คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : หงคงฉ่วย
ดวงตาคมวาวสีดำที่นิ่งสนิทราวกับท้องฟ้าในคืนเดือนมืด ทอดต่ำลงมายังร่างที่นั่งคุกเข่าอยู่เบื้องล่าง
ที่อยู่ตรงหน้าเขาคือชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ที่ถูกพันธนาการด้วยเชือกสำหรับผูกเรือเอาไว้อย่างหนาแน่น และด้านข้างของเขา มีชายร่างใหญ่อีกสองคนยืนขนาบอยู่
“อืม.... หน่วยสืบราชการลับหน้าใหม่ของกรมตำรวจหรือ?” คนที่นั่งอยู่บนเกาอี้หนังหนังคลุมขนสัตว์พูดด้วยน้ำเสียงเหมือนกำลังพูดคุยกับเด็กๆ อยู่ พลางเอียงคอมองคนที่นั่งคุกเข่าอยู่เบื้องล่าง
“ขอดูหน้าชัดๆ หน่อยซิ”
สิ้นสุดคำพูด ใบหน้าของชายหนุ่มก็ถูกจับให้เงยขึ้นทันที ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคัก “ยังเด็กอยู่เลยนี่ อายุเท่าไหร่ล่ะคุณตำรวจ?”
“ยี่สิบสาม” คนถูกจับอยู่ตอบเสียงห้วน กระนั่นก็ไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกอารมณ์เสียแต่อย่างไร ผู้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ยังคงทอดตามองลงต่ำ ใบหน้าขาวเกลี้ยงปรากฏรอยยิ้มชวนมองขึ้นมา เมื่อประกอบกับดวงตาที่นิ่งสนิทเหมือนเม็ดนิลนั้นแล้ว ก็ให้รู้สึกลี้ลับพิสดารอย่างบอกไม่ถูก
“มีชื่อรึเปล่า” ฝ่ายที่นั่งอยู่ถามขึ้นลอยๆ หนึ่งในสองชายฉกรรจ์ที่ยืนขนาบอยู่จึงพูดตอบไป
“ลู่อี้เผิง จบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เกิดวันที่xx เดือนxx ปีxx เข้าบรรจุราชการเมื่อ กันยายน xx ที่ผ่านมา โดยคำสั่งแต่งตั้งของเฟิ่งอี่ ผู้บัญชาการกรมตำรวจคนก่อนครับ”
“โอ.. ฮาๆ “ คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หัวเราะ “คนของฉันหาข้อมูลมาดีจริงๆ เอาล่ะ คุณตำรวจ อืม.. คุณลู่อี้เผิง ตอนคุณได้เกียรตินิยมมา อาจารย์คุณเขามีสอนหรือเปล่าว่าหงคงฉ่วยคืออะไร?”
ลู่อี้เผิงไม่ตอบคำถาม แต่ถามสวนออกไป “จะเอายังไงกับผมก็ว่ามาเลยดีกว่า”
คนนั่งอยู่บนเก้าอี้ระบายรอยยิ้มออกมาอีกครั้ง ก่อนจะขยับตัวออกมาจากเบาะเอนนิดหน่อย แสงไฟสลัวที่ส่องลงมาจากโคมไฟด้านบน ส่องให้เห็นเสียวหน้าเกลี้ยงได้รูป และช่วงไหล่ไม่แคบไม่กว้าง ในชุดเสื้อคลุมขนสัตว์สีขาวโพลน ทับบนเสื้อสูทสีออกเลือดนกอีกชั้นหนึ่ง
“ผู้กองลู่ ฉันไม่รู้หรอกนะว่าคนที่ส่งคุณมา อธิบายคำว่าหงคงฉ่วยให้คุณฟังว่าอะไร แต่คุณยังอยากกลับไปรับราชการต่ออยู่ไหม? ไม่สิ... คุณอยากจะมีสัมพันธ์ที่ดีกับหงคงฉ่วยหรือเปล่าล่ะ?”
“คุณต้องการอะไร” ลู่อี้เผิงถามออกไปอีก คนที่นั่งอยู่ตอบยิ้มๆ “ก็ไม่มีอะไร ฉันแค่อยากได้คำยืนยันที่จะแสดงความจงรักภักดีต่อหงคงฉ่วย ถ้าคุณกล้าจะแสดงมันออกมาให้ฉันเห็น ฉันจะช่วยคุณเรื่องคดี แต่ถ้าไม่... ฉันคิดว่าคนที่ส่งคุณมาคงเล่าเรื่องคนที่มาก่อนหน้าให้คุณฟังแล้ว”
พูดจบ กระถางเหล็กที่มีฟืนสุมอยู่จนคุแดงก็ถูกยกออกมา ด้านในมีท่อนเหล็กขนาดพอดีมือเสียบอยู่สามท่อน ได้ยินเสียงคนที่นั่งอยู่พูดต่อ
“ผู้กองลู่ คุณสะกดคำว่าหงคงฉ่วยได้ไหม? ฉันถามคุณจริงๆ นะ คุณเขียนได้ถูกต้องทุกขีดรึเปล่า? คนก่อนหน้าคุณเขียนตกไปขีดหนึ่ง ฉันเลยต้องให้เขาลงไปนอนก้นอ่าวฮ่องกง ฉันเพิ่งรู้ว่าโรงเรียนสมัยนี้เขาไม่ค่อยเน้นการเขียนกันแล้ว”
ลู่อี้เฟิงเบิ่งตามองคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า เสียแต่แสงไฟสลัวภายในห้องไม่ได้สะท้อนให้เห็นชัดนักว่าชายหนุ่มมองด้วยสายตาแบบไหน แต่คงไม่ใช่สายตาจงรักภักดีแน่นอน
“เอาล่ะ ฉันตัดปัญหาดีกว่า ฉันจะให้คุณดูแบบแล้วเขียนตามก็แล้วกัน”
แท่นแขวนม้วนภาพแท่นหนึ่งถูกนำเข้ามา บนนั้นมีอักษรภาพเขียนอยู่สามคำ
หงคงฉ่วย (นกยูงแดง)
“ปล่อยเขาได้แล้ว” คนที่นั่งอยู่ออกคำสั่ง คนที่ยืนขนาบข้างอยู่จึงแก้เชือกผูกเรือที่มัดเขาออก ทันทีที่เชือกหลุด ลู่อี้เผิงกระโจนเข้าใส่ผู้ชายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ทันที
ไม่มีใครในที่นั้นขยับ แม้แต่ชายร่างใหญ่สองคนที่ยืนขนาบเขาอยู่ ลู่อี้เผิงพุ่งตรงเข้าใส่ผู้ชายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ตะปบมือเข้าใส่ลำคอที่มีเสื้อเชิ้ตสีขาวหุ้มเอาไว้ ใบหน้าเกลี้ยงของคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ปรากฏรอยยิ้มลี้ลับ
ทันใดนั้นลู่อี้เผิงก็รู้สึกเหมือนภาพตรงหน้าตะแคงคว่ำลง ก่อนที่หน้าของเขาจะกระแทกเข้ากับพื้นซีเมนต์ด้านล่างอย่างแรง ความเย็นยะเยียบจากผิวซีเมนต์ซึมเข้าสู่ผิวหนังเขาอย่างรวดเร็ว
“อา... ผู้กองลู่ คุณเป็นพวกสอนไม่จำ หรือไม่เคยเรียนรู้กันนะ เอาเถอะ ฉันเห็นว่าคุณยังเด็กอยู่ จะให้อภัยคุณสักครั้งแล้วกัน”
เสียงเดิมพูดอีก จากนั้นลู่อี้เผิงก็ได้กลิ่นยาขัดรองเท้า พร้อมกับรองเท้าหนังปลายมนที่ขัดจนมันแปลบซึ่งยื่นเข้ามาเชยคางของเขาขึ้นไป
“ถ้าคุณอยากจะสืบคดีต่อ คุณก็ควรเล่นตามกติกาของฉัน แต่ถ้าคุณไม่ต้องการทำหน้าที่แล้ว ก็ตามใจคุณเถอะ... ฉันเองไม่มีส่วนไหนต้องเสียอยู่แล้ว”
ลู่อี้เผิงสะบัดหน้าหนี ก่อนจะถูกลากตัวกลับออกไปนั่งที่เดิม คนบนเก้าอี้กล่าวสืบต่อ
“ต้นขาซ้ายนะ ผู้กองลู่ โคนขาอ่อนด้านในของคุณน่ะ เขียนลงไปสวยๆ นะ”
ลู่อี้เผิงฉีกขากางเองของตัวเองออก เผยให้เห็นผิวเนื้ออ่อนสีขาวสะอาดที่ซ่อนอยู่ จากนั้นก็รับผ้าสีขาวผืนหนึ่งมากัดเอาไว้ ก่อนจะหยิบเหล็กร้อนอังไฟพวกนั้นขึ้นมา
กลิ่นเนื้อไหม้เหม็นคลุ้งไปทั่วห้อง ขณะที่ชายหนุ่มกดเหล็กร้อนลงไปบนต้นขาตัวเองด้วยมือที่สั่นเทา ดวงตาของผู้ที่นั่งอยู่เป็นประกายวาววับในแสงสลัว ตัวอักษรสามตัวค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนผิวเนื้ออ่อนสีขาวสะอาดนั้น
หงคงฉ่วย (นกยูงแดง)
----------------------------------------------------------
“สารวัตรลู่ ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณเป็นการส่วนตัว ขอเวลาสักห้านาทีได้รึเปล่า?”
ลู่อี้เผิงเงยหน้าขึ้นมองคนที่เดินเขามา เขากำลังตรวจสอบหลักฐานที่ได้มาจากคดีฆ่าล้างบ่อนเมื่อสัปดาห์ที่แล้วอยู่ ผู้ที่เดินเข้ามาไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเฉินฉิน ผู้บัญชาการตำรวจคนปัจจุบันนั่นเอง
“ได้ครับ” ลู่อี้เผิงตอบตกลง และโบกมือไล่ลูกน้องที่นั่งทำงานอยู่ให้หลบออกไปก่อน
“คุณรู้รายละเอียดเกี่ยวกับคดีฆ่าเมี้ยวเซี่ยวตง แค่ไหนน่ะ?” เฉินฉินเริ่มต้นตั้งคำถาม โดยที่ยังยืนอยู่ ลู่อี้เผิงสั่นศีรษะ “คดีนั่นผู้กองฟานตงรับผิดชอบนี่ครับ”
“อืม... ใช่ เขาเพิ่งมาบอกผมนี่เองว่าคดีนี้อาจจะมีส่วนเกี่ยวของกับหงคงฉ่วย”
นัยน์ตาสีดำของลู่อี้เผิงเบิ่งกว้างขึ้นมาทันที
“สารวัตรลู่ ผมรู้ว่าเรื่องนี้ค่อนข้างจะละเอียดอ่อนสำหรับคุณ แต่คดีฆ่าเมี้ยวเซี่ยวตงเป็นดคีใหญ่ คุณเองก็เป็นคนเดียวที่รอดมาจากหงคงฉ่วยได้ แล้วปิดคดีลึกลับเมื่อสี่ปีก่อนได้สำเร็จ ผมอยากให้คุณช่วยอีกสักครั้ง... ได้ยินมาว่าหงคงฉ่วยจะต้อนรับคนที่รอดออกไปได้อย่างดีเหมือนพี่น้อง”
“อันนั้นผมไม่รู้หรอกนะ” ลู่อี้เผิงตอบปัดๆ “คุณเพิ่งให้ผมไปหาเขาเดือนที่แล้ว เดือนนี้ก็จะให้ไปหาอีก?”
“ช่วยหน่อยเถอะสารวัตร ถ้าคดีมันปิดได้โดยไม่ต้องพึ่งหงคงฉ่วย ผมคงไม่ต้องมาขอร้องคุณ ผมเองก็ไม่ได้อยากจะเก็บเขาไว้เท่าไหร่หรอกนะ แต่คุณก็รู้ไม่ใช่หรือ หงคงฉ่วยคืออะไร ใครจะไปทำอะไรเขาได้ล่ะ”
“เขาก็เป็นคนเหมือนคุณนี่แหละ” ลู่อี้เผิงตอบ ก่อนจะระบายลมหายใจออกมาอย่างไม่สบอารมณ์นัก “ผมจะไปหาเขาให้แล้วกัน สักวันพฤหัสฯ เขาไม่ได้ว่างพบผมทุกวันหรอก”
“รบกวนด้วยนะ” เฉินฉินพูด แล้วหมุนตัวหลับออกไป ลู่อี้เผิงระบายลมหายใจอย่างหนักหน่วงออกมาอีกครา
---------------------------------------------
“อ้าว สารวัตรลู่ เดือนนี้ก็มีคดีปิดไม่ลงอีกแล้วหรือ?” น้ำเสียงร่าเริงเอ่ยทักทันทีที่ลู่อี้เผิงเดินเข้าไปในห้อง ผู้ชายคนนั้นนั่งอยู่บนเก้าอี้หนังบุนวมสีแดงเข้ม ในมือมีนกกระตั้วสีขาวตัวใหญ่ เขากำลังหยิบเมล็ดอะไรบางอย่างป้อนมันด้วยท่าทางสนุกสนาน
หงคงฉ่วยถูกตีความจากสังคมในหลายรูปแบบ บ้างบอกว่าเป็นองค์กรลึกลับที่ทำธุรกิจผิดกฎหมายทุกอย่าง บ้างก็บอกว่าเป็นแก๊งผีดิบที่อาละวาดไล่ฆ่าผู้คนอย่างป่าเถื่อน ถึงกับร่ำลือกันว่า หงคงฉ่วยมีผู้นำที่ไม่แก่ไม่ตาย คงจะเป็นผีดิบแน่ๆ
ถ้าหากถามลู่อี้เผิงว่าหงคงฉ่วยคืออะไร เขาคงจะชี้ไปที่ผู้ชายตรงหน้า แล้วตอบว่า เจ้าบ้าประสาทกลับนี่แหละ แต่หงคงฉ่วยไม่ใช่คนประสาทกลับ แล้วลู่อี้เผิงก็ยังจำรอยแผลเป็นที่ได้มาด้วยความเจ็บปวดบนต้นขาของตัวเองได้
“หงคงฉ่วยที่ขายังสวยดีอยู่หรือเปล่า สารวัตร? ขอฉันดูหน่อยสิ”
“คุณเพิ่งดูไปเดือนที่แล้ว” ลู่อี้เผิงพูด ได้ยินเสียงฝ่ายนั้นจุ๊ปาก “ไม่เอาน่า อย่างอแงเป็นเด็กไปหน่อยเลย คุณอายุจะสามสิบแล้วนะ ขอฉันดูหน่อยเถอะ ฉันไม่มีโอกาสได้ดูทุกวันเหมือนคุณนะ”
ลู่อี้เผิงขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก ก่อนจะถอดกางเกงขายาวของตัวเองออก เผยให้เห็นรอยแผลเป็นสีแดงสดที่โคนขาอ่อนด้านใน
“อืม... หงคงฉ่วยบนขาคุณสวยจริงๆ นั่นแหละ คราวนี้ไม่ใส่ชั้นในแบบบิกินี่มาแล้วหรือ น่าเสียดาย เอาเถอะ ใส่กางเกงได้แล้ว เดี๋ยวแปะชิกชิกจะตกใจกับขาขาวๆ นั่นจนบินหนีฉันไปอีก”
แปะชิกชิกคือชื่อเรียกนกกระตั้วสีขาวที่ตอนนี้กำลังจ้องดวงตาสีดำของมันมาที่ลู่อี้เผิงเขม็ง สารวัตรหนุ่มวัยยี่สิบเจ็ดดึงกางเกงขึ้น หลังจากใส่เข็มขัดเสร็จแล้ว เขาก็เงยหน้ามองผู้ชายคนนั้นอีกครั้ง
ผู้ชายคนนั้นยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ ในมือมีนกกระตั้วเกาะอยู่ แสงจากดวงอาทิตย์ที่ส่องลอดม่านเข้ามาแสดงให้เห็นเครื่องหน้าของเขาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ คิ้วเรียวยาว ดวงตาคมใส ใบหน้าเกลี้ยง สันจมูกโด่ง และริมฝีปากบางเฉียบ ส่วนที่ประกอบกันเป็นเครื่องหน้าของเขา คือความคมคายหล่อเหลาอย่างจีนโดยแท้เลยทีเดียว
“วันนี้หวีผมไม่ได้ดูกระจกหรือ?” ลู่อี้เผิงเอ่ยทักขึ้น หลังจากมองหน้าผู้ชายคนนั้นอยู่พักหนึ่ง คนถูกทักเลิกคิ้ว ก่อนจะยกมือขึ้นจับผมตัวเอง จากนั้น คนรับใช้ที่ยืนขนาบแถวอยู่สองข้างก็เอาหวีกับกระจกมาวางให้
“เสี่ยวอี้เผิงนี่ช่างสังเกตจริงๆ ” ชายคนเดิมพูด หลังจากหวีผมเสร็จแล้ว “สงสัยเมื่อคืนฉันจะดื่มหนักไปหน่อย วันนี้มีเรื่องอะไรล่ะ?”
“ผมมาเรื่องคดีฆ่าเมี้ยวเซี่ยวตง คิดว่าคุณคงจะรู้รายละเอียดแล้ว” ลู่อี้เผิงพูด คนที่อยู่บนเก้าอี้รีบโบกมือทันที
“ไม่เอาน่า เสี่ยวอี้เผิง นี่เธอคิดว่าหงคงฉ่วยเป็นอะไร? ผู้รอบรู้สิบทิศหรือ? เล่ารายละเอียดมาเถอะ พักนี้ฉันยุ่งกับเรื่องบ่อน้ำมันอยู่ ไม่มีเวลามาอ่านข่าวในประเทศหรอก”
ลู่อี้เผิงมองคนตรงหน้าด้วยสีหน้าไม่เชื่อถือคำพูดอย่างที่สุด แต่ก็ยอมเล่ารายละเอียดของคดีบางส่วนให้ฟัง
“อืม... มีเรื่องแบบนี้ระหว่างที่ฉันกำลังยุ่งอยู่ด้วยรึนี่..” ผู้ที่เรียกตัวเองว่าหงคงฉ่วยยกมือขึ้นลูบคางอย่างครุ่นคิด สักพักก็พูดขึ้นมา
“เธอลองไปถามพวกฮุ่นอั้งดูแล้วยัง?”
พอเห็นคนถูกถามเลิกคิ้ว คนพูดเลยพูดต่อ “ฉันว่าพวกฮุ่นอั้งอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้”
“คุณจะบ้าเรอะ พวกฮุ้นอั้งไม่ได้อยู่ในเครือข่ายผู้ต้องสงสัยเลยด้วยซ้ำ พวกเขาไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลยนะ”
“เพราะงี้พวกเธอถึงปิดคดีไม่ได้ยังไงล่ะ” หงคงฉ่วยตอบยิ้มๆ “ถ้ารู้ว่าพวกเขาเกี่ยวข้องกันยังไง รับรองเธอปิดคดีได้แน่”
ลู่อี้เผิงขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด เมื่อดูจากหลักฐานที่มีทั้งหมดแล้ว ไม่มีอะไรพอจะโยงไปหาพวกฮุ่นอั้งได้เลย ถึงจะเป็นหงคงฉ่วยบอกก็เถอะ แค่คำพูดเจ้าคนบ้านี่ ใครมันจะเชื่อถือกัน
“โอ... ท่าทางเธอจะมืดแปดด้านจริงๆ ไม่ได้หลักฐานอะไรที่เกี่ยวกับฮุ่นอั้งเลยสินะ” หงคงฉ่วยลูบคางอย่างใช้ความคิดอีกรอบ ก่อนจะเหลือบตามองนายตำรวจตรงหน้า
“คราวที่แล้วเธอทำเสี่ยวจือของฉันเจ็บ ฉันสงสัยจริงๆ ว่าโรงเรียนนายร้อยตำรวจให้เกียรตินิยมเธอมาได้ยังไง”
“เอาล่ะ ผมยอมรับกับคุณเป็นหนที่ร้อยแล้วว่าผมพลาด คุณมีอย่างอื่นจะบอกผมอีกมั้ย เกี่ยวกับดคีนี้น่ะ ถ้าไม่มีผมจะได้กลับ” ลู่อี้เผิงพูดออกมาอย่างรำคาญ หงคงฉ่วยยกนิ้วขึ้นเกาศีรษะ ก่อนจะผุดลุกขึ้น หลังจากนั้นคนรับใช้ที่ยืนรออยู่ก็มารับแปะชิกชิกไป
“ฉันพอมีเวลาอยู่สักหน่อย ฉันจะพาเธอไปหาหลักฐานเกี่ยวกับฮุ่นอั้งก็แล้วกัน” กล่าวจบก็หมุนตัวเดินออกไปด้านหลัง ลู่อี้เผิงโพล่งขึ้นทันที “เดี๋ยว ไม่ต้องก็ได้”
หลังจากนั้นเขาก็ถูกบรรดาคนรับใช้ของหงคงฉ่วยดันตัวให้เดินตามไป
-------------------------------------------------------------
ที่อยู่ของหงคงช่วยเป็นคฤหาสน์ริมทะเล ที่หากประเมินราคาจากภาพที่เห็นก็คงจะราวๆ สักร้อยล้านเหรียญ แต่ลู่อี้เผิงคิดว่ามูลค่ามันคงจะเยอะกว่านั้น หากรวมมูลค่าห้องลับ และอุโมงค์ทางลัดต่างๆ ที่ซ่อนอยู่ภายในตัวคฤหาสน์ ตอนนี้เขากำลังเดินตามหงคงฉ่วยเข้าไปในตัวคฤหาสน์ ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าจะไปโผล่ในทิศทางไหน
“ฉันคงต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าสักหน่อย ไปทั้งชุดแบบนี้คงไม่เหมาะ” หงคงฉ่วยพูดขึ้น พลางยกมือทาบอกเสื้อสูทสีน้ำตาลไหม้ตัวยาวของตน “เธอเองก็มาเปลี่ยนด้วยกันสิ ชุดแบบนั้นดูออกง่ายจะตายไป”
ลู่อี้เผิงก้มลงมองชุดเสื้อเชิ้ตเข้ารูปของตนเอง แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็ถูกดันตัวเข้าห้องไป
หงคงฉ่วยเป็นผู้ชายรูปร่างไม่ใหญ่ไม่เล็ก สูงราวๆ ร้อยเจ็ดสิบเจ็ดเจ็ดสิบแปดเซนติเมตร ผมสีดำสนิท หวีปัดออกข้างอยู่เสมอ ดูจากหน้าตาแล้ว เขาสมควรจะอายุสักยี่สิบปลายๆ ไปจนถึงสามสิบต้นๆ แต่เท่าที่ลู่อี้เผิงได้ยินมา ผู้ชายคนนีมีชื่ออยู่ในวงการมานานกว่าสามสิบปีแล้ว อีกอย่าง เมื่อสี่ปีก่อนที่เขาเจอหงคงฉ่วยครั้งแรก เจ้าหมอหนี่ก็หน้าตาแบบนี้ สี่ปีผ่านไป ใบหน้านั้นแทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย ไม่สิ เรียกว่าไม่เปลี่ยนแปลงเลยจะดีกว่า แต่ลู่อี้เผิงมั่นใจว่าหงคงฉ่วยเป็นมนุษย์ธรรมดาคงหนึ่ง ซึ่งคงจะมีวิธีดูแลสุขภาพที่ได้ผลดีกว่าคนอื่นเท่านั้น
ปฏิเสธไปก็ป่วยการ ลู่อี้เผิงถูกคนรับใช้ของหงคงฉ่วยช่วยกันถอดเสื้อผ้าชุดเดิมออก แล้วเอาชุดใหม่มาให้เปลี่ยนแทน เขาเห็นตัวเองอีกทีก็สวมเสื้อยืดสีดำ สกรีนลายทีมฟุตบอล กับกับกางเกงยีนส์สีสนิมแล้ว ทั้งเสื้อทั้งกางเกงพอดีตัวเขาเป๊ะ แม้กระทังรองเท้าผ้าใบที่คนเอามาเปลี่ยนให้ก็ด้วย พอเดินออกมาก็พบหงคงฉ่วยยืนรออยู่แล้ว
ถ้าไม่นับรอยยิ้มลี้ลับบนใบหน้านั่น มองรวมๆ แล้วคนตรงหน้าเขาก็ดูเหมือนเด็กซิ่งรถคนหนึ่งนี่เอง
“ดูดีใช่เล่น” หงคงฉ่วยพูด แล้วถือวิสาสะเอาหมวกแก๊บครอบศีรษะของลู่อี้เผิงโดยไม่ขออนุญาต ชายหนุ่มดึงมันออกด้วยสีหน้าไม่พอใจ และเห็นหงคงฉ่วยถือหมวกกันน็อกอยู่
“เอาล่ะ เดี๋ยวเราจะออกไปขี่มอเตอร์ไซค์เล่นกัน”
---------------------------------------------------------
ลู่อี้เผิงทำงานเป็นตำรวจมาห้าปี เรื่องจับแก๊งซิ่งไม่ใช่เรื่องใหม่ ถึงเขาจะไม่ได้ทำงานนี้ยาว แต่ก็เห็นพวกแก๊งซิ่งมาเยอะพอสมควร พอรู้ด้วยว่าเครื่องแบบไหนแรงไม่แรง ปัญหาคือตอนนี้เขากำลังซ้อนมอเตอร์ไซค์ ของคนที่เขาชักนึกสงสัยว่า เป็นเจ้าพ่อของพวกเด็กซิ่งพวกนั้นรึเปล่า
หงคงฉ่วยพาเขาเดินลัดเลาะในตัวคฤหาสน์ จนมาถึงอุโมงค์สายหนึ่ง ปากทางของอุโมงค์มีมอเตอร์ไซค์จอดอยู่หลายคัน ราคาแพงระยับและแต่งเครื่องแล้วทั้งนั้น แถมมีร่องรอยการใช้ทุกคัน ไม่ใช่ของประดับอย่างแน่นอน จากนั้นก็ชวนเขาขึ้นมอร์เตอร์ไซค์ แล้วบึ่งออกมา จนมาโผล่อยู่ข้างไฮเวย์ที่เชื่อมระหว่างเขต ซึ่งอยู่ห่างจากตัวคฤหาสน์ไปหลายกิโลเมตร แน่นอนว่าให้ตายลู่อี้เผิงก็เดาทางไม่ออก ว่าเขามาโผล่ตรงนี้ได้อย่างไร เนื่องจากอุโมงค์มืด และเจ้าคนขี่มอเตอร์ไซค์ก็ซิ่งเสียเหลือเกิน จนเขาทำได้แค่เกาะโครงเหล็กของรถให้แน่นที่สุด และภาวนาไม่ได้หล่นลงไประหว่างทาง
ทริปการเดินทางด้วยมอเตอร์ไซต์ที่ขับได้ผาดโผนพอๆ กับแก๊งซิ่งจบลงเมื่อหงคงฉ่วยจอดมอเตอร์ไซค์ของเขาที่หน้าอาคารแห่งหนึ่ง ซึ่งลู่อี้เผิงรู้จักเป็นอย่างดี
ฮุ่นอั้งเป็นแก๊งมาเฟียที่มีกิจการเปิดรับพนันในหลายรูปแบบ หนึ่งในนั้นคือธุรกิจรับพนันบอล ซึ่งมีทั้งถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย
“งานนี้ฉันแทงหมดตัว ไม่เจ๊งไม่เลิก” หงคงฉ่วยพูด และตบไหล่เขา ก่อนจะเดินเข้าไปในตึกแห่งนั้น
-----------------------------------------------------
กิจการรับพนันบอลของฮุ่นอั้งนั้นค่อนข้างจะคึกคัก โดยเฉพาะในช่วงกลางคืน แต่นี่เป็นเวลากลางวัน แถมยังเป็นช่วงเที่ยง พนักงานเลยออกไปพักกันเกือบหมด เหลืออยู่ไม่กี่คน
หงคงฉ่วยเดินเข้าไป ก็ยกมือขึ้นเสยผม แล้วเอยทักพนักงานที่นั่งอยู่ด้านหน้า “ไปพักเที่ยงกันหมดเลยหรือนี่ หวังว่าจะมีคนเดินโพยให้ผมนะ”
คนที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะเขม่นมองเขา “คุณ...”
“เซี่ยเซิน” หงคงฉ่วยตอบ “โอ้ วันก่อนผมว่าผมเห็นคุณที่ตลาดเขตสองด้วยนะ บ้านคุณอยู่แถวนั้นหรือ?”
“อ่ะ อืม...” คนถูกทักตอบอย่างงงๆ หงคงฉ่วยพูดต่อ “ผมว่าจะบอกคุณอยู่พอดีเลยว่า น้องชายผมอยากเปิดกิจการบ้าง แต่คุณก็ดันเดินหายไปเสียก่อน”
“เรื่องนี้ต้องคุยกับหัวหน้านะ คุยกับผมไม่ได้หรอก”
“ผมแค่อยากจะขอคำปรึกษาน่ะ” หงคงฉ่วยพูดยิ้มๆ “คุณว่าไปเปิดที่เขตหกจะดีมั้ย?”
คนถูกถามสั่นศีรษะทันที “อย่าเพิ่งเลย เขตหกหัวหน้าเพิ่งเก็บกวาดขยะไป ขืนไปเปิดตอนนี้คนก็จะพาลสงสัยเอาน่ะสิ”
“ขยะอะไรหรือ?” ลู่อี้เผิงที่ยืนเงียบอยู่นานถามขึ้นมาบ้าง คนที่นั่งอยู่มองเขา แล้วขมวดคิ้ว “นี่พวกนายไปอยู่ที่ไหนกันมา ไม่ได้ข่าวเลยหรือ? คดีออกจะใหญ่”
“โธ่ คดีฆ่าคนวันๆ เยอะจะตาย พวกเราจะไปรู้ได้ไงล่ะ อีกอย่าง ก็ไม่เห็นมีใครเกี่ยวกับที่นี่เลยนี่”
“จะไม่มีได้ยังไงกันล่ะ ท่าทางพวกนายจะมือใหม่จริงๆ นะเนี่ย เซี่ยวไป่เหิงเป็นมือเก่าในวงการเลยนะ เขาเคยร่วมมือกับหัวหน้าอยู่พักหนึ่ง แล้วก็ถอนตัวไป ตอนหลังก็แอบไปทำเองเงียบๆ แย่งลูกค้าเราเสียได้ แถมยังมาเกทับหัวหน้าอีกว่า อีกหน่อยชื่อของฮุ่นอั้งจะหายไปจากอ่องกง หัวหน้าเลยจัดการสั่งสอนเขาด้วยการเก็บพี่ชายบุญธรรมของเขาเสียเลย อย่างว่าล่ะนะ ของบางอย่างทำกับเจ้าตัวเองมันไม่สามสมหรอก ต้องแบบนี้แหละ พวกนายเองถ้าคิดจะมาเดินวงการนี่ ก็เล่นให้ซื่อเข้าล่ะ ไม่งั้นจะหาว่าไม่เตือน”
“แหม... พี่ชาย พวกเราน่ะซื่อสุดๆ อยู่แล้วล่ะ” หงคงฉ่วยพูดพลางปั้นหน้ายิ้มแย้มประจบประแจง “ขอบคุณนะที่เตือน งั้นผมคงต้องกลับไปปรึกษากับเจ้าน้องชายใหม่ ว่าจะเปิดที่ไหนกันดี”
“เขตแปดสิ” คนนั่งอยู่แนะนำ “กำลังขาดคน”
หงคงฉ่วยทำตาโต ก่อนจะหันกลับมา “เสี่ยวซี เขตแปดว่าไง?”
ลู่อี้เผิงปั้นหน้าเคร่งเครียด ขบปากแล้วตอบกลับไป “ผมไม่แน่ใจนะพี่ใหญ่ ผมไม่ชำนาญทางเขตแปดด้วยสิ ผมว่าวันนี้เรากลับกันก่อนดีกว่า”
หงคงฉ่วยทำหน้าผิดหวัง และหันมาขอโทษขอโพยทันที “ก็งี้แหละนะ น้องชายผมมันไม่ค่อยจะสู้คนเท่าไหร่ อุตส่าห์พยายามลากมาถึงนี่ทั้งที มาถอยซะอีกล่ะ ยังไงก็ขอบคุณพี่ชายมากเลยนะ เดี๋ยวผมยุน้องชายขึ้นแล้วจะแวะมาใหม่”
“อืมๆ ” คนนั่งอยู่ส่งเสียง ก่อนจะก้มหน้าก้มตาจัดการงานในมือต่อ มานึกเฉลียวใจว่าตัวเองไม่เคยได้ยินชื่อเซี่ยเซินมาก่อน ก็ผ่านไปหลังจากนั้นหลายสัปดาห์แล้ว
-------------------------------------------------------------------
“เมี้ยวเซี่ยวตงเป็นพี่ชายบุญธรรมของเซี่ยวไป่เหิง” หงคงฉ่วยพูดขึ้นขณะที่ขี่มอเตอร์ไซค์อยู่ ได้ยินเสียงลู่อี้เผิงพูดทวนลมกลับมา “ผมรู้แล้ว”
คนขี่มอเตอร์ไซค์หัวเราะชอบใจ “ถ้าคดีนี้ปิดได้ เป็นความดีความชอบของฉันครึ่งหนึ่งนะ”
ลู่อี้เผิงส่งเสียงในลำคอ “คราวนี้อยากได้อะไรอีกล่ะ?”
“เหมือนเดิม” หงคงฉ่วยตอบและเลี้ยวมอเตอร์ไซค์ไปยังถนนอีกเส้นหนึ่ง
“เลือกที่ให้มันดีกว่านี้หน่อยไม่ได้หรืองไง?” ลู่อี้เผิงพูด เมื่อหงคงฉ่วยเปิดประตูเข้ามาในโกดังร้างแห่งหนึ่ง คนถูกบ่นใส่ยักไหล่ “ช่วยไม่ได้ ฉันรีบนี่ ที่นี่ก็ใกล้บ้านฉันดี”
“ทำไมถึงไม่กลับไปทำที่คฤหาสน์ของคุณเลยล่ะ” นายตำรวจหนุ่มยังไม่วายตั้งข้อสงสัย หงคงฉ่วยเลิกคิ้วแล้วมองเขายิ้มๆ “แหม... ฉันก็เบื่อเตียงเบื่อโต๊ะที่คฤหาสน์เป็นเหมือนกันนะ”
ลู่อี้เผิงมองหน้าคนที่ยืนอยู่ จากนั้นก็กวาดตามองไปรอบๆ โกดัง นอกจากพื้นซีเมนต์ขรุๆ ขระๆ กับลังไม้ที่วางระเกะระกะอยู่แล้ว ก็มีตู้คอนเทนเนอร์เก่าๆ อยู่อีกตู้สองตู้เท่านั้นเอง
“คุณอยากทำตรงไหน?” เขาหันมาถาม คนถูกถามยักไหล่อีกรอบ “เลือกเอาสิ ฉันตรงไหนก็ได้อยู่แล้ว”
ลู่อี้เผิงกวาดตามองอีกรอบหนึ่ง ก่อนจะชี้ไปตรงตู้คอนเทนเนอร์ “เอาตรงนั้นก็ได้ พื้นคงพอสะอาดอยู่หรอก”
หงคงฉ่วยหัวเราะในคอ “รักสะอาดจริงๆ นะ ตู้ก็ตู้ ท่าทางจะเร้าใจดีเหมือนกัน”
ทั้งคู่เดินเคียงกันไปที่ตู้คอนเทนเนอร์ แต่เดินยังไม่ทั้นถึง ลู่อี้เผิงก็ดึงตัวหงคงฉ่วยเข้าไปกอด จากนั้นก็เริ่มลูบไล้มือไปตามร่างกาย
“วันนี้เกิดนึกอยากเล่นบทเด็กลามกหรือไง” หงคงฉ่วยพูด พลางหัวเราะชอบใจ ขณะที่อีกฝ่ายอ้าปากขบกัดใบหูเขาเบาๆ
ลู่อี้เผิงลูบไล้เรือนร่างนั้นพลางจูบไปตามซอกคอ แล้วล้วงมือเข้าไปลูบไล้ผิวกายด้านใน หงคงฉ่วยสะท้านตัวเป็นระยะ ก่อนจะขยับหน้ามา แล้วกระซิบเสียงเบา “จูบฉันหน่อยสิ”
ลู่อี้เผิงทำตามอย่างว่าง่าย ขณะที่กำลังเค้าริมฝีปากกันอย่างเมามัน ชายหนุ่มก็ล้วงเอาบางสิ่งบางอย่างออกมา
!!!
เร็วจนไม่ทันได้ตั้งตัว หลังของลู่อี้เผิงกระแทกเข้ากับฝาประตูตู้คอนเทนเนอร์ จากนั้นก็ได้ยินเสียงกริ๊กที่เหนือศีรษะ หงคงฉ่วยยืนยิ้มอยู่ตรงหน้าเขา “เธอนี่เร้าใจฉันจริงๆ เลยนะ”
เขาพูด และไล้มือไปตามใบหน้าของชายหนุ่ม ลู่อี้เผิงพยายามจะดึงมืออก และค้นพบว่ามือทั้งสองข้างของเขาถูกกุญแจมือของตัวเองล็อกติดกับคานล็อกของตู้คอนเทนเนอร์เรียบร้อยแล้ว
“หลบคนของฉันเอากุญแจมือออกมาได้ ถือว่าพัฒนาขึ้นนะ” หงคงฉ่วยเอ่ยชม และแนบริมฝีปากเข้ากับริมฝีปากของอีกฝ่าย แน่นอนว่าคราวนี้ลู่อี้เผิงปิดปากสนิท แต่ก็ไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายเดือดร้อนอะไร
หงคงฉ่วยแตะปากเบาๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมาพูดต่อยิ้มๆ “คราวนี้คิดไว้หรือยัง ว่าถ้าจับฉันได้ จะตั้งข้อหาอะไร?”
ลู่อี้เผิงไม่ตอบ แต่กลับเบือนหน้าไปทางอื่น เลยถูกอีกฝ่ายใช้มือดันกลับมา “ไม่เอาน่า เสี่ยวอี้เผิง ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังอีกแล้วหรือนี่ ฉันล่ะชักสงสัยมาตรฐานของโรงเรียนนายร้อยตำรวจของฮ่องกงเข้าไปทุกทีแล้วนะ”
“ไม่เกี่ยวอะไรกับโรงเรียนผมหรอก” ลู่อี้เผิงตอบออกมาในที่สุด เขาเขม่นมองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกพลุ่งพล่านที่ยากจะอธิบาย
“ยังโมโหฉันเรื่องหงคงฉ่วยที่ขาเธออีกหรือไง?” คนถูกมองถาม ก่อนจะยิ้มออกมา “แต่ฉันชอบหงคงฉ่วยบนขาเธอที่สุดเลยล่ะ”
จากนั้นร่างตรงหน้าก็ย่อตัวต่ำลง ลู่อี้เผิงได้ยินเสียงรูดซิป จากนั้นกางเกงตัวนอกของเขาก็ถูกถอดออก
“หงคงฉ่วยบนขาเธอสวยจริงๆ ” คนที่คุกเขาอยู่พูด พลางไล้ปลายนิ้วไปรอบผิวเนื้อนูนแดงพวกนั้น ก่อนจะแนบริมฝีปากลงไป ได้ยินเสียงคนยืนอยู่แค่นหัวเราะ “ไม่นึกว่าคนอย่างหงคงฉ่วยจะมาคุกเข่าทำเรื่องแบบนี้ให้ผม”
“อืม.. เธอควรจะภูมิใจเอาไว้นะ” หงคงฉ่วยพูด พลางดึงกางเกงชั้นใจของลู่อี้เผิงออก “ว่างๆ เธอควรจะเล่าให้คนอื่นฟังบ้าง ว่าหงคงฉ่วยทำอะไรให้เธอ”
ลู่อี้เผิงสะท้ายตัวเฮือกใหญ่ ในตอนที่ส่วนนั้นถูกอีกฝ่ายสอดเข้าไปในโพรงปาก ลิ้นที่ขยับอย่างคล่องแคล่วเรียกอาการคัดตึงจากส่วนนั้นได้ในระยะเวลาอันสั้น
ชายหนุ่มหอบหายใจถี่หนัก สองมือที่ถูกพันธนาการอยู่เหนือศีรษะเริ่มจะชาด้านแล้ว แต่ท่อนล่างของเขากลับตื่นตัวคึกคักเต็มที่
“ผมจะเสร็จแล้วนะ” ชายหนุ่มพูดเสียงพร่า อีกฝ่ายดูดดึงส่วนนั้นเขาอยู่อีกหนสองคน ก่อนจะผละริมฝีปากออกมา
“คิดว่าคุณจะยอมให้ผมเสร็จในปากคุณซะอีก” ลู่อี้เผิงพูด และถูกปิดปากด้วยริมฝีปาก จากนั้นหงคงฉ่วยก็ล้วงซองถุงยางออกมาจากกระเป๋ากางเกง
“กำลังสงสัยอยู่ล่ะสิ ว่าท่าอย่างนี้ ฉันจะทำกับเธอยังไง” อีกฝ่ายพูดอย่างรู้ทัน เมื่อเห็นสีหน้าของคนที่ถูกจับล็อกอยู่
“อืม.. ผมสงสัยจริงๆ นั่นแหละ” ลู่อี้เผิงยอมรับ หงคงฉ่วยหัวเราะเบาๆ แล้วฉีกซองถุงยางออก “เธอระวังอย่าให้มันผ่อไประหว่างทางก็พอ เรื่องอื่นน่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
ลู่อี้เผิงสูดปาก ขณะที่หงคงฉ่วยสวมถุงยางให้ จากนั้นอีกฝ่ายก็ร่นกางเกงของตัวเองลง แล้วเบียดสะโพกเข้ามา
ชายหนุ่มสะท้านตัวอีกครั้ง ทันทีที่ปลายส่วนยอดผลุบเข้าไปในช่องทางเร้นลับนั้น หลังจากขยับตัวอีกสองสามหน ทุกส่วนของมันก็หายเข้าไปจนสุดความยาว ได้ยินเสียงหัวเราะในคออย่างพอใจ ก่อนที่มือของหงคงฉ่วยจะยื่นมาจับสะโพกของเขา แล้วจับกระแทกเข้ากับสะโพกตัวเอง
ลู่อี้เผิงคำรามในลำคอ ท่ามกลางเสียงหอบกระเส่าของร่างเบื้องหน้า ท่อนเอวแข็งแรงของทั้งคู่กระแทกรับกันเป็นจังหวะหนักหน่วง เสียงครางอย่างสุขสมเป็นห้วงๆ ดังสะท้อนไปทั่วโกดัง นายตำรวจหนุ่มแอ่นท่อนเอวเข้าหาสะโพกที่สอดประสานอยู่ ก่อนที่ร่างทั้งร่างจะสั่นกึกๆ พร้อมๆ กับของเหลวที่ขาวขุ่นที่อีกฝ่ายหลั่งออกมา
หงคงฉ่วยขยับตัวออก ถอดถุงยางของตัวเอง แล้วก็หันไปถอดถุงยางของอีกฝ่าย หยดหยาดแห่งอารมณ์ที่ถูกปลดเปลื้องหยดลงบนพื้นระหว่างนั้น เขาหยิบกระดาษทิชชู่ออกมาจากกระเป๋ากางเกง ห่อถุงยางพวกนั้นเอาไว้ ก่อนจะวางไว้บนไหล่ของร่างสูงใหญ่ที่ยังถูกล็อกอยู่
“ฝากทิ้งด้วยนะ” หงคงฉ่วยพูด พลางดึงกางเกงขึ้นมา ลู่อี้เผิงมองเขา แล้วพูดขึ้นบ้าง “ปล่อยผมก่อนสิ”
คนถูกทักเลิกคิ้วขึ้นมองเหมือนนึกขึ้นได้ “นั่นสินะ เธอคงยังหาวิธีสะเดาะกุญแจเองไม่เป็น อืม... ที่จริงเธอน่าจะลองหัดตอนนี้เลย” พูดจบก็หมุนตัว ทำท่าจะเดินออกไป ลู่อี้เผิงร้องเสียงหลง
“คงฉ่วย!”
หงคงฉ่วยชะงักตัวลงหน่อยหนึ่ง ก่อนจะยกมือขึ้นป้องหู “ตะกี้เธอว่าไงนะ”
ลู่อี้เผิงกัดฟันกรอดๆ ก่อนจะพูดออกไปอีกหน “ผมบอกว่าคงฉ่วย”
“เรียกฉัน?”
“อืม...”
“เรียกอีกทีซิ”
“คงฉ่วย... หงคงฉ่วย”
หงคงฉ่วยหันกลับมา และระบายยิ้มบนใบหน้า “ฉันชอบให้เธอพูดสามคำนี้จริงๆ น่าเสียดายที่เธอไม่ค่อยพูด ไม่งั้นคงกลายเป็นคู่แข่งเสี่ยวชิกของฉันแน่ๆ ”
ลู่อี้เผิงพยายามใช้ความอดทนอดกลั้นมากที่สุด “คงฉ่วย ปล่อยผมออกไปก่อนเถอะ ผมคงยังหัดสะเดาะกุญแจโดยที่คุณยังไม่ได้สอนไม่ได้หรอก”
หงคงฉ่วยพยักหน้า และยิ้มอย่างพอใจ “เวลาเธอฝืนพูดเอาใจฉันแบบนี้ ฉันก็ชอบนะ ว่าแต่กุญแจอยู่ไหนล่ะ?”
“กระเป๋ากางเกงผม” ลู่อี้เผิงบอก หงคงฉ่วยก้มลงมองกางเกงที่ร่วงกองอยู่แทบเท้าชายหนุ่ม จากนั้นก็สั่นศีรษะ “ฉันไม่อยากคุกเข่าไปหาอะไร เดี๋ยวเธอจะฉวยโอกาสถีบฉัน เอางี้แล้วกัน”
หงคงฉ่วยขยับมือไปด้านหลัง ไม่รู้ว่าล้วงอะไรออกมา จากนั้นเขาก็เอื้อมมือขึ้นไปเหนือศีรษะของลู่อี้เผิง แล้วกุญแจมือก็หลุดออก
“นี่ ระวังด้วย” หงคงฉ่วยว่า พลางฉวยห่อกระดาษทิชชู่ยัดใส่มือของลู่อี้เผิง ก่อนที่เจ้าตัวจะทันได้ก้มลงไปหยิบกางเกงขึ้นมาสวมเสียอีก นายตำรวจหนุ่มทำหน้ายู่ แต่ก็ยอมจะยัดกระดาษห่อนั้นเข้าไปในกระเป๋ากางเกง อีกฝ่ายคลี่ยิ้มด้วยความมพอใจ “อืม... สอนแล้วจำแบบนี้แหละดี ของแบบนี้ต้องทิ้งให้ถูกที่ ทิ้งเรี่ยราดไม่ได้หรอก โอ๊ะ ตายล่ะ!”
หงคงฉ่วยอุทานออกมา ขณะมองดูนาฬิกาที่ข้อมือ “ฉันต้องรีบแล้ว ไปกันเถอะ” จากนั้นก็ดึงมือของลู่อี้เผิงออกไปด้านนอก
----------------------------------------------------
ลู่อี้เผิงคิดว่าเขาจะตายเพราะมอเตอร์ไซค์ของหงคงฉ่วยเสียแล้ว แต่สุดท้ายทั้งคู่ก็กลับมายังคฤหาสน์จนได้ พอมาถึงหงคงฉ่วยก็รีบไปอาบน้ำแต่งตัว นายตำรวจหนุ่มชักอยากรู้ว่าอะไรที่ทำให้คนอย่างหงคงฉ่วยต้องรีบร้อนมากมายขนาดนี้ ทั้งๆ ที่ปกติไม่เคยเห็นรีบเห็นเร่งกับเขาเสียที ดังนั้นเขาจึงยังยืนรีรออยู่ที่ห้องรับรองของหงคงฉ่วย
“มาหรือยัง” หงคงฉ่วยส่งเสียงออกมา ก่อนที่เจ้าตัวจะก้าวเท้าออกมา เขาเปลี่ยนเป็นชุดสูทยาวสีขาวปลอด พอมาถึงห้องรับรอง คนรับใช้ก็พาแปะชิกชิกมาส่งให้ทันที เจ้านกกระตั้วพอเห็นเจ้านายก็เรียกชื่อทันที “คงฉ่วย.. คงฉ่วย” จากนั้นก็ร้องแกว๊กๆ ชวนให้แสบแก้วหู หงคงฉ่วยดูจะเอาอกเอาใจเจ้านกตัวนี้เป็นพิเศษ อย่างกับว่าเป็นลูกของตัวเองก็ไม่ปาน
“ใจเย็นๆ นะ เสี่ยวชิก ใกล้จะมาแล้วล่ะ อ๊ะ นั่นไง มาแล้ว!” เขาร้องทันทีที่ประตูห้องรับรองถูกเปิดเข้ามา คนที่เข้ามาเป็นคนรับใช้สองคน ในมือมีกรงนกที่ด้านในมีนกกระตั้วอยู่อีกตัวหนึ่ง
“ไง เสี่ยวชิก ชอบไหม?”
ลู่อี้เผิงที่ยืนดูอยู่เป็นนานถึงกับทนไม่ได้ต้องถามออกมา “คงฉ่วย อย่าบอกนะว่าที่รีบน่ะ รีบมารับนก?!”
หงคงฉ่วยหันมามองเขาแล้วยิ้มกว้าง “เธอเรียกชื่อฉันอีกแล้ว ฟังดูดีจริงๆ อืม... ใช่ ฉันมารอต้อนรับคู่หมั้นของเสี่ยวชิก นี่เรื่องสำคัญเลยนะเนี่ย เอ๋ แล้วนั่นจะกลับเลยรึ? ไม่รอดื่มเหล้ามงคลก่อนหรือไง”
ลู่อี้เผิงก้าวพรวดๆ ออกจากตัวคฤหาสน์ไปโดยไม่สนใจหันมามองด้วยซ้ำ หงคงฉ่วยถึงกับถอนหายใจเฮือก
“อะไรกันนะ หนุ่มๆ สมัยนี้ อายุไม่เท่าไหร่ก็หัดขี้หงุดหงิดเสียแล้ว” เขาพูด และส่งแปะชิกชิกให้กับคนรับใช้เพื่อพาไปส่งที่คอน ก่อนจะออกคำสั่ง
“เดี๋ยวให้คนหาซื้อแคลเซี่ยมไปส่งให้เสี่ยวอิ้เผิงสักลังนะ ส่งที่บ้านเขาน่ะ เขาคงไม่อยากให้ที่ทำงานแตกตื่น อย่าลืมเขียนจดหมายบอกไปว่าฉันเป็นห่วงด้วยล่ะ”
--------------------------------------------------------------------------
ความคิดเห็น