากับหน้าตัวเองก็ตามที ตลกดีเหมือนกันแหะผมเลยขำเจ้านั่นไปเล็กน้อยก่อนจะละไปนั่งจุมปุ้กอยู่ที่โต๊ะประจำตำแหน่งของตัวเอง เช้าวันนี้มีความสุขดีจัง!

     

              ผมพิมพ์อะไรไปเรื่อยๆ สักพักนาฬิกาก็ดันบอกเวลาว่าถึงพักเที่ยงแล้วซะงั้น แปลกดีเหมือนกันที่เวลาในแต่ละวันของผมผ่านไปเร็วเหลือเกิน บางครั้งยังคิดเลยว่ากำลังใช้ชีวิตในแต่ละวันไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ ผมกดปิดหน้าจอของเครื่องคอมพิวเตอร์ก่อนจะหันไปชวนพี่มินซอกและจงอินที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันให้ไปกินข้าวเที่ยงด้วยกัน พี่มินซอกตอบรับก่อนจะปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์ลงด้วยเหมือนกัน ส่วนจงอินน่ะก็เสร็จเรียบร้อยตั้งแต่ผมยังไม่ได้เอ่ยปากชวนด้วยซ้ำ

              ผมชำเลืองมองไปทางฝั่งประตูห้องทำงานของพี่จุนมยอนที่ดูปิดสนิทและไม่มีใครอยู่ในนั้น เห็นพี่มินซอกบอกว่าพี่จุนมยอนออกไปประชุมกับประธานแล้วต้องแนะนำอะไรใหม่ๆให้กับผู้จัดการฝ่ายแอดคนใหม่ด้วยเลยคงไมได้ไปทานข้าวด้วยกัน ผมกลั้วขำเพราะรู้ดีว่าพี่จุนมยอนจะต้องวุ่นวายมากแน่ๆถึงขนาดลืมปิดไฟในห้องไว้ขนาดนั้น

              อย่างที่ผมบอกว่าเพราะเราทั้งสี่คนทำงานฝ่ายบุคคล คนแผนกอื่นเลยไม่ค่อยถูกกับเรามากเท่าไหร่นัก(เพราะชอบไปยุ่งกับเงินเดือนเขาอยู่เรื่อย เห็นพี่จุนมยอนว่ามาอย่างนั้น) เลยไม่ค่อยมีคนแผนกไหนต้อนรับเราเวลาเราจะไปกินข้าวซักเท่าไหร่ แต่เหมือนว่าเรื่องจิ้บจ๊อยแค่นี้ไม่ได้ระแคะระคายอะไรจงอินและพี่มินซอกเลยซักนิด เพราะทั้งคู่ไม่สนใจเลยว่าเวลาเดินผ่านจะได้ยินเสียงนินทาอะไรจากคนรอบข้างบ้าง แน่นอนว่าเป็นเรื่องปกติที่ต้องโดนนินทา ตอนแรกผมเองก็ไม่ค่อยชิน จนกระทั่งอยู่ไปนานๆเข้านี่แหละถึงพอรู้บ้างว่าโดนนินทาอะไรไว้บ้าง พอรู้อย่างนั้นก็ไม่ค่อยจะจริงจังเท่าไหร่ เพราะแต่ละเรื่องที่โดนว่ามักจะเป็นเรื่องเด็กๆเสมอ

     

              “กินอะไรดีเรา?”

              พี่มินซอกเอ่ยถามในขณะที่เรากำลังจะกดลิฟต์ลงไปชั้นล่างของบริษัท ปัญหาหนึ่งในเวลาทำงานคือการคิดเมนูอาหารกลางวันนี่แหละ ผมว่า เครียดกว่าโดนนินทาเยอะ

              “ผมเบื่อข้าวในโรงอาหารแล้วอะพี่”

              เจ้าจงอินพูดออกมาอย่างเนือยๆ  คงจะเบื่อจริงๆอย่างที่เจ้าตัวว่า เพราะนอกจากไม่อร่อยแล้ว ยังได้น้อยมากเหลือเชื่อ (พี่จุนมยอนเกือบจะทำเรื่องยื่นไปถึงประธานแล้ว แต่มาคิดดูอีกทีมันก็คงไม่มีประโยชน์อะไรอยู่แล้ว)

     

              “พี่ก็เบื่อ ถึงได้ถามไงเล่า”

              “ไปกินจัมปงกันดีไหม? เห็นว่ามีร้านแนะนำนะ ไปเถอะๆ”

              ทั้งคู่หันมามองหน้าผมด้วยสีหน้าไม่ค่อยดี แต่สุดท้ายแล้วพี่มินซอกก็ถอนหายใจอย่างเหนื่อยๆแล้วตกลงไปกับผมจนได้

     

              “จัมปงก็ยังดีกว่าข้าวราดแกงกะหรี่ที่กินมาทั้งสัปดาห์ล่ะกัน”

              สุดท้ายแล้วเมนูอาหารสุดเพอร์เฟคท์ของเราก็ไปตกเป็นของจัมปงจนได้

     

     

     

              พวกเรากลับมาถึงที่ทำงานก่อนหมดเวลาพักเที่ยงตั้งครึ่งชั่วโมง เพราะร้านอาหารที่เราไปกินนั้นอยู่ไม่ไกล แล้วก็รอไม่นานอาหารก็นำมาเสิร์ฟจึงใช้เวลาไม่นานนัก พอมาถึงที่ทำงานที่ต่างฝ่ายต่างก็มีงานต้องทำเลยต่างฝ่ายต่างจดจ่อกับงานที่อยู่ในมือ เพราะรู้ดีว่ายิ่งงานเสร็จเร็วมากเท่าไหร่ เวลาว่างของพวกเราก็เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น

              พี่มินซอกตะโกนร้องเสียงดังลั่นแผนกเมื่อรู้ตัวว่าดันลืมกระเป๋าตังค์ไว้ที่ร้านจัมปง เจ้าตัวร้อนรนจนผมแอบเป็นห่วงไม่ได้ พี่มินซอกชอบลืมตลอด ไม่ว่าจะสำคัญหรือไม่สำคัญ แต่อย่างนั้นจงอินก็อาสาออกไปที่ร้านเก่าเป็นเพื่อนกับพี่มินซอกเพื่อไปช่วยให้หากระเป๋าตังค์เจอ ส่วนตัวผมก็โดนบังคับให้อยู่เฝ้าแผนกต่อไป เผื่อว่าเวลาไหนมีใครเข้าเอางานมาให้แล้วจะมองว่าฝ่ายบุคคลอู้งานกันหมด

              ก่อนที่พี่มินซอกจะออกจากห้องของแผนก โทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้นพร้อมกับเบอร์โทรของพี่จุนมยอนที่ขึ้นโชว์ว่าเจ้าตัวกำลังต่อสายถึงผม ผมกดรับอย่างชั่งใจนักเพราะพี่จุนมยอนนานๆทีถึงจะโทรหาลูกน้องแบบนี้ ไม่โดนใช้งานก็ต้องโทรตามมาด่า แล้วยิ่งถ้ารู้ว่าพี่มินซอกลืมโทรศัพท์ไว้แบบนี้ มีหวังเจ้าตัวได้บ่นจนหูชากันไปข้างแน่ๆ แต่คงไม่น่าจะโดนบ่นเรื่องนี้เพราะว่านอกจากในแผนกแล้วก็ยังไม่เห็นจะมีใครรับรู้ซักคน

             

    จงแดอา... มีใครจะออกไปข้างนอกหรือเปล่า?

              ผมหันไปสบตากับพี่มินซอกก่อนจะกลืนน้ำลายลงคอดังเอื้อก

              “เอ่อ...มีครับ คือพี่มินซอก..”

              งั้นดีเลย ฝากมินซอกไปสั่งแล้วก็รอเอาช่อดอกไม้ให้พี่ที มันเป็นช่อดอกไม้แสดงความยินดีกับตำแหน่งใหม่ของคุณจางเขาหน่ะ ขอดอกไฮเดรนเยียแล้วกันนะ โทนสีม่วงหน่อยละคุณจางเขาชอบ

              ผมพยักหน้าก่อนจะจดรายละเอียดลงบนโพสต์อิท คุณจางที่ว่าคงจะเป็นผู้จัดการฝ่ายแอดคนใหม่ ดูท่าว่าน่าจะรู้จักกับพี่จุนมยอนอยู่แล้วพอตัว หลังจากนั้นก็ยื่นโพสต์อิทนั่นให้พี่มินซอก เจ้าตัวเองก็รับไปอย่างโล่งอก เพราะนึกว่าจะต้องโดนบ่นจนหูชาไปอีกราย

              ฝากบอกมินซอกด้วยนะว่าให้ออกค่าดอกไม้ไปก่อน เดี๋ยวไว้ฉันกลับไปที่ออฟฟิศแล้วจะเอาไปคืน ขอบคุณมากนะ บอกมินซอกด้วยว่าคุณจางเป็นเพื่อนสมัยไฮสคูลนะ เดี๋ยวมินซอกเขาก็คงจะรู้เองล่ะมั้ง ฝากเฝ้าของในห้องฉันด้วยละจงแด

              ผมขานรับก่อนจะวางโทรศัพท์ลง พี่มินซอกกับจงอินเองก็ยังไม่ออกจากห้องเพราะรอฟังคำพูดจากผมอยู่ ผมหันไปยิ้มให้ทั้งคู่ก่อนจะพูดออกมาแบบเจื่อนๆ

              “พี่จุนมยอนบอกว่าให้พี่มินซอกออกค่าดอกไม้ก่อนเลยครับ เดี๋ยวเขาเอามาคืน แล้วเขาก็พูดอะไรไม่รู้ทำนองว่าคุณจางเป็นเพื่อนที่ไฮสคูลหรืออะไรซักอย่างนี่ละครับ”

              พี่มินซอกพยักหน้าเล็กน้อยแล้วก็ออกจากห้องไป ผมมองตามคนทั้งคู่แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ทุกคนก็มีงานทำกันหมดแล้วผมจะทำอะไรดีละทีนี้

     

              พี่มินซอกกลับมาพร้อมช่อดอกไม้อันใหญ่ พอผมถามถึงเรื่องรายละเอียดของกระเป๋าตังค์ที่ลืมเอาไว้ พี่มินซอกก็ยิ้มกว้างพร้อมบอกว่าเจ้าของร้านเป็นคนใจดี เธอเก็บกระเป๋าตังค์เอาไว้ให้พวกผมแถมเงินในกระเป๋าก็ยังอยู่ครบซะจนโล่งอก พี่มินซอกยกช่อดอกไม้อันใหญ่อันโตเข้าไปในห้องของพี่จุนมยอน ผมคิดว่าคงเอาไปเก็บไว้ อาจจะเพราะสำหรับงานเลี้ยงคืนนี้ เพราะส่วนใหญ่เวลาตำแหน่งใหญ่ๆมีใครเข้ามาทำงานใหม่ก็มักจะมีงานเลี้ยงต้อนรับเสมอ โชคดีที่ผมเป็นแค่พนักงานต๊อกต๋อย ไม่ต้องออกงานสังคมอะไรขนาดนั้น

              ผมหันไปมองประตูของแผนกถูกเปิดด้วยพี่จุนมยอนที่มาพร้อมกับผู้ชายแปลกหน้าที่ยืนเกๆกังๆอยู่ตรงหน้าประตู คงจะเป็นคุณจางผู้จัดการฝ่ายแอดคนใหม่ที่พี่จุนมยอนพูดถึง มาเร็วเคลมเร็วจริงๆ ผมยิ้มทักทายแล้วโค้งหัวให้ตามปกติ

     

              “นี่แผนกเรานะ นี่จงแด นี่จงอิน ส่วนนี่มินซอกคิดว่าคงจะจำได้ เดี๋ยวชิงรอเราตรงนี้ก่อนนะ เราไปเอาของในห้องก่อน”

              คุณจางยิ้มบางๆให้กับทุกคน อิจฉาเขาชะมัดที่มีลักยิ้มสวยๆแบบนั้นได้ ส่วนผมนี่ไม่มีอะไรจะดึงดูดใจและเป็นเอกลักษณ์เลยซักนิดเดียว

              “จงแด ฝากแยกประเภทจดหมายร้องเรียนทีนะ พี่ต้องไปทานข้าวกับประธานซักหน่อย นี่คุณจางผู้จัดการคนใหม่ฝ่ายแอดนะ พี่ไปละ ฝากด้วย”

              “ครับ ทานข้าวให้อร่อยนะครับ”

              ผมยิ้มรับคำขอของพี่จุนมยอนด้วยจิตใจที่แสนจะห่อเหี่ยวเป็นที่สุด เพราะนอกจากว่างานที่พี่จุนมยอนจะฝากให้ทำเป็นงานที่น่าปวดหัวและวุ่นวาย จดหมายร้องเรียนของเดือนนี้ก็ดันมีมากกว่าที่เคยมีมา หยิบกระดาษแต่ละแผ่นที่เขียนด้วยลายมือไก่เขี่ยของพนักงานแต่ละคนแล้วก็รู้สึกชื้นๆที่ขอบตาซะอย่างนั้น

     

              นี่คนในบริษัทเป็นประจำเดือนกันซะทุกคนเลยหรือไงนะ!



     

    สารลับจาก , jundae

    ใครบางคนกำลังมีปัญหาซะแล้ว .. แยกเอกสารนี่งานร่างเพลียเลยนะ
    เปิดมาตอนแรกจงแดน้อยก็บ่นปอดแปดซะแล้ว ... สู้นะงานนี้
    อยากจะบอกว่ายู้ฮู้ เรื่องนี้อาจจะดูดำเนินเรื่องเร็ว(ส่วนตัวคิดว่าเร็วมากค่ะ)
    แต่ว่าก็อยากจะบอกว่า .. ความรักของทั้งคู่อุปสรรคเยอะมากค่ะ
    LOL #เผลอๆเปลี่ยนคู่กลางคันเงี้ย 55555555
    เอาเป็นว่าขอบคุณทุกกำลังใจ ทุกเสียงโหวตนะคะ แล้วก็ถ้าว่างๆเราจะมาต่อตอนต่อไปให้เลยนะคะ รักทุกคนเลย <3

     

    #cantcc

    ความคิดเห็น

    ×