ลำดับตอนที่ #5
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : IV มิติสวรรค์ บทเบิกทางไปสู่จุดหมาย
    เสียงระฆังดังกังวานโดยรอบบอกเวลาเที่ยงคืนตรง  จากหอนาฬิกาที่อยู่ติดกับโบสถ์ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือของพระราชวัง  เป็นสัญญาณของการออกเดินทางสู่โลกกว้างในอีกดินแดนหนึ่งที่ไม่มีผู้ใดจะสามารถให้คำตอบหรือคำอธิบายถึงลักษณะและสถานที่ตั้งของมัน  เว้นเพียงประสบการณ์  ความประทับใจ  และความทรงจำที่นำกลับมาบอกเล่าให้แก่คนรุ่นหลังได้รับรู้ได้รับฟังหรือท่องสนุกไปตามแต่จะจินตนาการสร้างสรรค์มันขึ้นมา
   
    ณ  ห้องบรรทมของเจ้าชายโจนาธาน  แซมมวลยืนจับด้ามบานประตูเตรียมเปิดออก  มือขวาของเขาจับกับมือซ้ายของธีโอดอร่าแน่นคล้ายจะบีบให้เล็กลง  ถัดจากเธอคือทาเทียน่าและรั้งท้ายขบวนโดยราชโอรสองค์ใหญ่  ส่วนสี่พระองค์ที่เหลือประทับยืนอยู่ไม่ไกลนัก  คงไม่เข้าบรรทมจนกว่าคณะเดินทางกลุ่มเล็กๆก้าวล่วงพ้นมิติแห่งนี้เป็นแน่
   
    “อย่าปล่อยมือจากกันจนกว่าจะมีคนเดินมาหา  เข้าใจใช่ไหม?”
    “พะย่ะค่ะ / เพคะ / ค่ะ / ครับ”
    “ไปได้แล้ว  เคลื่อนพล!”
   
    เมื่อคนนำดึงประตูเปิดออกแล้วกระโดดออกไปพร้อมกันสองขา  ผู้ตามที่เหลือก็ถูกดึงเข้าสู่ม่านหมอกแห่งความมืดที่มีช่องว่างขนาดใหญ่อยู่บนพื้นเป็นรูปวงกลม  มันกำลังจะจางหายไปตามวินาทีที่ถดถอยหลัง  โล่งใจโดยแท้ที่สี่คนเข้าไปครบชิ้นส่วนทั้งร่างกายและสัมภาระก่อนที่ประตูจะหายไปเมื่อเวลาหลังระฆังดังหนึ่งนาที!
                                                                          * * * * * * * *
    กระแสลมเย็นพัดผ่านไม่ขาดสายด้วยความเร็วมากกว่าปกติ  กระทบใบหูก่อให้เกิดเสียงหนึ่งดังๆที่ยากจะแยกแยะออกมาพูดเลียนเสียงได้  ความสดชื่นแผ่ซ่านทั่วใบหน้าจนชา  กว่าจะหายก็นานพอตัวทีเดียว
    และแล้วพวกเขาก็ตกลงบนวัตถุนุ่มๆที่รองรับน้ำหนักที่กระแทกลงมาเต็มอัตราโดยไม่ต้านหรือสะท้อนแรงออกไป  กลิ่มหอมตรลบอบอวลทั่วบริเวณดั่งอยู่กลางสวนดอกไม้ในหุบเขา  ถ้าให้ดูภาพออกก็เหมือนว่าเราได้กลิ่นดอกราตรีที่บาน ณ ยามค่ำคืน
   
    ที่เรียกความสนใจทั้งหมดให้มารวมกันคือ แสงสีส้มจากโคมเทียนที่หญิงสาวคนหนึ่งถืออยู่  ร่างอรชรในชุดสีขาวบริสุทธิ์ยืนตรงสง่างามดั่งนางพญาหงส์  นัยน์ตาสีมรกตกวาดแลช้าๆภายใต้เรือนผมหยักศกสีทองอร่ามเรือง  มองดูมาอย่างเป็นมิตร  รอยยิ้มแย้มอันอบอุ่นที่ต้อนรับแขกสี่รายที่ไม่ใช่รายที่สี่ในไตรมาสนี้
   
    “สวัสดีครับ / ค่ะ” เยาวชนทักทาย  แต่นางเพียงส่ายหน้าช้าๆ
    “สุตให้จงดีที่ข้าเอ่ย                                    สงสัยสิ่งใดเอยเฉลยให้
อัน ‘คาเร็น’ เป็นนามยามยากไกล    เรียกข้าไซร้ไม่ช้าข้าจะมา
    จะเริ่มต้นอธิบายขยายเหตุ                    หนึ่ง ขัณฑ์เขตประเทศแลรัฐา
รวมเป็นหนึ่งไร้ซึ่งแบ่งอาณา                    เรียกกันว่า ‘เอเดน’ เป็นเอกเดียว” เสียงไพเราะนุ่มนวลชวนหลงใหลร่ายบทกวีช้าๆและชัดเจน  เพื่อให้คนฟังคิดและเข้าใจไปในตัวเองโดยอัตโนมัติ
    “เรื่องที่สอง ทองเงินไม่มีให้                    ท่านจงใช้กำลังสั่งสมหา
อันสกุลที่นี่มีมาตรา                        เหมือนโลกหล้าที่ท่านได้จากเดิน
    เรื่องที่สาม ถามถึงซึ่งอาหาร                    ใช่แต่ลานตานี้แค่ผิวเผิน
แต่ละจานการันตีฝีมือสะเทิน                    สะท้านทั่วจนเจริญอาหารดี
    เครื่องนุ่งห่มหาซื้อได้ไม่ยาก                    อย่าลำบากซักรีดจนซีดสี
เพราะภพนี้มีเวทคลุมธรณี                    ทั่วพื้นที่สะอาดทุกกาลเวลา
    อันยวดยานท่านไม่ต้องคอยตรวจเฟ้น    เพราะคุณภาพโดดเด่นเป็นหนึ่งหนา
ล้ำเทคโนโลยีที่มีมา                        นานเกินกว่าเกือบครบสหัสวรรษ”
   
    “แล้วกฎหมายที่นี่ห้ามใดบ้าง                    โปรดนำทางชี้แจงแสดงมา”
    “อันกฎเกณฑ์เป็นสิบและยิบถี่                    ค่อยค่อยที่จะเรียนรู้ดูกันไป”
    “แล้วที่นี่มีผู้ร้ายหรือไม่                    คนโฉดชั่วจัญไรไซร้บอกมา”
    “อันคนดีย่อมทำดีศรีแก่ตน                    ทรชนก็ชั่วที่ตัวมัน”
    “เฮ้อ! อยากถามอะไรถามไม่ได้                    คอยศึกษากันไปก็แล้วกัน”
    “ท่านนี่มีนามขานว่ากระไร        เพิ่งมาใหม่ไฉนพูดภาษา
ของเอเดนแคล่วคล่องคล้ายฝึกมา        เล่าเถิดว่าตัวท่านนั้นเป็นใคร”
    “อันภาษาของเอเดนเห็นมิใช่แบบที่ท่านแลข้าพเจ้าได้กล่าวแก่กันในข้างต้นแต่ประการใด”
    “ท่านกล่าวถูกแล้ว  แบบที่ท่านและข้าพเจ้ากล่าวแก่กันนั้นเป็นภาษาแต่บุราณนานนมเน  มีเพียงบุคคลที่ได้รับการศึกษาขั้นสูงหรือเฉพาะบุคคลในราชสำนักเท่านั้นที่จะฟังอย่างเข้าใจและเจรจาตอบเช่นนั้นได้”
    “เป็นเช่นนั้น”
    “ข้าพเจ้าจึ่งคิด  เห็นสว่างแล้ว  ท่านคือบุคคลแห่งราชสำนัก”
    “เป็นเช่นนั้น  ราชสกุลข้าพเจ้าคือ มาร์เซยแยส  นามว่า ทาเทียน่า”
    “เห็นจะใช่วงศาแห่งองค์ชายคริสเตียนกระมัง”
    “คือบิดาข้าพเจ้าเอง”
    คาเร็นยืนมือกุมอก  ร้องขึ้นอย่างดีใจ  น้ำใสๆรื้นขึ้นคลอหน่วยนัยน์ตาสีมรกตที่วาววับเป็นประกาย  สร้างความประหลาดใจแก่ผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้า  หรือแม้แต่ผู้ที่ยืนอยู่ละแวกใกล้เคียง  นางย่อตัวลงมาเพื่อพินิจพิจาณาใบหน้ารูปไข่โดยละเอียดถี่ถ้วน  ก่อนจะสบนัยน์ตาสีเทาด้วยความเอ็นดู
    “เหมือนเมื่อวานนี้เองที่เส้นทางสายนี้ปรากฏเจ้าชายหนุ่มรูปงามแสนขี้เล่นเดินผ่านมาพร้อมสหายอีกประมาณ 3 4 คน  และในวันนี้ราชบุตรีท่านก็ได้เดินตามทางสายเดิม  อนิจจา! เวลาแห่งชีวิตช่างผ่านไปเร็วนัก” นางถอนหายใจคลับคล้ายกับปลงสังขารไม่เที่ยงตามสัจธรรมแห่งชีวิตได้  ดวงหน้าที่ขาวจนเกือบซีดดูหมองคล้ำลงไปถนัดตา  ถึงกระนั้นก็ยังงดงามเสมือนบุปผาที่เบ่งบานยามเยือกเย็น  บริสุทธิ์  แลดูสงบ  ท่ามกลางบรรยากาศที่สงัดจนวังเวง  แม้ว่าอายุของนางจะเกือบร้อยปีแล้วก็ตาม  แต่ไม่ปรากฏริ้วรอยใดๆหรือกระทั่งอากัปกิริยาดังผู้เฒ่าผู้แก่ชแรวัยเลย
    “หากข้าพเจ้าจำมิผิดไป  ท่านคงได้นัยน์ตาคู่นี้มาจากมารดาท่าน  จากชนเผ่าอัลราห์โยทางตอนเหนือของอัสรานเนีย”
    “เป็นเช่นนั้น”
    “แล้วท่านทั้งสองสบายดีหรือ?”
    “ท่านทั้งสองสำราญดีในที่ที่ความทุกข์มิอาจย่างกราย”
    “โอ! ช่างเป็นข่าวที่น่าเศร้า  ข้าพเจ้าเสียใจอย่างยิ่ง”
    “ขอบคุณท่าน”
    “แล้วสหายท่านเล่า  เป็นผู้ใดบ้าง?”
    “ข้าพเจ้านาม โจนาธาน  ไรน์คิลลุรินสก์  ส่วนสหายผู้นี้นาม แซมมวล  ราฟโฟลินสก์”
    “บุตรแห่งธีโอดอร์  เจ้าชายจากซานาร์กันด์หรือมิใช่”
    “เป็นเช่นนั้น”
    “ส่วนนี่คือเพื่อนข้าพเจ้า  ธีโอดอร่า พาราก้อน”
    “ยินดีที่ได้รู้จัก” เสียงห้าวที่เจ้าตัวพยายามดัดเอ่ยขึ้นพร้อมมือที่ยื่นมาด้วยความเป็นมิตร
    “เช่นกัน” คาเร็นจับมือตอบรับพร้อมรอยยิ้มอันอบอุ่น
    “วารีมิคอยท่า  เวลามิคอยใคร  จงตามข้าพเจ้ามา”
    นางเดินนำหน้ากลุ่มไปตามพื้นหินศิลาแลงที่ตัดผ่านความมืดโดยรอบ  ซึ่งผู้มาใหม่ไม่ทราบได้ว่ามันคืออะไรกันแน่  กลิ่นหอมที่แตะจมูกสร้างภาพว่ามันคือกลางทุ่งดอกไม้  แต่ประสาททางผิวกายบอกว่าไม่ใช่  เหมือนกับว่ากำลังลอยอยู่บนที่สูงต่างหาก  ถ้าก้าวพลาดไปอาจตกลงสู่ก้นบึ้งที่ไม่มีวันได้เห็นแสงเดือนแสงตะวันตลอดกาล
   
    ผู้นำหยุดอยู่ที่หน้าประตูไม้ขอบโค้งบานใหญ่  พลันนั้นเปลวไฟก็ลุกโชนบนปลายเทียนที่เชิงด้านข้างทั้งสอง  แล้วไม้ที่ขัดอยู่สองท่อนก็เลื่อนออกไปข้างละอัน  แสงสว่างจ้าส่องออกมาลอดผ่านซุ้มประตูที่เปิดกว้างทำให้เด็กๆต้องยกแขนขึ้นป้องตา
    “จากนี้ไป  เวลาของท่านที่เอเดนก็จะเริ่มขึ้น  ขอให้โชคดี” เสียงของนางขาดหายไปพร้อมๆกับประตูสองข้างปิดส่งท้ายหลังจากร่างทั้งสี่ถูกดูดเข้ามาหาแสง
   
    อ๊ากกกกกกก...
    เสียงร้องโหยหวนดังก้องไปทั่วเหมือนรู้ตัวแล้วว่าตนได้ตกจากที่สูงลงมาสู่เบื้องล่างด้วยความลึกไม่ต่ำกว่า 6 กิโลเมตร  โชคดีที่มันสว่างมากจนหลับตาทำให้ไม่ต้องรับรู้ว่าสิ่งแวดล้อมโดยรอบเป็นอย่างไร  และตนกำลังตกสู่สิ่งใด  ที่แน่ๆคือ ทุกคนต่างก็ไม่ได้สติเมื่อร่างกายสัมผัสกับพื้น
                                                                        * * * * * * * *
    “คุณหนู...คุณหนูครับ...” โจนาธานเรียกคนที่นอนถัดไปจากเขาประมาณเมตรหนึ่งให้ตื่นหลังจากปลุกเจ้าเพื่อนสนิทที่นอนน้ำลายยืดอยู่ข้างๆตัวแล้ว
    “เฮ่ย! ทาทา ตื่นได้แล้วยัยหมูขี้เซา” ธีโอดอร่าก็ช่วยปลุกอีกแรง  แต่ก็ไม่ได้ผล  ไม่ว่าจะเขย่าตัว ตบแก้ม ถ่างตา หรือเกือบจะกระทืบก็ตามที  ก็ไม่ทำให้ทาเทียน่าเปลี่ยนอาการเลย  สุดท้ายแม่ทอมบอยจึงงัดเอาประโยคเด็ดมาใช้
    “เฮ่ย! นั่น  กะจั๊วนี่!” เธอร้องเสียงดัง
    ได้ผลทันตาเห็น  เจ้าคนที่ลุกยากเบิ่งตาโพลงพลางลุกกระโจนไปทางอื่นก่อนหันมองซ้ายมองขวาอยู่ไวๆ  พอพบว่าตนถูกหลอกก็เกิดเสียงห้าวสามเสียงประสานกันหัวเราะ  ที่แท้แม่คุณคนเก่งก็กลัวสัตว์ที่ได้ชื่อว่า แมลงสาบ  และเกิดเส้นความเกลียดความขยะแขยงที่ไวต่ออะไรก็ตามจากพวกนี้  นับเป็นความรู้ใหม่ที่ได้เจอในเมื่อตลอดสี่ปีที่ผ่านมาเธอไม่เคยแสดงให้เห็นเลยว่า  ไม่ชอบอะไรจนเข้ากระดูกดำ
    “เท็ดดี้  ทีหลังอย่าปลุกด้วยวิธีอีกนะเฟ่ย!”
    “ก็อยากไม่ตื่นเองนี่หว่า”
    “ตื่นตั้งนานแล้วโว้ย  แต่ขี้เกียจลุก”
    “นี่ขนาดตื่นตั้งนานแล้วนะเนี่ย” ธีโอดอร่าประชดเพื่อนผู้ที่ยืนบิดตัวไปมาบริหารกล้ามเนื้อและข้อต่อ  และทุกครั้งก็ได้ยินเสียงกรอบแกรบจากกระดูกสันหลัง  พวกเธอหยิบกระติกจากกระเป๋าขึ้นเทน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตาเช่นเดียวกันกับพวกเขา
   
    “แล้วจะเอายังไงต่อดีล่ะ?” ทาเทียน่าถาม
    “ถ้าหมายความว่า จะไปทางไหน  ฉันก็บอกได้เลยว่าไม่รู้” แซมมวลตอบ
    “ทุ่งหญ้านี้ก็กว้าง  มองไปทางไหนๆก็เจอแต่ป่าเจอแต่ภูเขา” โจนาธานบอก
    “แล้วอีกอย่าง  ยังมีสายตานับร้อยรวมถึงรังสีอาฆาตที่ไม่คิดจะปิดบังแผ่พุ่งมายังกลุ่มพวกเราเสียด้วย” ทุกคนพยักหน้าตามที่ตนรู้สึกไม่เฉพาะเพียงธีโอดอร่าเท่านั้น
    ฟิ้ววววว...ตุบ...
    ทันใดนั้นก็ปรากฏชายอายุประมาณ 20 ปลายๆจากบนฟ้าลงมา  เขาใส่เสื้อแขนยาวสีหยก  กางเกงเลตัวโคร่งสีดำ  ผมที่มัดเป็นหางม้าสีบลอนด์ภายใต้หมวกแก๊ปสีแดง  กำลังถือสมุดเล่มบางอยู่พลางใช้สายตามองไล่ไปทีละคนที่ยืนงงด้วยความไม่เข้าใจ
    “อ้า  เด็กใหม่ล่ะสิท่า  หึๆๆๆอย่างนี้ก็สวย  จะเจาะระบบใครดีหว่า  16 หรือ 12  ฮืมๆๆ  อ้า  งั้นเอายัยเด็กสีผมต่างจากคนอื่นดีกว่า  เดอะทวิน ออน! (The Twin On!) โจมตีใส่เด็กนี่ซะ!” เขาพูดเสียงดังขณะคีบกระดาษสี่เหลี่ยมผืนผ้าในแนวตั้งชูขึ้นตรงหน้า  และแล้วแสงสีเหลืองรูปร่างคล้ายกับลูกไฟขนาดใหญ่ก็พุ่งออกจากกระดาษแผ่นนั้นตรงมายังผู้ที่โดนหมายหัวไว้  สี่คนวิ่งหนีมันไปคนละทิศละทางเพื่อหลบอะไรบางอย่างไม่ให้เข้ามาหาตน  ทาเทียน่าพยายามอย่างยิ่งที่จะให้ตัวพ้นไปจากเส้นทางที่ลูกไฟลอยตาม  แต่ทำอย่างไรก็หลบไม่ได้เสียที  แม้จะหลบตรงโน้นหลบตรงนี้  ปีนป่านซ้ายขวา  ล้มลุกคลุกคลานก็แล้ว  ลูกไฟก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดหรือชะลอความเร็วลง
    “ธัญญ่า! ระวัง!” ธีโอดอร่าตะโกนเตือนบอก  เพราะในขณะที่เพื่อนกำลังก้มตัวหายใจหอบนั้น  ลูกไฟก็พุ่งลงมาจากด้านบน  ผู้ถูกเรียกหันมาหาต้นเสียงแล้วมองไปที่ทิศทางที่เธอชี้  มันก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
    ไม่ทันแล้ว...เธอร้องอยู่ในใจพลางยกศอกขึ้นหมายป้องกัน  ลูกไฟแผ่ขยายกว้างและกำลังจะเข้าสู่ส่วนศีรษะของเธอ
    “เดอะเชนจ์ ออน! (The Change On!)” แสงสีฟ้ารูปร่างคล้ายลูกอ๊อดที่มีเฉพาะขาคู่หน้าพุ่งตรงมาในแนวราบปะทะกับลูกไฟสีเหลืองในแนวดิ่ง  เกิดเสียงดังตูมสนั่นหวั่นไหวไปทั่วบริเวณนั้น  สองแสงบรรจบกันเป็นหนึ่งสายตกสู่ก้อนหินก้อนหนึ่ง  เกิดหินก้อนใหม่ที่มีลักษณะเหมือนก้อนหินเดิมทุกประการหลังจากสองแสงสลายไปพร้อมๆกับม่านควัน
    สามสหายและทาเทียน่าหันไปมองผู้ที่เข้ามาช่วยเหลือในยามคับขัน  รวมถึงชายคนนั้นก็หันไปมองผู้ที่บังอาจเสนอหน้ามายุ่มย่ามกับงานของตนที่เกือบจะสำเร็จ  ไม่มีใครผิดหวังเพราะร่างเล็กในเสื้อตัวหลวมแขนกว้างยาวสีทับทิมสดกับฮาคามะสีขาว กำลังเดินมาพร้อมกับสายลมที่พัดให้ต้นไม้ใบหญ้าต้องเอนลู่ลงไม่อาจต้านขวางทางได้  ใบหน้าที่ถูกซ่อนภายใต้ฮู้ดของเสื้อคลุมสีดำทำให้ดูไม่ถนัดว่าเป็นหญิงหรือชาย  แต่อะไรบางอย่างในนั้นมีพลังที่ทำให้ชายผู้สนุกกับเล่นงานคนไม่สามารถขยับเขยื้อนไปได้  มือยาวๆย่นๆค่อยๆยกขึ้นมาเตรียมที่จะทะลวงท้อง  และคงได้เห็นเลือดกระฉูดสดๆร้อนๆกับตาตัวเองแน่ถ้าเขาไม่ “เดอะจัมพ์ ออน! (The Jump On!)” กระโดดลอยหายไปเสียก่อน
    “ฮึ  พลาดจนได้” ดูเหมือนเจ้าตัวจะอารมณ์บูดเพราะเหยื่อหลบหนีไปแบบเส้นยาแดงผ่าแปด  เป็นที่น่าเสียดายเพราะโอกาสดีๆแบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆเลย  เหมือนเพิ่งรู้สึกตัวว่ากำลังถูกมอง  เขาจึงค่อยๆหันมาเผชิญหน้าด้วย  ดูเหมือนว่าสิ่งที่ทำให้คนอื่นๆต้องขนพองสยองเกล้าคือ คู่นัยน์ตาสีแดงฉานดั่งโลหิตเปล่งประกายออกมาจากเงามืด  มันกำลังจับจ้องมายังผู้ที่เคยตกเป็นเป้าหมายในการลักข้อมูล  อำนาจราวกับฟอนไฟที่คอยเผาไหม้สสารให้เหลือเพียงเถ้าธุลี  น่ากลัวคลับคล้ายนัยน์ตาแห่งซาตานผู้จ้องจะทำลาย  ต่างกับนัยน์ตาสีเทาที่บัดนี้เต็มไปด้วยความชาเย็นสะท้านยะเยือกประดุจคมมีดแห่งวายุคอยเชือดเฉือนแล่เนื้อที่ละเล็กละน้อยไปทั่วสรรพางค์
    เขาหยุดฝีเท้าลงเมื่อรู้ว่าตนกำลังจะโดนล้อม  เบื้องหน้ามีเด็กชายอายุราวๆกับเด็กหญิงที่ตนกำบังไว้  เบื้องซ้ายคือเด็กหนุ่มที่มีหอกสีเขียวพสดอยู่บนบ่าทั้งสองข้าง  เบื้องขวาคือเด็กหนุ่มที่ชี้ตะเกียบขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณครึ่งนิ้ว ยาวประมาณฟุตหนึ่ง มาหาคล้ายพ่อมดผู้กำลังข่มขวัญศัตรูด้วยการชี้ไม้กายสิทธิ์  ดูท่าคงต้องใช้ความพยายามมากเสียหน่อยแล้ว  แม้ว่าคนพวกนี้จะมาใหม่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราว  แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นพวกอ่อนหัดไปเสียทีเดียว  เด็กหญิงที่น่าจะเป็นตัวถ่วงของกลุ่มกลับตอบโต้ปฏิกิริยาทางสายตาได้อย่างยอดเยี่ยม  ดูคุ้นๆยังไงชอบกลแฮะ  เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนเมื่อนานมาแล้ว
   
    เมื่อเกิดความไม่แน่ใจ  สิ่งที่ทำได้คือการพิสูจน์ความจริง  เขาเคลื่อนตัวฝ่าวงล้อมออกตรงช่องว่างที่มีด้วยความเร็วปานพายุ  ไม่ถึงวินาทีก็เข้าประชิดตัวบุคคลผู้ที่เหล่าสหายให้ความสำคัญถึงขนาดออกตัวอารักขา  แขนขวาโอบไหล่ไว้โดยมีกริชคอยจ่อคอเตรียมปาดตลอดเวลา  แขนซ้ายพยายามรัดตัวไม่ให้ดิ้นหลุดไปได้  โชคดีหน่อยที่พอจสูงกว่าบ้างเล็กน้อยก็ยังดี  แต่ไม่ช่วยให้งานสำเร็จง่ายดังที่คาดไว้
    ฟุดฟิดๆๆ...กลิ่นหอมแบบนี้...จะใช่หรือเปล่าน้า...
    เพียงแค่เผลอไปนิดเดียวก็ทำให้แผนการพังครืนลงมาไม่เป็นท่า  ตัวประกันอาศัยจังหวะที่แขนทั้งสองผ่อนคลายลง  ง่ามนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้สอดจับข้อมือทางด้านล่าง  ศีรษะหันไปทางซ้ายพร้อมกับยกแขนขึ้นแล้วถอยออกมาจากวงแขนที่กุมอาวุธพลางบิดไปไพล่หลัง  แรงบีบข้อมือทำให้เขาจำต้องปล่อยกริชให้แก่ตัวประกันที่รอดตัวออกเป็นอิสระได้  แล้วทาเทียน่าก็บุ้ยใบ้ให้คนที่เหลือเลิกผ้าออก
    “นี่มัน...!” เสียงอุทานจากแซมมวลดังขึ้นเบาๆ
    ก็แน่ล่ะ  จะไม่ให้ตกใจได้ยังไง  ในเมื่อคนที่อยู่ในเสื้อสีแดงเป็นเด็กผู้หญิง!
       
   
    ณ  ห้องบรรทมของเจ้าชายโจนาธาน  แซมมวลยืนจับด้ามบานประตูเตรียมเปิดออก  มือขวาของเขาจับกับมือซ้ายของธีโอดอร่าแน่นคล้ายจะบีบให้เล็กลง  ถัดจากเธอคือทาเทียน่าและรั้งท้ายขบวนโดยราชโอรสองค์ใหญ่  ส่วนสี่พระองค์ที่เหลือประทับยืนอยู่ไม่ไกลนัก  คงไม่เข้าบรรทมจนกว่าคณะเดินทางกลุ่มเล็กๆก้าวล่วงพ้นมิติแห่งนี้เป็นแน่
   
    “อย่าปล่อยมือจากกันจนกว่าจะมีคนเดินมาหา  เข้าใจใช่ไหม?”
    “พะย่ะค่ะ / เพคะ / ค่ะ / ครับ”
    “ไปได้แล้ว  เคลื่อนพล!”
   
    เมื่อคนนำดึงประตูเปิดออกแล้วกระโดดออกไปพร้อมกันสองขา  ผู้ตามที่เหลือก็ถูกดึงเข้าสู่ม่านหมอกแห่งความมืดที่มีช่องว่างขนาดใหญ่อยู่บนพื้นเป็นรูปวงกลม  มันกำลังจะจางหายไปตามวินาทีที่ถดถอยหลัง  โล่งใจโดยแท้ที่สี่คนเข้าไปครบชิ้นส่วนทั้งร่างกายและสัมภาระก่อนที่ประตูจะหายไปเมื่อเวลาหลังระฆังดังหนึ่งนาที!
                                                                          * * * * * * * *
    กระแสลมเย็นพัดผ่านไม่ขาดสายด้วยความเร็วมากกว่าปกติ  กระทบใบหูก่อให้เกิดเสียงหนึ่งดังๆที่ยากจะแยกแยะออกมาพูดเลียนเสียงได้  ความสดชื่นแผ่ซ่านทั่วใบหน้าจนชา  กว่าจะหายก็นานพอตัวทีเดียว
    และแล้วพวกเขาก็ตกลงบนวัตถุนุ่มๆที่รองรับน้ำหนักที่กระแทกลงมาเต็มอัตราโดยไม่ต้านหรือสะท้อนแรงออกไป  กลิ่มหอมตรลบอบอวลทั่วบริเวณดั่งอยู่กลางสวนดอกไม้ในหุบเขา  ถ้าให้ดูภาพออกก็เหมือนว่าเราได้กลิ่นดอกราตรีที่บาน ณ ยามค่ำคืน
   
    ที่เรียกความสนใจทั้งหมดให้มารวมกันคือ แสงสีส้มจากโคมเทียนที่หญิงสาวคนหนึ่งถืออยู่  ร่างอรชรในชุดสีขาวบริสุทธิ์ยืนตรงสง่างามดั่งนางพญาหงส์  นัยน์ตาสีมรกตกวาดแลช้าๆภายใต้เรือนผมหยักศกสีทองอร่ามเรือง  มองดูมาอย่างเป็นมิตร  รอยยิ้มแย้มอันอบอุ่นที่ต้อนรับแขกสี่รายที่ไม่ใช่รายที่สี่ในไตรมาสนี้
   
    “สวัสดีครับ / ค่ะ” เยาวชนทักทาย  แต่นางเพียงส่ายหน้าช้าๆ
    “สุตให้จงดีที่ข้าเอ่ย                                    สงสัยสิ่งใดเอยเฉลยให้
อัน ‘คาเร็น’ เป็นนามยามยากไกล    เรียกข้าไซร้ไม่ช้าข้าจะมา
    จะเริ่มต้นอธิบายขยายเหตุ                    หนึ่ง ขัณฑ์เขตประเทศแลรัฐา
รวมเป็นหนึ่งไร้ซึ่งแบ่งอาณา                    เรียกกันว่า ‘เอเดน’ เป็นเอกเดียว” เสียงไพเราะนุ่มนวลชวนหลงใหลร่ายบทกวีช้าๆและชัดเจน  เพื่อให้คนฟังคิดและเข้าใจไปในตัวเองโดยอัตโนมัติ
    “เรื่องที่สอง ทองเงินไม่มีให้                    ท่านจงใช้กำลังสั่งสมหา
อันสกุลที่นี่มีมาตรา                        เหมือนโลกหล้าที่ท่านได้จากเดิน
    เรื่องที่สาม ถามถึงซึ่งอาหาร                    ใช่แต่ลานตานี้แค่ผิวเผิน
แต่ละจานการันตีฝีมือสะเทิน                    สะท้านทั่วจนเจริญอาหารดี
    เครื่องนุ่งห่มหาซื้อได้ไม่ยาก                    อย่าลำบากซักรีดจนซีดสี
เพราะภพนี้มีเวทคลุมธรณี                    ทั่วพื้นที่สะอาดทุกกาลเวลา
    อันยวดยานท่านไม่ต้องคอยตรวจเฟ้น    เพราะคุณภาพโดดเด่นเป็นหนึ่งหนา
ล้ำเทคโนโลยีที่มีมา                        นานเกินกว่าเกือบครบสหัสวรรษ”
   
    “แล้วกฎหมายที่นี่ห้ามใดบ้าง                    โปรดนำทางชี้แจงแสดงมา”
    “อันกฎเกณฑ์เป็นสิบและยิบถี่                    ค่อยค่อยที่จะเรียนรู้ดูกันไป”
    “แล้วที่นี่มีผู้ร้ายหรือไม่                    คนโฉดชั่วจัญไรไซร้บอกมา”
    “อันคนดีย่อมทำดีศรีแก่ตน                    ทรชนก็ชั่วที่ตัวมัน”
    “เฮ้อ! อยากถามอะไรถามไม่ได้                    คอยศึกษากันไปก็แล้วกัน”
    “ท่านนี่มีนามขานว่ากระไร        เพิ่งมาใหม่ไฉนพูดภาษา
ของเอเดนแคล่วคล่องคล้ายฝึกมา        เล่าเถิดว่าตัวท่านนั้นเป็นใคร”
    “อันภาษาของเอเดนเห็นมิใช่แบบที่ท่านแลข้าพเจ้าได้กล่าวแก่กันในข้างต้นแต่ประการใด”
    “ท่านกล่าวถูกแล้ว  แบบที่ท่านและข้าพเจ้ากล่าวแก่กันนั้นเป็นภาษาแต่บุราณนานนมเน  มีเพียงบุคคลที่ได้รับการศึกษาขั้นสูงหรือเฉพาะบุคคลในราชสำนักเท่านั้นที่จะฟังอย่างเข้าใจและเจรจาตอบเช่นนั้นได้”
    “เป็นเช่นนั้น”
    “ข้าพเจ้าจึ่งคิด  เห็นสว่างแล้ว  ท่านคือบุคคลแห่งราชสำนัก”
    “เป็นเช่นนั้น  ราชสกุลข้าพเจ้าคือ มาร์เซยแยส  นามว่า ทาเทียน่า”
    “เห็นจะใช่วงศาแห่งองค์ชายคริสเตียนกระมัง”
    “คือบิดาข้าพเจ้าเอง”
    คาเร็นยืนมือกุมอก  ร้องขึ้นอย่างดีใจ  น้ำใสๆรื้นขึ้นคลอหน่วยนัยน์ตาสีมรกตที่วาววับเป็นประกาย  สร้างความประหลาดใจแก่ผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้า  หรือแม้แต่ผู้ที่ยืนอยู่ละแวกใกล้เคียง  นางย่อตัวลงมาเพื่อพินิจพิจาณาใบหน้ารูปไข่โดยละเอียดถี่ถ้วน  ก่อนจะสบนัยน์ตาสีเทาด้วยความเอ็นดู
    “เหมือนเมื่อวานนี้เองที่เส้นทางสายนี้ปรากฏเจ้าชายหนุ่มรูปงามแสนขี้เล่นเดินผ่านมาพร้อมสหายอีกประมาณ 3 4 คน  และในวันนี้ราชบุตรีท่านก็ได้เดินตามทางสายเดิม  อนิจจา! เวลาแห่งชีวิตช่างผ่านไปเร็วนัก” นางถอนหายใจคลับคล้ายกับปลงสังขารไม่เที่ยงตามสัจธรรมแห่งชีวิตได้  ดวงหน้าที่ขาวจนเกือบซีดดูหมองคล้ำลงไปถนัดตา  ถึงกระนั้นก็ยังงดงามเสมือนบุปผาที่เบ่งบานยามเยือกเย็น  บริสุทธิ์  แลดูสงบ  ท่ามกลางบรรยากาศที่สงัดจนวังเวง  แม้ว่าอายุของนางจะเกือบร้อยปีแล้วก็ตาม  แต่ไม่ปรากฏริ้วรอยใดๆหรือกระทั่งอากัปกิริยาดังผู้เฒ่าผู้แก่ชแรวัยเลย
    “หากข้าพเจ้าจำมิผิดไป  ท่านคงได้นัยน์ตาคู่นี้มาจากมารดาท่าน  จากชนเผ่าอัลราห์โยทางตอนเหนือของอัสรานเนีย”
    “เป็นเช่นนั้น”
    “แล้วท่านทั้งสองสบายดีหรือ?”
    “ท่านทั้งสองสำราญดีในที่ที่ความทุกข์มิอาจย่างกราย”
    “โอ! ช่างเป็นข่าวที่น่าเศร้า  ข้าพเจ้าเสียใจอย่างยิ่ง”
    “ขอบคุณท่าน”
    “แล้วสหายท่านเล่า  เป็นผู้ใดบ้าง?”
    “ข้าพเจ้านาม โจนาธาน  ไรน์คิลลุรินสก์  ส่วนสหายผู้นี้นาม แซมมวล  ราฟโฟลินสก์”
    “บุตรแห่งธีโอดอร์  เจ้าชายจากซานาร์กันด์หรือมิใช่”
    “เป็นเช่นนั้น”
    “ส่วนนี่คือเพื่อนข้าพเจ้า  ธีโอดอร่า พาราก้อน”
    “ยินดีที่ได้รู้จัก” เสียงห้าวที่เจ้าตัวพยายามดัดเอ่ยขึ้นพร้อมมือที่ยื่นมาด้วยความเป็นมิตร
    “เช่นกัน” คาเร็นจับมือตอบรับพร้อมรอยยิ้มอันอบอุ่น
    “วารีมิคอยท่า  เวลามิคอยใคร  จงตามข้าพเจ้ามา”
    นางเดินนำหน้ากลุ่มไปตามพื้นหินศิลาแลงที่ตัดผ่านความมืดโดยรอบ  ซึ่งผู้มาใหม่ไม่ทราบได้ว่ามันคืออะไรกันแน่  กลิ่นหอมที่แตะจมูกสร้างภาพว่ามันคือกลางทุ่งดอกไม้  แต่ประสาททางผิวกายบอกว่าไม่ใช่  เหมือนกับว่ากำลังลอยอยู่บนที่สูงต่างหาก  ถ้าก้าวพลาดไปอาจตกลงสู่ก้นบึ้งที่ไม่มีวันได้เห็นแสงเดือนแสงตะวันตลอดกาล
   
    ผู้นำหยุดอยู่ที่หน้าประตูไม้ขอบโค้งบานใหญ่  พลันนั้นเปลวไฟก็ลุกโชนบนปลายเทียนที่เชิงด้านข้างทั้งสอง  แล้วไม้ที่ขัดอยู่สองท่อนก็เลื่อนออกไปข้างละอัน  แสงสว่างจ้าส่องออกมาลอดผ่านซุ้มประตูที่เปิดกว้างทำให้เด็กๆต้องยกแขนขึ้นป้องตา
    “จากนี้ไป  เวลาของท่านที่เอเดนก็จะเริ่มขึ้น  ขอให้โชคดี” เสียงของนางขาดหายไปพร้อมๆกับประตูสองข้างปิดส่งท้ายหลังจากร่างทั้งสี่ถูกดูดเข้ามาหาแสง
   
    อ๊ากกกกกกก...
    เสียงร้องโหยหวนดังก้องไปทั่วเหมือนรู้ตัวแล้วว่าตนได้ตกจากที่สูงลงมาสู่เบื้องล่างด้วยความลึกไม่ต่ำกว่า 6 กิโลเมตร  โชคดีที่มันสว่างมากจนหลับตาทำให้ไม่ต้องรับรู้ว่าสิ่งแวดล้อมโดยรอบเป็นอย่างไร  และตนกำลังตกสู่สิ่งใด  ที่แน่ๆคือ ทุกคนต่างก็ไม่ได้สติเมื่อร่างกายสัมผัสกับพื้น
                                                                        * * * * * * * *
    “คุณหนู...คุณหนูครับ...” โจนาธานเรียกคนที่นอนถัดไปจากเขาประมาณเมตรหนึ่งให้ตื่นหลังจากปลุกเจ้าเพื่อนสนิทที่นอนน้ำลายยืดอยู่ข้างๆตัวแล้ว
    “เฮ่ย! ทาทา ตื่นได้แล้วยัยหมูขี้เซา” ธีโอดอร่าก็ช่วยปลุกอีกแรง  แต่ก็ไม่ได้ผล  ไม่ว่าจะเขย่าตัว ตบแก้ม ถ่างตา หรือเกือบจะกระทืบก็ตามที  ก็ไม่ทำให้ทาเทียน่าเปลี่ยนอาการเลย  สุดท้ายแม่ทอมบอยจึงงัดเอาประโยคเด็ดมาใช้
    “เฮ่ย! นั่น  กะจั๊วนี่!” เธอร้องเสียงดัง
    ได้ผลทันตาเห็น  เจ้าคนที่ลุกยากเบิ่งตาโพลงพลางลุกกระโจนไปทางอื่นก่อนหันมองซ้ายมองขวาอยู่ไวๆ  พอพบว่าตนถูกหลอกก็เกิดเสียงห้าวสามเสียงประสานกันหัวเราะ  ที่แท้แม่คุณคนเก่งก็กลัวสัตว์ที่ได้ชื่อว่า แมลงสาบ  และเกิดเส้นความเกลียดความขยะแขยงที่ไวต่ออะไรก็ตามจากพวกนี้  นับเป็นความรู้ใหม่ที่ได้เจอในเมื่อตลอดสี่ปีที่ผ่านมาเธอไม่เคยแสดงให้เห็นเลยว่า  ไม่ชอบอะไรจนเข้ากระดูกดำ
    “เท็ดดี้  ทีหลังอย่าปลุกด้วยวิธีอีกนะเฟ่ย!”
    “ก็อยากไม่ตื่นเองนี่หว่า”
    “ตื่นตั้งนานแล้วโว้ย  แต่ขี้เกียจลุก”
    “นี่ขนาดตื่นตั้งนานแล้วนะเนี่ย” ธีโอดอร่าประชดเพื่อนผู้ที่ยืนบิดตัวไปมาบริหารกล้ามเนื้อและข้อต่อ  และทุกครั้งก็ได้ยินเสียงกรอบแกรบจากกระดูกสันหลัง  พวกเธอหยิบกระติกจากกระเป๋าขึ้นเทน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตาเช่นเดียวกันกับพวกเขา
   
    “แล้วจะเอายังไงต่อดีล่ะ?” ทาเทียน่าถาม
    “ถ้าหมายความว่า จะไปทางไหน  ฉันก็บอกได้เลยว่าไม่รู้” แซมมวลตอบ
    “ทุ่งหญ้านี้ก็กว้าง  มองไปทางไหนๆก็เจอแต่ป่าเจอแต่ภูเขา” โจนาธานบอก
    “แล้วอีกอย่าง  ยังมีสายตานับร้อยรวมถึงรังสีอาฆาตที่ไม่คิดจะปิดบังแผ่พุ่งมายังกลุ่มพวกเราเสียด้วย” ทุกคนพยักหน้าตามที่ตนรู้สึกไม่เฉพาะเพียงธีโอดอร่าเท่านั้น
    ฟิ้ววววว...ตุบ...
    ทันใดนั้นก็ปรากฏชายอายุประมาณ 20 ปลายๆจากบนฟ้าลงมา  เขาใส่เสื้อแขนยาวสีหยก  กางเกงเลตัวโคร่งสีดำ  ผมที่มัดเป็นหางม้าสีบลอนด์ภายใต้หมวกแก๊ปสีแดง  กำลังถือสมุดเล่มบางอยู่พลางใช้สายตามองไล่ไปทีละคนที่ยืนงงด้วยความไม่เข้าใจ
    “อ้า  เด็กใหม่ล่ะสิท่า  หึๆๆๆอย่างนี้ก็สวย  จะเจาะระบบใครดีหว่า  16 หรือ 12  ฮืมๆๆ  อ้า  งั้นเอายัยเด็กสีผมต่างจากคนอื่นดีกว่า  เดอะทวิน ออน! (The Twin On!) โจมตีใส่เด็กนี่ซะ!” เขาพูดเสียงดังขณะคีบกระดาษสี่เหลี่ยมผืนผ้าในแนวตั้งชูขึ้นตรงหน้า  และแล้วแสงสีเหลืองรูปร่างคล้ายกับลูกไฟขนาดใหญ่ก็พุ่งออกจากกระดาษแผ่นนั้นตรงมายังผู้ที่โดนหมายหัวไว้  สี่คนวิ่งหนีมันไปคนละทิศละทางเพื่อหลบอะไรบางอย่างไม่ให้เข้ามาหาตน  ทาเทียน่าพยายามอย่างยิ่งที่จะให้ตัวพ้นไปจากเส้นทางที่ลูกไฟลอยตาม  แต่ทำอย่างไรก็หลบไม่ได้เสียที  แม้จะหลบตรงโน้นหลบตรงนี้  ปีนป่านซ้ายขวา  ล้มลุกคลุกคลานก็แล้ว  ลูกไฟก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดหรือชะลอความเร็วลง
    “ธัญญ่า! ระวัง!” ธีโอดอร่าตะโกนเตือนบอก  เพราะในขณะที่เพื่อนกำลังก้มตัวหายใจหอบนั้น  ลูกไฟก็พุ่งลงมาจากด้านบน  ผู้ถูกเรียกหันมาหาต้นเสียงแล้วมองไปที่ทิศทางที่เธอชี้  มันก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
    ไม่ทันแล้ว...เธอร้องอยู่ในใจพลางยกศอกขึ้นหมายป้องกัน  ลูกไฟแผ่ขยายกว้างและกำลังจะเข้าสู่ส่วนศีรษะของเธอ
    “เดอะเชนจ์ ออน! (The Change On!)” แสงสีฟ้ารูปร่างคล้ายลูกอ๊อดที่มีเฉพาะขาคู่หน้าพุ่งตรงมาในแนวราบปะทะกับลูกไฟสีเหลืองในแนวดิ่ง  เกิดเสียงดังตูมสนั่นหวั่นไหวไปทั่วบริเวณนั้น  สองแสงบรรจบกันเป็นหนึ่งสายตกสู่ก้อนหินก้อนหนึ่ง  เกิดหินก้อนใหม่ที่มีลักษณะเหมือนก้อนหินเดิมทุกประการหลังจากสองแสงสลายไปพร้อมๆกับม่านควัน
    สามสหายและทาเทียน่าหันไปมองผู้ที่เข้ามาช่วยเหลือในยามคับขัน  รวมถึงชายคนนั้นก็หันไปมองผู้ที่บังอาจเสนอหน้ามายุ่มย่ามกับงานของตนที่เกือบจะสำเร็จ  ไม่มีใครผิดหวังเพราะร่างเล็กในเสื้อตัวหลวมแขนกว้างยาวสีทับทิมสดกับฮาคามะสีขาว กำลังเดินมาพร้อมกับสายลมที่พัดให้ต้นไม้ใบหญ้าต้องเอนลู่ลงไม่อาจต้านขวางทางได้  ใบหน้าที่ถูกซ่อนภายใต้ฮู้ดของเสื้อคลุมสีดำทำให้ดูไม่ถนัดว่าเป็นหญิงหรือชาย  แต่อะไรบางอย่างในนั้นมีพลังที่ทำให้ชายผู้สนุกกับเล่นงานคนไม่สามารถขยับเขยื้อนไปได้  มือยาวๆย่นๆค่อยๆยกขึ้นมาเตรียมที่จะทะลวงท้อง  และคงได้เห็นเลือดกระฉูดสดๆร้อนๆกับตาตัวเองแน่ถ้าเขาไม่ “เดอะจัมพ์ ออน! (The Jump On!)” กระโดดลอยหายไปเสียก่อน
    “ฮึ  พลาดจนได้” ดูเหมือนเจ้าตัวจะอารมณ์บูดเพราะเหยื่อหลบหนีไปแบบเส้นยาแดงผ่าแปด  เป็นที่น่าเสียดายเพราะโอกาสดีๆแบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆเลย  เหมือนเพิ่งรู้สึกตัวว่ากำลังถูกมอง  เขาจึงค่อยๆหันมาเผชิญหน้าด้วย  ดูเหมือนว่าสิ่งที่ทำให้คนอื่นๆต้องขนพองสยองเกล้าคือ คู่นัยน์ตาสีแดงฉานดั่งโลหิตเปล่งประกายออกมาจากเงามืด  มันกำลังจับจ้องมายังผู้ที่เคยตกเป็นเป้าหมายในการลักข้อมูล  อำนาจราวกับฟอนไฟที่คอยเผาไหม้สสารให้เหลือเพียงเถ้าธุลี  น่ากลัวคลับคล้ายนัยน์ตาแห่งซาตานผู้จ้องจะทำลาย  ต่างกับนัยน์ตาสีเทาที่บัดนี้เต็มไปด้วยความชาเย็นสะท้านยะเยือกประดุจคมมีดแห่งวายุคอยเชือดเฉือนแล่เนื้อที่ละเล็กละน้อยไปทั่วสรรพางค์
    เขาหยุดฝีเท้าลงเมื่อรู้ว่าตนกำลังจะโดนล้อม  เบื้องหน้ามีเด็กชายอายุราวๆกับเด็กหญิงที่ตนกำบังไว้  เบื้องซ้ายคือเด็กหนุ่มที่มีหอกสีเขียวพสดอยู่บนบ่าทั้งสองข้าง  เบื้องขวาคือเด็กหนุ่มที่ชี้ตะเกียบขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณครึ่งนิ้ว ยาวประมาณฟุตหนึ่ง มาหาคล้ายพ่อมดผู้กำลังข่มขวัญศัตรูด้วยการชี้ไม้กายสิทธิ์  ดูท่าคงต้องใช้ความพยายามมากเสียหน่อยแล้ว  แม้ว่าคนพวกนี้จะมาใหม่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราว  แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นพวกอ่อนหัดไปเสียทีเดียว  เด็กหญิงที่น่าจะเป็นตัวถ่วงของกลุ่มกลับตอบโต้ปฏิกิริยาทางสายตาได้อย่างยอดเยี่ยม  ดูคุ้นๆยังไงชอบกลแฮะ  เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนเมื่อนานมาแล้ว
   
    เมื่อเกิดความไม่แน่ใจ  สิ่งที่ทำได้คือการพิสูจน์ความจริง  เขาเคลื่อนตัวฝ่าวงล้อมออกตรงช่องว่างที่มีด้วยความเร็วปานพายุ  ไม่ถึงวินาทีก็เข้าประชิดตัวบุคคลผู้ที่เหล่าสหายให้ความสำคัญถึงขนาดออกตัวอารักขา  แขนขวาโอบไหล่ไว้โดยมีกริชคอยจ่อคอเตรียมปาดตลอดเวลา  แขนซ้ายพยายามรัดตัวไม่ให้ดิ้นหลุดไปได้  โชคดีหน่อยที่พอจสูงกว่าบ้างเล็กน้อยก็ยังดี  แต่ไม่ช่วยให้งานสำเร็จง่ายดังที่คาดไว้
    ฟุดฟิดๆๆ...กลิ่นหอมแบบนี้...จะใช่หรือเปล่าน้า...
    เพียงแค่เผลอไปนิดเดียวก็ทำให้แผนการพังครืนลงมาไม่เป็นท่า  ตัวประกันอาศัยจังหวะที่แขนทั้งสองผ่อนคลายลง  ง่ามนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้สอดจับข้อมือทางด้านล่าง  ศีรษะหันไปทางซ้ายพร้อมกับยกแขนขึ้นแล้วถอยออกมาจากวงแขนที่กุมอาวุธพลางบิดไปไพล่หลัง  แรงบีบข้อมือทำให้เขาจำต้องปล่อยกริชให้แก่ตัวประกันที่รอดตัวออกเป็นอิสระได้  แล้วทาเทียน่าก็บุ้ยใบ้ให้คนที่เหลือเลิกผ้าออก
    “นี่มัน...!” เสียงอุทานจากแซมมวลดังขึ้นเบาๆ
    ก็แน่ล่ะ  จะไม่ให้ตกใจได้ยังไง  ในเมื่อคนที่อยู่ในเสื้อสีแดงเป็นเด็กผู้หญิง!
       
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น