กาลครั้งหนึ่ง...ข้าพเจ้าได้ทดลองแต่งหนังสือเพื่อใช้ในการสื่อสารทางความคิดกับบุคคลอื่น เนื่องจากข้าพเจ้าแสดงปฏิสัมพันธ์ทางวาจาและท่าทางไม่ค่อยสันทัดนัก อาจด้วยเพราะความคิดที่ผิดแผกแตกต่างจากสังคม ณ.ช่วงเวลาขณะนั้น ทำให้สิ่งที่ข้าพเจ้าพูดและทำมักก่อให้เกิดความเข้าใจผิดและนำไปสู่ความขัดแย้ง สุดท้ายข้าพเจ้าจึงเลือกสื่อสารผ่านตัวอักษรแทน...
หนังสือเล่มแรก...ข้าพเจ้าได้วางไว้ในที่ซึ่งอันเป็นสาธารณะ ผู้สัญจรผ่านไปมาสามารถเปิดอ่านดูได้ ผลตอบรับคือไม่ค่อยได้รับความสนใจนัก อาจเพราะเนื้อหาค่อนข้างเรียบง่ายและมีความยาวเกิน 8 บรรทัด ทำให้ผู้คนไม่มีเวลาและความอดทนมากพอในการอ่านทำความเข้าใจเนื้อหา ( ส่วนตัวข้าพเจ้าชอบหนังสือเล่มแรกมากกว่าเล่มที่สอง เพราะถ่ายทอดความคิดอย่างตรงไปตรงมา แสดงตัวตนข้าพเจ้าได้มากที่สุด )
หนังสือเล่มที่สอง...ข้าพเจ้าค้นพบว่าข้อดีของเด็กๆเยาวชนคือมีสมาธิและความสนใจเรียนรู้สิ่งใหม่ๆมากกว่าผู้ใหญ่ แต่ข้อเสียคือมีความเบื่อหน่ายง่าย ดังนั้นหนังสือเล่มที่สองของข้าพเจ้าจึงแต่งเรื่องให้มีสิ่งแปลกใหม่ ( ซึงผู้คนในช่วงเวลาหลังจากนั้นเรียกสิ่งแปลกใหม่นั้นว่า ปาฎิหาริย์, มหัศจรรย์, อภินิหาร...) ข้าพเจ้าไม่ได้วางหนังสือเล่มที่สองไว้ในที่ซึ่งอันเป็นสาธารณะเหมือนเล่มแรก ข้าพเจ้าเลือกที่จะวางไว้ในโรงเรีนหรือสนามเด็กเล่น เมื่อเด็กๆเยาวชนได้อ่านหนังสือของข้าพเจ้าก็เกิดความกระตือรือร้นใคร่รู้ใคร่เรียนแผ่ขยายวงกว้างในสังคม เนื่องจากข้อความเนื้อหาในหนังสือนั้นเป็นสิ่งแปลกใหม่ เมื่อเด็กๆเยาวชนอ่านแล้วไม่เข้าใจจึงกลับไปถามผู้ใหญ่ แต่ผู้ใหญ่ไม่สามารถให้คำตอบได้ เมื่อไม่ได้คำตอบที่น่าพอใจเด็กๆเยาวชนก็จะเฝ้าคอยถามอยู่เรื่อยๆตามประสา จนผู้ใหญ่รู้สึกรำคาญบวกกับเสียหน้าที่ไม่อาจตอบได้ จึงเริ่มให้ความสนใจตามหาอ่านหนังสือเล่มที่สองของข้าพเจ้า หนังสือเล่มที่สองได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แม้ไม่เคยได้อ่านเนื้อหาจากหนังสือฉบับจริง แต่แทบทุกคนก็ต้องเคยได้ยินเรื่องราวจากคำบอกเล่าจากปากต่อปาก มีผู้เดินทางมาจากดินแดนอันแสนห่างไกล ข้ามน้ำข้ามทะเลข้ามเส้นขอบฟ้าเพื่อมาอ่านหนังสือเล่มที่สองของข้าพเจ้า มีผู้ที่อ้างว่ารู้ว่าเชี่ยวชาญแปลหนังสือเล่มที่สองของข้าพเจ้าคัดลอกเป็นหลายภาษา บ้างปรับเปลี่ยนเนื้อหาให้เข้ากับภูมิประเทศสิ่งแวดล้อม บ้างปรับเปลี่ยนให้เข้าประเพณีวัฒนธรรมระบอบการปกครอง
ในช่วงแรกหนังสือเล่มที่สองตอบโจทย์การทดลองของข้าพเจ้าได้อย่างมาก สามารถสื่อสารความคิดของข้าพเจ้ากับผู้คนได้อย่างกว้างขวาง ถึงเนื้อหาที่ต้องการจะสื่อสาร แม้จะไม่เต็ม 100 แต่ก็ได้ประมาณ 70-80 % ซึ่งสำหรับตัวข้าพเจ้าถือว่าเพียงพอแล้ว ข้าพเจ้า " มีความสุขทุกครั้ง " ที่ได้เห็นผู้คนในสังคมปฎิบัติตัวตามเนื้อหาในหนังสือที่ข้าพเจ้าเขียน
จวบจนเมื่อเวลาผ่านไปเนิ่นนาน หนังสือฉบับจริงทั้ง 2 เล่มของข้าพเจ้าได้สูญหายไป ไม่อาจทราบได้ว่าชำรุด ถูกขโมยหรือทำลาย หลงเหลือเพียงฉบับคัดลอกซึ่งได้ถูกตีความตามใจท่านผู้ที่อ้างว่ารู้ว่าเชี่ยวชาญทั้งหลาย และจากคำบอกเล่าปากต่อปาก จากเรื่องเล่ากลายเป็นนิทาน จากนิทานกลายเป็นตำนาน จากตำนานกลับกลายเป็นไฟแห่งความเกลียดชัง เห็นแก่ตัวและพวกพ้อง บิดเบือนเนื้อหาเพื่อผลประโยชน์ แบ่งแยกผู้คนให้แตกต่างด้วยภาษา วัฒนธรรม เชื้อชาติ สีผิว เพศ ศาสนา ฐานะ วรรณะ การศึกษา ความคิด.....
สารภาพตามตรง...ข้าพเจ้าก็จำเนื้อหาในหนังสือทั้ง 2 เล่มที่ข้าพเจ้าแต่งได้ไม่ครบถ้วนแม่นยำหรอก ดังนั้นหากใครจะถกเถียงกัน ณ.ปัจจุบันขณะ ข้าพเจ้าก็ไม่สามารถยืนยันคำตอบที่แน่ชัดได้ แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่ข้าพเจ้ายืนยันได้แม้ในขณะนั้นข้าพเจ้าไม่มีลมหายใจอยู่แล้วก็คือ " ความรู้สึกที่ข้าพเจ้าแต่งหนังสือ...มีความสุขทุกครั้งที่เห็นผู้คนมอบความสุขให้แก่กัน "
กาลครั้งหนึ่ง...ถึงเธอ
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น