คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ☂- first talk
.first talk.
ปลายนิ้วเรียวยาวลูบไล้กระดาษอ่อนที่ซีดเหลืองกรอบตามกาลเวลาอย่างทะนุถนอม ดวงตากลมปรายตามองช้าๆตามตัวหนังสือ กลิ่นกระดาษจางๆที่ลอยกรุ่นอยู่ในอากาศชวนพาให้ปลายริมฝีปากเรียวยกยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง ราวกับเด็กน้อยที่ได้ของ
เล่นชิ้นใหม่ที่แสนจะถูกใจ จังหวะการพลิกหน้าแต่ละหน้านั้นอ้อยอิ่ง เชื่องช้า แต่ทว่าแฝงไปด้วยความอ่อนโยน หน้ากระดาษ
แต่ละหน้าถูกพลิกไปมาไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ เด็กหนุ่มในชุดยูนิฟอร์มเสื้อเชิ้ตสีขาวพับแขน กางเกงสแล็คสีดำกับผ้ากันเปื้อนสี
เทาเข้มก็ตกเข้าสู่ภวังค์แห่งตัวหนังสือไปเสียเรียบร้อย กว่าจะมารู้ตัวอีกทีก็เสียงเคาะเบาๆที่ชั้นวางหนังสือข้างตนดังขึ้น
“จง...จงแด”
น้ำเสียงนุ่มๆข้างหูทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้งก่อนจะรีบปิดหนังสือนวนิยายในมืออย่างร้อนรน คนตัวเล็กหันไปมองอีกฝ่ายอย่างก
ล้าๆกลัว ก่อนจะพบกับใบหน้าขาวเนียนแสนคุ้นเคยกับรอยยิ้มละมุนละไมมาให้ คนที่เพิ่งตกใจจากเหตุการณ์เมื่อสักครู่ก็
ทักทายเพียงแค่ก้มโน้มตัวลงเล็กน้อย แต่ไม่กล้าเงยหน้าสบตาอีกฝ่ายเท่าไหร่นัก
“กลัวพี่หรอ?...อ่า... พี่มาขัดจังหวะการอ่านหนังสือสินะ”
จงแดที่ดูเหมือนจะจับใจความได้ว่าอีกฝ่ายกำลังเข้าใจตนผิดอยู่ก็รีบส่ายหน้าพร้อมปัดป้องมือเป็นพัลวัน แขนทั้งสองยกมือ
ทำท่ากากบาทซ้ำแล้วซ้ำอีกราวกับเน้นย้ำจากใจจริงว่า ไม่ใช่อย่างที่อีกฝ่ายเข้าใจ
ส่วนคนที่ดูเหมือนกำลังจะเข้าใจผิดก็ทำท่าเบิกตาโพลงเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะเบาๆ มือขาวนั่นวางลงบนไหล่เล็กก่อนจะบีบ
นวดเบาๆเพื่อให้อีกฝ่ายผ่อนคลาย
“โอ่ย..ใจเย็นๆ พี่ไม่ฆ่าไม่แกงเราหรอกหน่า พี่แค่จะมาบอกว่าจะพักแล้ว อยากกินอะไรไหม?”
จงแดเบะปากใส่อีกคน ใบหน้าเนียนใสนั้นส่ายไปมาช้าๆเป็นคำตอบที่ดีเลยทีเดียวว่า ไม่ขอรับของอะไรทั้งสิ้น ก่อนจะหัน
หลังให้แล้วจมดิ่งอยู่กับโลกแห่งตัวหนังสืออีกครั้ง
“โถ่เอ้ย..เราไม่กินข้าวกลางวันมาสามวันแล้วนะ ไม่ปวดท้องแย่หรอ?”
คนเป็นพี่ไถ่ถามอีกคนด้วยความเป็นห่วง ‘คิม จุนมยอน’ ทอดสายตามองอ่อนคนอายุน้อยกว่าด้วยความรัก คิม จงแดเป็นเด็ก
ในการดูแลของเขาในฐานะพนักงานประจำห้องสมุดคนหนึ่ง แต่จุนมยอนกลับรักและเอ็นดูจงแดเหมือนกับน้องชายที่เกิดมา
จากท้องแม่เดียวกันไม่มีผิด เขาเองก็ทำงานที่ห้องสมุดนี้มานานพอๆกับจงแดและแบคฮยอน ความผูกพันก็มากขึ้นตามช่วง
เวลาที่ได้อยู่ด้วยกัน ถึงแม้ว่าเขาจะไม่สามารถสื่อสารกับจงแดด้วยเสียงได้อย่างคนปกติทำก็ตามที
ใช่แล้ว... คิม จงแดไม่สามารถพูดได้
จุนมยอนเองก็ไม่รู้ถึงสาเหตุอาการของอีกฝ่ายมากเท่าไหร่นัก อาจเพราะว่าเขาเป็นคนไม่ชอบเซ้าซี้ และไม่อยากจะถามถ้า
หากอีกฝ่ายไม่ได้เป็นคนเอ่ยปากก่อน ประกอบกับเขาเองก็มองไม่เห็นช่องทางที่จงแดคนนี้จะเป็นสิบแปดมงกุฏเลย เพราะจง
แดของจุนมยอนคือเด็กหนุ่มไร้เดียงสาที่ต้องใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ลำพัง
ตามใบประวัติของจงแดที่กรอกก่อนเข้ามาสมัครงานเป็นคนเช็กหนังสือที่ห้องสมุดสาธารณะแห่งนี้ บอกเพียงแค่จงแดเป็น
เด็กชายที่รอดชีวิตคนเดียวจากเหตุการณ์อันน่าสลดที่เกิดขึ้นกับครอบครัว ชาวบ้านก็พากันร่ำลือว่าเด็กน้อยคนนี้โชคดีมาก
เพียงใด หากแต่จุนมยอนไม่คิดอย่างนั้น
คิม จงแด... โชคร้ายที่สุด ที่ต้องใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ กับความทรมานราวกับตายทั้งเป็น ทรมานกับความรู้สึกที่ไม่สามารถ
บอกใครได้ ทรมานกับการแบกรับความผิดที่ตนเองไม่ได้ก่อ และจุนมยอนก็เชื่อว่าทุกวันนี้ ต่อให้เหตุการณ์จะผ่านมาแล้วเป็น
สิบปี คิม จงแดก็ไม่เคยเลิกโทษตัวเองว่าเป็นสาเหตุของเหตุการณ์ในคืนนั้นเลยสักวัน
จุนมยอนเองก็ชื่นชมในความเข้มแข็งและกล้าหาญของเด็กน้อยคนนี้ ทั้งๆที่ต้องอยู่ตัวคนเดียวตั้งแต่สิบสองปี แต่อีกฝ่ายก็ไม่
เคยสร้างปัญหาให้คนรอบข้าง ไม่เคยเรียกร้องขออะไร กลับใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดา อดมื้อกินมื้อเพื่อความอยู่รอด และไม่เคย
ร้องไห้ให้จุนมยอนเห็นเลยสักครั้งตั้งแต่เข้ามาทำงานที่ห้องสมุดแห่งนี้ ต่อให้จะต้องเจอกับเรื่องราวร้ายแรงมากแค่ไหน
จนบางครั้งจุนมยอนเองก็คิดว่า ... ต่อมน้ำตาของเด็กคนนี้ก็คงจากไปพร้อมกับครอบครัวของอีกคน...
จุนมยอนหันไปขอความช่วยเหลือกับแบคฮยอนที่กำลังยืนจัดหนังสือฝั่งตรงข้ามทันทีเมื่อเห็นว่าจงแดเลือกที่จะเลี่ยงทาน
ข้าวกลางวันเป็นครั้งที่สามในรอบสัปดาห์ เขา แบคฮยอนและจงแดต่างก็ทำงานมาด้วยกันตั้งหลายปี เรียกได้ว่าแทบจะ
กลายเป็นพี่น้องสามสหาย หากยังมีอีกหลายอย่างที่จงแดยังคงเว้นช่องว่างระหว่างกันเอาไว้ อย่างเช่นสิ่งเล็กๆน้อยๆที่จุนม
ยอน และแบคฮยอนมอบให้ อีกฝ่ายก็ไม่ขอรับไว้ด้วยเหตุผลที่ว่าไม่อยากเป็นภาระ ไม่อยากทำให้ทั้งสองต้องลำบาก ทำให้
การพาจงแดไปสูดอากาศข้างนอกในเวลาพักกลางวันและทานข้าวไปด้วยกัน จึงเป็นภารกิจที่ค่อนข้างยุ่งยากและมักจะไม่
สำเร็จบ่อยๆ
“ย๊า! จงแด อย่ามาดื้อนะ!”
เสียงหวีดแหลมที่ไม่ดังนักพร้อมกับแรงดึงเบาๆที่หัวไหล่ซ้ายทำเอาเด็กหนุ่มสะดุ้ง เขาหันไปมองอีกฝ่ายพร้อมกับกระพริบตา
ปริบๆ แบคฮยอนที่อยู่ในสภาพหัวฟัดหัวเหวี่ยงแถมจ้องหน้าจงแดตาเป็นมันราวกับว่าเขาไปทำอะไรให้อีกฝ่ายโกรธเคือง
นักหนา จงแดจึงทำได้แค่เอียงคอมองอีกฝ่ายอย่างงงๆและกระพริบตาถี่ๆ
“เมื่อวานซืนก็ไม่กิน เมื่อวานก็ไม่กิน วันนี้ก็ไม่กินอีกหรือไง?”
“...”
“ทั้งๆที่ฉันกับพี่จุนมยอนก็เป็นห่วงนายมากขนาดนี้แท้ๆ นายก็อยู่บ้านคนเดียว...”
“...”
“แล้วถ้านายปวดท้องหนักมากขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ? เจ้าเมี้ยวมันพานายไปโรงพยาบาลไม่ได้หรอกนะ!”
“...”
“ฉันน่ะ..กับพี่จุนมยอน...เป็นห่วงนายจริงๆนะ กินข้าวบ้างเถอะ จงแดอ่า...”
น้ำเสียงที่อ่อนลงพร้อมกับดวงตาสั่นระริกของอีกฝ่ายทำเอาหัวใจของจงแดกระตุกวูบ เขาไม่อยากเป็นตัวปัญหาให้ใคร หรือ
แม้กระทั่งไม่อยากให้ใครต้องมาสนใจกับคนที่ไม่มีอะไรดีอย่างเขา เขาไม่เคยคิดว่าแค่การที่เขาเลือกที่จะไม่ทานข้าวกลางวัน
กับทั้งสองคนเพื่อไม่อยากให้บรรยากาศบนโต๊ะต้องตึงเครียดจะทำอีกฝ่ายเป็นห่วงได้มากขนาดนี้ เขาแค่อยากจะเลือก
ทางออกที่ดีที่สุด...แต่กลับกลายว่ามันเป็นการทำร้ายจิตใจอีกฝ่ายไปเสียได้ คิม จงแดทำร้ายจิตใจคนมากี่ครั้งกันแล้ว ทำไม
ถึงเป็นคนนิสัยไม่ดีอย่างนี้กันนะ
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกครั้งหนึ่ง ก่อนจะล้วงเข้าไปหยิบสมุดเล่มเล็กที่พกติดตัวไว้ตลอดเวลาขึ้นมาก้มหน้าเขียนอะไรยุกยิก
อยู่สักพัก ก่อนจะยกขึ้นให้ทั้งแบคฮยอนและพี่จุนมยอนดู
‘ก็ได้ครับ ผมจะไปกินข้าวด้วย แต่มื้อนี้ผมขอเลี้ยงนะ?’
ไม่รู้ทำไม ..แต่เหมือนจงแดเห็นประกายไหววาบอะไรบางอย่างอยู่ในดวงตากลมของทั้งคู่
ในช่วงบ่ายที่ใครต่างก็ลงความเห็นว่าเหมาะแก่การเดินทอดน่องชมธรรมชาติสูดลมหายใจเอาไออวลของความอบอุ่นและ
ความชื้นแฉะแต่สดชื่นท่ามกลางฤดูฝนเข้าไปเต็มปอด ให้สมกับที่สูดดมแต่ควันจนพาลจะทำให้เป็นโรคอยู่เนืองๆ หรือไม่ก็
เลือกที่จะใช้เวลาทั้งวันนอนเล่นบนฟูกนอนนุ่มหลับใหล ฝันหวานไปกับกลิ่นธรรมชาติที่สังคมเมืองอย่างนี้ไม่ค่อยมีให้เห็นกัน
บ่อยๆ
แต่จาง อี้ชิงไม่เลือกที่จะทำแบบนั้น ขาทั้งสองข้างของเขากลับรีบก้าวฉับๆเข้าไปในตึกสไตล์ยุโรปสีเทาอ่อนที่ตั้งอยู่ตรงข้าม
กับร้านกาแฟที่เพิ่งจะออกมาเมื่อครู่นี้ มือข้างซ้ายที่ถือแก้วกาแฟก็ยกขึ้นริมฝีปากอิ่มอ้างับปลายหลอดก่อนจะหยุดก้าวแล้วเงย
หน้ามองป้ายข้างๆประตูทางเข้าอีกครั้งหนึ่ง
‘ห้องสมุดประชาชน’
บางทีการใช้เวลาช่วงบ่ายวันหยุดแบบนี้กับหนังสือดีๆสักเล่มก็คงไม่แย่เกินไปล่ะมั้ง ?
อะไรมันจะเยอะขนาดนี้ล่ะเนี่ย...
ชายหนุ่มพยายามเอียงคอมองตัวอักษรเกาหลีในรูปแบบการเขียนที่แตกต่างกันบนสันปกของหนังสือนับสามสิบเล่มที่เรียง
กันวางอยู่บนชั้นอย่างเป็นระเบียบ คิ้วทั้งสองขมวดเข้าหากันแบบไม่ได้ตั้งใจ ใบหน้าสมส่วนขาวจัดส่ายไปมาก่อนจะถอน
หายใจดังเฮือก แล้วพยายามเอียงคอเพ่งมองแต่ละเล่มอีกครั้ง
จาง อี้ชิงเป็นคนที่จัดว่าอยู่ในขั้นหน้าตาดีและเป็นที่สนใจได้ง่ายๆ การที่ใครๆต่างก็จ้องมองเขาราวกับจะฉีกเนื้อเขาเป็นชิ้น
แล้วเคี้ยวกลืนลงคอไปก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ยิ่งโดยเฉพาะเวลาเขายิ้มแล้วจะมีเจ้าลักยิ้มบุ๋มที่ข้างแก้ม เห็นได้ชัดเลยว่าความน่า
สนใจในตัวเขาจะเพิ่มขึ้นเป็นอีกเท่าตัว เพราะฉะนั้นในเวลาขณะนี้ ที่สายตานับสิบกำลังจ้องเขาตาไม่กระพริบทั้งจากที่ไกล
และในรัศมีที่พอมองเห็นได้ ก็ไม่ทำให้เขารู้สึกประหม่าเลยสักนิด เขาจึงไม่เห็นจะมีอะไรที่จะต้องเครียดจนถึงขั้นปวดหัวแบบ
ฉุดไม่อยู่
แต่ที่จะทำให้เขาปวดประสาทตุบๆแบบเลี่ยงไม่ได้ก็คงเป็นเจ้าตัวหนังสือจอมปัญหาตรงหน้าของเขาเองนี่แหละ เพราะจางอี้
ชิงเป็นนักเรียนที่ย้ายภูมิลำเนาจากประเทศจีนที่อยู่มาตั้งแต่เล็กๆ มาใช้ชีวิตอยู่บนใจกลางเมืองโซลที่ไม่เคยหยุดนิ่ง เขา
สามารถพูดภาษาเกาหลีได้ถึงแม้จะติดขัดนิดหน่อย แต่ถ้าหากต้องมาเอียงคอมองตัวอักษรเกาหลีในรูปแบบหลากหลายสี
และหลากหลายวิธีการเขียนก็คงจะยากเกินความสามารถเกินไปจริงๆ เขาเองก็เล็งเห็นว่า สงสัยเขาคงต้องเริ่มจริงจังกับการ
เรียนคอร์สภาษาเกาหลีเพิ่มขึ้นจากเดิมสักยี่สิบเปอร์เซ็นต์ก็น่าจะดี
‘遇見一片微笑的,雪’*
คือชื่อหนังสือที่เขากำลังตามหา ด้วยความที่เป็นหนังสือที่เคยหยิบมาอ่านเล่นๆสมัยยังอยู่ที่ประเทศจีนแต่สามารถตราตรึง
หัวใจของเขาให้อมยิ้มพร้อมกับมีหยดน้ำซึมที่ปลายหางตาไปกับเรื่องราวความเข้มแข็งของตัวละคร ในยามที่จากบ้านมาไกล
และบรรยากาศพาไป เขาเลยตัดสินใจเลือกที่จะค้นหามันอีกครั้ง ด้วยความเชื่อเพียงชั่ววูบแบบเด็กๆที่ว่า การอ่านหนังสือที่
ชื่นชอบจนลืมไม่ลงเวลาอยู่ที่จีน เมื่อเขาลองหามันมาอ่านอีกครั้งอาจจะทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนได้กลับไปอยู่บ้านเก่าของ
เขามากขึ้น
เขาเชื่อว่าอย่างนั้นนะ
ในตอนนี้เขากำลังยืนติดแหง็กอยู่หน้าชั้นวางนวนิยายจีนที่ถูกแปลเป็นภาษาเกาหลีมาร่วมสิบนาที แต่หากทว่าไม่มีวี่แววจะ
พบเจอเจ้าหนังสือที่ตามหานั่นเลยสักนิด ริมฝีปากอิ่มสีเชอร์รี่สดยู่ขึ้นเล็กน้อย ชายหนุ่มในชุดเสื้อยืดสีขาวที่ถูกสวมทับด้วย
คาร์ดิแกนสีครีมอ่อน กับกางเกงยีนส์เข้ารูปสีเข้มเดินวนไปมาหน้าชั้นหนังสือไม้โอ๊คสีน้ำตาลอีกครั้ง ก่อนที่จะหยุดเท้าทั้งคู่
เมื่อเห็นว่ามีพนักงานเรียงจัดหนังสือยืนอยู่ห่างจากชั้นนวนิยายจีนเพียงไม่กี่ก้าว
ขาทั้งสองก้าวไปหาพนักงานผมสีน้ำตาลอ่อนที่ยืนจัดหนังสือหน้าตารูปร่างดูเหมือนจะเป็นสำหรับเด็กเล็กๆที่เพิ่งกัดอ่าน
ภาษาเกาหลีอยู่ อี้ชิงที่เป็นคนผูกมิตรง่ายก็รีบยิ้มกว้างโชว์รอยบุ๋มที่ข้างแก้มก่อนจะสะกิดที่ไหล่ข้างขวาของอีกฝ่าย เพื่อดึง
ความสนใจจากหนังสือในมือ
“คุณครับ..ผมกำลังตามหาหนังสือนวนิยายจีนเล่มหนึ่งอยู่ คุณพอจะรู้จักไหมครับ?”
พอเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายหันมา คนอัธยาศัยดีอย่างเขาก็ยิ่งยิ้มกว้างมากขึ้นไปอีก ก่อนจะพยายามพูดแบบช้าๆตามนิสัยและ
ความสามารถเท่าที่จะมี มือขาวจัดทั้งสองข้างทำท่าทางประกอบไปมา
“...”
แต่พอเห็นสีหน้าที่แตกตื่นของอีกฝ่ายพร้อมกับดวงตาที่กรอกไปมาราวกับหนูติดจั่นก็ทำให้เขาต้องผละออกมาจากระยะห่าง
ที่ดูเหมือนจะประชิดเกินไปเล็กน้อย ก่อนจะยกมือขาวนั่นเกาที่หลังคอพร้อมกับเสตามองไปอีกฝั่งแทน
“เอ่อ..คือว่า...ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ....ที่ทำให้คุณตกใจ”
ดวงตากลมโตของเขาเบิกโพลงก่อนจะยกมือป้องปัดเป็นพัลวัน ในใจก็เอาแต่โทษตัวเอง บ่นกับตัวเองว่าคิม จงแดในวันนี้ทำ
คนเข้าใจผิดไปกี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว มือเล็กที่ถือหนังสือเด็กอยู่วางเจ้าหนังสือขนาดใหญ่หลากสีสันลงบนชั้นวางอย่างลวกๆ
ก่อนจะรีบล้วงหยิบเจ้าสมุดเล่มเล็กที่อยู่ในกระเป๋ามาเขียนอะไรยุกยิกเหมือนเดิม แล้วชูให้อีกฝ่ายเห็นแบบเต็มๆตา
‘ขอโทษนะครับ พอดีว่าผมพูดไม่ได้’
“....อ๋า”
พอเห็นอีกคนอ้าปากพยักหน้าขึ้นลงทำความเข้าใจกับสิ่งที่เขากำลังสื่อสาร จงแดก็กัดริมฝีปากเพื่อรอดูปฏิกริยาของอีกฝ่าย
ว่าจะเดินหนีเขาไปเหมือนที่ใครหลายๆคนทำหรือเปล่า แต่เด็กหนุ่มไม่พบกับภาพแบบนั้น ชายหนุ่มผิวขาวในชุดคาร์ดิแกนสี
ครีมอ่อนก็ยังคงยืนยิ้มให้เขาอยู่เหมือนเดิม รอยยิ้มบนใบหน้าที่ทำให้หัวใจของเขากระตุกเพียงครู่
รอยยิ้มที่ทำให้จงแดรู้สึกเหมือนกำลังมีใครอีกคนที่พยายามจะเข้ามา เข้ามาเข้าใจในตัวเขา
พอมองว่าอีกฝ่ายเงียบไปและไม่มีท่าทางว่าจะเดินหนีไปไหน จงแดก็หยิบเจ้าสมุดคู่ชีพมาเขียนอะไรเพิ่มไปอีกสองสาม
ประโยค ก่อนจะหันหน้าสมุดที่เขียนไปให้คนตรงหน้าดูอีกครั้งหนึ่ง
‘บางทีผมอาจจะพอช่วยคุณหาได้ ว่าแต่มันชื่อหนังสือว่าอะไรหรอครับ?’
จางอี้ชิงยกยิ้มกว้างโชว์ลักยิ้มสัญลักษณ์ประจำตัว ก่อนจะหยิบเศษกระดาษที่ติดกระเป๋าสะพายข้างและขอยืมปากกาจาก
อีกฝ่ายมาเขียนตัวอักขระภาษาจีนและภาษาเกาหลีลงไป เขาอ่านทวนมันอีกรอบแล้วยื่นให้อีกฝ่ายที่เก็บเจ้าสมุดนั้นลง
กระเป๋าผ้ากันเปื้อนเรียบร้อยแล้ว
‘遇見一片微笑的,雪’
‘หรืออีกชื่อว่า เจอหิมะที่อมยิ้ม ครับ’
จงแดยื่นมือไปรับกระดาษที่เขียนภาษาจีนมารับไว้ เขาพิจารณาความหมายก่อนจะพยายามนึกถึงความเป็นไปได้ที่ชื่อ
หนังสืออาจจะเคยผ่านตาเขามาแล้วบ้าง ดวงตากลมโตเงยขึ้นมองผนังกรอกไปมาราวกับใช้ความคิดอยู่กับตัวเองเพียงครู่
แล้วจึงละสายตามามองหน้าอีกฝ่ายพร้อมกระพริบตาปริบๆ และล้วงเอาสมุดคู่ชีพขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
‘ผมขอโทษนะครับ แต่ชื่อนี้ไม่ค่อยคุ้นเลย ไว้ถ้าผมเจอแล้วผมจะเก็บเอาไว้ให้นะครับ’
อี้ชิงอ่านตัวอักษรเกาหลีออกเสียงไปตามแต่ละตัว ก่อนจะอ่านออกเสียงทวนย้ำสร้างความเข้าใจอีกรอบ แล้วเงยหน้ายิ้มใส่
คนที่ตัวเล็กกว่าเขาด้วยสีหน้าเป็นมิตรมากที่สุด สายตาเขามองป้ายชื่อเหล็กที่กลัดเอาไว้อยู่ตรงอกขวาของอีกฝ่าย
‘คิม จงแด’
ก่อนที่ริมฝีปากสีแดงสดนั่นจะเอ่ยเสียงทุ้มนุ่มที่จงแดคิดว่าเขาฟังแล้วรู้สึกเหมือนกำลังลอยอยู่บนท้องฟ้า
“ผมชื่อจาง อี้ชิงนะ .. เอาไว้แล้วผมจะกลับมาใหม่..นะครับคุณคิมจงแด”
คิมจงแดสาบานได้ว่าเขาไม่เคยเห็นใครที่แค่ยิ้มแต่ก็สามารถทำให้ดวงตาเขาพร่าเลือนได้ขนาดนี้มาก่อนเลย
✉
จางอี้ชิงละมุนจัง แหม่ พ่อคนฮอต พ่อคนมีแต่คนสนใจ ..
จงแดน่ารักเนอะ คนอะไรไม่รู้ขี้เกรงใจคนอื่นน่าฟัดจัง > w <
เขินจังฮะ ไม่มีอินโทรมีแต่ตอนที่หนึ่ง (ตอนแรกว่าจะเอาอันนี้เป็นอินโทรล่ะ แต่นางยาวป้ายยย 55555)
เป็นเรื่องแรกที่พยายามให้มันละมุนสุดๆ ยอมรับเลยว่าเขียนนานพอสมควร อาจจะไม่ดีแต่ก็ขอบคุณค่ะ
#WIMS1 <- สครีมแท็กนี้ได้นะฮะ เขิลลลลลลลลลลลลลลลล /////////////////////////
Jun9chop&น้องแพรคนกาก
ความคิดเห็น