คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : 3
ในชีวิตของลู่อี้เผิง ตั้งแต่เด็กจนโต เขาเก่งในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านกีฬา หรือเรื่องการเรียน สอบเข้าโรงเรียนนายร้อยตำรวจก็ติดอันดับหนึ่งในห้า จบออกมาก็ได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ได้รับคำชมเชยในทุกรายวิชา จนลู่อี้เผิงคิดว่าในโลกนี้คงไม่มีอะไรท้าทายเขาได้อีกแล้ว แต่โลกเล็กๆ ของเขาเพิ่งเปิดกว้างออก ตอนที่ได้พบกับคำว่าหงคงฉ่วยนี่เอง
ลู่อี้เผิงยกมือลูบขาอ่อนของตัวเองอย่างลืมตัว สี่ปีมาแล้ว สี่ปีมาแล้ว กับหงคงฉ่วย...
หงคงฉ่วย
-------------------------------------------------------------
ดึกสงัด
บนถนนสายเลี่ยงเมืองที่มีรถบางตา รถยนต์สีดำคันหนึ่งแล่นเข้ามาที่ไหล่ทางช้าๆ ก่อนจะหยุดจอด แสงไฟของมันสาดเข้าไปในพงหญ้าข้างทาง พร้อมกับสายลมยามดึกที่พัดเข้ามาจากชายฝั่งซึ่งอยู่ห่างออกไปราวๆ สองกิโลเมตร
จอดอยู่ได้สักพัก รถยนต์เก่าๆ สีดำอีกคันก็แล่นเข้ามาจอดข้างๆ จากนั้นคนในรถก็ไขกระจกลงมา พูดคุยอะไรกันอยู่สักพัก ประตูรถยนต์คันที่เพิ่งเข้ามาจอดก็ถูกเปิดออก ชายหนุ่มแต่งตัวธรรมดาๆ คนหนึ่งก้าวเท้าลงมา พร้อมกันนั้น ประตูรถยนต์คันที่มาจอดอยู่ก่อนก็เปิดออก ผู้ชายท่าทางแต่งตัวดีอีกคนก้าวออกมาเช่นกัน
คนที่ออกมาจากรถยนต์โทรมๆ เดินอ้อมไปที่หลังรถ แล้วก้มลงดึงอะไรบางอย่างออกมาจากใต้กันชนของรถ ใกล้กับท่อไอเสีย มันเป็นห่อกระดาษขนาดราวๆ หนึ่งฝ่ามือ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมา
“เงินล่ะ?”
“อืม” คนยืนรอส่งเสียงในลำคอ แล้วยื่นกระเป๋าเอกสารสีดำที่ถือติดมาให้ พร้อมๆ กับรับห่อกระดาษห่อนั้นมา พลางทำจมูกฟุดฟิด “ทำแบบนี้กลิ่นมันไม่ติดเข้าไปหรือไง?”
“ก็ดีกว่าให้หมามันดมกลิ่นเจอล่ะน่า” คนถูกถามตอบ และเปิดกระเป๋าออกมาดู จังหวะนั้นเองที่เสียงสวบสาบดังขึ้นเบาๆ ในพงหญ้า คนที่เปิดกระเป๋าอยู่เงยหน้าขึ้น แล้วตะโกนออกมา
“ตำรวจ!”
เสียงปืนดังขึ้นพร้อมกับประตูรถที่เปิดออก ชายคนนั้นกระโดดขึ้นรถไปอย่างรวดเร็ว ลู่อี้เผิงกระโจนออกมาจากพงหญ้าพร้อมกับลูกน้องอีกราวๆ เจ็ดคน นายตำรวจหนุ่มเล็งปืนไปที่ล้อของรถคันนั้นก่อนจะยิงไปสองนัดแล้วหันไปตะโกนสั่งลูกน้อง “ตามไป เร็วเข้า!!”
รถตำรวจสองคันพุ่งออกมาจากพงหญ้า นายตำรวจที่เหลือกระโดดขึ้นรถ ส่วนลู่อี้เผิงเปิดประตูเข้าไปในรถยนต์ที่จอดอยู่ ก่อนที่รถคันนั้นจะพุ่งฉิวออกไป
ฉากการไล่ล่าบนถนนจึงอุบัติขึ้นทันที
รถยนต์สามคันขับไล่กวดรถยนต์เก่าๆ ที่แล่นด้วยความเร็วสูงผิดกับรูปลักษณ์ภายนอก ลู่อี้เผิงคว้าวิทยุติดตามตัวที่คาดอยู่ที่เอวขึ้นมา ก่อนจะกรอกเสียงลงไป “คนร้ายหนีไปทางถนนสายสามสิบเอ็ด เทียนลู่กับแจ๊กกี้กำลังไล่ตามอยู่”
เสียงวิทยุดังแซ่กๆ อยู่อึดใจ จากนั้นลู่อี้เผิงก็เห็นประกายไฟแลบออกมาจากรถยนต์เก่าๆ ที่แล่นหลบหนีอยู่ พร้อมด้วยเสียงดังรัวราวกับจุดประทัด
“บัดซบเอ๊ย!” ลู่อี้เผิงสบถออกมา เมื่อเห็นรถตำรวจที่แล่นอยู่ด้านหน้าเสียหลักแฉลบออกข้างทางไป
“มันมีปืนกล เอาไงดีครับสารวัตร?”
ลู่อี้เผิงขบริมฝีปากล่าง ก่อนจะออกคำสั่งไป “ไล่ตามไปก่อน ระวังระยะห่างเอาไว้ อย่าให้คลาดสายตา เดี๋ยวผมจะว.ขอกำลังเสริม”
พูดจบก็หยิบวิทยุมาพูดกรอกลงไป “นี่ลู่อี้เผิง คนร้ายมีปืนกล ขอกำลังเสริมทางเส้นสามสิบห้าด้วย ด่วน คนร้ายมีปืนกล”
พูดยังไม่ทันจบดี ลู่อี้เผิงก็มีอันต้องรีบหมอบต่ำ เพราะกระสุนบางส่วนสาดมาถึงตัวรถ รถแล่นแฉลบออกข้างอย่างน่ากลัว
“ผู้กองต้วน” ลู่อี้เผิงเรียกชื่อลูกน้อง คนที่ขับรถอยู่ตอบกลับมา “ยังดีอยู่ครับ เอาไงดีสารวัตร แบบนี้ไม่ดีแน่ ตามใกล้ก็ไม่ได้ ตามห่างๆ ก็คงคลาดกัน”
ลู่อี้เผิงขบริมฝีปากอย่างใช้ความคิด ก่อนจะขยับไปนั่งข้างคนขับ “ผมขับแทนแล้วกัน”
ต้วนเฟิงมองหน้าผู้บังคับการของเขา แล้วรีบกระโจนออกมาจากที่นั่งคนขับ รถแฉลบออกจากข้างทางนิดหน่อยในตอนที่ลู่อี้เผิงนั่งลงไป
“เล็งยางล้อรถมันไว้ให้แม่นๆ นะ ผู้กอง” นายตำรวจหนุ่มพูด จากนั้นรถก็เร่งความเร็วขึ้นอย่างน่ากลัว
“เอาจริงนะ สารวัตร!” ต้วนเฟิงพูดออกมาแล้วพยายามจะเล็งปืนไปทางล้อรถยนต์ที่แล่นอยู่ด้านหน้า ขณะที่ตัวรถส่ายไปมาจนน่ากลัว เสียงปืนกลดังรัวขึ้นอีก
“บ้าเอ๊ย!!” ลู่อี้เผิงหักรถแฉลบไปอีกทางด้วยความเร็วที่ชวนจะหวาดเสียวให้รถคว่ำ ต้วนเฟิงพยายามจะเล็งเป้าหมาย พร้อมกันกับทรงตัวไม่ให้หน้าทิ่มคะมำออกจากรถด้วย
เสียงลั่นไกปืนกึ่งออโตแมติกสองนัดที่ถูกลั่นออกมา ถูกกลบด้วยเสียงดังรัวราวประทัดของปืนกลอีกรอบ คราวนี้รถของลู่อี้เผิงแทบจะดิ่งลงข้างทาง
“สารวัตรลู่!” ต้วนเฟิงโพล่งขึ้น ขณะที่ลูกกระสุนวิ่งผ่านด้านบนศีรษะของเขาไป ได้ยินเสียงลู่อี้เผิงตอบกลับมา
“ไอ้พวกเลว”
ลู่อี้เผิงหักพวงมาลัยรถกลับไปยังถนนได้ทันก่อนที่รถจะพุ่งชนกับที่กั้นข้างทาง กระจกหน้ารถร้าวเป็นทางยาว เพราะรอยลูกกระสุนที่พุ่งผ่านเข้าไป
“ถ้ามีรถมาขวางไว้สักคันล่ะก็!!” ต้วนเฟิงคำรามออกมาและพยายามจะยิงล้อรถยนต์เก่าที่วิ่งอยู่อีกรอบ ขณะที่ลู่อี้เผิงเบี่ยงรถแฉลบออกข้างอีก
คำพูดของต้วนเฟิงก็ดูเข้าท่าอยู่หรอก แต่ใครจะขับไปขวาง ยิงกันสั่นแบบนี้ รถคันอื่นมีแต่รีบหยุด หรือไม่ก็ขับหนี คงต้องพยายามไล่ไปจนกำลังสนับสนุนมาถึงนั่นแหละ
ลู่อี้เผิงคิดพลางหักพวงมาลัยอย่างหวาดเสียว จนต้วนเฟิงชักนึกกลัวว่าบางทีพวกเขาอาจจะตายเพราะรถคว่ำเสียมากกว่าถูกถล่มยิง ทันใจนั้นเองเขาก็รู้สึกเหมือนเห็นรถลีมูซีนตอนยาวคันหนึ่งแล่นอยู่ในเลนข้างๆ
ลู่อี้เผิงอ้าปากค้าง แทบจะเหยียบเบรกไม่ทันในตอนที่เห็นรถลีมูซีนสีดำสนิทคันนั้นแล่นแซงขึ้นมา แล้วหักหลบกระทันหัน
!!!
เสียงตัวถังเหล็กปะทะกับตัวถังเหล็กดังสนั่นหวั่นไหว เนื่องจากเบรกกะทันหัน รถยนต์ของลู่อี้เผิงจึงแฉลบออกข้างทาง โชคยังดีที่มันหยุดสนิทก่อนจะชนเข้ากับคานกั้น ลู่อี้เผิงและต้วนเฟิงกระโดดลงมาจากรถพร้อมกับปืนพกในมือ ก่อนจะค่อยๆ เดินไปยังรถยนต์เก่าที่ส่วนหน้าพังยับเยิน คาอยู่กับส่วนท้ายของรถลีมูซีนตอนยาวสีดำคันนั้น
“เรียกรถพยาบาลด้วย คนร้ายได้รับบาดเจ็บ” ลู่อี้เผิงพูดกรอกวิทยุ หลังจากเข้าไปสำรวจซากรถและพบคนร้ายสามคนนอนหมดสภาพอยู่ เขาและต้วนเฟิงจัดการปลดอาวุธคนร้ายทั้งหมด และยืนรอกำลังเสริมเข้ามาสมทบ
“โห... รถใครเนี่ย” ต้วนเฟิงพูดออกมา พลางมองไปยังรถลีมูซีนสีดำตอนยาวที่มีรอยบุบนิดหน่อยตรงตัวถังที่ถูกชน “กันกระสุนเสียด้วย”
ลู่อี้เผิงทำท่าจะอ้าปาก แต่เสียงใครสักคนก็ดังขึ้นเสียก่อน
“ไม่เป็นอะไรใช่ไหม สารวัตรลู่” ชายหนุ่มร่างโปร่งในชุดสูทยาวสีออกแดงไหม้ก้าวเท้าออกมาจากรถ แม้จะมีเพียงแสงไฟสลัวๆ จากหน้ารถที่จอดเอาไว้ แต่ลู้อี้เผิงจำได้ดีกว่าผู้ชายคนนี้เป็นใคร แต่ยังไม่ทันได้อ้าปาก ทางนั้นก็ชิงพูดออกมาก่อน
“อ๊ะๆ อย่าเรียกออกมาเชียวนะ สงสารลูกน้องเธอบ้างเถอะ” พูดพลางหลิ่วตาสีดำสนิทไปทางต้วนเฟิงซึ่งยืนอึ้งอยู่ ลู่อี้เผิงอ้าปากพะงาบลมอยู่สองสามหน ถึงได้ถอนหายใจเฮือก
“คุณโผล่มาทำไม จะฆ่าปิดปากพวกนั้นหรือไง?”
“ฉันอุตส่าห์มาช่วยแท้ๆ ยังจะหาว่าฆ่าปิดปากอีก เดี๋ยวนี้โรงเรียนนายร้อยตำรวจเขาสอนนักเรียนเกียรตินิยมกันแบบนี้หรือนี่?” คนถูกกล่าวหาพูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้ออย่างที่สุด ลู่อี้เผิงขบกรามกรอดๆ แล้วพูดตอบโต้ไป “งั้นทำไมคุณโผล่มาถูกจังหวะแบบนี้?”
“ฉันแค่กำลังจะนั่งรถกลับบ้าน” ชายคนเดิมตอบ “บังเอิญเห็นเหตุการณ์ แล้วเกิดอยากเป็นพลเมืองดี เลยช่วยไว้เท่านั้นเอง มีอะไรน่าสงสัยอีกไหม? หรือเธอคิดว่า คนอย่างฉันต้องลงทุนขนาดพุ่งรถขวางเพื่อจะฆ่าไอ้สวะพวกนี้น่ะ”
ลู่อี้เผิงอับจนคำพูดไปชั่วขณะ ผู้ชายคนเดิมยิ้มนิดๆ แล้วเปิดประตูรถ “งานนี้ฉันไม่คิดค่าเสียหายก็แล้วกัน อย่าลืมแวะไปเยี่ยมขอบคุณกันบ้างล่ะ”
เสียงประตูรถปิดดังปึก ก่อนที่รถลีมูซีนคันนั้นจะแล่นออกไป ต้วนเฟิงอ้าปากทำท่าจะถามอะไร แต่พอเห็นตรารูปนกยูงสีแดงที่ประดับอยู่ตรงหน้ารถ
“หงคงฉ่วย!”
--------------------------------------------------------------
ข่าวเรื่องที่ว่าหงคงฉ่วยช่วยจับคนร้ายแพร่สะพัดไปทั่วกรมอย่างรวดเร็ว ดีที่ผู้บังคับกรมสั่งห้ามให้ข่าวเรื่องนี้โดยเด็ดขาด ถึงอย่างนั้นก็ยังคงมีหนังสือพิมพ์แท็บลอยบางฉบับเอาไปพาดหัวกันอย่างสนุกสนานราวกับข่าวซุบซิบดารา แต่แล้ววันรุ่งขึ้นก็ต้องรีบพาดหัวขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำสั่งของกรมตำรวจ หรืออิทธิพลของหงคงฉ่วยกันแน่
ลู่อี้เผิงเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกา เขาเพิ่งตรวจสำนวนฟ้องของคดีเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเสร็จ ข่าวลือเรื่องหงคงฉ่วยทำเอานายตำรวจหนุ่มหงุดหงิดใจอยู่หลายวัน ในเมื่อเรื่องดูเหมือนจะเงียบลงแล้ว และวันนี้เขาก็เคลียร์งานเสร็จก่อนดึก ออกไปเที่ยวหาความสุขใส่ตัวสักหน่อยก็แล้วกัน
ตั้งแต่หงคงฉ่วยโผล่มาคราวนั้น ลู่อี้เผิงยังไม่เยี่ยมหน้าไปคฤหาสน์เขาวงกตนั่นเลยสักครั้ง ในเมื่อหงคงฉ่วยไม่ส่งใครมาตาม แล้วเขาเองก็ไม่มีธุระอะไรที่นั่น ให้ตายลู่อี้เผิงก็ไม่ก้าวเข้าไปเด็ดขาด
ไอ้เรื่องเอารถมาขวางไว้โดยไม่รู้เจตนาแน่ชัดแบบนั้นน่ะ ไม่ถึงกับต้องไปขอบคุณหรอก
-----------------------------------------------------------------
ในเมื่อหงคงฉ่วยบนขาทำให้ลู่อี้เผิงหมดสิทธิ์ไปคั่วสาวหรือหนุ่มที่ไหนแล้ว สิ่งผ่อนคลายที่พอเหลืออยู่ในชีวิตนายตำรวจหนุ่มคงเป็นการไปเกมเซนเตอร์
ตลอดสี่ปีที่ผ่านมา ลู่อี้เผิงกลายเป็นลูกค้าขาใหญ่ของที่นี่ไปแล้ว แสงไฟแวบๆ จากตู้เกม พร้อมกับเหล่าผู้คนที่มายืนมุงดูคงพอแทนบรรยากาศของย่านสถานเริงรมย์ได้บ้างล่ะมั้ง
ลู่อี้เผิงนั่งปุลงหน้าตู้เกมอาเขตตู้หนึ่ง พลางวางเหรียญสองสามเหรียญไว้ข้างตัว แต่เดิมเขาก็ไม่ใช่พวกอ่อนหัดในเกมเซนเตอร์อยู่แล้ว พอถูกบังคับกลายๆ ให้ต้องมาใช้ที่นี่เป็นที่ผ่อนคลาย ฝีมือในการเล่นเกมของลู่อี้เผิงในตอนนี้จึงเรียกได้ว่า”ขั้นเทพ”ได้เต็มปากเต็มคำ เพราะฉะนั้น เรื่องจะแลกเหรียญมาไว้เป็นกองๆ สำหรับเขาแล้ว ลืมไปได้เลย
นายตำรวจหนุ่มนั่งเล่นกับคอมได้สักพัก ก็มีคนกดจอยเข้ามา เขาเลยเหลือบไปมองตู้เกมฝั่งตรงข้าม เนื่องจากเป็นตู้ขนาดใหญ่ สิ่งที่ลู่อี้เผิงเห็นคือไหล่ของผู้ชายที่ใส่เสื้อเชิ้ตสีฟ้าเรียบๆ และเสียงเหรียญที่ทางนั้นกองลงข้างตัว
ไม่มีใครในเกมเซนเตอร์กล้าท้าเขาเล่นมานานแล้ว ท่าทางหมอนี่จะเป็นมือใหม่ แต่คงคิดผิดไปหน่อยที่มาท้าสู้กับเขา
ลู่อี้เผิงเล่นเกมไม่เคยออมมือให้คู่ต่อสู้มาแต่ไหนแต่ไร อย่างเดียวกับที่เขาทำตอบปฏิบัติงานนั่นแหละ ดังนั้นชัยชนะเกมแรกจึงตกเป็นของเขาได้โดยง่าย เจ้าหมอนั่นเป็นมือใหม่จริงๆ เสียด้วยสิ
แต่เอาชนะมือใหม่ไปก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกภาคภูมิใจอะไร ลู่อี้เผิงเลยคิดจะลุกขึ้นเดินไปอีกฟาก แล้วช่วยสอนวิธีเล่นให้ แต่เสียงหยอดเหรียญและการกดปุ่มรีเทิร์นอีกรอบทำให้ชายหนุ่มต้องหยุดตัวเองไว้ แล้วจับคันบังคับต่อ
เล่นกันไปกี่เกมแล้วก็ไม่รู้ ลู่อี้เผิงรู้แต่เจ้าหมอนี่ถ้าไม่รวยจัดก็คงว่างเต็มที ฝีมือไม่เอาอ่าวแบบนี้ยังจะมาท้าเขาแข่งอยู่ได้เป็นสิบๆ เกม ในที่สุด นายตำรวจหนุ่มก็ตัดสินใจส่งเสียงออกไป
“คุณครับ หยุดพักสักครู่นะครับ เรามาคุยกันหน่อยดีไหม?”
ทางนั้นไม่ตอบอะไร ได้แต่นั่งนิ่ง ดังนั้นลู่อี้เผิงจึงเดินอ้อมตู้เกมที่ตั้งเรียงติดกันอยู่เพื่อไปยังฝั่งตรงข้าม แล้วก็ต้องชะงักกึก เมื่อเห็นใบหน้าผู้ที่นั่งอยู่
“ฉันเล่นไม่เอาอ่าวขนาดนั้นเลยหรือไง?” รอยยิ้มลี้ลับปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าพร้อมกับคำถาม ลู่อี้เผิงนึกสาปแช่งตัวเอง เขาน่าจะเอะใจได้ก่อนว่าเป็นเจ้าบ้านี่
“ไม่เอาอ่าวสุดๆ เลยล่ะ” นายตำรวจหนุ่มว่า แล้วเดินเข้ามา “คุณอยากมาเจอผมทำไมไม่มาทักกันดีๆ ล่ะ?”
“ฉันคิดว่าแบบนี้น่าจะสนุกกว่า หรือเธอไม่เห็นด้วย” หงคงฉ่วยว่า ลู่อี้เผิงกวาดตามองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วถามขึ้น “วันนี้คุณแต่งเป็นพนักงานบริษัทหลังเลิกงานหรือไง”
หงคงฉ่วยก้มลงมองชุดเสื้อเชิ้ตกับกางเกงสแล็กของตัวเองแล้วหัวเราะ “อืม เหมาะดีไหม?”
“ผมว่าถ้ามีผมหงอกกับพุงพลุ้ยๆ อีกนิดล่ะเข้าท่าเลยล่ะ” ลู่อี้เผิงตั้งข้อสังเกต แล้วก็โดนอีกฝ่ายถลึงตาใส่ ชายหนุ่มเลยกวาดตามองอย่างอื่นแทน และเห็นเหรียญที่กองพะเนินอยู่
“ผมถามจริงๆ นะ คุณเล่นเกมไม่เป็น หรือแกล้งอ่อยให้ผมกันแน่”
หงคงฉ่วยเอียงคอมองเขาแล้วตอบ “ฉันเคยอ่อยให้เธอเรื่องไหนบ้างล่ะ?”
ลู่อี้เผิงจ้องตาอีกฝ่ายอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมา “ขยับสิ เดี๋ยวผมจะสอนให้ เผื่อวันหลังไปตกเด็กที่ไหนจะได้ไม่อายเขา”
หงคงฉ่วยหัวเราะชอบใจ แล้วขยับที่นั่งให้ ลู่อี้เผิงหันมาพูดผ่านไรฟัน “ห้ามแต๊ะอั๋งผมนะ”
หงคงฉ่วยยกมือขึ้นสองข้าง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เชิญสอนเลยครับ ท่านอาจารย์”
พอมานึกว่าถูกคนที่อาจจะรุ่นพ่อเขาแล้วด้วยซ้ำเรียกแบบนี้ ลู่อี้เผิงเกิดอาการขนลุกขึ้นมาทันที “คุณพูดอะไรให้มันสมกับตัว.... อายุคุณหน่อยเถอะ”
คนได้ฟังหัวเราะอีก “คนเราเขาวัดอายุกันจากหน้า ไม่ใช่คำพูดเสียหน่อย”
ลู่อี้เผิงขมวดคิ้วมุ่น เหลือบสายตามองอีกฝ่ายแว้บหนึ่ง พอเห็นรอยยิ้มชอบอกชอบใจนั้นแล้วก็รีบเบือนสายตากลับมาทันที
“อันนี้เป็นคันบังคับทิศทาง” ลู่อี้เผิงเริ่มอธิบาย “ปุ่มนี้คือต่อย อันนี้เตะ ใช้รวมกับคันบังคับจะได้แบบนี้” พูดพลางสาธิตไปพลาง หงคงฉ่วยนั่งฟังพลางพยักหน้าเหมือนเด็กๆ ชวนให้ขนลุกแปลกๆ
นั่งฟังคำอธิบายไปได้พักหนึ่ง หงคงฉ่วยก็พูดออกมา “ลำบากดีจริงๆ ให้ฉันทำท่าเลียนแบบไอ้ตัวพวกนี้เองยังง่ายเสียกว่า”
ลู่อี้เผิงถลึงตาใส่ “นี่มันเกมเซนเตอร์นะ ไม่ใช่ลานกายกรรม ถ้าคุณอยากจะผาดโผนของคุณล่ะก็ ผมว่าคุณเอาเหรียญพวกนี้ไปแลกแบ้งค์คืนแล้วไปลานกายกรรมเถอะ”
“แหม... พูดแค่นี้ไม่เห็นต้องไล่กันเลย” หงคงฉ่วยตัดพ้อ ลู่อี้เผิงถอนหายใจออกมา “ผมกลับบ้านดีกว่า”
“เดี๋ยวสิ” หงคงฉ่วยฉวยมือของเขาเอาไว้ ก่อนจะรีบพูดต่อ “เข้าใจแล้วล่ะครับท่านอาจารย์ เดี๋ยวฉันลองเล่นให้ดูแล้วกันนะ”
ลู่อี้เผิงกะพริบตาปริบๆ แต่ก็ยอมนั่งลงโดยดี หงคงฉ่วยขยับตัวมาวางมือเตรียมพร้อม แล้วก็เริ่มทำในสิ่งที่เขาสอนไว้
“คุณกดเร็วไป ช้าอีกหน่อยสิ เครื่องมันตามไม่ทันนะ” ลู่อี้เผิงว่า ตั้งแต่เจอหงคงฉ่วยมา เขาเพิ่งเห็นการเคลื่อนไหวมือของเจ้าหมอนี่อย่างชัดเจนก็วันนี้เอง ขยับได้เร็วเป็นบ้า มิน่าเล่า เขาถึงแพ้ก่อนทุกที
หงคงฉ่วยหัวเราะ “เครื่องพวกนี้มันสร้างมาช้าไปต่างหาก ช้าแบบนี้จะเรียกว่าต่อสู้ได้ไง”
“นี่มันเป็นแค่เกมนะครับคุณลุง” ลู่อี้เผิงว่า หงคงฉ่วยหันมามองเขา แล้วพูดยิ้มๆ “เผิงเผิง... จะพูดอะไรระวังลิ้นจะไม่มีใช้บ้างนะ”
ลู่อี้เผิงหุบปากทันที
------------------------------------------------
นั่งมองหงคงฉ่วยกดปุ่มเป็นนานสองนาน ความเร็วก็ลดลงไม่ถึงไหน ลู่อี้เผิงเริ่มจะอยู่นิ่งๆ ไม่ไหว ต้องพูดออกมาอีก “นี่... คุณช้าลงอีกนิดสิ”
“ฉันกำลังพยายามอยู่” หงคงฉ่วยพูด พลางทำหน้าจริงจัง ลู่อี้เผิงมองเขาอยู่พักหนึ่ง แล้วถอนหายใจออกมา “ผมจับมือคุณให้แล้วกัน จะได้รู้จังหวะ”
นายตำรวจหนุ่มพูดพลางทาบมือลงไปบนมือที่จับปุ่มกดอยู่ เขารู้สึกเหมือนหงคงฉ่วยสะดุ้งตัวหน่อยหนึ่ง จึงหันกลับมามอง
ริมฝีปากของหงคงฉ่วยบางสวย และเผยออ้าออกหน่อยๆ ตอนที่เขาหันไป ลู่อี้เผิงจำไม่ได้ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรกันแน่ จำได้แต่เขาสะดุ้งสุดตัว ตอนที่ได้ยินเสียงเหรียญหล่น และรู้สึกตัวว่าริมฝีปากของตนได้แตะกับริมฝีปากคู่นั้นไปแล้ว
แค่นิดเดียวเท่านั้นเอง แต่ทำไมหัวใจเขาถึงได้เต้นแรงนักนะ
หรือว่าเพราะตกใจเสียงหล่นของเหรียญ....?
----------------------------------------------------
ใบหน้าของหงคงฉ่วยปรากฏรอยยิ้มลี้ลับ ก่อนเจ้าตัวจะเอ่ยปากพูดออกมา “ช้าขนาดนี้ได้ไหม?”
จากนั้นก็เริ่มขยับมืออีกครั้ง ลู่อี้เผิงลงน้ำหนักลงไปบนมือข้างนั้นทันที “ช้าอีกนิด”
ความรู้สึกในการจับมือคนอื่นเล่นเกมเป็นแบบไหน ลู่อี้เผิงไม่อยากจะบรรยาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกันจับมือคนอย่างหงคงฉ่วย
จับมือกันทำแบบนั้นอยู่สักพัก ความเร็วในการขยับมือของหงคงฉ่วยไม่ได้ลดลงเท่าไหร่เลย แต่ลู่อี้เผิงกลับเหงื่อออกเต็มหลัง ไม่รู้ว่าเพราะตระหนักถึงพลังมหาศาลในมือของอีกฝ่าย หรือมีความรู้สึกอื่นร่วมด้วยกันแน่
“กลับกันเถอะ” หงคงฉ่วยพูดขึ้น หลังจากไม่มีเหรียญให้หยอดแล้ว ลู่อี้เผิงชะงักตัว ก่อนจะยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู “ดึกขนาดนี้แล้ว?”
คนนั่งข้างพยักหน้า “เด็กดีต้องนอนแต่หัวค่ำ กลับได้แล้ว”
จากนั้นก็ผุดลุกขึ้น แล้วยิ้มให้เขาบางๆ ลู่อี้เผิงไม่นึกอยากยิ้มด้วย เลยลุกขึ้นเงียบๆ แล้วเดินออกจากร้านไป
-------------------------------------------------------
รถลีมูซีนตอนยาวสีดำคันงามแล่นเข้ามาเทียบตรงหน้าเกมเซนต์เตอร์ แสงไฟหลากสีตรงป้ายด้านหน้ายิ่งทำให้นกยูงสีแดงที่ประดับอยู่ด้านหน้าดูแดงเข้าไปอีก คนรับใช้คนหนึ่งก้าวออกมาจากรถแล้วเปิดประตูให้กับผู้ชายอีกคนที่ดูจากการแต่งตัวแล้วไม่น่าจะมีรถพรรค์นี้ใช้ได้เลย
“เผิงเผิง วันนี้สนุกมากเลย ขอบใจที่ช่วยสอนนะ” หงคงฉ่วยพูด ก่อนจะก้าวเข้าไปในรถ ลู่อี้เผิงกวาดตามองรถคันนั้นรอบหนึ่ง แล้วพูดออกมา
“เรื่องเมื่อวันก่อนน่ะ.... ขอบคุณนะ”
“หืม?” หงคงฉ่วยส่งเสียง แล้วลดกระจกลง “ตะกี้ว่าอะไรหรือ?”
“เปล่า” ลู่อี้เผิงสั่นศีรษะ หงคงฉ่วยยิ้มให้เขาเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้นอีก “วันอาทิตย์นี้ถ้าว่าง แวะไปดื่มชากับฉันหน่อยสิ”
“ผมไม่นิยมธรรมเนียมฝรั่ง” ลู่อี้เผิงตอบ คนชวนไม่ตอบอะไร เพียงแต่พูดสั้นๆ “ชาอร่อยนะ” จากนั้นก็ไขกระจกขึ้น แล้วรถลีมูซีนตอนยาวคันนั้นก็แล่นออกไป
ลู่อี้เผิงถอนหายใจ ยังรู้สึกถึงความชื้นของเหงื่อบนหลัง ชายหนุ่มเดินทอดน่องไปตามถนน พยายามลำดับความคิดสับสนของตัวเอง
เอาน่า... อย่างน้อยเขาก็ได้รู้ว่า คนอย่างหงคงฉ่วย ก็มีส่วนไม่เอาอ่าวกับเขาเหมือนกัน
ผ่านมาสี่ปี ลู่อี้เผิงเพิ่งได้รู้ว่า เขาจะเอาชนะหงคงฉ่วยได้ ก็ที่เกมเซนเตอร์นี่แหละ
-------------------------------------------------------------------
“เผิงเผิง มาได้จังหวะพอดีเลย” หงคงฉ่วยที่นั่งอยู่บนเก้าอี้บุหนังในห้องรับรองเอ่ยทักเขาอย่างร่าเริง ได้ยินเสียงแปะชิกชิกพูดออกมา “เผิงเผิง”
ลู่อี้เผิงหลับตาลงอย่างอดทนอดกลั้น ต่อจากเจ้านาย ตอนนี้ก็นกหรือนี่... เกิดมาคิดว่าถูกคนเรียกเป็นเด็กผู้หญิงแบบนี้ก็น่าอายแล้ว ขนาดนกก็ยังไม่เว้น ถ้าไม่ติดว่าเป็นนกแสนรักของหงคงฉ่วย เขาคงจับหักคอไปแล้ว แต่เพราะเป็นนกของหงคงฉ่วย เขาเลยต้องอดต้องทนเอาไว้ ที่สำคัญ ถ้าให้เทียบกันแล้ว เขาอยากหักคอไอ้เจ้าของนกมากกว่าอีก
“ชาล่ะ?” ลู่อี้เผิงถามออกมา ทันทีที่นั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกับหงคงฉ่วยแล้ว คนถูกถามหยิบเมล็ดพืชขึ้นมา ป้อนให้นกกระตั้วที่อยู่ในมือ แล้วพูดยิ้มๆ “จำแม่นจัง ไหนว่าไม่ชอบธรรมเนียมฝรั่งไง”
“ถ้านึกกลัวว่าผมจะเห็นถ้วยชาที่ได้มาอย่างผิดกฎหมายของคุณล่ะก็ มาคิดตอนนี้ก็สายไปแล้วล่ะ” ลู่อี้เผิงตอบ หงคงฉ่วยหัวเราะชอบใจ “เธอนี่ชอบใส่ไคล้คนอื่นเข้าไปทุกทีแล้ว ฉันมีถ้วยชาผิดกฎหมายที่ไหนกัน”
หยุดพักหนึ่ง หงคงฉ่วยจึงพูดขึ้นต่อ “แต่วันนี้เรื่องชาพักไว้ก่อนแล้วกัน ฉันมีอะไรอยากให้เธอดู อ้าว มาพอดีเลย”
ประตูถูกเปิดออก คนรับใช้สี่ห้าคนช่วยกันยกตู้อะไรบางอย่างเข้ามา ลู่อี้เผิงถลึงตามองอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหันหน้ากลับมาหาคนที่กำลังป้อนอาหารนกอยู่
“ตู้เกมไงล่ะ” หงคงฉ่วยตอบคำถามบนสีหน้าของคนที่มองมา ลู่อี้เผิงหลับตาลงอย่างอดทนอดกลั้น “ผมเห็นแล้วว่าเป็นตู้เกม แต่คุณเอามาทำไมน่ะ”
“ฉันอยากดวลกับเธออีกรอบ” หงคงฉ่วยตอบกลับมา แล้วส่งแปะชิกชิกให้กับคนรับใช้ “มาดูกันว่าฝีมือฉันดีขึ้นแล้วหรือยัง”
ลู่อี้เผิงหัวเราะออกมา “ได้เลย”
----------------------------------------------------------
“คงฉ่วย เครื่องเกมนี่มันอะไรกัน!” ลู่อี้เผิงพูดออกมา หลังจากแพ้ให้กับหงคงฉ่วยไปแล้วห้าเกม คนถูกถามตอบยิ้มๆ “ก็เครื่องเกมไงล่ะ มันอะไรตรงไหนกัน?”
ลู่อี้เผิงถลึงตามองคนตอบ และพูดต่อ “ปุ่มพวกนี้มันใช้การไม่ได้ คุณอย่ามาโกงผมนะ”
หงคงฉ่วยยกนิ้วขึ้นโบกไปมา “ฉันไม่ได้โกงนะ ไม่เชื่อเดี๋ยวฉันย้ายไปเล่นเครื่องนั้นให้เธอดูก็ได้”
ลู่อี้เผิงยืนรอให้หงคงฉ่วยเดินมานั่งตรงตู้เกมของตนอย่างอดทน หลังจากนั้นเขาก็ได้เห็นคนที่กดปุ่มเกมได้เร็วที่สุดในโลก
“คงฉ่วย!!” ลู่อี้เผิงร้องออกมา “คุณทำอะไรกับปุ่มมัน?!”
หงคงฉ่วยตอบยิ้มๆ “ก็แค่ปรับให้มันไวขึ้นสักหน่อย ฉันว่าความเร็วขนาดนี้แหละ เหมาะกับการต่อสู้ที่สุดแล้ว”
ลู่อี้เผิงกัดฟันกรอดๆ ก่อนจะโพล่งออกมา “เชิญคุณเล่นของคุณไปคนเดียวแล้วกัน” พูดจบก็เดินงุดๆ ออกจากห้องรับรองไป ทิ้งให้หงคงฉ่วยถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“เด็กสมัยนี้นี่... แค่ทำอะไรให้เร็วสักหน่อยมันยากมากหรือไงนะ”
ลู่อี้เผิงปิดประตูใส่เสียงดังปัง
---------------------------------------------------------------------------------
ความคิดเห็น