ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [fic bleach] 12th DiVisiON LoVE(?) sTory

    ลำดับตอนที่ #2 : [Event] งานยามค่ำคืน! ขยะที่ยังไม่ตาย (100%)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 241
      2
      12 ธ.ค. 53

    ในค่ำคืนอันหนาวเหน็บเหมาะแก่การซุกตัวลงในผ้าห่มหนานุ่มนอนฟังเสียงลมพัดบาดหูขับกล่อมให้หลับไปเอง(เพลงกล่อมบ้านไหนวะ - -“) ทว่า สุดทางเดินที่ไหนสักแห่งในเซเรเทย์ ได้มีชายหนุ่มที่ทำในสิ่งที่ตรงข้าม โดยการออกมายืนแอ๊คท่าท้าลมหนาวอยู่ข้างนอก

    ชายที่ว่านั้นไม่ใช่ใคร เขาคือ อากอน (ว่าที่)พระเอกของฟิคนี้ จากเด็กหนุ่มในตอนที่แล้วได้กลายเป็นหนุ่มใหญ่ตามการเวลาที่ล่วงเลย นอกจากส่วนสูงที่เพิ่มขึ้นมาก ก็แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย เว้นแต่บริเวณเหนือหน้าผากหน่อยๆ ที่ควรจะเป็นหนังหัวเรียบเนียน ดันมีเขาแทงขึ้นมาเสียนี่ -[]-! ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น! ถ้าอยากรู้ก็รบกวนไปถามอ.คุโบะเค้าเอง - -

     

    “รีบทำงานเร็วเข้า เดี๋ยวคนจากหน่วยอื่นผ่านมาเห็นเข้า”

    อากอนวัยหนุ่มออกคำสั่งให้ลูกน้องหลายๆ คน ช่วยกันรีบขนถุงขยะสีดำจำนวนหนึ่งวางเรียงรายอยู่ใกล้ๆ กับบ่อขนาดลึกที่ลึกเสียจนถูกขนานนามว่าเป็นบ่อไร้ก้น

     เอ่อ คุณอากอนครับ”

    เจ้าของชื่อหันไปตามเสียง ซึ่งมาจากยมทูตลูกหน่วยของเขาคนหนึ่งนั่นเอง ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงอนุญาตให้อีกฝ่ายพูดต่อ เจ้าตัวลังเลใจอยู่ครู่ก่อนที่จะตัดสินใจถาม

    “ถุงที่พวกเรากำลังขนอยู่….มันคืออะไรรึครับ?

    “ขนขยะมาทิ้งไงล่ะ แล้วเจ้าคิดว่าจะเป็นอะไรได้อีก” อากอนตอบกลับกวนๆ พลางหยิบซองบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ

    ยมทูตตนนั้นมองรอบตัวไปมาอย่างหวาดๆ แล้วตอบแบบกล้าๆ กลัวๆ

    “ข้า..คิดว่าเป็น ศพ ของมนุษย์ แต่ข้าไม่แน่ใจ ....ว่าของพวกไหนกัน…..

    ?!

    “ใช่ เจ้าเข้าใจถูกแล้ว ศพพวกนี้น่ะ..” อากอนเว้นวรรคเล็กน้อยให้ได้ลุ้น

    ทันทีที่ได้ยินคำคอนเฟิร์มเช่นนั้น ทุกคนล้วนลอบกลืนน้ำลายด้วยความเสียวไส้ แล้วกลั้นใจฟังต่อไป ภาวนาว่าคนตรงหน้าจะไม่ตอบกลับมาว่า ศพ ที่พวกเขาขนจะเป็นยมทูตเหมือนๆ กัน

    …..พวกควินซี่แน่ะ กว่าจะได้มาทดลองสักคนสองคน หัวหน้าคุโรซึจิถึงกับลงทุนเกลี้ยกล่อมพวกที่ไปเก็บวิญญาณเองเชียวนา….

    “แล้วก็ทำการทดลองสารพัด อย่าถามนะว่าทดลองอะไร ที่พวกเจ้าขนๆ กันอยู่ก็คือศพของควินซี่ที่ หมดสภาพ นั่นล่ะ”

    …..ศพของพวกควินซี่ (พรตปราบมาร)…..

    ไม่ใช่ศพของพวกเดียวกันก็รอดตัว แต่เมื่อมองไปยังกองถุงที่อยู่ตรงหน้า ชวนให้คิดว่าต้องใช้ชีวิตของควินซี่สังเวยให้กับการทดลองกี่ตนกันถึงได้ซากศพมากมายเช่นนี้

     “ล้อเล่นกันรึเปล่า ! ยมทูตกับควินซี่ พึ่งทำสัญญาเป็นพันธมิตรกันไม่ใช่รึครับ! แล้วทำแบบนี้ไม่เท่ากับว่า

    ไม่ทันจบประโยค อากอนก็ขัดขึ้นโดยใช้เท้าเขี่ยเปิดปากถุงที่อยู่ใกล้ที่สุดออก สิ่งที่ดูเหมือนชิ้นส่วนของมนุษย์เคลื่อนนออกมา แต่ชายหนุ่มอยากให้สนใจเศษผ้าอันน้อยนิดที่ติดอยู่กับชิ้นเนื้อนั้น ว่าเป็นมันเคยเป็นส่วนหนึ่งของชุดเครื่องแบบที่ควินซี่มักสวมใส่กัน

    “ไง ชัดรึยัง  พวกเราถึงต้องทำลับๆ ล่อๆ แบบนี้ไงล่ะ”

    อากอนพูดจบก็พ่นควันบุหรี่ออกมาให้คนที่ยืนๆ อยู่สำลักกันเล่นๆ

    ขลุกๆ

     

    ถุงใบหนึ่งข้างๆ เท้าของยมทูตที่เป็นผู้เริ่มต้นถามคำถามทั้งหมดในตอนแรกได้ขยับไปมาพร้อมกับส่งเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ

     

    ซึบๆๆ แคว่ก!

    ทันทีที่ถุงใบนั้นฉีกขาดก็ปรากฏเงาดำพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว

    “ว๊ากกกก” ยมทูตหลายๆ ตนต่างร้องประสานเสียงด้วยความตกใจพร้อมๆ กัน

    “.....”

     

    “.....”

     

    ….ช่วยด้วย...”

    …..ช่วยข้า..ด้วย...”

    เสียงร้องอย่างแผ่วเบาของยมทูตที่เด็กที่สุดในที่นั้น เมื่อทุกคนได้ยินต่างหันควับไปหา แล้วถึงกับผงะถอยออกมา

     เพราะเหตุที่ทำให้พูดขอความช่วยเหลือได้ไม่ถนัด เพราะถูกท่อนแขนของใครบางคนล็อกคอเอาไว้จากด้านหลัง ดูเหมือนร่างนั้นเตรียมพร้อมที่จะหักคอเด็กหนุ่มได้ทุกเมื่อ

    “ริน !

    ยมทูตที่อยู่ใกล้ที่สุดร้องเรียกชื่อเด็กหนุ่มผู้เคราะห์ร้ายซะเสียงหลง

    “พวกแก...อย่าขยับ”

    เสียงแหบแห้งดูอ่อนระโหยโรยแรงแทบดังมาจากร่างปริศนานั้น

    ดีที่ขณะนั้นฟ้าเปิดให้แสงจันทร์ได้ออกมาสาดส่องไปทั่วอาณาบริเวณ ทำให้ทุกคนมองเห็นเงานั้นได้ชัดถนัดตายิ่งขึ้น

    ชายวัยกลางคนสวมชุดเครื่องแบบสีขาวที่เปื้อนไปด้วยรอยเลือดแห้งกรัง ชายเสื้อฉีกขาดรุ่งริ่งแทบแยกไม่ออกว่าตรงไหนเศษผ้าตรงไหนเศษเนื้อ ตามแขนขาช้ำเป็นจุดๆ เหมือนถูกแทงด้วยเข็มซ้ำไปมาหลายครั้ง ใบหน้าเลอะคราบเลือดคราบหนอง ซ้ำร้าย ตาข้างหนึ่งของเขาเหมือนจะถูกควักออกไปเหลือเป็นหลุมกรวงโบ๋ บางส่วนยังเป็นแผลสดๆ

    “โฮ่...ยังรอดอีกเหรอเนี่ย เป็นควินซี่ที่ทั้งอึดทั้งเฮงแฮะ”

    คำแช่งกึ่งคำชมของอากอน ไม่ได้ทำให้ควินซี่ตรงหน้าดีใจเลยสักนิด ดวงตาข้างที่เหลือเบิกกว้างขึ้นทันทีที่ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้

    “อย่า...เข้า..มานะ”

    ควินซี่ตนนั้นพูดเสียงสั่น เขาเพิ่มแรงบีบรัดเข้าไปอีก จนหน้าของเด็กหนุ่มที่ถูกจับไว้ซีดเผือกและเริ่มเป็นสีคล้ำตามลำคอ ถึงจะไม่ถูกหักคอตอนนี้ก็คงขาดอากาศตายไปซะก่อน อากอนจึงรีบยกมือขึ้นเป็นเชิงปรามไว้

    “ใจร่มๆ ก่อน มีอะไรค่อยๆ พูด...”

    อีกฝ่ายไม่ได้คล้อยตามเลยสักนิด ริมฝีปากที่แห้งผากเริ่มต้นเค้นคำพูดออกมาทีล่ะคำ

    “ปล่อย....เดี๋ยว..นี้...นะ”

    “.....”

    “พวก...แก...”

     

    “ปล่อยน้องชายชั้นเดี๋ยวนี้!!!!

    สิ้นคำของควินซี่ที่เปล่งออกมาพร้อมกับเค้นแรงดันวิญญาณเฮือกสุดท้าย แม้จะเล็กน้อยแต่ก็ทำให้อากอนกับคนอื่นๆ ขนลุกขนชันได้

    .......แย่ล่ะสิ ถ้าปล่อยให้อาละวาดมากกว่านี้ คนหน่วยอื่นพลอยตื่นกันหมด.....

    ........แค่มาทิ้งขยะเฉยๆ ดันมีขยะสดเป็นๆ ทำไมมันซวยอย่างนี้ (ฟร่ะ).......

    อากอนคิดพลางเกาหัวแกรกๆ ขณะที่คนที่เหลือนั้นต่างกลัวกันจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว

    “น้องชายเจ้าเรอะ อืม....”

    ชายหนุ่มพูดพร้อมกับทำท่าหันไปมาเหมือนหาอะไรสักอย่าง จากนั้นตรงเข้าไปหยิบถุงใบที่อยู่ห่างจากเขาไปซักหน่อย แล้วโยนออกไปส่งๆ

    “ถุงนี้แหล่ะมั้ง...”

    ด้วยเหตุใดไม่ทราบได้ จู่ๆ ควินซี่ก็ตัดสินใจผละออกจากเด็กหนุ่มที่ชื่อรินแล้วรีบเอื้อมมือไปรับ ทันทีที่สัมผัสถูกตัวถุง ก็ค่อยๆ ปลิแตกออกตามแรงกระแทก

    ………..พร้อมกับชิ้นเนื้อที่แหลกเหลวกระจายออกมาจากถุง………..

     …….ถึงในถุงนี้จะมาจากหลายคน แต่น้องเจ้าคงปนๆ อยู่ในนี้แหล่ะ นั่งแยกเอาก็แล้วกัน”

    อีกฝ่ายแทบทรุดตัวลงทันทีที่เห็น  แม้จะแทบไม่เชื่อสายตา แต่ชิ้นส่วน หัวที่กระดอนออกมาตามหลังนั้นดันเป็นสิ่งยืนยันได้เป็นอย่างดี

     อากอนอาศัยจังหวะนี้บุ้ยใบ้ให้รินและคนอื่นๆ ถอยออกไปให้ห่างจากควินซี่ที่เริ่มจะคลั่งเต็มที

    ..ชั้นจะฆ่าพวกแกให้หมดทุกคน!” คำพูดนั้นเล็ดลอดออกมาด้วยน้ำเสียงที่โกรธแค้น พร้อมกับอณูวิญญาณรอบข้างที่เริ่มก่อตัวเป็นคันศรอาวุธประจำกายของควินซี่

     

    ลูกกระจอกที่อยู่แถวนั้นพอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ต่างหวังให้รุ่นพี่ของตนเตรียมอาวุธที่เท่าเทียมออกมาสู้บ้าง แต่ที่อยู่ในมืออากอนตอนนี้กลับเป็นเข็มฉีดยาขนาดพกพากระบอกนึง

     ….=A=

    “คุณอากอน! ดาบล่ะครับดาบ!

    “ใช้ดาบฟันวิญญาณสู้สิครับ”

    ยมทูตสองสามนายโวยวายออกมา จนอากอนจ้องกลับไปอย่างหน่ายๆ

    “คนของกองวิทยาการ ไม่จำเป็นต้องพบพาของพันธ์นั้นไปมาหรอก แล้วข้ากับเจ้าก็อยู่หน่วยสิบสองนะ ไม่ใช่หน่วยสิบเอ็ดที่เอะอะอะไรก็ใช้ดาบฟาดฟันปัญหา ก่อนพูดน่ะ..คิดบ้างสิ”

    “แต่เข็มฉีดยาเล็กๆ แค่นั้นจะไปสู้ได้ยังไงล่ะท่าน อย่างน้อยก็ใช้วิถีมารสู้ก็ยังดี T[]T

    “ท่วงทำนองยุ่งยากจะตายชัก ข้าไม่อยากจำหรอก พวกเจ้าเองก็รีบหาที่กำบังซะ!

     สิ้นคำ ลูกศรที่อัดแน่นไปด้วยประจุวิญญาณนับร้อยอันถูกปล่อยออกมา ทุกคนต่างหนีหาที่หลบกันจ้าล่ะหวั่น แต่แล้วควินซี่ก็ต้องเปลี่ยนเป้ายิงไปทางอากอนที่ตอนนี้วิ่งเข้ามาใกล้พร้อมกับหลบลูกศรไปด้วย

    ……….ความจริงก็ไม่อยากเสี่ยงบุกเข้าหาซึ่งๆ หน้าหรอกนะ….

    ชายหนุ่มคิดพลางมองไปที่มือข้างหนึ่งของเขาที่กำเข็มฉีดยาไว้มั่น

    …….แต่ดันพกเจ้านี่มาแค่กระบอกเดียว ถ้าพลาดไปก็แย่ เฮอะ วุ่นวายชะมัด……..

    ฝ่ายควินซี่ก็เค้นแรงดันวิญญาณเพิ่ม จำนวนลูกศรที่ปล่อยออกมาจึงมากขึ้นเป็นทวีคูณเพื่อหมายจะให้ยมทูตตรงหน้าตายๆ ไปเสีย

     

    ควับ!

    ทีเด็ดของยมทูตมีแค่ดาบฟันวิญญาณกับวิถีมารซะเมื่อไหร่ อากอนใช้ก้าวพริบตาหายตัวไปต่อหน้าต่อตาควินซี่ แล้วไปปรากฏอยู่ข้างหลัง  แล้วเงื้อมือขึ้นปักเข็มฉีดยาเข้าท้ายทอยอีกฝ่ายอย่างจัง

     

    ฉึก!

    ของเหลวสีดำไหลผ่านเข็มเล็กๆ เข้าสู่ร่างกายอย่างรวดเร็ว  คนถูกฉีดได้แต่ยืนอึ้ง

     

    “จบสิ้นกันซะที”

    อณูวิญญาณที่ประกอบเป็นคันศรเริ่มไม่เสถียรและแตกสลายไปในที่สุด  พร้อมๆ กับร่างของข้าวของมันที่ลงไปคุกเข่าอยู่กับพื้น

    “นี่มันบ้าอะไร..แกทำอะไรชั้น”

     “อ้อ ยาฉีดศพไงล่ะ”   อากอนก้มตัวลงไปถอนกระบอกฉีดยาเปล่าออกเอาไว้ใช้ต่อ

     “ความจริงก่อนจะขนพวกเจ้ามาทิ้ง ศพที่ยังสมบูรณ์ก็จะถูกฉีดยานี่ซะ พอเวลาผ่านไปศพนั้นจะกลายสภาพ ไม่ให้เหลือเค้าเดิม       ชายหนุ่มยังคงพูดต่อโดยไม่สนใจร่างของควินซี่บิดไปมาด้วยความเจ็บปวด อีกทั้งยังเริ่มเปลี่ยนเป็นของเหลวสีคล้ำไหลเยิ้มไปทั่ว

    เผื่อว่าจะมีหน่วยอื่นมาเจอเข้า ก็จะไม่เหลือหลักฐานอะไรไว้ แต่เจ้าฮิโยสุมันกลัวจะเปลือง เลยเจือจางยาเอาไว้ จะได้ใช้ได้มากๆ ควินซี่อย่างเจ้าเลยโชคดีรอดมาได้

    ”แต่ที่ฉีดเข้าไปตะกี้เป็นตัวยาเพรียวๆ เจ้าคงมาได้แค่นี่   โทษทีนะ

    กระบวนการเปลี่ยนสภาพใกล้จะเสร็จสมบูรณ์เต็มที  ใบหน้าที่ยังไม่โดนไปด้วย ได้เหลือกตาขึ้นมาหาอากอน พลางจ้องจะกินเลือดกินเนื้อ

    แกจะ..ต้องชดใช้เจ้าพวกยมทูต!

    ส่วนหัวที่เหลือเพียงส่วนเดียวได้เกิดแสงสว่างวาบขึ้นฟ้าชั่วพริบตา เหลือไว้แต่ซากที่ไหลนองเต็มพื้น

    และยมทูตตนอื่นๆ ต่างโผล่ออกมาจากที่ซ่อนเมื่อมั่นใจว่าปลอดภัย 

    “เอ้า! รีบทำงานต่อให้เสร็จ เร็วเข้า! แล้วเจ้าคนนั้นน่ะ อากอนชี้มือไปหาคนที่โดยควินซี่จับเป็นตัวประกันในตอนแรก

    “ขะ..ข้า สีโบคุระ ริน ครับ” เด็กหนุ่มร่างเล็กไว้ผมยาวประบ่าโดยผมที่กลางหัวนั้นมัดเป็นกระจุก รีบขานกลับ

    “เออ เจ้านั่นล่ะ ไปหาน้ำยากับไม้ถูมาทำความสะอาดคราบตรงนี้ซะ”

    “ค..ครับ” รินรับคำ แล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปหาอุปกรณ์ตามที่สั่ง ถึงจะหมดเรื่องหมดราวไปแล้ว แต่ไม่มีใครทันสังเกตอากอนที่ยังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนกำลังครุ่นคิดบางอย่าง

    …..แสงเมื่อครู่ เจ้าควินซี่มันชิงสลายวิญญาณตนเองก่อนงั้นรึ …….

    …….อย่างกับเป็นการส่งสารให้พรรคพวกตนมาแก้แค้นแทนยังไงยังงั้นเลยแฮะ แต่ก็ช่างเหอะ……

    …..ถึงมากันจริง คงโดนหัวหน้าคุโรซึจิจับทดลองหมดแน่…….

     ชายหนุ่มล้วงบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบอีกมวน

    ………..คุมเจ้าพวกนี้ทำงานเสร็จ ก็ต้องไปหาหัวหน้าตามที่นัดไว้ …..ไม่ได้พักง่ายซะแล้วสิเรา……….
    ++++++++++++++++++++


    ตอนที่สองลงไปแหล่ว *0* สองตอนมานี้ มีแต่โหดๆ เนอะ ตอนต่อไปนางเอกเรา(ควร)จะมีบทแล้วล่ะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×