ลำดับตอนที่ #6
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : Contrast | 5th ; Brother
|
Contrast
| 5th ; Brother
pairing : Junhong x Daehyun (Lodae)
rated : ??
note : อืม...ขอโทษนะคะที่มาอัพให้ช้า พอดีว่าติดภารกิจไปอยู่ต่างจังหวัดแล้วดันลืมเอาแฟลชไดร์ฝที่เก็บเรื่องนี้ไปด้วย อีกทั้งยังต้องเลี้ยงหลานเลยไม่มีเวลามาเขียน มาคราวนี้เลยยาวเลยไปถึงสี่พันกว่าคำเลยทีเดียวเชียว .... ยังไงก็ขอขอบคุณคนที่ติดตามเรื่องสั้นที่เหมือนจะยาวเรื่องนี้ ข่าวดีคืออีกสองตอนเรื่องนี้จะจบแล้ว และเราก็อาจจะเขียนสเปเชี่ยลความรู้สึกของจูนง + ความสัมพันธ์ในวัยเด็กให้นะคะถ้าไม่ติดภาระอะไร สุดท้าย ขอบคุณจริงๆนะคะ♥
เสียงของเข็มนาฬิกาข้างฝาผนังบ้านยังคงเดินอยู่อย่างนั้นตามหน้าที่ของมัน ลมพัดผ่านหน้าต่างที่เปิดอ้าเอาไว้เพื่อต้อนรับ
กลิ่นไอของลมเย็นๆหลังจากฝนตก ทุกอย่างภายในห้องนี้ล้วนตกอยู่ในความเงียบ มีเพียงแค่เสียงของเข็มนาฬิกาและเสียง
แผ่วเบาเมื่อยามลมกระทบกับหน้าต่างไม้เพียงเท่านั้น
ไม่มีแม้กระทั่งเสียงสะอื้นของใครบางคนที่ยังคงนอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนเตียงนอน
ตั้งแต่พี่ฮิมชานขอตัวออกไปข้างนอกเพราะมีเหตุธุระเร่งด่วน ฝ่ายจุนฮงเองก็ยังคงนอนฟุบหน้าของตนลงบนหมอนอยู่อย่าง
นั้น หยาดน้ำที่ไหลรินลงจากหางตาก็ถูกดูดซับจนเหลือแต่เพียงความรู้สึกเปียกชื้นบนหมอนใบนั้น หากแต่ทว่าภายในหัว
สมองของจุนฮงกลับว่างเปล่า ทุกอย่างเป็นสีขาวโพลน ไม่มีสติการรับรู้อะไร ถ้าหากเลือกที่จะเป็นไปได้ จุนฮงก็อยากที่จะ
นอนอยู่อย่างนี้ไปตลอดทั้งชีวิตของเขา ไม่ต้องมารับรู้ ไม่ต้องมาตกอยู่ในความทุกข์ทรมาณ ไม่ต้องตกอยู่ในหลุมที่เขาเป็น
คนขุดมันขึ้นมาเอง
ความรู้สึกของจุนฮงเหมือนทุกแช่แข็งเอาไว้จนกระทั่งมีฝ่ามือนุ่มอันอบอุ่นของใครบางคนที่คอยปลอบประโลมเขาด้วยการ
ลูบกลุ่มผมสีควันบุหรี่ของเขาขึ้นลงไปมา สัมผัสที่คุ้นเคย ความรักที่ถูกส่งผ่านฝ่ามือนั้นทำให้ความรู้สึกที่จุนฮงกดทับและปิด
กั้นเอาไว้ พากันตีตื้นขึ้นมาทำเอาเขารู้สึกตื้นตันอยู่ที่คอ ก้อนสะอื้นนั่นจุกตันอยู่ที่ลำคอของเขาอย่างห้ามไม่ได้
ฝ่ามือของจุนฮงที่เคยกอดหมอนใบนั้นแน่นคลายออกก่อนจะเลื่อนไปกอดเอวของอีกฝ่ายไว้อย่างหลวมๆอย่างอัตโนมัติ
ใบหน้าของจุนฮงถูกใครคนนั้นยกขึ้นมาจากหมอนและถูกยกมาวางให้ฟุบลงบนตักนุ่มของเขา มือที่กอดเอวไว้อย่างหลวมๆ
ก็เริ่มกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น และจุนฮงก็รู้สึกถึงความเย็นที่ไหลรินลงจากหางตาอีกแล้ว
“ร้องไห้ทำไมหืม?”
น้ำเสียงหวานๆที่จุนฮงรู้ดีว่าต่อให้ต้องฟังเป็นพันๆครั้งต่อวันเขาก็ไม่มีวันเบื่อแน่นอน เอ่ยถามทำลายความเงียบ จุนฮงที่
ได้ทีก็ส่ายหัวไปมาแต่ก็ไม่วายเพิ่มแรงกระชับอ้อมกอดนั่นอยู่ดี
“เด็กดื้อ”
“ผมไมได้ดื้อสักหน่อย”
ชายหนุ่มตอบเสียงในลำคออู้อี้ หญิงสาวมีอายุที่ลูบกลุ่มผมสีเทาอมควันบุหรี่ของคนที่เป็นยอดดวงใจของเธอก็ยกยิ้มบาง
เธอเลื่อนมืออีกข้างที่ใช้ยันตัวเอาไว้ตีลงไปที่แผ่นหลังกว้างของชายหนุ่มเบาๆ
“พี่ฮิมชานเขาบอกมาหมดทุกอย่างแล้วนะ”
พอได้ยินอย่างที่อีกฝ่ายบอก จุนฮงก็รีบยู่หน้าอย่างเอาแต่ใจก่อนจะฝังใบหน้าลงกับตักนุ่มนั่นอย่างไม่มีวี่แววว่าจะเงยหน้า
มองผู้พูดเลยสักนิด หญิงสาวนึกขบขันในอุปนิสัยของคนเป็นลูกที่ติดตัวมาตั้งแต่เด็กจนโต
“ทำไมไม่เงยหน้ามาคุยกับแม่ดีๆล่ะจุนฮง?”
พูดเสร็จก็ดันใบหน้าของคนเป็นลูกให้เงยขึ้นจากหน้าตักของตน ใบหน้าของจุนฮงดูซีดและดูโทรม แต่ถึงกระนั้นอย่างไรจุน
ฮงก็ยังดูดีมากจริงๆ ใบหน้าหล่อเหลาของเจ้าลูกชายของคุณนายชเวนั้นดูเศร้าหมอง ปลายหางตาทั้งสองข้างมีเพียงรอย
หยาดน้ำตา ทำให้เธอรู้สึกเจ็บแปลบเหมือนไฟฟ้าแล่บปะทะกันอยู่ในก้อนเนื้อข้างซ้าย ตรงอก ตรงหัวใจดวงนี้
“แม่เคยบอกไว้ว่ายังไงหน่ะหืม? ไม่ชอบเขาก็ไม่ต้องไปยุ่งกับเขาสิลูก”
จุนฮงยู่ปากเพราะโดนขัดใจ ชายหนุ่มทำท่าจะทิ้งตัวนอนซบลงบนตักของผู้เป็นมารดาอีกครั้งเพื่อหลบหลีกสายตาที่ดูทำท่า
เหมือนจะจับผิดเขาเสียเข้าเต็มประดา จุนฮงไม่อยากยอมรับว่าในเรื่องนี้คนที่เป็นคนผิดก็คือเขา เขาไม่อยากโดนมองว่า
เป็นเด็กไร้เหตุผลอีกแล้ว
“หยุดเลยๆ ถ้านอนฟุบตักแม่ แม่ตีจริงๆด้วยนะ”
น้ำเสียงแกมดุพร้อมมือที่ง้างขึ้นเบาๆนั้นทำเอาจุนฮงต้องสะดุ้ง ก่อนจะยอมเงยหน้ามองคนเป็นมารดาดีๆ ช่วงไหล่กว้างๆ
นั้นลู่ตกลงต่ำ สีหน้าแลดูไม่คอยมีอารมณ์ขบขันเสียเท่าไหร่
คนเป็นมารดาที่คอยเฝ้าถนุถนอมลูกรักมาตั้งแต่เด็ก พอเห็นสภาพของจุนฮงก็ทำได้เพียงโผเข้ากอดด้วยความอาทร สอง
มือที่คอยเลี้ยงมาตั้งแต่เล็กๆก็เลื่อนขึ้นลงลูบแผ่นหลังกว้างของลูก ถึงแม้ขนาดตัวของจุนฮงจะโตกว่าเธอมากเพียงแค่ไหน
จุนฮงก็เปรียบเสมือนเด็กตัวเล็กๆ มักจะร้องไห้เวลาโดนกลั่นแกล้ง อยากโตเป็นผู้ใหญ่แต่ไม่รู้จะเดินทางไหน
“ผมเลิกยุ่งกับเขาไม่ได้...”
มือข้างขวาที่เคยลูบขึ้นลงปลอบประโลมจุนฮงหยุดชะงักเพียงครู่ แววตาของหญิงสาวมีอายุไหววูบเล็กน้อย เธอยกยิ้มให้ตัว
เองเพียงบางเบาราวกับตอกย้ำถึงความโง่เขลาของตนเองในครานั้น แต่ก็ต้องกลับไปยิ้มอบอุ่นอ่อนโยนเหมือนที่เคยเป็น
เมื่อเพิ่งรู้สึกตัวว่าเผลอหลุดอะไรออกไป
“แต่จุนฮง ... สักวันเราก็ต้องปล่อยเขาไป รั้งเขาไว้กับเราทั้งชีวิตไม่ได้หรอกนะลูก เข้าใจใช่มั้ย?”
“ครับ.. สักวันผมจะต้องปล่อยมือจากเขาไปให้ได้”
จุนฮงเชื่อว่าอย่างนั้น ...
และคนเป็นมารดาอย่างเธอเองก็ได้แต่ภาวนาให้วันนั้นมันเดินทางมาถึงไวๆ ก็แค่เท่านั้น ....
ยองแจก้มมองนาฬิกาข้อมือสลับกับมองคนเป็นเพื่อนที่นั่งตรงกันข้ามกับตนไปมา แดฮยอนนิ่งเงียบมากกว่าที่เคยเป็น
ดวงตากลมโตนั้นเพียงแค่เสมองไปยังแก้วกาแฟกระดาษตรงหน้า ร่างกายของแดฮยอนกลับไม่ขยับไหวติงเหมือนอย่างที่
คุณหมอ นางพยาบาล และเจ้าหน้าที่ภายในโรงพยาบาลนี้กำลังวิ่งวุ่นตามหาคนเป็นมารดาของแดฮยอนให้ทั่วโรงพยาบาล
นี่ก็เป็นเวลาเกือบสามชั่วโมงแล้วตั้งแต่เขามาเหยียบอยู่บนพื้นของโรงพยาบาล และก็เป็นเวลาอีกเกือบสามชั่วโมงเช่นกันที่
แดฮยอนยังคงนั่งไม่ไหวติงอย่างนี้ตรงข้ามกันกับเขา ยองแจรู้สึกอึดอัดแบบแปลกๆ เพราะถ้าหากเป็นคนที่เขารู้จัก เก้าสิบ
เปอร์เซ็นต์แน่ๆคงไม่มีใครมานั่งนิ่งไม่ไหวติงในยามที่คนเป็นแม่ที่รักและเฝ้าคอยดูแลหายไปทั้งคนแบบนี้ได้หรอก แต่พอ
เป็นแดฮยอนที่นั่งนิ่ง ยองแจกลับรู้สึกเหมือนว่าแดฮยอนรับรู้อยู่แล้วว่าแม่ของตนหายไปไหน อยู่กับใคร เพียงแต่ทว่าแด
ฮยอนแค่ยังไม่มั่นใจก็เท่านั้น
ทำไมไม่พูดออกมากันนะ ..
“แดฮยอน ... ถ้านายยังคิดว่าเราเป็นเพื่อนกันอยู่”
“....”
“คิดอะไรก็พูดออกมาบอกกันหน่อยได้มั้ย?”
สุดท้ายแล้วยองแจก็ทนไม่ไหว เส้นความอดทนที่ไม่อยากก้าวก่ายเข้าไปในโลกใบนั้นของแดฮยอนก็พังทลาย เขาตัดสินใจ
เอ่ยคำถามที่ค้างคามาในใจของเขาตลอดตั้งแต่นั่งอยู่ตรงนี้ เขาไม่สนใจอะไรอีกแล้วไม่ว่าแดฮยอนจะมองว่าเขาเป็นคน
วุ่นวาย ยุ่งไม่เข้าเรื่อง หรือรังเกียจเขาไปแล้ว เขาก็แค่อยากพิสูจน์ให้แดฮยอนรู้สักทีว่าบางทีการคิดว่าตัวเองอยู่คนเดียวบน
โลกแล้วต้องแบกอะไรล้านแปดก็ไม่ใช่หนทางเดียวที่เหลืออยู่บนทางเลือกของแดฮยอน เขายังอยู่ตรงนี้ ยูยองแจคนนี้ยังคง
อยู่ตรงนี้เสมอ ข้างๆแดฮยอนตรงนี้นี่เอง
“ยองแจ...”
เสียงของแดฮยอนที่เรียกชื่อของเขาทำเอายองแจเกือบสำลักกาแฟ ชายหนุ่มรีบวางถ้วยแก้วกาแฟที่เพิ่งยกมาจิบเมื่อกี๊ลง
ทันที ดวงตากลมโตของแดฮยอนที่เคยเอาแต่จ้องมองแก้วกาแฟของตนเลื่อนมามองหน้าคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิท
“อะไรหรอแดฮยอน?”
แดฮยอนเสมองออกทางนอกหน้าต่างอย่างครุ่นคิดว่าจะพูดในสิ่งที่ค้างคาใจของตนเองมาตลอดทั้งชีวิตนี้กับเพื่อนของตน
ดีหรือไม่ หัวใจของเขาไม่อยากจะให้ยองแจต้องมายุ่งกับเรื่องคาวๆแบบนี้ แต่ถ้าหาก..
ถ้าหากว่าเขายังขืนเก็บมันไว้กับตัวเอง พอถึงวันที่ความลับต้องเปิดเผย .. เขาก็อาจจะไม่เหลือใคร
เขาไม่อยากทำร้ายยองแจอีกแล้ว ... เขาไม่อยากทำร้ายยองแจเพื่อนรักของเขาอีกแล้ว
“ถ้านายมีคนที่นายรักสองคน ... แต่ตัวของนายมีหน้าที่ที่จะต้องกุมความลับเอาไว้”
“....”
“พอถึงวันนึงที่นายจะต้องเลือกระหว่างรักษาคนที่นายรัก ด้วยการที่จะต้องเปิดเผยความลับให้อีกคนรู้”
“....”
“โดยที่ความลับนั้นถ้าเผยแพร่ออกไปก็เท่ากับว่า ทำลายอีกคนที่ยังไม่รู้ให้เจ็บปวดเหมือนตายทั้งเป็น”
“.....”
“นายจะยอมมั้ย? กับการที่จะทำให้คนคนนึงที่นายรักเขามากนั้นต้องเหมือนตายทั้งเป็นหน่ะ”
ถ้ายองแจไม่ได้ตาฝาดไปจริงๆ เขาเองก็คงจะรู้สึกได้ว่ามือของแดฮยอนที่เลื่อนมากุมมือของเขาเมื่อสักครู่นี้เริ่มมีอาการสั่น
ไหวเล็กน้อย ดวงตากลมโตของแดฮยอนก็แอบมีน้ำใสๆคลออยู่ที่หน่วยเบ้าตา ก่อนที่น้ำสีใสนั้นจะหายไปเพราะเจ้าตัวกระ
พริบตาถี่เพื่อไล่มันออกไป ยองแจคงไม่ได้ตาฝาดไปจริงๆว่าเขาเกือบเห็นแดฮยอนร้องไห้ เขาเกือบเห็นหยดน้ำตาของแด
ฮยอน และเขาก็กำลังเห็นแดฮยอนในมุมที่เจ้าตัวปิดซ่อนไว้มานาน
“ถ้ามันเป็นสิ่งที่ฉันควรจะทำ ... ฉันก็จะทำนะ”
ชายหนุ่มยิ้มกว้างให้กำลังใจอีกฝ่ายก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นคนที่กุมมือคู่นั้นไว้เอง เขาหวังว่าความรู้สึกเป็นห่วงของเขาจะพอ
ส่งผ่านไปถึงหัวใจของแดฮยอนได้ ความรักของเขาที่มอบให้แดฮยอนนั้นแม้จะไม่มากมาย เพราะเขาไม่ได้ต้องการให้อีก
ฝ่ายรับรักและไปถึงขั้นต้องตกลงคบกัน แค่แดฮยอนยอมเปิดอีกด้านหนึ่งให้เพื่อนอย่างเขา แค่นั้นเขาก็ไม่ขออะไรมากอีก
แล้ว
“ถ้างั้น...นายพอจะไปที่ที่หนึ่งกับฉันได้หรือเปล่า?”
เพราะว่าเป็นห่วง เชื่อใจ และหวังอยากให้แดฮยอนกลับมาเป็นคนสดใสเหมือนเดิม ยองแจจึงเป็นฝ่ายอาสาขับรถมาตาม
เส้นทางที่แดฮยอนบอก สถานที่จุดหมายปลายทางนั้นอยู่เลียบตัวเมือง ใช้เวลาอย่างน้อยก็ยี่สิบนาที เพราะยองแจเป็นคนที่
มักใช้สมาธิเวลาขับรถ และแดฮยอนก็มักจะเป็นคนที่ไม่ชอบพูดอะไรให้มากความอยู่แล้ว ความเงียบจึงเข้ามาปกคลุม
บรรยากาศภายในรถยานพาหนะที่ยองแจต้องเดินกลับไปเอาถึงหอพักส่วนตัว
แดฮยอนมองวิวนอกหน้าต่างและแสงของดวงอาทิตย์ที่เริ่มจะตกลับจากขอบฟ้าลงเรื่อยๆ ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากตนเอง
อย่างใช้ความคิด ก่อนจะตัดสินใจคว้าเอาโทรศัพท์เครื่องมือสื่อสารกดหมายเลขปลายทางสิบหลักไปยังเบอร์ของใครคนนั้น
นิ้วโป้งของแดฮยอนชะงักค้างเติ่งกลางอากาศ อยู่ที่ว่าเขาจะตัดสินใจโทรหรือไม่โทร ..
เป็นเพราะแดฮยอนเลือกที่จะตัดสินใจอะไรแล้วก็ต้องทำจริงๆ และในเวลานี้ที่ความใจดีของใครคนนั้นหมดไปแล้วสำหรับ
เขา เขาก็คงไม่มีทางเลือกไหนอีกต่อไป ปลายนิ้วของเขาจึงจรดกดลงบนหน้าจอที่โชว์ปุ่มโทรออกอยู่ เขานับหนึ่งถึงสามใน
ใจก่อนจะยกโทรศัพท์สื่อสารนั่นขึ้นชิดแนบหู
“สวัสดีครับ ผมจองแดฮยอน ถ้าหากไม่เป็นการรบกวน...”
“ผมว่าเราคงมีเรื่องที่จะต้องคุยกันแล้วครับ ช่วยพาบุคคลที่เกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดนี่ไปพบกันที่โกดังของบ้านคุณด้วยนะ
ครับ”
“หวังว่าคุณคงรู้ความต้องการของผม ผมไม่ได้ออกมาเรียกร้อง แค่อยากให้จุนฮงได้รับรู้ความจริงที่แสนจะเหม็นคาวนี่สักที
ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือครับ หวังว่าคุณคงเดินทางไปถึงก่อนผมนะ?”
พอได้ยินอีกฝ่ายตอบตกลงตามที่ต้องการ แดฮยอนก็รีบกดตัดสายโทรศัพท์สื่อสารทิ้งทันที หัวใจของเขาเต้นระส่ำไม่เป็น
จังหวะ เขาเองก็ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วจะมีใครอยู่เคียงข้างเขาอีกหรือไม่ หรือสุดท้ายแล้วยังไงเขาก็ต้องตกเป็นคนเลวในสายตา
ของจุนฮงอยู่ดี แต่แล้วเมื่อเขาตัดสินใจที่จะเปิดเผยให้จุนฮงรู้ เลือกที่จะเดินหันหลังให้กับวงเวียนที่แสนยุ่งเหยิงนี้ เขาก็ต้อง
ทำ
หวังว่าแม่คงจะยังปลอดภัยดีนะครับ...ผมกำลังจะทำในสิ่งที่ผมควรทำแล้วนะ
ยองแจมองโกดังเก็บเรือตรงหน้าของตนอย่างสงสัย รถคันหรูสีดำมันขลับที่จอดอยู่หน้าโกดังนั้นคุ้นตาอย่างประหลาด กลิ่น
ของน้ำมันที่ลอยคลุ้งไปทั่วทำให้เขาต้องผิดจมูกตัวเองอย่างห้ามไม่ได้ เขาหันไปมองแดฮยอนที่ยืนนิ่งอยู่ข้างๆกัน ก่อนจะ
เอ่ยถามในสิ่งที่เคลือบแคลงใจตลอดที่เดินทาง
“ที่นี่จริงๆน่ะหรอ?”
แดฮยอนหันมามองหน้ายองแจ ดวงตาของอีกฝ่ายนั้นเรียบนิ่งราวกับไม่มีความรู้สึกใดๆ ทั้งที่ความรู้สึกภายในใจของแด
ฮยอนและภายในสมองของแดฮยอนนั้นกำลังตีกันให้วุ่น หัวใจบ้า เต้นแรงเกินไปแล้ว..
“ที่นี่แหละ ที่ความลับจะต้องถูกเปิด .. แต่ถ้านายจะถามว่าแม่ของฉันอยู่ที่นี่มั้ย ฉันก็ไม่มั่นใจนะ”
แดฮยอนหันไปยิ้มกว้างให้อีกฝ่ายเพื่อเพิ่มความมั่นใจ แต่เขารู้ดีว่าความหวั่นไหวในสายตาของเขามันปิดไม่มิดนักหรอก
คนเก่งๆอย่างยองแจคงรับรู้ได้ไม่ยากว่าเขากำลังอ่อนแอ และไม่กล้าพอ
“ว่าแต่นายสัญญากับฉันได้มั้ยยองแจ?”
“หืม?”
“ว่าถ้านายรู้ความลับนี้แล้ว...นายจะไม่ทิ้งให้ฉันต้องจมอยู่กับความทุกข์นี่คนเดียวหน่ะ? นายจะไม่ปล่อยให้ฉันอยู่คนเดียว
จริงๆใช่มั้ย?”
“ได้สิ สัญญา”
สัญญาต้องเป็นสัญญา ต่อให้เป็นเพียงแค่ลมปาก แต่ยูยองแจคนนี้สัญญา ...
กลิ่นของน้ำมันและกลิ่นของเครื่องมือเครื่องใช้ กลิ่นไม้ต่างๆมากมายที่ลอยแตะจมูกทำให้ยองแจต้องเดินจะเข้าโกดังแห่งนี้
พร้อมกับมือปิดจมูก ยองแจพยายามกวาดสายตามองสถานที่ต่างๆโดยรอบ มีชายหนุ่มรูปร่างกำยำประมาณห้าถึงหกคน
ยืนคุยกันอยู่ที่ประตูหน้า ถึงแม้จะเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองมากแค่ไหน พอเห็นรูปร่างของผู้ชายห้าคนนี้แล้วยองแจ
รู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยเลยแทบจะทันที ฝ่ายชายหนุ่มที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูโกดังที่เห็นหน้าแดฮยอนก็รีบลุกขึ้นจากลังไม้ที่
ตนนั่งอยู่ ตรงปรี่เข้ามาหมายจะหาเรื่องทันที
“มาทำไม”
“ฉันมาหาเจ้านายของพวกแก”
ชายหนุ่มทั้งห้าคนมองหน้ากันเลิ่กลั่กเมื่อเห็นแดฮยอนตอบคำถามด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบราวกับไม่เกรงกลัวต่อความมี
อิทธิพลของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย คนที่ดูเหมือนจะมีอำนาจที่สุดในบรรดาหาคนก็เปรยตามองแดฮยอนตั้งแต่หัวจรดเท้า
ยองแจที่เห็นท่าไม่ดีก็รีบเข้าไปจับแขนของแดฮยอนให้ถอยห่างทันที
“มาหาใครนะ?”
แดฮยอนที่เอาแต่เพ็งมองประตูโกดังก็ต้องจิ๊ปากอย่างขัดใจก่อนจะยอมเปรยสาตามองคนที่ดูมีอิทธิพลที่สุด ริมฝีปากบางสี
สดนั้นขยับขึ้นลงช้าๆราวกับจะเน้นย้ำให้อีกฝ่ายได้รับรู้อย่างชัดเจน
“หรือจะให้ฉันต้องพูดชื่อของคุณชายชเวล่ะ?”
พอแดฮยอนพูดจบประโยค ยองแจก็เลิกคิ้วทันทีเมื่อพบว่าคนที่แดฮยอนจะมาหานั้นเป็นใคร ภายในใจแปดสิบเปอร์เซ็นต์
ของยองแจคาดว่าน่าจะเป็นพ่อของเจ้าจุนฮง เด็กน้องรหัสของฮโยซอง แฟนเก่าของเขา..
จุดไต้ตำตอชัดๆ
ชายหนุ่มผู้มีร่างกายกำยำทั้งห้าก็มองหน้ากันอย่างสื่อความหมาย สุดท้ายคนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าก็พยักเพยิดสั่งให้ลูก
น้องทั้งสองของตนเดินไปเปิดประตูโกดัง แดฮยอนที่กำลังจะเดินเข้าไปในโกดังก็ต้องหยุดเพียงชั่วครู่ เพราะคนที่ดูเหมือน
จะเป็นหัวหน้ากลับวางมือลงบนไล่ของแดฮยอนพร้อมเอ่ยเสียงเย็นเป็นการขู่เตือนกลายๆ
“ฉันหวังว่าคราวนี้ คนเลวที่แท้จริงจะถูกเปิดเผย...และคนที่ไม่เคยรับรู้อะไรเลยจะได้รับรู้สักทีนะจองแดฮยอน”
“แน่นอนพี่ชาย...”
พอเดินเข้ามาในโกดัง แสงไฟที่อยู่ภายในโกดังก็สาดส่องไปยังบุคคลที่นั่งอยู่บนโซฟาสีเลือดหมูสด เผยให้เห็นใบหน้าของ
คนที่แดฮยอนเพิ่งเจอเมื่อตอนกลางวัน พร้อมกับคุณเลขาธิการบังยงกุกที่ยืนอยู่ข้างหลังเยื้องไปทางซ้ายเล็กน้อย
พี่ยงกุก...ขอบคุณนะครับ สำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา
“คนอื่นที่ตกลงกันไว้ไปไหนหมดงั้นหรอครับ?”
แดฮยอนเอ่ยทักทันทีที่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของคุณชายชเว ส่วนอีกฝ่ายที่นั่งรออยู่บนโซฟามาได้ไม่ถึงห้านาทีก็แสยะยิ้ม
เย็นเหยียด ก่อนจะยกแก้วทรงสวยบรรจุด้วยชาอังกฤษขึ้นจิบฆ่าเวลา
“จุนฮงกำลังไปตามฮิมชาน อีกสักพักก็คงจะมา ส่วนใครคนนั้น...ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“ตลกงั้นหรอครับ?”
แดฮยอนสวนกลับทันทีเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยจบ เขารู้ดีว่าคุณชายชเวรู้ แน่นอน... จะไม่ให้รู้ได้เยี่ยงไร ก็ทำตัวติดกันมากขนาดนั้น
คิดว่าแดฮยอนโง่เง่ามากนักหรือไง หลอกกันมามากพอได้แล้ว!
“ฉันไม่รู้จริงๆ ไม่เชื่อถามเลขาของฉันได้ จริงมั้ยยงกุก?”
คุณชายชเวหันไปถามเลขาธิการหนุ่มที่ทำงานมาด้วยถึงสามปี ฝ่ายบังยงกุกที่ยืนก้มหน้าเล็กน้อยสงบนิ่งก็ต้องยอมจำนน
เงยหน้าตอบแดฮยอน น้ำเสียงจริงจังของอีกฝ่ายทำให้แดฮยอนต้องยอมปักใจเชื่อ
“จริงครับคุณท่าน... วันนี้คุณท่านยังไม่ได้คุยกับคนนั้นเลยสักคำนะแดฮยอน เชื่อพี่หน่อยเถอะ”
คงเป็นเพราะความเชื่อใจและน้ำเสียงที่จริงจังพร้อมกับดวงตาที่แสดงถึงความจริงใจ แดฮยอนจึงยอมตกลงใจเชื่อคำพูดที่
คุณชายชเวพูดเมื่อครู่ว่าไม่รู้จริงๆ เพราะแดฮยอนรู้ดีว่ายงกุกเองก็เกลียดคนตรงหน้าของเขาไม่น้อยไปกว่าเขาเลย คงไม่มี
ทางที่จะต้องทำตัวเข้าข้างกันเป็นแน่แท้
เมื่อเห็นว่ามีเวลามากพอที่จะถามอะไรบางอย่าง แดฮยอนจึงยอมสงบไม่ต่อปากต่อคำและเลือกที่จะถามถึงความเป็นจริง
ของความลับชิ้นใหม่ที่เขาเพิ่งรู้มาไม่นานและเพิ่งคิดตัดสินใจจะบอกฮิมชาน แต่กลับโดนจุนฮงทำลายไปเสียก่อนเมื่อตอน
กลางวันที่ผ่านมา แน่นอนว่าก็ต้องถามคำถามนี้กับคุณชายชเวคนเดียวเท่านั้น
ผู้ชายที่เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องแย่ๆที่เขาต้องเจอมาทั้งหมดในชีวิต ..
หวังว่าจะไม่โกหกกันนะครับ.. อย่าเห็นแก่ตัวบ่อยนักสิ
“ผมอยากจะถามอะไรหน่อยได้หรือเปล่าเกี่ยวกับพี่ฮิมชาน?”
คำถามที่คุณชายชเวไม่คิดว่าจะได้ยินมันออกมาจากปากของแดฮยอนทำเอาเขาชะงักทันทีเมื่อจะวางแก้วชาลงกับจาก
รองแก้ว คุณชายชเวเม้มปากคิดเพียงคู่อึดใจก่อนจะพยักหน้าและเอ่ยตอบ
“ว่ามาสิ ได้เสมอนั่นแหละ”
“พี่ฮิมชาน..เป็นพี่ชายแท้ๆของผมใช่หรือเปล่า?”
เพล้ง!!!
พอจบประโยคคำถามคำนั้น แก้วทรงสวยที่สั่งน้ำเข้ามาจากฝั่งประเทศยุโรปในมือของคุณชายชเวก็ร่วงหล่นสู่พื้นทันที ยอง
แจที่ไม่เคยรู้เรื่องอะไรก็ตกใจไม่แพ้กัน ภายในโกดังเงียบสงบ และคนที่เหมือนจะรู้อะไรทุกอย่างอย่างเลขาบังยงกุกก็ดูท่าจะ
ตกใจไม่มากไม่น้อยไปกว่ายองแจเลย ...
“ผมโดนแย่งพี่ฮิมชานตั้งแต่จุนฮงยังไม่เกิดใช่มั้ย?”
“......”
“พี่ฮิมชานไม่ได้ถูกเก็บมาเลี้ยงแต่ถูกแย่งออกไปจากอกแม่ของผมตั้งแต่พี่เขาสองขวบใช่หรือเปล่า?”
“.....”
“พี่ฮิมชานถูกขโมยไปจากแม่ของผมเพราะคนเห็นแก่ตัวใช่มั้ย? ตอบผมสิครับ!!!”
พอจบประโยคแดฮยอนก็ตบลงกับโต๊ะทันทีพลางจ้องตาของคุณชายที่กำลังตกใจกับความลับที่เพิ่งถูกเปิดเผยไปหมาดๆ
ดวงตากลมของแดฮยอนนั้นมีน้ำตาคลอ และคราวนี้เขาก็ไม่คิดอยากจะปัดมันออกด้วยต่อให้น้ำตาจะต้องไหลมามากแค่
ไหนก็ตาม
ก็ดี คราวนี้เขาจะได้รับรู้ว่าตัวเองเลิกอ่อนแอแล้วสักที!!
“ไปรู้มาจากไหน? ใครเป็นคนบอกนาย?”
คุณชายชเวถามแดฮยอนทั้งๆที่รู้อยู่เต็มอกอยู่แล้วว่าถามไปก็คงไม่ได้อะไร ความลับที่ว่าฮิมชานเป็นพี่ชายแท้ๆของจอง
แดฮยอนนั้นเป็นความจริง และเรื่องที่ถูกขโมยมาจากอ้อมอกแม่ของแดฮยอนนั้นก็เป็นความจริงอีกเช่นกัน ... เขาไม่
สามารถปฏิเสธได้เลย ความจริงคงเป็นอะไรที่ปฏิเสธไม่ได้อยู่แล้วในช่วงเวลานี้
“ผมรู้มาจากไหนมันไม่สำคัญหรอก ก็ตอบมาแค่มันเป็นความจริงหรือเปล่าว่าพี่ฮิมชานคือพี่ชายแท้ๆของผมที่โดนขโมยไป
ตอบมาแค่นี้ก็เพียงพอแล้วป่ะครับ!!?”
ยองแจที่เฝ้ามองเหตุการณ์มาตลอดตั้งแต่แดฮยอนเดินเข้ามาในโกดังเริ่มรู้สึกถึงกลิ่นคาวของความไม่ดีลอยคละคลุ้งเรื่อง
นี้ไปหมด เขายอมรับว่าตกใจมากที่จู่ๆสิ่งที่เขาไม่มีทางคาดคิดมันเกิดขึ้น เขาไม่มีทางรู้ และคงไม่รู้มาตลอด ... และดู
ท่าทางว่าวันนี้เขาคงได้รับรู้อะไรบางอย่างที่ไม่มีใครรู้มาตลอดตั้งแต่จุนฮงเกิด
“มันเป็นความจริงทั้งหมดนั่นแหละ จองแดฮยอน...”
คำตอบที่ออกมาจากปากของคุณชายชเวแลดูจะสร้างความตกใจให้กับคนในเหตุการณ์ไม่ใช่น้อยๆ ยงกุกเองที่คิดว่ารู้เรื่อง
นี้ดีพอๆกับแดฮยอนรู้ก็เริ่มใจสั่นคลอน บางที สิ่งที่เขายังไม่รู้อาจจะน่าตกใจกว่าเรื่องที่คุณชายฮิมชานเป็นพี่ชายแท้ๆของ
แดฮยอนก็เป็นได้
แต่คำตอบที่ว่าไม่ได้แค่สร้างความตกใจให้กับคนในโกดังเพียงเท่านั้น มันยังรวมไปถึงอีกสองบุคคลที่เพิ่งเดินทางมาถึงและ
ได้ยินเรื่องราวทั้งหมด ..
“จริงหรอครับคุณพ่อ...ผมเป็นพี่ชายแท้ๆของจองแดฮยอนอย่างนั้นหรอ?”
น้ำเสียงคุ้นหูที่แดฮยอนเพิ่งได้ยินไปเมื่อตอนกลางวันเอ่ยขึ้นถามเรียกความสนใจให้คนในโกดังไปหยุดอยู่ตรงหน้าประตู
ทันที คิมฮิมชานพี่ชายของเขายืนอยู่ตรงนั้นพร้อมกับสีหน้าที่ดูท่าว่าจะเจ็บปวดมากไม่ใช่น้อย กับจุนฮงที่เหมือนว่าตกใจ
และไม่อยากจะปักใจเชื่อกับเรื่องราวนี้
คิมฮิมชาน ... พ่อขอโทษนะ
เปิดกล่องความลับสักทีสิ มันหมดเวลาที่จะยืดเยื้อแล้วนะ
T B C
-----------------------------------------
ปกติเราอัพตอนละสองพันเก้าร้อยคำประมาณนี้คราวนี้มาสี่พันเลยเชียว
ถือว่าทดแทนเวลาที่เราหายไปนะคะ เราไม่ได้ดองจริงๆน้า
ส่วนเรื่องที่เรื่องนี้จะจบ มันก็จะจบจริงๆนั่นแหละค่ะ เรื่องทั้งหมดปมทั้งหมดมันอยู่ในตอนต่อไป
ในตอนนี้เราก็เฉลยไปแล้วว่าพี่ฮิมชานจริงๆแล้วเป็นใคร ทำไมแดฮยอนถึงรับรักพี่แกไมได้
แอบทำร้ายคนที่เชียร์ฮิมแดเล็กน้อย ... #ทำร้ายตัวเองเต็มๆเลย
เชียร์แจแดกันดีกว่าค่ะเรา เย้ เพราะเรื่องนี้ไม่ค่อยจะโล่แดนักหรอกค่ะ 555 55+
นิยายเรื่องนี้เป็นการคลายปมเล็กๆ ... เพราะเราไม่อยากให้ทุกคนหน่วงบ่อยๆเฮ้
เพราะเราอาจจะเปิดฟิคเกรียนๆฮาๆ สไตล์นิสัยเราก็ได้ค่ะ น่าจะได้เปิดถ้าเขียนตอนต่อไปเสร็จ
สุดท้าย ขอฝากเรื่อง เดอะขาหมูแฟมีลี่ไว้ในอ้อมอกด้วยนะคะ แพรเป็นคนแต่งร่วมกับพี่สมรเอง<3
สุดท้าย ไม่ต้องเสียดายไปนะคะ เรายังมีฟิคโล่แดทั้งช็อตฟิคและลองฟิคมาแน่นอน *^-^*
คิดถึงคนอ่านทุกคนนะคะ <3 เรามาจบเรื่องนี้ไปด้วยกันนะคะ ♥
ปกติเราอัพตอนละสองพันเก้าร้อยคำประมาณนี้คราวนี้มาสี่พันเลยเชียว
ถือว่าทดแทนเวลาที่เราหายไปนะคะ เราไม่ได้ดองจริงๆน้า
ส่วนเรื่องที่เรื่องนี้จะจบ มันก็จะจบจริงๆนั่นแหละค่ะ เรื่องทั้งหมดปมทั้งหมดมันอยู่ในตอนต่อไป
ในตอนนี้เราก็เฉลยไปแล้วว่าพี่ฮิมชานจริงๆแล้วเป็นใคร ทำไมแดฮยอนถึงรับรักพี่แกไมได้
แอบทำร้ายคนที่เชียร์ฮิมแดเล็กน้อย ... #ทำร้ายตัวเองเต็มๆเลย
เชียร์แจแดกันดีกว่าค่ะเรา เย้ เพราะเรื่องนี้ไม่ค่อยจะโล่แดนักหรอกค่ะ 555 55+
นิยายเรื่องนี้เป็นการคลายปมเล็กๆ ... เพราะเราไม่อยากให้ทุกคนหน่วงบ่อยๆเฮ้
เพราะเราอาจจะเปิดฟิคเกรียนๆฮาๆ สไตล์นิสัยเราก็ได้ค่ะ น่าจะได้เปิดถ้าเขียนตอนต่อไปเสร็จ
สุดท้าย ขอฝากเรื่อง เดอะขาหมูแฟมีลี่ไว้ในอ้อมอกด้วยนะคะ แพรเป็นคนแต่งร่วมกับพี่สมรเอง<3
สุดท้าย ไม่ต้องเสียดายไปนะคะ เรายังมีฟิคโล่แดทั้งช็อตฟิคและลองฟิคมาแน่นอน *^-^*
คิดถึงคนอ่านทุกคนนะคะ <3 เรามาจบเรื่องนี้ไปด้วยกันนะคะ ♥
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น