แด่รัตติกาลอันเป็นนิรันดร์(แวมไพร์-บาทหลวง)
ผู้เข้าชมรวม
1,248
ผู้เข้าชมเดือนนี้
4
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
แล้วก็ไม่รู้ว่ามันจะสิ้นสุดลงตรงไหน.....
ผม..........
--------------------------------------
แสงไฟจากคบเพลิงที่สว่างวาบขึ้นมา ทำให้ผมลืมตาตื่นขึ้นจากความฝัน... ไม่สิ ผมเพียงแค่รู้สึกตัวขึ้นมาในโลกความฝันอีกโลกหนึ่งเท่านั้น
สิ่งที่ผมเห็นตรงหน้า นอกจากผนังหินในห้องสี่เหลี่ยมโล่งๆ ที่แทบจะไม่มีอะไรตกแต่งเลยแล้ว ก็คือร่างของผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งกำลังก้าวเท้าลงมาจากบันไดหิน เขามีผมดำขลับ ดวงตาสีดำสนิท ใบหน้าคม กรามเป็นสันนูนสวย จมูกโด่งแบบชาวยุโรป แต่คงมีเชื้อเอเชียผสมอยู่สักหน่อย ถึงอย่างนั้นแล้ว เครื่องหน้าของเขาก็จัดได้ว่าเป็นความงามที่ครบถ้วนสมบูรณ์แบบเลยทีเดียว เขาอยู่ในชุดยาวสีดำสนิท แบบที่พวกบาทหลวงนิยมใส่ ซึ่งช่วยเน้นขับผิวและเส้นผมเขาให้ยิ่งดูลึกล้ำเข้าไปอีก
ถึงอย่างนั้น ผมกลับหลับตาลงเสีย...
“ตื่นได้แล้ว ท่านเคาท์ จะหลับไปถึงไหนกัน นี่มันค่ำแล้วนะ” เสียงทุ่มต่ำที่เจือด้วยความเย็นชาและเย้ยหยันดังเสียดเข้ามาในหูผม ตามด้วยความรู้สึกของนิ้วมืออุ่นๆ ที่จับลงมาตรงคาง ผมเบือนหน้าหนีทันที
“หึ!” เขาแค่นเสียงในคอ แล้วปล่อยมือจากคางผม จากนั้นจมูกผมก็ได้กลิ่นคาวอะไรบางอย่าง จนผมอดไม่ได้ที่จะต้องลืมตาขึ้นดู และเห็นเขากำลังรินของเหลวสีแดงลงในแก้วก้านทรงสูง บางสิ่งบางอย่างในตัวผมคลั่งขึ้นมาทันที
เคร้ง!
เสียงโซ่ที่ทำจากเงินกระทบกันบนศีรษะผม แต่ผมไม่สนใจ กลิ่นคาวฉุนเฉียวของของเหลวสีแดงซึ่งอยู่ในมือเขาทำให้ผมคลั่ง ผมคำรามลั่น รู้สึกถึงสัมผัสเย็นเยียบของเขี้ยวคมขาวในปากที่ขยับยื่นออกเพื่อไขว้คว้าของเหลวนั้นตามสัญชาตญาณ
ริมฝีปากได้รูปของร่างที่มีเรือนผมดำสนิทกระตุกขึ้นอย่างเย้ยหยัน ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้
“หิวแล้วหรือ ท่านเคาท์?” เขาก้มลงกระซิบที่ข้างหู ให้ผมได้เห็นลำคอขาวผ่องไร้รอยใดๆ ของเขาในระยะใกล้ ปลุกความต้องการของผมให้คลั่ง แต่ผมกลับไม่มีปัญญาจะหันไปเจาะเส้นเลือดใหญ่ที่เต้นตุบๆ บนคอนั้นได้
เคร้ง!
โซ่ที่ทำจากเงินหลายเส้นล่ามตรึงแขน ขา รวมถึงคอของผมเอาไว้ ไม่ให้ขยับไปไหนไม่ได้มาก เสียงกรุ๋งกริ๋งของมันทำให้ผมประสาทเสียแทบทุกครั้ง แต่เพราะกลิ่นคาวฉุนเฉียวตรงหน้า ผมไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับโซ่เงินพวกนี้อีก ได้แต่ส่งเสียงคร่ำครวญออกไปด้วยความกระหาย “มอบมาให้ข้า ข้าต้องการ ต้องการเลือดนั่น”
ผู้ชายที่ถือแก้วอยู่ในมือจุ๊ปากใกล้ๆ หูผม “ไม่เอาน่า ท่านเคาท์ รักษาสติหน่อยสิ ก่อนจะทานมื้อค่ำ ท่านต้องจ่ายราคาของมันมาก่อน”
ผมคำรามในคออย่างเดือดดาล กระชากโซ่เงินพวกนั้นจนเสียดสีกันเสียงดังลั่น แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจจะหลุดจากพันธนาการที่เป็นอยู่ได้ ร่างสูงโปร่งในชุดสีดำ วางแก้วใส่ของเหลวคาวคลุ้งนั้นลงบนโต๊ะเล็กที่อยู่ใกล้ๆ แล้วขยับมือมาเปลื้องเสื้อผ้าผมออก ผมกัดฟันกรอด รู้สึกถึงความเดือดดาลที่อัดพล่านอยู่ภายใน ขณะที่เขาลูบมืออุ่นจัดลงบนผิวเนื้อเย็นชืดของผม ไล้ต่ำลงไปจนถึงขอบกางเกง แล้วปลดมันออก
เสียงโซ่กระทบกันดังกรุ๋งกริ๋ง ขณะที่ผมคำรามเสียงต่ำในคอ เขาค่อยๆ หุ้มส่วนนั้นของผมด้วยปาก สอดนิ้วมือเข้าไปยังช่องเปิดด้านหลัง แล้วเริ่มขยับเป็นจังหวะ...
อา... ใช่ล่ะ นี่คือการระบายความใคร่อย่างธรรมดา ที่ไม่ว่าใครก็มีความต้องการด้วยกันทั้งนั้น กระทั่งสัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ กระทั่งสิ่งที่ถูกเรียกว่าอสุรกายอย่างผม
ผมคำรามในลำคอ ขบฟันด้วยความคับแค้น แต่ไม่อาจต้านทานรสชาติความสุขสมที่ถูกยัดเยียดมาให้ได้ ทั้งริมฝีปากที่ขยับอย่างร้อนรน และนิ้วมือที่สอดเพิ่มเข้ามา บีบคั้นความรู้สึกของผมจนเอ่อทะลัก ผมส่งเสียงครางอย่างสุดฝืน ตอนที่บางสิ่งบางอย่างถูกปลดปล่อยออกไป
“หึ” เสียงแค่นหัวเราะอย่างเย้นหยันดังขึ้นอีกครั้ง ตามด้วยใบหน้างดงามซึ่งมีรอยยิ้มเยาะปรากฏอยู่ตรงมุมปาก เขาขยับตัวขึ้นมา จ้องหน้าผมด้วยแววตาสีดำสนิท ราวกับต้องการจะเย้นหยันสภาพของผม จากนั้นจึงขยับอ้อมไปด้านหลัง แล้วยัดเยียดความต้องการของตัวเองเข้ามา
ร่างกายของผมกึ่งอมตะ แต่ใช่ว่าจะไร้ซึ่งความรู้สึก ความเจ็บปวดประดังประเดเข้ามาจนสายตาผมพร่า ได้ยินเสียงตัวเองร้องครางอย่างน่าสมเพช ขณะที่เขาเสือกกายเข้าออกซ้ำๆ เหมือนผมเป็นเครื่องมืออะไรสักอย่างที่มีไว้ระบายความใคร่ ก่อนจะปลดปล่อยเอาไว้ในตัวผมอย่างไม่บันยะบันยัง ความเจ็บปวดของโซ่ที่ร้อยรัดร่างกายผม กับสิ่งที่เขาเสือกเข้ามา ทรมานผมจนแทบสิ้นสติ แต่กลิ่นคาวฉุนเฉียวของของเหลวสีแดงที่ตั้งอยู่บนโต๊ะใกล้ๆ ดึงรั้งสัญชาตญาณของผมไว้
ผมครางเสียงหนัก ทนยอมให้เขาย่ำยีจนหนำใจ เพื่อจะได้ลิ้มรสของเหลวแสนคาวที่อยู่ในแก้วใบนั้น และแล้ว ท่ามกลางความทรมานแสนสาหัส และเสียงหายใจที่ขาดเป็นห้วงๆ เขาซบหน้าลงบนไหล่ผม กระซิบเบาๆ “หิวมากมั้ย?”
ผมคำรามลั่นแทนคำตอบ สักพัก เขาก็ถอนตัวออก แล้วหยิบแก้วใบนั้นมาจ่อที่ปากผม ผมอ้าปาก ดื่มของเหลวพวกนั้นด้วยความกระหาย กระทั่งแทบจะกวาดลิ้นลงไปในแก้ว เพื่อลิ้มรสพวกมันให้หมด
ด้านหลังแก้วใบใส ที่เหลือบด้วยหยดของเหลวสีแดงสด ใบหน้าคมเข้มปรากฏรอยยิ้มเยาะอย่างเห็นได้ชัด
“อร่อยมากมั้ย?” เขาถาม หลังจากเอาแก้วออกไปจากปากผมแล้ว ผมเบือนหน้าหนีไปอีกทาง เพราะไม่อยากมองรอยยิ้มบนหน้าของเขา ร่างนั้นขยับเข้ามาใกล้ ก่อนจะกระซิบอีก “ราตรีสวัสดิ์นะท่านเคาท์ พรุ่งนี้เจอกัน”
ผมได้แต่ก้มหน้าเงียบ ฟังเขาใส่เสื้อผ้า แล้วก้าวออกไป เสียงฝีเท้าที่สะท้อนก้องไปกับผนังหิน กระแทกกระทั้นความรู้สึกผมจนแทบจะอ้วกออกมา
เขาไม่ต้องพูดอะไรมาก แค่ใช้รอยยิ้มเย้ยหยัน และการกระทำทั้งหมด ก็พอจะบดขยี้ศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจที่ผมเคยมีให้พังพินาศลง
ผมไม่เคยนึกเลยว่าวันหนึ่งตัวเองจะต้องตกมาอยู่ในสภาพผู้แพ้ที่แสนจะน่าสมเพชเช่นนี้
--------------------------------------------------
“อัลเฟรดัส”
ผมหันหน้ามองเจ้าของเสียงทุ่มต่ำ ที่ฟังไพเราะราวกับเสียงของกังสดาลที่หล่อมาจากทองคำเนื้อดี ร่างงามสง่านั้นยืนอยู่ข้างโต๊ะกระจก ที่ประดับประดาด้วยผ้าคลุมซึ่งถักร้อยจากเส้นไหมอย่างดีจากแผ่นดินตะวันออก ผิวของเขาขาวละเอียด เรือนผมยาวตรงดำสนิท ดวงตาสีทองอร่าม ขับเน้นความงดงามให้ลึกล้ำมากขึ้น ชุดคลุมยาวสีดำปักดิ้นสีทองวาวทำให้ร่างนั้นดูงดงามราวภาพวาด เขาขยับปาก แล้วพูดขึ้นต่อช้าๆ
“ข้าตั้งใจว่าจะวางมือแล้ว”
ผมเลิกคิ้วขึ้นมองเขา ก่อนจะโพล่งถามออกไป “ท่านพูดถึงเรื่องอะไรน่ะ เซเกร”
เซเกรหรี่นัยน์ตาสีทองของเขามองผมอยู่พัก “ข้าเหนื่อยกับการต้องต่อสู้กับเผ่าพันธุ์มนุษย์แล้ว สงครามนี้ยาวนานเกินไป และหาใช่พวกเราที่เป็นผู้กุมชัยในสงครามไม่”
“........................” ผมได้แต่นิ่งเงียบ อันที่จริงแล้ว พวกเรามีความสามารถและศักยภาพทุกอย่างดีกว่าสัตว์สองเท้าพวกนั้นหลายเท่า ทั้งๆ ที่สมควรจะมีค่าเพียงแค่เป็นอาหารแท้ๆ แต่เผ่าพันธุ์ของพวกเรากลับต้องทำสงครามกับเผ่าพันธุ์ที่เป็นอาหารของตัวเอง เพื่อความอยู่รอด และดูเหมือนจะประสบกับความพ่ายแพ้เข้าไปทุกที
“ข้าไม่เข้าใจ....” ผมได้ยินเสียงตัวเองพูดออกไป “พวกเราเกิดมาเพื่ออะไรกันแน่ ทำไมสิ่งที่สมควระจะต้องเป็นอาหารของเรา กลับมีศักยภาพพอจะประหัตประหารเรา ซ้ำยังเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ นี่ไม่ใช่เรื่องยุติธรรมเลย”
“โลกนี้ไม่มีเรื่องยุติธรรมหรอก” น้ำเสียงกังวานเอ่ยตอบ “ข้าเห็นว่าท่านเองก็ดูจะเอือมระอากับการสงครามนี้อยู่พอสมควร เลยจะมาชักชวนท่านหลบออกไปด้วยกัน ทิ้งปราสาทนี้เสีย แล้วย้ายไปอยู่กับเราที่ปราสาทตะวันตกเถอะ”
ผมแค่นรอยยิ้มตอบเขาไปได้หน่อยหนึ่ง “ข้ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างมาก ที่จะได้รับเชิญไปที่นั่น แต่... เซเกร เกรงว่านี่จะเป็นการรบกวนท่าน และบีบคั้นตัวข้าด้วยในส่วนหนึ่ง ข้ากับอลิซาเบธมีเรื่องติดค้างต่อกันอยู่ หากหลีกหนีนางไปเฉยๆ เกรงว่าข้าคงไม่อาจอยู่อย่างเป็นสุขได้”
ใบหน้างดงามปรากฏรอยยิ้มบางๆ “อืม... เช่นนั้นก็แล้วแต่ท่านเถิด เนื่องเพราะข้ากับสตรีนางนั้นสะบั้นสัมพันธ์กันไปเนิ่นนานยิ่งแล้ว หากท่านปรารถนาจะไปอยู่กับข้าเมื่อไร ได้โปรดกระซิบข้อความผ่านสายลมยามดึกที่พัดไปทางตะวันตก แล้วข้าจะมารับท่าน”
“รบกวนท่านแล้ว หากข้าเสร็จธุระนี้เมื่อไหร่ คงจะได้รบกวนท่านจริงๆ”
เซเกรยิ้มตอบอีกครั้ง ก่อนจะขยับตัวไปยังซุ้มประตูระเบียงที่เปิดอ้าอยู่ “ข้าขอลาก่อน แล้วพบกัน อัลเฟรดัส”
----------------------------------------
เก๊ง! เก๊ง! เก๊ง!
เสียงก้องบาดแก้วหูของระฆังที่หล่อไม่ได้มาตรฐานอย่างที่ใช้อยู่ตามชนบทปลุกผมให้ตื่นจากความฝัน อาการชาด้านตามแขนขาเมื่อยามรู้สึกตัวบ่งบอกว่านี่หาใช่ยามกลางคืนไม่ หากแต่คงเป็นช่วงเย็นอยู่สักหน่อย เนื่องเพราะสถานที่ที่ผมอยู่เป็นห้องใต้ดิน นอกจากแสงไฟจากคบซึ่งบัดนี้ดับลงตรงปากประตูแล้ว ก็ไม่มีแสงอื่นใดอีก ถึงอย่างนั้น ด้วยความสามารถของสายพันธุ์ ผมสามารถมองเห็นได้ชัดเจนราวกับมีแสงส่องอยู่ก็ไม่ปาน
“หลวงพ่อคะ หลวงพ่อออตโต” เสียงใสๆ ของเด็กหญิงชาวมนุษย์ดังอยู่บนเพดาน เหนือออกไปจากศีรษะของผม ตามด้วยเสียงฝีเท้ากระทบกับหินที่ใช้ปูทางเดิน นี่เป็นเสียงที่หากเป็นคนธรรมดาล่ะก็ คงไม่สามารถจะได้ยินจากสถานที่แบบนี้ได้อย่างเด็ดขาด แต่เพราะผมเป็นเผ่าพันธุ์พิเศษ เผ่าพันธุ์ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้สัตว์สองเท้าพวกนี้เป็นอาหาร เผ่าพันธุ์ที่สมควรจะต้องอยู่เหนือมนุษย์พวกนี้อย่างไม่มีข้อแม้ใดๆ
แวมไพร์.....
ท่ามกลางสงครามยาวนานราวชั่วกัปล์ชั่วกัลป์ ที่แม้แต่แวมไพร์อายุยืนที่สุดยังลืมไปแล้วว่าเริ่มต้นได้อย่างไร ผมเฝ้าถามตัวเองอยู่หลายครั้ง
เราเกิดมาเพื่ออะไร? แล้วกำลังจะนำพาไปสู่อะไร?
ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ถูกตามล่า ครั้งแล้วครั้งเล่าที่พ่ายแพ้ ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ต้องหลบหนี
ทั้งๆ ที่เจ้าพวกนั้นเป็นเพียงแค่อาหารแท้ๆ
“อ้าว เฮเลน มีธุระอะไรหรือ?” เสียงทุ่มต่ำ เจือความนุ่มนวลดังสะท้อนมาให้ได้ยิน แน่นอนว่าเจ้าของเสียงเป็นคนเดียวกับผู้ชายที่ทำการเย้ยหยันผมคืนแล้วคืนเล่า
เขาชื่อออตโต บาทหลวงที่เพิ่งย้ายมาประจำการ และยังอายุไม่ถึงยี่สิบห้าดี ไร้วิชาการต่อสู้ ไร้ซึ่งเขี้ยวเล็บ เป็นเพียงนักบวชธรรมดา ที่อ้างคัมภีร์งี่เง่าคอยล้างสมองชาวบ้าน แต่ทว่า.... กลับทำให้ผมที่เป็นถึงสมาชิกระดับสูงของเผ่าพันธุ์พิเศษ ต้องมาอยู่ในสภาพน่าสมเพชอย่างที่ไม่เคยได้คาดคิดมาก่อน
โชคชะตาคงอยากจะฆ่าผมให้ตายทั้งเป็น
มันเป็นค่ำคืนที่แดงฉานราวกับกลางวันที่ผมไม่เคยพบเห็น เปลวไฟลามเลียและกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่าง ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง อาวุธนานาชนิดถูกประเคนยิงใส่เข้ามาในปราสาท เสียงหินแตกดังสะท้อน ปะปนกับเสียงครวญครางของเหลาซากศพเดินได้ ซึ่งถูกปลุกขึ้นมาเพื่อให้ป้องกันอาณาเขต เราใช้มนุษย์เป็นอาหาร ใช้ร่างของพวกมันเป็นทหาร ใช้จิตวิณญาณที่พวกมันขายเป็นทาส ถึงอย่างนั้นแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมมี กลับถูกทำลายย่อยยับลงในคืนเดียว
“อัลเฟรดัส จงตัดหัวผู้นำของแวมไพร์ฮันเตอร์ฝั่งเหนือมาให้ข้า แล้วข้าจะเลิกแล้วกันต่อท่าน”
นั่นคือคำขอร้องสุดท้ายของอลิซาเบธ แวมไพร์สาวที่เป็นแกนหลักในการทำสงครามยืดเยื้อกับมนุษย์มาอย่างยาวนาน ผมไม่รู้ว่านางอายุเท่าไหร่ และไม่รู้ว่านางจะมีวันพ่ายหรือไม่ รู้เพียงแต่ขุมกำลังของนางลดน้องลงทุกทีแล้ว เซเกรแห่งปราสาทตะวันตกปลีกตัวไม่ข้องแวะ อาม่อนแห่งทะเลดำก็หายสาบสูญ พวกที่เหลือก็ได้รับบาดเจ็บอยู่ระหว่างพักฟื้น จึงเหลือเพียงผมที่ยังไม่ได้ทำหน้าที่ใดๆ
วัดกันแล้ว หากเทียบกันตัวต่อตัว ข้าล้วนอยู่เหนือกว่ามนุษย์พวกนั้นในทุกด้าน แต่หากพวกมันมากันเป็นกลุ่ม มาพร้อมแผนการ มาพร้อมกลอุบายแยบยล ที่แม้แต่ผมที่ผ่านโลกมาอย่างยาวนาน ก็ไม่อาจต้านทานอยู่
ทุกสิ่งทุกอย่างพังพินาศ ผมทำได้เพียงหนีเอาชีวิตรอด ท่ามกลางความสับสน ของเปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำ ไม่มีสายลมที่พัดจากตะวันออกไปตะวันตก ไม่มีการช่วยเหลือใดๆ ผมพาตัวเองระหกระเหินไปตามป่าสนแห้งๆ ย่ำลงไปบนพืชหนามแห้งกรัง แล้วหมดสติไปท่ามกลางความมืดในคืนซึ้งไร้ดวงจันทร์
---------------------------------------
“ตื่นอยู่รึ?" น้ำเสียงเย็นชาเอ่ยขึ้น พร้อมกับแสงสว่างวาบจากคบไฟที่ถูกจุด ผมเบือนหน้าหนีแสงสว่างไปอีกทางแทนการตอบคำถามของเขา
“วันนี้ทำไมตื่นเร็วจังล่ะ หิวตั้งแต่หัววันหรือไง?”
ผมไม่ได้หันหน้ามองเขา เพียงแต่พูดตอบกลับไป “พอดีหนวกหูเสียงระฆังน่ะ”
“อืม....”
จากนั้นผมก็ได้ยินเสียงลากเก้าอี้ สักพักเขาก็พูดอีก “หันหน้ามาหน่อยได้มั้ย?”
ผมรู้สึกสมเพชตัวเองที่ต้องมาทำตามคำสั่งของเขา เลยพูดตอบไป “จะทำอะไรก็รีบๆ ทำ ไม่ต้องมาพิรี้พิไรหรอก”
ฝ่ายนั้นเงียบไปพัก ก็ส่งเสียงตอบมา “วันนี้ข้าไม่อยากทำ”
ผมเบือนหน้าไปมองเขา ถึงได้เห็นว่าดวงตาสีดำคู่นั้นไม่ได้จับจ้องตรงมา แต่กลับมองต่ำลงไปยังพื้น ซึ่งเป็นท่าทางที่ผิดไปจากก่อนหน้านี้อยู่พอสมควร
“พวกท่าน.... รู้จักความรักรึเปล่า?”
ผมถึงกับรู้สึกแปลกใจขึ้นมาจริงๆ ตั้งแต่พบกันแล้วถูกพันธนาการเอาไว้แบบนี้ เขาไม่เคยเอ่ยถึงผมตรงๆ มาก่อน ไม่นึกว่าพอจะเอ่ยถึง ก็ใช้สรรพนามแทนว่า”ท่าน” ทั้งๆ ที่พฤติกรรมก่อนหน้านี้ แสดงออกมาประหนึ่งเขาเกลียดชังผมอย่างรุนแรง เขากำลังวางแผนอะไรอยู่รึเปล่านะ?
“ถามทำไมน่ะ?” ผมย้อนไป เพราะไม่เข้าใจเจตนาของเขา ออตโตนิ่งไปพัก สุดท้ายก็ถอนหายใจออกมา “อืม... ช่างมันเถอะ”
พอเห็นว่าเขาขยับตัวทำท่าจะลุกขึ้น ผมเลยนึกถึงสิ่งที่เพิ่งได้ยินตอนช่วงเย็นขึ้นมาได้ “เจ้าสงสารเด็กสาวที่อกหักคนนั้นรึ?”
ดวงตาสีดำสนิทช้อนขึ้นมองผมด้วยความแปลกใจทันที ผมแค่นยิ้มตอบเขาหน่อยหนึ่ง แล้วพูดต่อ “ข้ามีประสาทหูที่ดีกว่าพวกเจ้าหลายร้อยเท่า ตอนเช้าเจ้าตื่นกี่โมง เดินกี่ก้าว พูดคุยหรือสวดมนต์อะไร ข้าได้ยินทั้งนั้นแหละ”
หน้าของออตโตกลายเป็นสีคล้ำจัด ได้ยินเสียงเขาคำรามรอดไรฟัน “ท่านได้ยินอะไรอีก?”
“เสียงเจ้าใช้แส้หนังฟาดโบยตัวเอง” ผมตอบเขาไป แล้วแค่นหัวเราะต่อ “ทำไมหรือบาทหลวง เพราะรู้สึกผิดที่มาเสพสมกับแวมไพร์หรือไง เจ้ากำลังทำสิ่งที่พระเจ้าห้าม เพราะหักห้ามความต้องการเอาไว้ไม่อยู่? อา.... หากไม่อาจทนทรมานกับความต้องการต่ำๆ ของร่างกายอย่างนั้นล่ะก็ ทำไมถึงไม่เลือกเด็กสาวที่เพิ่งอกหักคนนั้นล่ะ? พวกมนุษย์ต้องการการเสพสมเพื่อขยายพันธุ์อยู่แล้วไม่ใช่หรือไง เขาทำกับนาง ต้องมีทายาทออกมาขยายเผ่าพันธุ์เพิ่มขึ้นได้แน่ๆ”
คิ้วคู่งามของออตโตขมวดเข้าหากัน ดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นประกายกร้าว “ตลอดชีวิตหยาบช้าของท่าน เคยรักใครบ้างหรือไม่ ท่านเคาท์!”
ผมขืนคอกับคำว่า “ตลอดชีวิตหยาบช้า” ของเขา แต่ก็ตัดสินใจว่าจะไม่โต้ตอบอะไรออกไป ชีวิตหยาบช้างั้นรึ ผมว่าตัวเองใช้ชีวิตได้หมดจดงดงามว่าถุงใส่เลือดเดินได้อย่างเขาเป็นไหนๆ
“ความรักของพวกข้าไม่หยาบช้าโสมมอย่างที่พวกเจ้าเป็นกันหรอก” ผมแค่นเสียงตอบไป ออตโตเบิ่งตาขึ้นหน่อยหนึ่ง แล้วถามอีก “พวกท่านมีความรัก?”
“พวกข้ารู้จักความเจ็บปวด รู้จักความโศกเศร้า รู้จักการหัวเราะ รู้จักการร้องไห้ ทำไมจะไม่รู้จักรัก หรือเจ้าเห็นว่ามีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่สามารถรักได้?”
“............” พอเห็นเขาเอาแต่เงียบ ไม่พูดหรือตอบโต้อะไรกระทั่งสายตา ผมก็หมดอารมณ์จะพูดอะไรต่อ เพราะถึงพูดไปก็เสียเวลา มนุษย์อย่างเขาไม่มีวันเข้าใจความรักของพวกผมหรอก
พวกเราต่างคนต่างเงียบ ผมหลับตา เตรียมพาตัวเองเข้าสู่ภวังค์อีกครั้ง ระหว่างนั้นเองก็ได้ยินเสียงเขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ “ท่านเคาท์ ท่านรักมนุษย์ได้หรือไม่?”
ผมคำรามด้วยความโกรธขึง ก่อนจะถลึงตาใส่เขา “มนุษย์เป็นเพียงแค่อาหาร หาใช่สิ่งที่สมควรรักไม่”
ดวงตาสีดำสนิทตรงหน้าผมสั่นไหวเหมือนผิวน้ำนิ่งที่ถูกโยนบางสิ่งบางอย่างลงไป ก่อนจะเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวอย่างรวดเร็ว ได้ยินเสียงเขาพูดรอดไรฟัน “มนุษย์เป็นแค่อาหารสำหรับท่าน เช่นนั้นล่ะก็....”
จากนั้นเขาก็เดินอ้อมมาด้านหลังผม ถอดกางเกงผมออก จากนั้นก็เบียดส่วนนั้นของตัวเองเข้ามาโดยไม่มีการอารัมภบทอะไรทั้งนั้น ความร้อนผ่าวแข็งขึงที่แทรกตัวเข้ามาอย่างดุดัน สร้างความเจ็บปวดสุดแสนจะบรรยาย ผมรู้สึกถึงอาการฉีกขาดในทุกๆ กระเบียดนิ้วที่เขาดันมันเข้ามา เขายกมือขึ้นจับสะโพกของผม ขย้ำเหมือนจะจิกให้ทะลุเนื้อ จากนั้นก็กระแทกกระทั้นกายเข้ามา ประหนึ่งจะฉีกผมให้แหลกเป็นชิ้นๆ ผมได้แต่ครางต่ำๆ ในลำคอ ขบฟันจนชาด้าน รับรู้ทุกสัมผัสแสนทรมานที่บดเบียดเข้ามาในร่างกาย
ในความเจ็บปวดที่ยากจะบรรยาย บางสิ่งบางอย่างที่อุ่นจัดหยดลงบนไหล่ของผม
เหงื่อรึ?... หรือว่า..............?
ผมไม่ได้หันกลับไปมอง เพราะความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้ผมไม่เหลือกะจิตกะใจจะสนใจอะไรทั้งนั้น ได้แต่ครางต่ำๆ ปล่อยให้เขาย่ำยีร่างกายตามใจชอบ พอไม่มีของเหลวแสนคาวนั้นมาเป็นตัวล่อแล้ว ผมรู้สึกว่าตัวเองรักษาสติเอาไว้ได้ยากเหลือเกิน ท่ามกลางความเจ็บปวดที่เป็นอยู่
อา......
--------------------------------------------------
กลิ่นของเหลวคาวจัดที่เข้ามาใกล้จมูกทำให้ผมรู้สึกตัวท่ามกลางสติอันเลือนราง บางสิ่งบางอย่างที่อบอุ่นอ่อนนุ่ม สัมผัสริมฝีปากผมแผ่วเบา ก่อนจะบรรจงป้อนของเหลวแสนคาวพวกนั้นเข้ามา ผมดื่มมันอย่างกระหาย ก่อนจะหมดสติไปอีกครั้ง
สัมผัสนั้นคืออะไรกัน......
ช่วงชีวิตอันแสนยาวนานของผม หลายครั้งจนนับไม่ถ้วน ที่ผมฝังเขี้ยวแวววาวของตนลงบนซอกคอของมนุษย์ ไม่ว่าจะชายหรือหญิง ความรู้สึกเวลาที่คมเขี้ยวเจาะทะลุผิวหนัง ฝังลงไปบนเส้นเลือดใหญ่ ของเหลวอุ่นๆ คาวจัดไหลทะลักออกมา รสชาติหวานขื่นแพร่กระจายไปทั่วโพรงปาก คือความรู้สึกสุขพื้นฐาน เมื่ออาหารตกถึงท้อง แต่ทว่า ความอุ่นอ่อนที่สัมผัสริมฝีปากผมเมื่อครู่นี้แตกต่างออกไป มันคือสัมผัสของอะไรผมไม่อาจคาดเดาได้ รู้เพียงแต่เมื่อไม่นานมานี้ ผมก็เคยรู้สึกแบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง
“..........................”
ร่างกายผมหนักอึ้งเหมือนมีพะเนินเหล็กมาถ่วงเอาไว้ แขนขาขยับไม่ได้ ไม่ต่างอะไรกับการเฝ้ารอความตายท่ามกลางความหนาวเหน็บ ดวงตาผมมองไม่เห็นอะไรอีก กระทั่งหูก็แทบจะไม่ได้ยินเสียงอะไรแล้ว สัมผัสด้านร่างกายก็ชืดชาลงทุกที ความตายกำลังคืบคลานมาหาผมอย่างช้าๆ
อา... นี่คือความพ่ายแพ้ที่ผมได้รับสินะ.......
ท่ามกลางการต่อสู้เพื่อความอยู่รอด ผมเป็นทั้งผู้ล่า และผู้ถูกล่า และเมื่อผมแพ้... นี่คือบทลงโทษสำหรับผม อืม.... ไม่แน่เหมือนกัน บางทีความตายอาจจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดก็ได้...
สายลมแผ่วๆ พัดผ่านตัวผมไป ผมนึกถึงดวงตาสีทองคู่นั้น นึกถึงโครงหน้างามสง่า น้ำเสียงไพเราะจับใจนั้น
อา... ท่านเซเกร ผมคงไปหาท่านไม่ได้อีกแล้ว หวังว่าท่านคงจะสามารถหลีกพ้นจากสงครามอันไร้ที่สิ้นสุดซึ่งนำพาหลายชีวิตลงสู่ห้วงความตายดำมืดที่ไม่อาจฟื้นคืนนี้
ผมไม่มีแรงแม้แต่จะกระซิบคำว่า”ลาก่อน” ฝากไปกับสายลมตะวันตกนั้นด้วยซ้ำ ทุกอย่างเชื่องช้าลงเรื่อยๆ ค่อยๆ ดับวูบไปทีละสิ่ง แต่แล้วอะไรบางอย่างก็แนบลงบนริมฝีปากผม อบอุ่น อ่อนโยน สัมผัสที่แทบจะทำให้น้ำตาไหลด้วยความปิติ ตามด้วยของเหลวคาวคลุ้งที่ปลุกชีวิตของผมขึ้นมาอีกครั้ง
“.....................”
ผมลืมตาตื่นขึ้นมาในห้องแคบๆ ไร้ซึ่งแสงสว่างใดเช่นทุกวันที่ผ่านมา... ใช่แล้ว หลังสัมผัสครั้งนั้น ผมรู้สึกตัวอีกทีก็ถูกล่ามตรึงเอาไว้ด้วยโซ่เงินพวกนี้ พอมองออกไปก็เห็นบาทหลวงหนุ่มคนนั้นเดินเข้ามา ดวงตาสีดำของเขาถูกพรางไว้ในความมืด ผมที่เพิ่งฟื้นตัวและพบตัวเองอยู่ในสภาพแบบนั้น เลยพยายามจะอาละวาดใส่เขาไป และแล้วเขาก็เริ่มย่ำยีผม ตั้งแต่ครั้งนั้นเป็นต้นมา
ผมไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทั้งๆ ที่ผมกำลังจะตายอยู่แล้วแท้ๆ แต่กลับถูกใครสักคนช่วยไว้ ถึงอย่างนั้นพอรู้สึกตัวก็โดนจับล่ามไว้ หรือว่าเจ้าบาทหลวงนี่ต้องการจะล้างแค้นผม... คงแค้นผมสินะ ไม่ว่ามนุษย์หน้าไหนๆ ก็โกรธแค้นพวกเราทั้งนั้นแหละ ทั้งๆ ที่เราแค่หาอาหารแท้ๆ มันก็เหมือนที่พวกเขาล่าสัตว์อื่น แต่ทำไมนะ ทำไม ทำไมมีแต่พวกผมที่ถูกไล่ล่ากลับ ทำไมเจ้ามนุษย์พวกนั้นถึงไม่โดนสัตว์อื่นไล่ล่าบ้าง...
เจ้าพวกนั้นได้สิทธิพิเศษอะไรกัน....
ผมแค่นหัวเราะให้ชะตากรรมที่น่าสมเพชของตัวเอง ที่สุดท้ายแล้วก็ถูกจับมาล่ามตรึงเอาไว้ มีชีวิตอยู่เพื่อเป็นเครื่องระบายความใคร่ของสิ่งมีชีวิตที่ผมเคยมองเป็นอาหาร ยังมีอะไรน่าทุเรศกว่านี้อีก
ไม่อยากเชื่อเลยว่าสัมผัสอ่อนโยนเหมือนฝันนั้นจะกระชากผมลงสู่นรกทั้งเป็น....
ตึก... ตึก....
ผมได้ยินเสียงฝีเท้าดังอยู่เหนือศีรษะ เป็นของออตโตอย่างไม่ต้องเดา นี่เป็นเสียงฝีเท้าเขาเวลาตื่นนอนตอนเช้า อืม... ผมตื่นมาตอนเช้าอีกแล้วหรือนี่...
สักพักผมก็ได้ยินเสียงคุกเข่า ตามด้วยเสียงสวดภาวนาขอให้พระเจ้าให้อภัย และเสียงแส้หนังฟาดลงบนกล้ามเนื้อแข็งๆ
โง่เง่าสิ้นดี ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นคนกระทำแท้ๆ แต่กลับไปขออภัยจากใครก็ไม่รู้ ถ้าทำแล้วต้องลงโทษตัวเองขนาดนี้ล่ะก็ จะทำไปทำไมกัน น่าทุเรศเป็นที่สุด
จู่ๆ ผมก็ได้ยินเสียงตัวเองหัวเราะ... อืม... ผมคงใกล้เสียสติเต็มทีแล้ว ถูกจับล่ามเอาไว้ ถูกทารุณด้วยทัณฑ์ทรมานอย่างที่ผมไม่สมควรได้รับ ถูกยัดเยียดความพ่ายแพ้อย่างน่าทุเรศ โดยมนุษย์งี่เง่าคนหนึ่งที่ทำเรื่องพวกนี้แล้วไปสำนึกผิดอยู่กับพระเจ้าที่ด้านบน
ถ้าผมหลุดออกไปได้ล่ะก็ ผมจะเลาะนิ้วเขาออกทีละนิ้ว หักแขนหักขาเขาทีละท่อน ค่อยๆ ลากไส้ออกมาทีละขด แล้วทิ้งให้เขาตายอย่างช้าๆ ให้สาสมกับสิ่งที่เขาทำกับผม จากนั้นผมจะประกาศสงครามกับมนุษย์ ต่อสู้เพื่อล้างอายในเรื่องที่เกิดขึ้น แล้วตายอย่างที่แวมไพร์ควรจะเป็น
ผมสร้างความแค้นขึ้นมา เพื่อรักษาสติของตัวเองเอาไว้ ท่ามกลางความทรมานที่ไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่
เสียงฟาดแส้หยุดลงแล้ว......
ผมได้ยินเสียงฝีเท้าที่แตกต่างออกไป คงเป็นคนที่มาโบสถ์ สักพักผมก็ได้ยินเสียงพูดคุย เลยได้รู้ว่าอีกสองวันจะมีงานแต่งงาน เจ้าบ่าวคงเป็นคนที่อักหกเด็กสาววันก่อนล่ะมั้ง อืม... ผมนี่ชักสอดรู้สอดเห็นเรื่องของพวกมนุษย์ไปทุกที แต่มันก็ช่วยไม่ได้ ผมถูกขังอยู่แบบนี้ ไม่มีทางจะออกไปไหน ได้ยินอะไรก็ต้องรับรู้เอาไว้ทั้งหมดนั่นแหละ รอให้ผมออกไปได้ก่อนเถอะ......
เพราะมีแต่เรื่องราวไร้สาระเกี่ยวกับงานแต่ง ผมเลยผล็อยหลับไปอีกครั้ง มารู้สึกตัวเอาตอนที่แสงไฟจากคบสว่างวาบ พอลืมตาก็เห็นดวงหน้าเดิมๆ เหมือนที่เคยเห็นอย่างทุกวัน
“เตรียมงานแต่งงานเสร็จแล้วหรือไง?” ผมถามเขาไป เพราะคร้านจะยืนเงียบๆ เป็นเครื่องระบายความใคร่ให้เขา ออตโตสั่นศีรษะ “ยัง พรุ่งนี้จะมีคนเข้ามาช่วย”
“อ้อ...” ผมร้องออกมา ก่อนจะพูดขึ้นต่อ “งั้นเจ้าควรระวังไว้ ถ้ามีใครพรวดพราดเข้ามาเห็นว่าเจ้าล่ามแวมไพร์เอาไว้ในห้องโถงใต้โบสถ์ล่ะก็... ข้าว่ามันคงจะไม่สวยแน่ๆ”
“อืม...”
“จะจัดการยังไงล่ะ? ฆ่าปิดปากเลยดีมั้ย ถ้าเป็นเด็กผู้หญิงล่ะก็ ฆ่าแล้วเอาเลือดมาให้ข้าดื่มสิ ที่เจ้าเอามาทุกวันน่ะ ไปเอามาจากไหนล่ะ คงไม่ใช่เลือดหมูเลือดหมาหรอกใช่มั้ย?”
“หุบปากโสโครกของท่านเถอะ!” ออตโตโพล่งออกมา “อยู่เงียบๆ ข้าจะปิดปากท่านเอาไว้ แล้วก็จะแต่งตัวท่านใหม่”
“เหอะ!” ผมแค่นเสียงออกไป ขณะมองเขาเดินเข้ามาใกล้ แล้วยื่นมือมากลัดกระดุมเสื้อให้ผม อันที่จริงแล้ว ตั้งแต่ถูกจับล่ามไว้ เมื่อผมตื่นมาทุกครั้งหลังถูกทารุณ เสื้อผ้าก็จะสวมอยู่บนตัวผมแล้ว เรียบร้อยบ้างไม่เรียบร้อยบ้าง ตามแต่อารมณ์ของเจ้าบาทหลวงนี่ล่ะมั้ง ผมไม่เข้าใจเขาเหมือนกัน ทำไมจะต้องเสียเวลาใส่เสื้อผ้าให้ผม ในเมื่อเขาเห็นผมเป็นแค่เครื่องระบายความใคร่เท่านั้น
“นี่... ช่องที่อยู่ด้านบนน่ะ เปิดได้มั้ย?” ผมถามเขา ออตโตเงยหน้ามองขึ้นไปบนเพดาน แล้วพูดตอบ “ได้ จะให้เปิดรึ?”
“อืม...”
“อยากโดนแดดเผาตายหรือไง?”
“อืม......”
“ไม่มีทางหรอก” พอได้ยินเขาตอบ ผมก็หลุดหัวเราะออกมา ไม่ใช่หัวเราะคำพูดของเขาหรอก แต่ทุเรศปนสมเพชตัวเองที่ต้องมาติดแหงกอยู่ในที่แบบนี้น่ะ ออตโตพูดต่ออีก “ท่านอยากตาย?”
“อืม....”
“ทำไมล่ะ?”
ผมนึกโมโหคำถามโง่เง่าของเขาขึ้นมา เลยกระชากเสียงตอบไป “โง่บัดซบ ถ้าเจ้าถูกล่ามเอาไว้แบบนี้ มีชีวิตอยู่เพื่อทรมานไปวันๆ เจ้าไม่อยากตายให้พ้นๆ หรือไง?!”
สีหน้าของออตโตคล้ำลงทันที ผมพยายามระงับโทสะของตัวเอง แล้วพูดต่ออีก “แต่ช่างเถอะ ข้าไม่ขอร้องความตายจากเจ้าหรอก แค่ที่เป็นอยู่นี้ก็ทุเรศพอแล้ว”
บาทหลวงตรงหน้าผมขมวดคิ้วด้วยสีหน้าลำบากใจ ก่อนจะพูดออกมาเบาๆ “ข้า... ขอโทษ”
เส้นความอดทนของผมขาดผึงลงทันที “ข้าจะเลาะลิ้นของเจ้าออกมาขยี้ทิ้ง ไอ้มนุษย์โสโครก เก็บคำขอโทษไร้สาระของเจ้ากลืนเข้าคอไปเถอะ ข้าไม่ต้องการความสงสารหรืออะไรจากถุงใส่เลือดเดินได้อย่างเจ้าหรอก จะทำอะไรก็รีบๆ ทำ แล้วไปให้พ้นๆ หน้าข้าเสียที”
หน้าของบาทหลวงหนุ่มคล้ำลงกว่าเดิม ได้ยินเขาเค้นเสียงรอดไรฟันออกมา “ได้!”
ผมเตรียมใจรับความเจ็บปวดที่จะตามมาเต็มที่ แต่พอเงยหน้าขึ้นอีกที ก็เดินเข้าเดินขึ้นบันไดไปแล้ว ความเปลี่ยนแปลงนี้ทำเอาผมงงไปพักใหญ่ ผมเงี่ยหูฟังเสียงฝีเท้าเขา จนค่อนคืนผ่านไป ก็ไม่เห็นวี่แววว่าเขาจะกลับลงมาอีก พอไม่ถูกทรมาน สมองของผมก็ว่างพอจะคิดหนทางหนีขึ้นมาได้
ไม่แน่นักหรอก วันแต่งงานอีกสองวันข้างหน้า อาจจะเป็นงานเลี้ยงใหญ่สำหรับผมก็ได้
--------------------------------------------
ผมตื่นขึ้นมาในตอนเช้าอีกแล้ว คราวนี้ไม่ใช่เพราะเสียงเดินหรือเสียงฟาดแส้ แต่เป็นเสียงสะอื้นเบาๆ ผมจับเสียงไม่ออกว่าเป็นเสียงใคร เพราะมันเบาเกินไป เงี่ยฟังอยู่สักพักก็ได้ยินเสียงเคาะประตูโบสถ์ ถึงพอจะเดาออกว่าเสียงสะอื้นคงเป็นของเจ้าบาทหลวงนั่น เจ้านั่นร้องไห้ทำไมกันนะ?
แต่เพราะเป็นช่วงกลางวัน แถมคนที่มาก็ไม่ใช่น้อยๆ สิบกว่าคนเห็นจะได้ แถมคุยกันแต่เรื่องไร้สาระ ผมเลยเผลอหลับไปบ้าง ตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกหิวบ้าง เพราะเมื่อวานยังไม่มีเลือดตกถึงท้อง หลับๆ ตื่นๆ อยู่แบบนั้น จนได้ยินเสียงฝีเท้าร้อนรนตรงดิ่งลงมาที่บันได
ใครกัน?!
เสียงการลงน้ำหนักเบาบาง บอกว่าเป็นฝีเท้าผู้หญิง เสียงสะอื้นที่ดังมาไกลๆ พอจะบอกได้ว่ากำลังร้องไห้อยู่ ใช่ผู้หญิงที่อกหักวันก่อนรึเปล่านะ? ผมเฝ้าถามตัวเอง ระหว่างฟังว่าฝีเท้านั้นจะเข้ามาใกล้แค่ไหน จากนั้นผมก็เห็น เด็กผู้หญิงในชุดกระโปรงยาววิ่งฝ่าความมืดลงมา แล้วทรุดตัวลงร้องไห้อยู่ตรงริมห้อง เจ้าหล่อนร้องไห้คร่ำครวญปานจะขาดใจตาย นี่คงไม่รู้สึกเลยมั้งว่ามีผมอยู่ด้วย
ผมมองแล้วก็เกิดรู้สึกขึ้นมาว่า ถ้าได้ดื่มเลือดผู้หญิงคนนี้จนเต็มอิ่มล่ะก็ ผมคงมีเรี่ยวแรงพอจะดึงโซ่ตรวนพวกนี้ จะได้เป็นอิสระเสียที และดูท่า แม่หญิงคนนี้คงจะสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไหร่ หากกำลังโหยหาความตายเพราะรักเป็นพิษล่ะก็ ผมคงเป็นผู้ที่พร้อมจะช่วยปลดเปลื้องให้หล่อนเลยล่ะ
“แม่หญิงงาม เจ้าร้องไห้ทำไมหรือ?” ผมพูด พยายามทอดเสียงให้อ่อนโยนที่สุด แน่นอนว่าถ้าเป็นเสียงคนธรรมดาล่ะก็ คงไม่มีทางแทรกผ่านเสียงร้องไห้จะเป็นจะตายนั่นไปได้แน่ แต่เพราะผมเป็นสิ่งมีชีวิตพันธุ์พิเศษ ดังนั้น สักพักเจ้าหล่อนก็เงยหน้าขึ้นมา “ใครกัน?”
“เจ้ากำลังนึกคับแค้นใจอยู่ใช่หรือไม่? ใยชายผู้นั้นถึงไม่รักเจ้า ใยเขาจึงไปรักกับแม่หญิงอีกคน”
“ใครน่ะ?”
“ข้าเป็นเพียงคนเดียวดายที่ต้องตายอย่างอ้างว้างเมื่อนานมาแล้ว โอ... ความเศร้าของเจ้านั้น ข้าเข้าใจดีเป็นยิ่งนัก”
“..........”
“มาเถิด แม่หญิงงาม ข้าจะช่วยเจ้าเอง เจ้าปรารถนาสิ่งใดกัน”
“ท่าน.... ท่านช่วยข้าได้จริงๆ หรือ?”
ผมแค่นยิ้มกับตัวเอง มองดูหญิงสาวที่ลุกขึ้นมาในความมืด มนุษย์ช่างล่อลวงง่ายดายนัก ใช้เพียงคำพูดแทรกแทรงจิตใจอ่อนแอก็สามารถควบคุมเอาไว้ได้แล้ว ผมทอดเสียงต่ำลงอีก “มาใกล้ๆ สิ แม่สาวงาม มาให้ข้าได้เห็นความงามของเจ้า”
หญิงสาวนางนั้นเดินเข้ามาช้าๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ผมได้กลิ่นผิวกายสดใหม่ รู้สึกถึงเลือดอุ่นๆ ที่ไหลเวียนอยู่ในตัวของหล่อน
“เข้ามาอีกสิ นั่นแหละ อืม... เจ้าช่างงดงามจริงๆ”
ลำคอขาวผ่องพาดมาใกล้ริมฝีปากผมอย่างง่ายๆ ผมแค่อ้าปาก ขยับหน่อยเดียวก็จะฝังเขี้ยวลงไป ดูดเลือดสดๆ จากหญิงสาวชาวมนุษย์นางนี้ได้อย่างเต็มอิ่ม แต่ขณะที่ผมกำลังจะฝังเขี้ยวลงไป
“เฮเลน!”
แสงจากคบไฟที่สว่างพรึบขึ้นมา พร้อมกับเสียงเรียกชื่อ และเหนืออื่นใด ร่างที่ปรากฏอยู่ตรงปากทางเข้า เจ้านั่น... เจ้าบาทหลวงบัดซบนั่น!!
เพราะเสียงเรียก เหยื่อของผมเลยได้สติจากมนต์สะกด ผมคำรามลั่นด้วยความโกรธจัด จากนั้นก็ได้ยินเสียงหวีดร้อง
“กรี๊ด!!”
ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าผมกรีดร้องสุดเสียง แล้วล้มฮวบลงไปทันที ออตโตรีบถลันเข้ามาประคองไว้ จากนั้นผมก็ได้ยินเสียงเอะอะที่ด้านบน
“แย่แล้ว” บาทหลวงหนุ่มพึมพำ แล้วเงยหน้าขึ้นมองผม “ท่านต้องหนี”
ผมถลึงตามองเขา พลางคิดว่าตัวเองฟังผิด แต่จากนั้นก็เห็นเขาล้วงกุญแจดอกสีเงินออกมาจากอกเสื้อ แล้วปลดล็อกโซ่ตรวนให้ผมอย่างลนลาน ระหว่างนั้นเสียงฝีเท้าดังใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
“เหอะ! กลัวจะถูกรุมประชาทัณฑ์เลยรีบปล่อยข้าล่ะสิ” ผมพูด ระหว่างที่เขากำลังปลดล็อกโซ่พวกนั้น ออตโตไม่ตอบโต้อะไร เพียงแต่พูดซ้ำประโยคเดิม “หนีไปเร็ว”
ผมยืนนิ่ง ความพลุ่งพล่านอัดแน่นอยู่ในอก รอจนเขาปลดโซ่เส้นสุดท้าย ผมจึงตวัดมือไปจับคอเขาไว้
“อัก!”
จังหวะเดียวกันนั้นเองที่เสียงฝีเท้ามาหยุดตรงทางเข้าพอดี แสงจากคบไฟไหววาบ สะท้อนประกายแห่งความตื่นตระหนกจากดวงตาห้าหกคู่พวกนั้น ผมได้ยินเสียงผู้ชายที่ถูกเค้นคออยู่พูดขึ้น “ห้าม... ห้ามทำร้ายพวกเขานะ”
ผมออกแรงบีบคอเขาแทบจะหัก แล้วเหวี่ยงออกไปอีกทาง ท่ามกลางเสียงตะโกนด้วยความตกใจของคนพวกนั้น“แวมไพร์!!”
“ดูไว้ เจ้าบาทหลวงโง่ นี่คือสิ่งที่ข้าจะตอบแทนการกระทำของเจ้า” ผมตวาดเสียงเกรี้ยว ก่อนจะเร่งความเร็ว พุ่งเข้าใส่คนพวกนั้น
พลั่ก! กร๊อบ!
คนแล้วคนเล่า... แค่ออกแรงเล็กน้อย ผมก็สามารถฆ่าถุงเนื้อใส่เลือดพวกนี้ได้อย่างง่ายดาย เสียงโหวกเหวกดังขึ้นด้านบน แต่ผมไม่สนใจ เพราะเจ้าพวกนั้นคงไม่กล้าวิ่งลงมาแน่ ดังนั้น พอจัดการผู้ชายสี่ห้าคนที่ลงมาเรียบร้อยแล้ว ผมก็จัดการลากคอขึ้นมา กัดจนเหวอะ แล้วดื่มเลือดสดๆ อย่างบ้าคลั่ง
กลิ่นคาวคลุ้งไปทั่วห้อง ผมเดินย่ำเลือดที่เจิ่งอยู่บนพื้น ตรงไปยังร่างของบาทหลวงหนุ่มที่นอนขดอยู่ พลางยกมือขึ้นปาดเลือดออกจากปาก
“ยังไม่ตายใช่ไหม?” ผมพูดแล้วยกเท้าเตะสีข้างเขาเบาๆ ร่างนั้นสะดุ้ง ก่อนจะตัวสั่น ผมถึงเพิ่งเห็นว่าเขากำลังสะอื้นอยู่ เลยอดไม่ได้ต้องหัวเราะออกมา
“ฮะๆ อะไรกันเล่า เพิ่งมาสำนึกเสียใจหรอกหรือ?.... สายไปหน่อยล่ะมั้ง เพราะความโง่ของเจ้าแท้ๆ เลยทำให้คนพวกนี้ต้องตาย เจ้าเสียใจมากใช่ไหมล่ะ แค้นใจมากใช่ไหมล่ะ?”
ออตโตเงยหน้าขึ้นมองผมด้วยแววตาแข็งกร้าวที่เรื้อไปด้วยหยาดน้ำตา ก่อนจะแค่นเสียงออกมา “ฆ่าข้าเถอะ”
“เหอะ!” ผมแค่นเสียงตอบไปทันที ก่อนจะนั่งลง แล้วจับหน้าเขาขึ้นมา “ฝันไปเถอะ ข้าไม่ยอมให้เจ้าตายง่ายๆ หรอก เจ้าจะต้องชดใช้ด้วยทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเจ้า กับสิ่งที่เจ้าทำลงไป”
เขาขบกรามกรอด น้ำตาไหลหยดลงเป็นสาย ก่อนจะสะบัดหน้าหนีมือผม ผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้
ช่างตลกจริงๆ ก่อนหน้านี้หลายวัน เขาเป็นฝ่ายกระทำ แต่ตอนนี้ ทุกอย่างกลับกันแล้ว ผมกลับมาเป็นผู้อยู่เหนือ คุมเกมทุกอย่าง เขาจะต้องรับรู้รสชาติความทรมานจนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
ออตโตนอนสะอื้นอยู่บนพื้นอย่างนั้น ระหว่างที่ผมแต่งเนื้อแต่งตัวเสียใหม่ แย่หน่อยที่ด้านล่างนี้ไม่มีกระจก และไม่มีอะไรพอจะให้ผมผลัดเปลี่ยนได้ เสื้อผ้าของพวกที่ถูกฆ่าตายก็เชยและด้อยค่าเกินไป ผมเลยต้องจัดเสื้อผ้าที่สวมอยู่ให้เข้าที่เข้าทาง แล้วลากเก้าอี้มา รอเวลาพระอาทิตย์ตก ระหว่างนั้น ออตโตยังสะอื้นไม่หยุด ผมนึกหมั่นไส้ เลยเดินไปหาเขาอีก
“ทำไม ยังทำใจไม่ได้หรือไง? อย่าบอกนะว่าไม่เคยฆ่าคนเลยน่ะ เจ้าเอาเลือดมาให้ข้าดื่มเป็นขวดๆ ถ้าไม่เอามาจากคนอื่น จะเอามาจากไหนกัน หืม?”
ผมยื่นมือไปจับหน้าเขาอีกครั้ง บาทหลวงหนุ่มสะบัดหน้าหนีมือผมทันที “ไม่ใช่เรื่องที่ท่านจะต้องรู้หรอก”
“อ้อ เหรอ...” ผมลากเสียง ก่อนจะจับหน้าเขาอีกครั้ง แล้วออกแรงบีบจนทางนั้นน้ำตาไหลพราก “ข้าจะฆ่าคนที่อยู่ที่นี่ให้หมด เหลือเจ้าเอาไว้คนสุดท้าย เจ้าว่าดีไหมล่ะ ฮ่าๆๆๆ”
เส้นเลือดฝอยในตาของออตโตเต้นตุบๆ จนแทบฉีก ขณะเขาเบิ่งตามองผม ผมหัวเราะในคอด้วยความสะใจ กลิ่นคลุ้งของคาวเลือดและความแค้นทำให้ผมคลั่ง ผมนึกแต่อยากจะแก้แค้นเขา อยากจะทำให้เขาทรมาน อยากจะเห็นเขาตายทั้งเป็น
ระหว่างที่ผมกำลังนึกถึงการแก้แค้นอยู่นั้น จู่ๆ เสียงครืดๆ ก็ดังขึ้นบนเพดานเหนือศีรษะผม ทันใดนั้น ช่องแสงด้านบนที่ถูกปิดเอาไว้ก็ถูกเปิดออก แสงสีทองอ่อนสว่างวาบเข้ามาทันที
“อ๊าก!!!!!!!!!!!!!” ผมกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดที่สุดในชีวิต บัดซบเอ๊ย ไอ้พวกงี่เง่า!!!
แสงอาทิตย์เป็นพิษกับแวมไพร์อย่างผมในระดับรุนแรง แค่โดนแสงอ่อนๆ เข้าไป ผิวหนังของผมก็หลุดออกมาเป็นแผ่นๆ ส่งกลิ่นเหม็นไหม้ประหนึ่งเนื้อสัตว์ที่ถูกโยนลงไปในเตาหลอมเหล็ก ผมตะเกียกตะกายหาเงามืดเพื่ออำพรางร่างกาย ขณะที่ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วร่าง
บ้าเอ๊ย มันคงถึงคราวจบสิ้นแล้วสินะ!!
ทั้งตัวผมแสบร้อนไปหมด เหมือนทั้งเนื้อทั้งกระดูกกำลังถูกเผา แสงส่องมาในทุกๆ ทิศ ไม่มีแม้แต่ผ้าม่านให้ผมอำพรางตัว ที่ดูจะเข้าท่าก็คืออุโมงค์ทางเข้านั่น แต่ว่า... ผมอยู่ห่างจากมันเกินไป
“อ๊าก!!!!!” ได้ยินเสียงตัวเองร้องครางอย่างน่าทุเรศ จบสิ้นแล้ว นี่หรือคือวาระสุดท้ายของผม อา... เอาเถอะ ยังดีกว่าทนทรมานอย่างไม่รู้จักจบสิ้นไปตลอดชีวิต ให้มันโดนแดดเผาตายไปทั้งอย่างนี้ก็ดี เสียอย่างเดียว ผมยังไม่ทันได้แก้แค้นเจ้าบาทหลวงบัดซบนั่นอย่างสาสมเลย
บ้าเอ๊ย!!
“?!!!!” อะไรบางอย่างถูกคลุมลงบนตัวผมที่กำลังจะไหม้เป็นเถ้า ตามด้วยวงแขนของใครคนหนึ่งที่อุ้มตัวผมขึ้น จากนั้นอาการแสบร้อนของผมก็ค่อยๆ ทุเลาลง
“ท่านเคาท์!”
ผมเงยหน้าขึ้นไปก็เห็นออตโตกำลังมองลงมาอยู่ นัยน์ตาสีดำของเขามีน้ำตาเอ่อคลอออกมา ก่อนจะอ้าปากพูดเสียงพร่า “ท่านเคาท์”
จากนั้นผมก็เห็นเขาหยิบมีดพกขึ้นมา แล้วกรีดลงบนแขนตัวเอง ก่อนจะยื่นมาที่ปากผม เลือดอุ่นๆ ที่คาวคลุ้งค่อยๆ ไหลเข้ามาในโพรงปาก กระตุ้นการฟื้นตัวของผมอีกครั้ง
แต่ เสียงฝีเท้าที่ดังถี่ไล่มาด้านบน ทำให้ผมเบือนหน้าไปทางอื่นเสีย
“ท่านเคาท์!” เขาเรียกผมอีก ผมไม่เข้าใจหรอกว่าสิ่งที่เขาทำไปทั้งหมด มีจุดประสงค์อะไรกันแน่ แต่เขาคงไม่รู้ว่า ต่อให้ผมฟื้นตัวขึ้นมา ในสภาพแบบนี้ กลางวันแสกๆ แบบนี้ ยังไงผมก็มีแต่ตายกับตาย เพราะอย่างนั้นแล้ว....
ผมหลับตาลง พิงศีรษะลงกับหน้าตักเขา ก่อนจะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ควรจะเป็น
-----------------------------------------
“หลวงพ่อ!”
ชาวบ้านสี่ห้าคนที่วิ่งหน้าตื่นลงมาพร้อมกับอาวุธครบมือ พากันผงะ เมื่อเห็นสภาพที่เกิดขึ้น ในห้องโถงใหญ่ใต้โบสถ์ มีซากศพกองเต็มไปหมด เลือดสีแดงเจิ่งพื้นไปทั่ว ที่ปลายบันไดทางลง ออตโตนั่งพิงกำแพงอยู่ แขนข้างหนึ่งมีเลือดอาบจนต้องเอาเสื้อมาพันไว้ พอเห็นชาวบ้านที่วิ่งลงมา บาทหลวงหนุ่มก็พูดทั้งน้ำตา
“มันจบแล้วล่ะ......”
---------------------------------
ผมตื่นมาอีกครั้งบนเตียงนอนที่แข็งพอสมควร แถมยังแคบ แต่ที่สำคัญคือร่างกายหนักอึ้งจนแทบจะขยับไม่ได้เลยแม้แต่กระเบียดนิ้วเดียว ที่น่าดีใจคือพอพยายามจะขยับหน้าไปมอง ก็เห็นบานหน้าต่างเปิดโล่ง และท้องฟ้าสีดำที่มีดาวประดับระยิบระยับ
กลางคืนมาเยือนผมเสียที
ขณะที่นึกโล่งใจ ใครบางคนก็ขยับมาใกล้ผม “คิดว่าท่านจะไม่ตื่นอีกเสียแล้ว”
ผมเหลือบตามองคนทัก ก่อนจะแค่นเสียงออกมาอย่างไร้ความหมาย “อืม...”
“เจ็บมากมั้ย?”
“อืม....”
“หิวมั้ย?”
“อืม....”
จากนั้นผมก็เห็นเขาหยิบมีดขึ้นมาเชือดข้อมือตัวเองข้างหนึ่ง ก่อนจะหยดเลือดลงไปในแก้ว สักพักก็เอามาจ่อตรงปากผม ผมสั่นศีรษะ
“ทำไมล่ะ? ดื่มไม่ได้แล้วหรือ?” เขาถามเสียงอ่อน ผมเลยพยักหน้าหน่อยๆ ทั้งๆ ที่แค่ได้กลิ่นคาวนั้นผมก็แทบคลั่งแล้ว บอกตรงๆ ว่าร่างกายผมได้รับบาดเจ็บสาหัส ถึงขนาดที่ไม่ต้องดูกระจกก็พอจะมองออกว่าผิวหนังชั้นนอกมันคงหลุดออกไปหมดแล้ว ที่เหลืออยู่คงเป็นกล้ามเนื้อด้านใน และคงใช้เวลาอีกสักพักใหญ่ๆ กว่าจะฟื้นฟูขึ้นมาได้เหมือนเดิม ยิ่งโดยเฉพาะท้องว่างแบบนี้ด้วยแล้วล่ะก็ แรงจะอ้าปากผมยังไม่มีด้วยซ้ำ
ผู้ชายที่มีผมสีดำสนิท และดวงตาสีเหมือนรัตติกาลประดับดาวมองผม ก่อนจะยกแก้วขึ้นจรดรมฝีปาก ดื่มเลือดของตัวเองลงไป ก่อนจะโน้มตัวลงเหนือผม แนบริมฝีปากลงมาช้าๆ
อา..... ความรู้สึกในตอนนั้น อย่างนี้นี่เอง.....
ผมดื่มเลือดที่ถูกป้อนอย่างอ่อนโยนนั้นจนหมด และเกือบจะกัดริมฝีปากคนป้อนด้วยซ้ำ ออตโตสะดุ้งหน่อยๆ ก่อนจะถอนริมฝีปากออกไป ผมหลับตาลงสักพัก จึงค่อยพูดออกมาได้
“ทำไมถึงทำแบบนี้”
ดวงตาสีดำเหมือนกลางคืนคู่นั้นจ้องมองผม ก่อนที่เจ้าตัวจะยื่นมือมาลูบเส้นผมของผมเบาๆ “ข้าถูกท่านล่อลวง....”
“?!”
“คืนนั้นท้องฟ้ามืดสนิท ข้าที่เข้าไปในเมืองถูกรั้งตัวจนต้องกลับรถเที่ยวสุดท้าย กว่าจะมาถึงทุกอย่างก็มืดสนิทจนต้องจุดคบไฟแล้ว” เขาเริ่มเล่า
“อากาศหนาวเหน็บ ข้าได้ยินเพียงเสียงลมหวีดหวิว และเสียงเห่าหอนของสุนัขป่า ด้วยความกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกลางดึก ข้าเลยตัดสินใจใช้ทางลัด เพื่อย่นระยะเวลาเดินทาง ไม่คิดเหมือนกัน ว่าจะได้เจอท่านนอนสลบอยู่”
“..................”
“ข้าคิดว่าท่านเป็นนักเดินทางที่พลัดหลงมา เลยรีบรุดเข้าไปช่วย แต่พอไปถึงตัวท่าน ข้าก็รู้สึกสะท้านขึ้นมาทันที”เขาค่อยๆ ม้วนเรือนผมสีทองของผมขึ้นมา แล้วจูบลงไปเบาๆ “ท่านที่นอนจมกองหิมะอยู่ งดงามราวรูปสลัก ข้าคิดว่าท่านตายแล้ว แต่พอพยุงตัวท่านขึ้นมา ก็เห็นว่าท่านมีเขี้ยวงอกยาวกว่าคนปกติ”
ผมยกมือขึ้นลูบปากตัวเอง อืม.... ที่จริงจะเรียกว่ายาวกว่าแวมไพร์ปกติก็ได้ แต่ผมไม่คิดว่ามันจะเด่นสะดุดตาขนาดนั้น...
“ข้าเลย.... คิดว่า ถ้าให้เลือดท่านแล้ว ท่านคงจะไม่ตาย”
“................”
“แต่ว่า ท่านเป็นแวมไพร์ ไม่แน่ว่าฟื้นขึ้นมาแล้ว อาจจะอาละวาดไล่ฆ่าคนอีกก็ได้ ข้าก็เลย ตัดสินใจขังท่านเอาไว้ใต้โบสถ์”
“อืม.... แล้วก็ใช้เป็นเครื่องระบายอารมณ์?” ผมอดไม่ได้ต้องพูดแทรกไป ออตโตรีบสั่นศีรษะทันที “เปล่านะ ข้าไม่ได้จะใช้ท่านเป็นเครื่องเปลื้องอารมณ์ แต่... ท่านทำให้ข้ามีอารมณ์”
“................................”
“เรื่องนี้ข้ารู้สึกผิดในใจทุกครั้ง ข้านับถือในพระเจ้า เชื่อในคำสั่งสอน แต่พอได้พบท่าน ข้าลุ่มหลงหมดหัวใจ ต้องการตัวท่าน ต้องการหัวใจท่าน แต่ข้ารู้ ข้ารู้ว่าท่านต้องไม่เข้าใจ ท่านเป็นแวมไพร์ ท่านไม่มีทางหันมารักกับมนุษย์ได้อย่างเด็ดขาด”
ผมเห็นออตโตจิกเล็บลงไปในแขนตัวเอง ท่าทางเขาจะติดนิสัยชอบทรมานตัวเองจริงๆ ล่ะมั้ง
“แต่ว่า ข้าปล่อยท่านไปไม่ได้ ข้าหลงรักท่าน ไม่อาจละสายตาจากท่าน กระทั่งท่านฆ่าคนบริสุทธิ์พวกนั้นต่อหน้า ข้า... ข้าก็ไม่อาจปล่อยให้ท่านตายได้”
“อืม...” ผมเค้นเสียงในคอ “รู้ไหมว่าสิ่งที่เจ้าทำ มันสมควรจะตายเป็นล้านๆ ครั้ง”
บาทหลวงหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างผมพยักหน้า “ข้าทราบ ข้ายอมรับความผิดทุกอย่าง เพราะอย่างนั้นแล้ว ได้โปรด สังหารข้าเถิด ถึงท่านปล่อยข้าไป ข้าคงไม่มีหน้าจะเดินกับมนุษย์ทั่วไปได้อีกแล้ว”
“เจ้าตัดสินใจไม่ข้องแวะกับมนุษย์ด้วยกันแล้ว?”
ออตโตผงกศีรษะอย่างยากลำบาก เอ่ยทั้งน้ำตาคลอเบ้า “ข้าช่วยเหลือท่าน ช่วยเหลือแวมไพร์ที่เป็นศัตรูของมนุษย์ เป็นปิศาจที่อยู่คนละฝ่ายกับพระเจ้า ข้า... ข้าไม่เหลือคุณสมบัติพอจะมองหน้าพวกเขาได้แล้ว”
“ออ.... แล้วเจ้าเสียใจมั้ย? ที่ช่วยข้าน่ะ”
บาทหลวงหนุ่มสั่นศีรษะ “ไม่... ข้าไม่เสียใจ ข้าเพียงเสียใจ... เสียใจที่ไม่อาจทำให้ท่านรักได้”
“ช่างโง่เง่านัก” ผมพึมพำ ก่อนจะยันตัวลุกขึ้น “เอาล่ะ... ข้าคงต้องจัดการให้มันจบๆ”
“อืม...” ออตโตผงกศีรษะ แล้วก้มหน้าลงยอมรับความผิดโดยดุษฎี ผมมองเขาอยู่เป็นนาน จากนั้นก็ค่อยๆ ดึงตัวเขาเข้ามา แล้วกระซิบข้างหู “รู้มั้ย มนุษย์ที่ถูกแวมไพร์กัด มีทางให้เลือกสองอย่าง”
“?”
“ข้อแรก ตายแล้วกลายเป็นศพเดินได้ กับข้อสอง ตายแล้วกลายเป็นแวมไพร์ หรือข้อสาม เจ้าฆ่าตัวตาย จะได้ตายไปตอนนี้เลย ไม่เหลืออะไรติดค้างอีก จะเลือกข้อไหนดีล่ะ?”
ออตโตอ้าปากค้าง ผมไม่รอให้เขาตอบ จัดการดึงตัวเขาเข้ามา “แต่เจ้าไม่ต้องเลือกหรอก เพราะข้าต้องการเลือดในการฟื้นตัว.... ต้องการทาสที่จะอยู่ใกล้ๆ ไปจนวันตายด้วย”
“?!!”
ไม่รอให้เขาพูดอะไรตอบ ผมฝังเขี้ยวลงไปบนเส้นเลือดใหญ่ที่กำลังเต้นตุบๆ นั้นทันที
อา..... ช่างหอมหวานเป็นยิ่งนัก
------------------------------------------------
ท่ามกลางเสียงเอะอะของชาวบ้านที่เข้ามาช่วยกันเก็บกวาดพื้นใต้ถุนโบสถ์ ออตโตค่อยๆ ประคองตัวกลับเข้าไปพักในห้องนอนด้านหลังโบสถ์ พอถึงห้องแล้ว เขาก็จัดการ ดึงม่านทุกผืนลงมาจนหมด กระทั่งห้องมืดสนิท ก่อนจะค่อยๆ คลี่ชุดคลุมที่ม้วนอยู่ออก
ค้างคาวสีดำตัวหนึ่ง ตัวสั่นพับๆ อยู่ด้านใน
บาทหลวงหนุ่มค่อยๆ ประคองค้างคาวตัวนั้นวางลงบนเตียง ก่อนจะค่อยๆ เลิกผ้าห่มมาคลุมเอาไว้หลวมๆ
-------------------------------------------------
“ท่านเคาท์”
เสียงทุ่มต่ำฟังดูอ่อนโยน แต่ผมไม่ชอบใจเอาเสียเลยดังขึ้นที่ด้านหลัง ขณะที่ผมกำลังย่ำลงไปบนพื้นหิมะเย็นชืด พร้อมกับห่อเสื้อคลุมเก่าๆ ที่พอจะหาได้เข้ากับตัวด้วย ให้ตายสิ ตั้งแต่มีชีวิตอยู่มาเป็นร้อยๆ ปี ไม่เคยตกอับขนาดนี้มาก่อนเลย
“ท่านเคาท์ รอด้วยสิครับ” เสียงนั้นดังขึ้นอีก ก่อนที่ร่างสูงเพรียวจะวิ่งไล่หลังมา ผมหันไปพูดกับเขาอย่างหงุดหงิด “นี่ เดินให้มันเร็วหน่อยเถอะ ร่างกายนั่นน่ะ ไม่ต้องถนอมอย่างตอนเป็นมนุษย์หรอก”
“ดะ... เดี๋ยวสิครับ ก็ข้าไม่ชิน” เจ้าแวมไพร์มือใหม่หมาดๆ พูด แล้ววิ่งมาจนแทบจะกระแทกไหล่ผม ผมหันไปเอ็ดเขา“เดินระวังหน่อยซี่!”
“ขอโทษครับ” ฝ่ายนั้นเอ่ย แล้วฉวยมือผมเอาไว้ ผมหันไปถลึงตาใส่เขา “เป็นลูกแหง่หรือไงน่ะ?”
ออตโตไม่ตอบคำถาม แต่ถามผมกลับ “เรากำลังจะไปไหนครับ?”
“สักที่” ผมว่า พลางมองแสงดาววิบวับบนท้องฟ้ายามราตรี “สักที่ที่ข้าพอจะใช้ชีวิตได้อย่างสงบๆ ไม่ต้องตอแยกับสงครามวุ่นวายอะไรอีก”
“อา.... กับข้าใช่มั้ย?”
ผมหันไปถลึงตาใส่เขาอีกครั้ง แล้วเร่งฝีเท้าต่อ “ถ้าตามมาไม่ทันล่ะก็ จะทิ้งไว้อย่างนั้นแหละ”
“รอด้วยครับ ท่านเคาท์”
“เลิกเรียกข้าว่าท่านเคาท์สักที” ผมหันไปเอ็ดเขาอีก “ข้าชื่ออัลเฟรดัส”
“อัลเฟรดัส...” เขาเรียกชื่อผม จากนั้นจู่ๆ ก็ดึงผมเข้าไปกอด โอ๊ย ทำไมเขาแรงมากแบบนี้นะ
“นี่! ปล่อยได้แล้ว เดี๋ยวก็เช้ากันพอดี” ผมเอ็ดอีก ขณะที่เขากอดแน่น
“ครับ... เดี๋ยวพอเช้าแล้ว เราค่อยเข้าไปขอพักที่โบสถ์แล้วกัน”
“จะบ้าเรอะ!” ผมแวด “เจ้านี่ขี้ลืมหรือสมองมีปัญหาน่ะ เป็นแวมไพร์จะไปพักในโบสถ์ได้ไง เดี๋ยวก็ได้ยุ่งวุ่นวายกันอีกหรอก”
“อา... ขอโทษครับ”
“อืม... เดี๋ยวใกล้ๆ รุ่งสางเช่าโรงแรมสักที่แล้วกัน ไม่งั้นก็....” ผมชี้ลงไปที่พื้น “ขุดโพรงนอน เจ้าคงได้รับรู้รสชาติการเป็นแวมไพร์อย่างเต็มที่แน่ๆ จะมาสำนึกเสียใจเอาตอนนี้ก็สายไปแล้วล่ะ”
อดีตบาทหลวงหนุ่มที่กอดผมอยู่หัวเราะออกมา “ไม่เป็นไรครับ ให้ได้อยู่ใกล้ๆ ท่านก็พอ”
“.................”
“ท่านรักข้าได้แล้วใช่มั้ย?”
“.............................................”
“อัลเฟรดัส....?”
“หุบปาก แล้วรีบๆ เดินได้แล้ว เจ้ามีเวลาถามเรื่องนี้กับข้าอีกหลายร้อยปีเลยล่ะ” ผมพูด แล้วสลัดเขาออก ก่อนก้าวฉับๆ อย่างกับจะบิน ได้ยินเสียงเขาวิ่งตามมาติดๆ
“อัลเฟรดัส ข้ารักท่านนะ”
ผมเงยหน้าขึ้นมองดวงดาวบนท้องฟ้าอีกครั้ง
นี่ผมฝันอยู่หรือตื่นแล้วกันนะ แล้วเรื่องราวนี้จะสิ้นสุดลงตรงไหน........
แต่..... ช่างมันเถอะ.....
แค่นี้ก็น่าจะค้นพบความหมายของชีวิตแล้วล่ะมั้ง....
ความหมายของการรักตอบใครสักคน........
----------------------------------------------------------------------
ผลงานอื่นๆ ของ Ju~oN ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Ju~oN
ความคิดเห็น