คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : { : One : }
‘ยามพระจันทร์เปล่งแสงนวลอร่าม ภายใต้ความงดงามถูกซ่อนไว้
เสียงปีศาจคำรามดังรำไร จงหนีไปให้ไกลหากเจอมัน
มันจะนำมาซึ่งเสียงกรีดร้อง มันจะจ้องมองยามเราเผลอผลัน
มันจะปรากฏกายอย่างเฉียบพลัน ให้เรานั้นหวาดหวั่นสั่นทั้งทรวง’
ตำราเกี่ยวกับมนุษย์หมาป่า
ถ้าหากพบ ‘จงหนี’ มันไปให้ไกล
‘หนี’งั้นเหรอ...อ่า...นี่มันอะไรกันนะ...
เสียงในหัวของเด็กสาวผุดขึ้นมาตั้งคำถามกับตัวเอง มือบางค่อยๆบรรจงเปิดหน้ากระดาษไปเรื่อยๆ แต่ไม่พบอะไรแล้วเพราะหน้ากระดาษและหมึกที่ใช้พิมพ์ตำราเล่มนี้มันเลือนไปหมด อาจจะเป็นเพราะความเก่าแก่ของมัน เบจูฮยอนปิดหนังสือลงพลางถอนหายใจเบาๆ วันนี้เธอเป็นเวรบรรณารักษ์ของหอสมุดโรงเรียน เลยต้องมาตรวจสอบความเรียบร้อยก่อนจะปิดหอสมุด ระหว่างที่กำลังไล่เช็คหนังสือไปเพลินๆ เธอกลับพบตำราเก่าแก่เล่มหนึ่งที่ตกอยู่ตรงปลายชั้นหนังสือ เมื่อหยิบขึ้นมาดู สิ่งแรกที่ทำให้เธอสนใจคือคำว่ามนุษย์หมาป่าที่แปะหราอยู่บนปก เด็กสาวจึงค่อยๆลองเปิดดูทีละหน้า แต่กลับพบว่าในหนังสือนั้นมันเลือนไปหมด มีเพียงหน้าเดียวเท่านั้นที่ยังมีหมึกพิมพ์อยู่พอให้อ่านได้ และมันก็คือกลอนข้างบนนั่นเอง จูฮยอนไม่ได้เอะใจอะไร ร่างบางวางหนังสือกลับไปบนชั้นอย่างเดิม ก่อนจะเดินไปตรวจเช็คหนังสือตรงแถบโซนอื่นให้ครบ แล้วปิดหอสมุด
ตอนนี้เป็นเวลา18.30น.ไปแล้ว นักเรียนส่วนใหญ่ก็กลับบ้านกันไปหมด เหลือเพียงแค่เธอกับอาจารย์บางคนที่คอยอยู่เวร หลังจากร่างบางสำรวจความเรียบร้อยของหอสมุดจนเสร็จ เธอก็เดินออกมาจากรั้วโรงเรียนก่อนจะเดินตามถนนรีบมุ่งตรงกลับบ้าน เนื่องจากช่วงนี้เป็นหน้าหนาว ความมืดจึงเข้ามาเยือนเร็วกว่าทุกที จูฮยอนก้าวเท้าเดินต่อไปเรื่อยๆ ใบหน้าหวานเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ตอนนี้พระจันทร์โผล่ขึ้นส่องแสงให้เธอได้เห็นแล้ว
อ่า...มืดแล้วนี่นา...ต้องรีบเดินแล้วเรา...
สองขาเรียวเริ่มก้าวให้ไวยิ่งขึ้น แต่ในระหว่างที่เดินๆอยู่เธอก็ฉุกคิดขึ้นมาได้
เอ๊ะ...วันนี้พระจันทร์เต็มดวงเหรอ...
ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!
ร่างบอบบางหลุดจากภวังค์ความคิดของตัวเองพลางสะดุ้งเฮือก พร้อมกับหันหลังไปหาเสียงเมื่อกี้ แต่เธอก็ไม่พบอะไรเลยนอกจากความเงียบและว่างเปล่า เด็กสาวยกกระเป๋านักเรียนขึ้นมากอดไว้แนบกาย หัวใจเธอเริ่มเต้นเร็วขึ้นด้วยความกลัว นัยตาสั่นไหวพยายามกวาดมองไปรอบบริเวณ
เสียงอะไรหน่ะ...สุนัขเหรอ...หรือเสียงลม...
ร่างบางพยายามคิดเข้าข้างตัวเองว่าไม่มีอะไร ก่อนจะค่อยๆหันกลับไปตามทางเดิม เตรียมก้าวขาออกเดินต่อ
ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!
และเป็นอีกครั้งที่เสียงปริศนาดังขึ้นมา คราวนี้เด็กสาวค่อยๆถอยหลังเข้าไปในซอกมุมหลืบจนหลังชิดติดกำแพง ตอนนี้รอบกายเธอมืดสลัว มีเพียงแสงไฟจากริมถนนที่คอยให้ความสว่าง จูฮยอนซุกหน้าลงกับกระเป๋านักเรียน พร้อมกับใช้แขนกอดกระเป๋าไว้แน่น
“คะ...ใครคะ....”
เธอพยายามเปล่งเสียงออกไปถาม ในตอนนี้เธอเริ่มแน่ใจแล้วว่าไม่ใช่เสียงลมหรือเสียงสุนัขแน่ๆ
ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!
คราวนี้เสียงนั้นมันเริ่มวนเข้ามาใกล้หูเธอมากขึ้น ร่างบางพยายามมองหาต้นเสียงอย่างลนลาน รู้สึกเหมือนขามันเริ่มจะอ่อนแรงขึ้นเรื่อยๆ
“คุณเป็นใครคะ...ต้องการอะไร...”
เธอพยายามลองถามดูอีกครั้งแต่ผลก็เป็นเหมือนเดิม มีแต่ความเงียบที่ตอบรับเธอ ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ อยู่ดีๆก็มีมือปริศนามาจับไหล่เธอเอาไว้แน่น
กรี๊ดดดดดด!
“เฮ้! จูฮยอน...เป็นอะไรรึเปล่า”
เสียงอันแสนคุ้นหูดังขึ้นมาเรียกให้คนที่หลับตาปี๋ค่อยๆกระพริบลืมตามองช้าๆ พบว่าเจ้าของมือปริศนาคือเพื่อนสนิทของเธอนั่นเอง
“อ้าว...เวนดี้...”
คนที่ถูกเรียกชื่อเลิกคิ้วเป็นเชิงสงสัย
“เป็นอะไรรึเปล่าจูฮยอน ทำไมมายืนอยู่ตรงนี้หล่ะ แถมเมื่อกี้ยังทำท่าเหมือนกลัวอะไรสักอย่างเลย”
เวนดี้เอ่ยถามอย่างงุนงง ทำให้ร่างบางนึกเหตุการณ์เมื่อกี้ขึ้นได้
“นี่เวนดี้...เมื่อกี้เวนดี้ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยหรอ...”
“เสียง?...เสียงอะไรเหรอ ไม่เห็นจะได้ยินเลย ฉันเห็นจูฮยอนยืนอยู่คนเดียวก็เลยเดินมาหา แต่เห็นท่าทางเธอเหมือนกลัวอะไรสักอย่างก็เลยเอื้อมมาจับไหล่ แต่อยู่ๆเธอก็กรี๊ดขึ้นซะงั้น”
“จริงเหรอ...”
“อื้อ...ก็จริงหน่ะสิ อันที่จริงฉันต้องเป็นฝ่ายตกใจแท้ๆ ที่อยู่ดีๆเธอก็กรี๊ดขึ้นมาซะงั้น”
เวนดี้บ่นอุบอิบทำให้คนร่างบ้างได้แต่หัวเราะแห้งๆอย่างสำนึกผิด
“เออว่าแต่...ที่บอกว่าได้ยินเสียงนี่...เสียงอะไรเหรอ?”
จูฮยอนหันไปหาเพื่อนช่างสงสัย ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ
“เราก็ไม่รู้เหมือนกัน...เดินกลับบ้านอยู่ดีๆ สักพักเสียงนั้นมันก็ดังขึ้นมารอบตัวเลย”
“เอ๋? เสียงหมาแมวแถวนี้ละมั้ง”
เบจูฮยอนทำหน้ามุ่ยพลางบึนปาก
“ไม่ใช่สักหน่อย...เรามั่นใจว่ายังไงก็ไม่ใช่เสียงหมาหรือเสียงลมแน่ๆ...”
“เธอคิดไปเองแหละน่า ตอนฉันเดินมาก็ไม่เห็นจะมีอะไรสักหน่อย”
ได้ยินดังนั้นคนร่างบางที่เถียงมาตลอดก็หงอยลง
อา...คงจะจริงอย่างที่เวนดี้พูดนั่นแหละ...เรานี่คิดมากไปเองจริงๆเลย...
เวนดี้ที่เห็นเพื่อนสนิททำตัวเหมือนสำนิกผิด(?)อยู่นั้นก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ จนคนที่กำลังหงอยๆอยู่หันมามองค้อนใส่
“เอาเป็นว่าเดี๋ยวฉันเดินกลับบ้านเป็นเพื่อนก็แล้วกันนะ”
“อื้อ...”
คนร่างบางหยักหน้า ก่อนที่เด็กสาวทั้งสองจะค่อยๆเดินไปตามถนนอีกครั้ง
.
.
.
.
.
.
.
.
.
จนกระทั่งแผ่นหลังของเด็กสาวสองคนนั้นลับหายไป เสียงย่ำเท้าเบาๆค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆ ร่างสูงของใครคนหนึ่งกำลังก้าวออกมาจากความมืดตรงซอกมุมหลืบ ผู้หญิงคนนั้นสวมเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้ม กางเกงขายาวสีดำ พร้อมกับรองเท้าผ้าใบหุ้มข้อสีขาวซึ่งบัดนี้เลอะโคลนเต็มไปหมด รวมไปถึงเสื้อผ้าส่วนอื่นๆก็เปื้อนฝุ่นเหมือนไปล้มที่ไหนมา ตามแขนและใบหน้ามีบาดแผลเต็มไปหมด แขนข้างหนึ่งถูกส่งไปยันกับผนังไว้เพื่อใช้ทรงตัว ดวงตาชั้นเดียวหรี่มองไปยังทางที่เด็กสาวสองคนเดินไป เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่แล้ว เขาก็ค่อยๆก้าวออกมาจากมุมมืดนั้นช้าๆโดยใช้แขนช่วยพยุง แต่ก้าวเพียงได้แค่สองสามก้าวเท่านั้น ร่างสูงก็ทรุดตัวล้มลงอย่างแรง พร้อมๆกับที่ความมืดมิดที่ค่อยๆกลืนกินเขาเข้าไป
.
.
.
.
.
.
.
.
เช้าวันรุ่งขึ้น เป็นวันที่จูฮยอนต้องตื่นไปโรงเรียนตามปกติ ร่างบางเช็คความเรียบร้อยของตัวเองก่อนจะก้าวออกจากบ้าน
สองขาเรียวก้าวเดินไปเรื่อยๆอย่างไม่เร่งรีบ เนื่องจากร่างบางเป็นคนตื่นเช้า แถมบ้านก็อยู่ไม่ไกลจากโรงเรียน ทำให้เดินมาโรงเรียนได้ ในหัวของเด็กสาวยังคงนึกสงสัยกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน
เรื่องเสียงนั่น...เราคิดไปเองจริงๆเหรอ...
สองขาหยุดเดินตรงที่เธอได้ยินเสียงปริศนาเมื่อวาน ด้วยความอยากรู้ ร่างบางจึงค่อยๆชะโงกหน้าเข้าไปในซอกมุมหลืบอย่างหวาดระแวง สิ่งแรกที่เธอเห็นคือถังขยะที่ตั้งไว้ จูฮยอนหันมาถอนหายใจเบาๆ
คิดไปเองจริงๆหล่ะมั้งเราเนี่ย...
ระหว่างที่กำลังจะเดินหน้าต่อไปยังโรงเรียน ปลายตาของเธอดันกวาดไปเห็นอะไรบางอย่าง ร่างบางรีบหันไปพลางก้มหน้าเพื่อมองดู นัยตาหวานเบิกกว้างอย่างตกใจ สิ่งที่เธอเห็นคือผู้หญิงคนหนึ่งที่ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลกำลังนอนสลบอยู่ตรงริมของมุมหลืบนี้ จูฮยอนรีบเดินเข้าไปพลางนั่งลงแล้วค่อยๆเอื้อมมือไปจับแขนของร่างสูงคนนั้น แล้วออกแรงเขย่าเล็กน้อย
“คุณคะ...”
เธอเอ่ยเรียกเบาๆ แต่ไร้ซึ่งการตอบรับจากคนตรงหน้า คนร่างบางหันซ้ายขวาเพื่อจะเรียกคนมาช่วย แต่เธอดันลืมไปซะสนิทเลยว่าตอนนี้มันยังเช้าอยู่ ไม่มีใครเดินผ่านมาสักคน เธอหันกลับไปมองคนที่นอนสลบอีกครั้ง แล้วจึงตัดสินใจค่อยๆพยุงคนร่างสูงขึ้น ก่อนจะกึ่งพยุงกึ่งลากเขาเดินวนกลับไปยังบ้านของเธอ
กว่าจะพาเขามาถึงบ้านเธอก็ทุลักทุเลพอสมควร เนื่องจากเขาสูงกว่าเธอแถมสลบอีกต่างหาก ร่างบางค่อยๆว่างบุคคลปริศนาลงบนเตียงของเธอเบาๆ หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋า ก่อนจะกดส่งข้อความหาเวนดี้
จูฮยอน : เวนดี้ วันนี้เราอาจจะไปโรงเรียนสายหน่อยนะ
เวนดี้ : จูฮยอน...เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า...
จูฮยอน : ไม่ต้องห่วง ไว้เดี๋ยวเล่าให้ฟังนะ
เมื่อส่งข้อความเสร็จเธอก็ไปผ้าชุบน้ำมาซับเอาฝุ่นตามเนื้อตัวของเขาออก ระหว่างที่มือบางกำลังเช็ดใบหน้าของเขาอย่างเบามือนั้น นัยตาหวานก็สังเกตรอยแผลตรงใบหน้าและตามแขนเขาไปด้วย มันเป็นรอยแผลเหมือนโดนอะไรสักอย่างข่วนมา จะว่าหมาหรือแมวก็ไม่ใช่ เพราะเล็บที่ใช้ข่วนมันดูใหญ่กว่าพอสมควร แถมแผลยังบาดลึกกว่าปกติอีกด้วย
นี่เขาไปโดนอะไรมานะ...ไปทะเลาะกับใครมารึเปล่า?...
ในหัวของเธอต่างก็คิดไปต่างๆนานาว่าเขาไปเจออะไรมา มือบางก็ยังคอยซับเลือดที่ออกตามแผลพวกนั้นให้อย่างเบามือ ระหว่างที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ของตัวเองนั้น อยู่ดีๆมือของคนที่นอนสลบอยู่ก็พรวดขึ้นมาจับมือบางของเธอที่กำลังถือผ้าชุบน้ำไว้อย่างแรงจนคนร่างบางสะดุ้งเฮือกแล้วก้มมองบุคคลปริศนาที่นอนอยู่ เขาค่อยๆกระพริบตาถี่แล้วขมวดคิ้วเหมือนเจ็บปวดกับบาดแผล ดวงตาชั้นเดียวจ้องมองใบหน้าของเธอเขม็ง มือของเขายังไม่ยอมปล่อยออกจากมือบางของเธอ ร่างสูงค่อยๆพยุงตัวเองขึ้นช้าๆ แต่แล้วเขาก็สะดุ้งแล้วใช้อีกมือหนึ่งกุมแผลตรงแขนตัวเองไว้
“อ๊ะ... อย่าเพิ่งขยับสิคะ...คุณมีแผลเต็มตัวเลย”
จูฮยอนพุ่งเข้ามาห้ามด้วยความตกใจ แต่เธอลืมไปเลยว่ามืออีกข้างหนึ่งโดนเขาจับไว้อยู่ กลายเป็นว่าโดนเขารั้งเอาไว้จนเสียการทรงตัวแล้วล้มทับคนบนเตียงซะงั้น
“อึก...”
เสียงร้องเบาๆเหมือนพยายามกลั้นไว้ของคนร่างสูงเรียกให้เด็กสาวร่างบางรีบพยุงตัวเองขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ขะ...ขอโทษค่ะ เป็นอะไรไหมคะ”
เธอพยายามสำรวจร่างกายของคนร่างสูงที่ขมวดคิ้วอย่างเจ็บปวดอยู่
“เจ็บตรงไหนเหรอคะ...”
หมับ!
บุคคลปริศนาคว้าคนร่างบางที่กำลังลนลานอยู่เข้ามาไว้ในอ้อมแขนอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย เขาถอนหายใจเบาๆข้างๆหูของเด็กสาว
“อยู่นิ่งๆได้ไหม...”
เขารู้สึกเหมือนว่ายิ่งคนร่างบางขยับตัวมากเท่าไหร่ แทนที่จะได้ช่วยเขา เขาคงตายก่อนพอดี ส่วนคนที่โดนบ่นก็ถึงกับไปต่อไม่ถูก ได้แต่ทำตัวแข็งเป็นหินตามคำขอของเขา ร่างสูงค่อยๆคลายอ้อมแขนออก ให้คนในอ้อมแขนค่อยๆลุกออกจากเตียงอย่างเงอะงะพลางหันกลับไปมองคนที่นอนอยู่บนเตียงอีกครั้ง
“เอ่อ...คุณไม่เจ็บแผลแล้วเหรอคะ...”
เสียงหวานเอ่ยถามขึ้นอีกครั้งเพื่อทำลายความเงียบ ทำให้คนถูกถามค่อยๆหันมามองพลางขมวดคิ้ว
จะเจ็บแผลก็เพราะเธอเนี่ยแหละ...
คนตังสูงคิดกับตัวเองพลางถอนหายใจ เมื่อคนร่างบางไม่ได้คำตอบจากบุคคลปริศนาก็ได้แต่ยืนหงอยเงียบๆพลางเหลือบมองเขา
คนตัวสูงขยับร่างกายเล็กน้อยก่อนจะค่อยก้าวลงจากเตียง เรียกให้จูฮยอนรีบพุ่งเข้ามาขวางเขาไว้
“คะ...คุณจะไปไหนคะ...”
คนตัวสูงไปตอบ เขาพยายามเบี่ยงตัวไปเดินอีกทาง แต่ร่างบางก็ตามมาขวางอีกเหมือนเดิม
“แผลคุณยังไม่หายเลยนะ”
เขาถอนหายใจเบาๆ
“หลบไป...”
“แต่คุณยังไม่หาย...”
“ไม่เป็นไรแล้ว หลบไป...”
พอได้ยินเสียงนิ่งๆแบบนั้นแล้วร่างบางก็ไม่กล้าขัดเขาอีก จูฮยอนค่อยๆก้าวขาถอยหลีกทางให้เขา คนร่างสูงเดินตรงไปที่ประตู เขาชะงักเล็กน้อยเหมือนฉุกคิดอะไรได้ขึ้นมา ร่างสูงค่อยๆบิดตัวมาหาคนที่ยืนจ้องเขาอยู่ด้านหลัง
“ที่ช่วยฉันเอาไว้...ขอบใจ...”
ร่างสูงจับลูกบิดเตรียมผลักประตูออกไป แต่เสียงของคนร่างบางก็เรียกให้เขาหันหน้ากลับไปมองอีกครั้ง
“คุณ...เป็นใครเหรอคะ...”
คนถูกถามเลิกคิ้วนิ่งๆ
“ซึลกิ...คังซึลกิ”
พูดจบเพียงแค่นั้นร่างสูงก็เดินออกนอกห้องไป ทิ้งเพียงความงุนงงให้กับร่างบางที่อยู่ในห้อง แต่เหมือนจูฮยอนยังคาใจกับอะไรสักอย่างที่เกี่ยวกับเขา เธอรีบวิ่งลงบันไดตามเขาไป แต่พอเปิดประตูบ้านออกมา ผู้หญิงปริศนาคนนั้นก็หายไปซะแล้ว ร่างบางหันซ้ายหันขวาเพื่อมองหาแต่ก็ไม่พบแม้แต่เงา
คนอะไรจะเดินเร็วขนาดนั้นนะ...
-------------------------------------------------
#ฟิคหมาป่าของเบจู
ความคิดเห็น