ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : II ภารกิจ
    “คุณหนูหลับแล้วใช่มั้ย?”
    “อือ  แล้วเจ้าจะกลับหรือจะอยู่ค้างที่นั่นเลย?”
    “เจ้าบอกคุณหนูด้วยว่า เจอกันที่โรงเรียน”
    “ไว้ใจได้เลย”
    “แล้วเจอกัน”
    “แล้วเจอกัน”
    แผ่นกระดานลอยสูงขึ้นก่อนจะทะยานนำร่างภายใต้แสงนวลผ่องของจันทราสู่ประสาทขนาดใหญ่ที่มีแสงไฟสาดส่องฉายไปรอบๆหลัง  ตามเส้นทางมีโคมแขวนเรียงรายตลอดสองฝั่ง  หน้าต่างบ้านเรือนปิดสนิท  บ้างก็เห็นแสงวับๆแวมๆลอดออกมา  บ้างก็มืดดำ  บนท้องถนนเกือบเงียบและว่างเปล่า  การสัญจรบางมากต่างกับช่วงเวลากลางวัน  สายลมเย็นพัดผ่านตลอดเวลา  นานเข้าก็รู้สึกหนาวได้เหมือนกัน
   
    การเดินทางเพียงลำพังของเด็กหนุ่มอยู่ในสายตาของร่างสูงภายใต้ชุดคลุมสีดำสนิทที่คลุมมิดชิดตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าที่ยืนเหยียบอยู่บนหลังคา  ใบหน้าซ่อนไว้ถายในหมวกคลุมต้องแสงสีเงินเพียงบางส่วน  เผยให้เห็นจมูกโด่งเป็นสันกับริมฝีปากที่เหยียดคลี่ออกบางๆ  พลันแล้วเขาก็กระโดดไปที่หลังคานี้หลังคาโน้นสะกดรอยตาม
    แซมมวลลงกลอนปิดประตูแล้วขึ้นข้างบน  ก่อนจะทรุดนั่งที่ปลายเบาะของเจ้าร่างเล็กที่นอนไม่รู้เรื่องรู้ราว  เขาหลับตาแล้วเข้าสู่การหลับพักผ่อน  ทันใดนั้นหน้าต่างก็เปิดผางออก  ลมแรงพัดผ่านเข้ามาข้างในปลุกให้เขาตื่นขึ้นแล้วลุกไปปิด
    นี่ถ้าอยู่คนเดียวแล้วไฟไหม้บ้านสงสัยยัยคุณหนูคงไม่รอด
   
    เขาเดินมาลูบหัวเธอเบาๆแล้วกลับไปนอนต่อในท่านั่งตามเดิม
                                                                        * * * * * * * *
   
    มันเป็นใคร?
    คำถามนี้วกวนอยู่ในสมองผมระหว่างอาบน้ำ  ร่างในชุดดำที่สะกดรอยตาม  ความสูงที่มากกว่า  แต่เขากลับไม่มีขา! ไม่มีเลย  มันเป็นตัวอะไรกันแน่  แล้วมันมีจุดประสงค์อะไร
   
    “ฮะๆๆ  เป็นนายจริงๆด้วย  ไม่ได้เห็นแบบนี้กี่ปีแล้วนะ” เสียงห้าวที่เริ่มแตกพานเอ่ยมาจากทางประตูฝั่งซ้าย  ร่างของเด็กหนุ่มผู้ที่มีหน้าตาท่าทางลักษณะรูปร่างเหมือนกับคู่สนทนาทุกประการ  เว้นแต่เพียงทรงผมที่ค่อนข้าวยาว  ไม่ได้ตั้งชี้ๆเช่นโจนาธาน
    “สี่ โดยประมาณ” คราวนี้เป็นเสียงแหลมเล็กเรียบเย็นจากประตูทางฝั่งขวา  เด็กสาวผมยาวที่มีใบหน้าเลียนมาจากคู่แฝดไม่ผิดเพี้ยน  ทำให้ใครต่อใครก็พิศวงสงสัยมาเยอะพอสมควร  ถ้าเธอผมสั้นและไม่มีส่วนเว้าโค้งล่ะก็  คงปั่นหัวผู้อื่นได้ไม่ยาก
    “แล้วอีกนานกว่าจะกลับ” ผมเสริมบท
    “เผลอๆอาจไม่ได้กลับมาอีกเลยก็ได้” โจเซฟว่า
    “ถ้านายดวงไม่ดีนะ”
    “หมายความว่า...?”
    “ท่านพ่อจะมอบหมายภารกิจให้นาย  เตรียมใจไว้ให้ดีเถอะ”
    “อะไร?”
    “แล้วนายก็จะรู้เอง” โจเวียลิลตัดบทกลางคัน  กันการสนทนาที่ยืดเยื้อ
    ผมสังหรณ์ใจว่า  สิ่งที่ท่านพ่อจะให้ทำนั้นคงเป็นงานระดับช้าง  อาจต้องพาชีวิตเข้าไปเสี่ยง  อาจตายได้  ผมมองเห็นบรรดาเทือกเขาอยู่ลางๆข้างหน้าในม่านหมอกมัวชวนให้ถอดใจเสียแล้ว
    “โอ้จอน  ลูกโตขึ้นมาเลยนะ” เสียงนุ่มๆเอ่ยขึ้นอย่างดีใจก่อนที่ผู้พูดจะลุกก้าวเข้ามาโอบกอดร่างที่มาเยือน
    “นั่งลงก่อนซิ  คืนนี้ต้องคุยกันยาว...จะเข้าก็เข้ามาเถอะจอช จอลลี่”
    “ท่านพ่อจะให้ผมทำอะไร?”
    “แล้วรู้อะไรมาบ้าง?”
    “ทุกอย่าง”
    “ดี  งั้นก็เข้าเรื่องได้  เจ้ารู้ถึงเหตุผลที่คิงองค์ใหม่แห่งอัสรานเนียฆ่าองค์เก่าหรือไม่?”
    “คิดว่า...รู้...แต่ไม่แน่ใจว่าจะเกี่ยวกับ...เรื่องนั้นหรือเปล่า...กุญแจ”
    “พูดตรงจุด  ใช่  เป็นประเพณีการผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน  คิงจะบอกความลับสุดยอดแก่ผู้ที่จะมาเป็นต่อโดยมิได้เปิดเผยแก่ใครๆทั้งสิ้น  ความลับสุดยอดนี้ว่ากันว่าเป็นกุญแจแห่งอำนาจครองโลก  ซึ่งเดิมทีคริสเตียนเป็นแค่เจ้าชายองค์รอง  แต่เพราะบิดาท่าน  จึงได้เป็นคิงแทนมกุฎราชกุมาร”
   
      “แล้ว...”
    “ชาร์ลส์แค้นเสียยกใหญ่ที่ไม่ได้อำนาจตามที่หวัง  แถมยังถูกถอดยศลงเป็นเจ้าชายธรรมดาเพราะแฝดคนโตได้ตำแหน่งนี้ไป” จักพรรดิเริ่มแย้มพระโอษฐ์
    “นิโคลัส”
    “ดังนั้นการแสวงหาอำนาจจึงเกิดขึ้น  พอรู้เรื่องกุญแจก็เลยพยายามเค้นออกมาจากปากผู้รู้  พอดีมีเรื่องควีนท่านมาพันด้วย  คราวนี้ก็เลยจับคั้นซะเลย  ผลก็คือตัวเองได้นั่ง  แต่กลับไม่ได้เรื่อง  แถมมกุฎราชกุมารยังหนีรอดอีกต่างหาก  สนุกกับชีวิตได้ก็คราวนี้แหละ  ฮ่าๆๆๆๆ” สรวลเสียงดังก้องโดยไม่ปิดบังหรือรักษาภาพลักษณ์แห่งผู้ปกครองจักรวรรดิเลยสักนิด
    “งั้นที่ท่านจะบุกคราวนี้...”
    “จะได้หาตัวเจ้าของที่นั่งพบเร็วๆไง  บางทีอาจช่วยให้รอดจากการถูกล่าก็ได้  เจ๋งมั้ยล่ะไอ้ลูกชาย” ราชาธิราชกลับกลายเป็นเจ้าชายหนุ่มขี้เล่นอีกครั้ง
    เฮ้อ!
    ผมถอนหายใจโดยไม่แสดงอาการ  เมื่อเห็นท่าทางท่านพ่อที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่ยังจำความได้จนถึงปัจจุบัน  ความเคร่งขรึมเอาการเอางานและปัญญาความสามารถถูกซ่อนไว้แนบเนียนภายใต้ความตลกโปะฮาอารมณ์ขัน  แต่ที่ทำให้เหล่าเสนาบดีมุขอำมาตย์ต้องหวั่นเกรงคือนัยน์ตาที่ลุกโชนวาวระยับกับเสียงเยียบเย็นยะเยือกชวนเสียวสันหลังวาบไปตามๆกัน  คงมีเพียงท่านแม่ละมังที่ท่านเกรงใจไม่กล้าแสดงใส่  แต่กับคนอื่นล่ะไม่เว้นแม้กระทั่งพวกลูกๆอย่างผม
   
    “แถมยังเป็นคู่หมั้นด้วยนา”
    “ท่านพ่อ!” ใบหน้าขึ้นสีแดงจัดด้วยความเขินอายก่อนจะถูกกลบเกลื่อนให้เป็นปกติ
    “แล้วจะให้ผมทำอะไร?”
    “ตามหากุญแจนรกนั่นซิ  เผื่อๆจะได้รู้เคล็ดลับวิชาครองโลกบ้าง  ล้อเล่นน่าจอน  ตามหาเพื่อป้องกันและส่งต่อต่างหาก  เข้าใจใช่ไหม?”
    “ครับ”
    “ฮ่าๆๆ  ฉลาดมากไอ้ลูกแมว  อีกหน่อยคงได้ลูกเสือล่ะ”
    “แล้วเมื่อไหร่ผมจะได้เป็นเสือเต็มตัวล่ะฮะ?”
    “เมื่อวันนั้นมาถึงไง ฮ่าๆๆๆๆ”
    เฮ้อ! พ่อนะพ่อ  จะตอบดีๆก็ไม่ได้
    “ง่า  แต่ได้ข่าวมาว่าไปรับเลี้ยงเด็กเรอะพ่อนักบุญ”
    “ไม่ใช่นะฮะ  รับเป็นน้องต่างหาก  คืองี้ฮะ...” ผมต้องชี้แจงรายละเอียดตั้งแต่ต้น  ท่านพ่อก็ยังฉาบรอยยิ้มไว้ที่ใบหน้า  ส่วนท่านแม่นั้นบางครั้งก็บกมือขึ้นทาบอกด้วยความตกใจ บางครั้งก็พึมพำด้วยความรู้สึกสงสาร  จอชนั่งทำท่าเหมือนจะบอกว่า เบื่อที่จะฟัง  ส่วนจอลลี่นั้นวิเคราะห์อะไรต่อมิอะไรเต็มไปหมด
   
    “ชัดๆช้า  มกุฎราชกุมารแห่งซานาร์กันด์จะกลายเป็นเจ้าชายอาสาสงเคราะห์ซะแล้ว” จักรพรรดิทรงหยอกพระโอรสองค์โตในบรรดาแฝดสามคน
    “แม่อยากเห็นหน้าหนูธัญญ่าจังเลย  โถๆๆ น่าสงสาร  ยังเด็กยังเล็กอยู่เลย” ท่านแม่ผมก็ยังมีจิตใจเมตตากรุณาล้นฟ้าเช่นเคย
    “แหม ท่านแม่  ยัยเด็กตัวกะเปี๊ยกนี่ก็ร้ายทีเดียวเชียวนา  ท่านไม่ได้ยินเหรอ  เธอสามารถครอบครอง ‘เอ็นลิล’ ที่จอนเคยฝันไว้ได้ด้วย  อันที่จริงผมก็อยากเห็นหน้าเหมือนกันแหละ” จอชว่า
    “อ้าว!? ไหนลูกบอกว่าเรียนที่เดียวกันไง  แล้วทำไม...?”
    “ท่านแม่! ถ้าคุณหนูรู้ว่าผมมีแฝดล่ะก็  แม่คุณคงซักจนสะอาดทีเดียวเชียวล่ะ  คราวนี้ก็คงรู้หมดไส้หมดพุงกันแน่ๆ  แค่นี้ก็เกือบปิดไม่มิดแล้ว”
   
      “นายเคยสังเกตอะไรเกี่ยวกับธัญญ่าบ้างมั้ย?” เสียงเย็นทุกสถานการณ์ของจอลลี่เอ่ยขึ้นบ้าง
    “อย่างเช่น  ของในสัมภาระ”
    “ก็ไม่ค่อยนะ  ชั้นไม่เห็นว่าน่าสนใจ  แต่...ใช่แล้ว  คุณหนูห้อยจี้แซฟไฟร์สีน้ำเงินม่วงที่คอตลอดเวลาเลย  ไม่เคยถอดซักครั้งแม้แต่เวลาอาบน้ำ  คราวนั้นสายสร้อยขาดแล้วมันหาย  ร้องไห้ได้ทั้งวัน  แถมเกือบพังบ้านซะอีก”
    “รูปพรรณล่ะ?”
    “จำได้ลางๆนะ  แต่ไม่แน่ใจ”
    “ใช่...แซฟไฟร์สีน้ำเงินที่เจียระไนหลังเบี้ยทงสูงมีใบไม้เงินคู่ล้อมด้านบน  ตัวพลอยมีลำแสงตัดกันสามสาย...หรือเปล่า?”
    “คิดว่า...เอ...ใช่...ใช่ๆ...ตรงเป๊ะเลย”
    “แน่ใจ?”
    “ชัวร์ป้าบ  ร้อยเปอร์เซ็นต์”
   
    โจเวียลิลถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะมองหน้าแฝดคนโตด้วยสายตาที่จางความเยือกเย็นลงอย่างมากทำให้ใบหน้าละมุนละไมน่ารักดึงดูดชวนหลงใหลอย่างไม่เคยพบมาก่อน  ซึ่งโจเซฟเคยบอกว่า ถ้าวันไหนน้ำแข็งละลาย วันนั้นน้ำจะท่วมหลังเป็ด  ซึ่งคืนนี้เขาก็พึมพำว่า ต้องรีบย้ายข้าวของขึ้นที่สูงโดยด่วน
 
    “นาย...รู้ไหมว่าตัวเองโชคดีมีบุญมาก?” เธอถามขึ้น
    “ดูแลเธอให้ดีเถอะ”
    “พูดอะไรน่ะจอล! จะบอกว่าจอนโชคดีที่รับยัยตัวร้ายมาเลี้ยงเหรอ  พูดม้าๆไปได้”
    “นาย...ไม่รู้อะไรแล้วอย่าพูด” น้ำเริ่มเข้าสู่จุดเยือกแข็ง
    “แล้วลูกรู้อะไรบ้างล่ะจ๊ะ  บอกแม่หน่อยซี”
    “เท่าที่สมองประมวลมานะแม่  เด็กที่จอนดูแลไม่ใช่แค่เด็กกำพร้าจากการถูกโจรปล้นฆ่าตามที่เธอเล่าหรอกค่ะ  เธอเป็นอะไรที่พิเศษกว่านั้น”
   
    “แม่มดปลอมตัวมางั้นซี”
    “จอช  นายเลิกสอดกลางคันซะก่อนซิ  ชั้นยังเล่าไม่จบ  คืองี้ค่ะแม่  วันที่จอนไปเจอเธอคือวันรุ่งขึ้นของการโค่นคิงอัสรานเนียองค์เก่า  เธอมีเครื่องรางที่สั่งทำพิเศษ  เธอบอกว่าเธอชื่อ ธัญญ่า มาร์เซย...”
    “แล้วไงไม่ทราบครับ”
    “จะแล้วไงล่ะยะ  ก็หัดคิดตามซะบ้าง  ถ้าพิจารณาดูดีๆนะคะ  เธอต้องเป็นเจ้าหญิงองค์ที่สามที่ชื่อ ทาเทียน่าแน่ๆ”
    “เฮ่ย!” จอชอุทานอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ตนได้ยินพลางทำตาปริบๆ
    “โม้แหลก...”
    “ไม่มั่วไม่โม้ไม่โกหกด้วย  จริงๆย่ะ”
    “ไม่เชื่อ!”
    “จริงๆ”
    “ขี้จุ๊เบ่เบ๊”
    “พูดจริง! จริงๆนะ  ไม่เชื่องั้นเหรอ?”
    “เชื่อก็บ้าแล้ว  ไม่แน่นอน”
    “ก็ได้  งั้นถามเจ้าตัวให้รู้ๆกันไปเลยดีกว่า  เชิญเถอะค่ะ น้องหญิง  แอบฟังไม่ดีนะคะ”
   
    ทุกคนหันตามโจเวียลิลไปทางประตูพลางรอดูว่าอะไรจะเกิดขึ้น  ชั่วครู่ประตูก็เปิดออกเบาๆเผยให้เห็นคนในผ้าคลุมที่สะกดรอยตามโจนาธานมา  พอเขาเลิกหมวกออก  เจ้าชายเธอก็หน้าเหวอทันทีด้วยความตกใจ    เพราะคุณหนูที่เขารู้จักนั้นเตี้ยกว่าที่เห็นมาก  แต่ก็ถึงบางอ้อไปส่วนหนึ่งเพราะตัวเธอลอยอยู่จึงไม่เห็นขาโผล่ออกมา
    “คุณหนู...ธัญญ่า...” ถ้อยคำหลุดออกมาเบาๆภายใต้แก้มที่ขึ้นสีมะเขือเทศแล้วกลับซีดขาวสลับกันไป
    ผมมองเจ้าตัวอนามัยจัดที่กำลังย่อขาทำความเคารพท่านพ่อท่านแม่ด้วยอาการสั่นประหม่าออกจะขัดเขิน  แล้วหันมาโค้งคำนับเราที่เหลืออีกสามคน  ดวงหน้าเธอดูซีดเซียวและค่อนข้างดูเยือกเย็นไปกว่าเดิม  ทำให้บรรยากาศรอบตัวผมใกล้เขตหลอมเหลวเต็มที
 
    “ธัญ...ญ่า...”
    “เนี่ยน่ะเหรอ คนเก่งคนดัง  ยังเด็กๆอยู่เลยนี่  ไหน ขอพี่ชายดูเอ็นลิลหน่อยซี  ท่าจะมีอนาคตรุ่งโรจน์โชติช่วงชัชวาลชัวร์ๆ” จอชยังคงติดตลกเหมือนเดิมทุกสถานการณ์ตั้งแต่เด็กกระทั่งปัจจุบันและอาจจะต่อไปอีกในอนาคต
    ผมเห็นเธอล้วงเอาของที่ว่านั่นจากกระเป๋าชุดคลุมด้านในส่งต่อให้เจ้าน้องชายฝาแฝดที่ทั้งตาลุกวาวเท่าไข่ไก่  ตัวสั่นยิกๆ  และมีเหงื่อออกมาบางๆ  ส่วนน้องสาวฝาแฝดนั้นเหมือนเธอกำลังโกรธอยู่เพราะสายตาที่มองดูเย็นชาเสียเหลือเกิน
    “หนักแฮะ  น้องหญิงไม่หนักบ้างหรือคะ?” เป็นเสียทุกทีไปที่ชอบพูดคะขาหยอกล้อเล่นสนุกกับผู้เยาว์ต่างเพศเมื่อรู้สึกถูกชะตาด้วย
    “จอช...ถอยไป” น้ำเสียงชวนขนพองสยองเกล้าดังมารวดเร็ว
    “ใครก็ได้ไปเชิญพิทคาร์กให้มาที่นี่ด่วน”
    พิทคาร์ก...ใคร?...ผมจำได้ว่าไม่เคยมีชื่อนี้ผ่านหูผ่านตามาเลย  ถึงแม้ว่าผมจะอยู่นอกวัง  แต่ผมก็รับรู้ข่างสารความเป็นไปภายในได้จากจดหมายนกพิราบที่ติดต่อกับจอชและจอล  รวมถึงนักสืบ(อาจจะสอดด้วย) อย่างแซม
    ทหารองครักษ์สองนายนำตัวคนคนนั้นมาให้ตามคำสั่ง  เขายังเป็นเพียงเด็กผู้ชายตัวเล็กๆที่ค่อนข้างอ้วน  แก้มยุ้ย  ผมเสยตั้ง  ท่าทางดูตื่นๆและหวาดกลัวสิ่งรอบข้างโดยดูจากอาการตัวสั่น  เหงื่อไหลไคลย้อย  ใบหน้าขาวเผือด  ดวงตามองไปมองมา
    “ขอบใจ  ไปได้แล้ว” เธอบอกแก่พวกเขาทั้งคู่
    “เอาล่ะ  สำหรับคนที่ชอบเล่นซ่อนหา  ถ้านับถึงสามยังไม่ออกมาล่ะก็  เด็กนี่...ตายแน่”
    “เฮ่  เดี๋ยวก่อนสิ  ชั้นยังคุยกับน้องหญิงไม่จบเลยนะ  อย่า...”
    “อย่าเพิ่งยุ่งจะได้มั้ย?” เสียงเย็นยอกย้อนขัดเสียก่อน
    “หนึ่ง”
    “จอลลี่!” คราวนี้เป็นทีของจอชที่เหลืออดแล้ว
    “สอง”
    “จอล...” ผมลองเสี่ยงเรียกเธอดูบ้าง
    “อยู่เฉยๆก่อนน่าจอน  สุดท้ายแล้วนะ  สาม!”
    ปัง!
    พลันนั้นประตูก็เปิดออก  ที่พัดเข้ามาคือลมกรรโชกอย่างรุนแรงทำเอาฝาแฝดชายต้องยกแขนขึ้นต้าน  แต่หญิงสาวยังคงนั่งไม่สะทกสะท้านใดๆ  ส่วนเด็กชายกับเด็กหญิงนั้นก็ถูกโอบล้อมกันโดยจักรพรรดิและจักรพรรดินี  เมื่อลมสงบจึงปรากฏร่างร่างหนึ่งที่เขย่าขวัญเจ้าชายทั้งสองให้ตกอยู่ในวังวนแห่งความกลัวในทันที  แต่สำหรับโจเวียลิลนั้นกลับยิ้มอย่างชื่นบานอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน   
    “อือ  แล้วเจ้าจะกลับหรือจะอยู่ค้างที่นั่นเลย?”
    “เจ้าบอกคุณหนูด้วยว่า เจอกันที่โรงเรียน”
    “ไว้ใจได้เลย”
    “แล้วเจอกัน”
    “แล้วเจอกัน”
    แผ่นกระดานลอยสูงขึ้นก่อนจะทะยานนำร่างภายใต้แสงนวลผ่องของจันทราสู่ประสาทขนาดใหญ่ที่มีแสงไฟสาดส่องฉายไปรอบๆหลัง  ตามเส้นทางมีโคมแขวนเรียงรายตลอดสองฝั่ง  หน้าต่างบ้านเรือนปิดสนิท  บ้างก็เห็นแสงวับๆแวมๆลอดออกมา  บ้างก็มืดดำ  บนท้องถนนเกือบเงียบและว่างเปล่า  การสัญจรบางมากต่างกับช่วงเวลากลางวัน  สายลมเย็นพัดผ่านตลอดเวลา  นานเข้าก็รู้สึกหนาวได้เหมือนกัน
   
    การเดินทางเพียงลำพังของเด็กหนุ่มอยู่ในสายตาของร่างสูงภายใต้ชุดคลุมสีดำสนิทที่คลุมมิดชิดตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าที่ยืนเหยียบอยู่บนหลังคา  ใบหน้าซ่อนไว้ถายในหมวกคลุมต้องแสงสีเงินเพียงบางส่วน  เผยให้เห็นจมูกโด่งเป็นสันกับริมฝีปากที่เหยียดคลี่ออกบางๆ  พลันแล้วเขาก็กระโดดไปที่หลังคานี้หลังคาโน้นสะกดรอยตาม
    แซมมวลลงกลอนปิดประตูแล้วขึ้นข้างบน  ก่อนจะทรุดนั่งที่ปลายเบาะของเจ้าร่างเล็กที่นอนไม่รู้เรื่องรู้ราว  เขาหลับตาแล้วเข้าสู่การหลับพักผ่อน  ทันใดนั้นหน้าต่างก็เปิดผางออก  ลมแรงพัดผ่านเข้ามาข้างในปลุกให้เขาตื่นขึ้นแล้วลุกไปปิด
    นี่ถ้าอยู่คนเดียวแล้วไฟไหม้บ้านสงสัยยัยคุณหนูคงไม่รอด
   
    เขาเดินมาลูบหัวเธอเบาๆแล้วกลับไปนอนต่อในท่านั่งตามเดิม
                                                                        * * * * * * * *
   
    มันเป็นใคร?
    คำถามนี้วกวนอยู่ในสมองผมระหว่างอาบน้ำ  ร่างในชุดดำที่สะกดรอยตาม  ความสูงที่มากกว่า  แต่เขากลับไม่มีขา! ไม่มีเลย  มันเป็นตัวอะไรกันแน่  แล้วมันมีจุดประสงค์อะไร
   
    “ฮะๆๆ  เป็นนายจริงๆด้วย  ไม่ได้เห็นแบบนี้กี่ปีแล้วนะ” เสียงห้าวที่เริ่มแตกพานเอ่ยมาจากทางประตูฝั่งซ้าย  ร่างของเด็กหนุ่มผู้ที่มีหน้าตาท่าทางลักษณะรูปร่างเหมือนกับคู่สนทนาทุกประการ  เว้นแต่เพียงทรงผมที่ค่อนข้าวยาว  ไม่ได้ตั้งชี้ๆเช่นโจนาธาน
    “สี่ โดยประมาณ” คราวนี้เป็นเสียงแหลมเล็กเรียบเย็นจากประตูทางฝั่งขวา  เด็กสาวผมยาวที่มีใบหน้าเลียนมาจากคู่แฝดไม่ผิดเพี้ยน  ทำให้ใครต่อใครก็พิศวงสงสัยมาเยอะพอสมควร  ถ้าเธอผมสั้นและไม่มีส่วนเว้าโค้งล่ะก็  คงปั่นหัวผู้อื่นได้ไม่ยาก
    “แล้วอีกนานกว่าจะกลับ” ผมเสริมบท
    “เผลอๆอาจไม่ได้กลับมาอีกเลยก็ได้” โจเซฟว่า
    “ถ้านายดวงไม่ดีนะ”
    “หมายความว่า...?”
    “ท่านพ่อจะมอบหมายภารกิจให้นาย  เตรียมใจไว้ให้ดีเถอะ”
    “อะไร?”
    “แล้วนายก็จะรู้เอง” โจเวียลิลตัดบทกลางคัน  กันการสนทนาที่ยืดเยื้อ
    ผมสังหรณ์ใจว่า  สิ่งที่ท่านพ่อจะให้ทำนั้นคงเป็นงานระดับช้าง  อาจต้องพาชีวิตเข้าไปเสี่ยง  อาจตายได้  ผมมองเห็นบรรดาเทือกเขาอยู่ลางๆข้างหน้าในม่านหมอกมัวชวนให้ถอดใจเสียแล้ว
    “โอ้จอน  ลูกโตขึ้นมาเลยนะ” เสียงนุ่มๆเอ่ยขึ้นอย่างดีใจก่อนที่ผู้พูดจะลุกก้าวเข้ามาโอบกอดร่างที่มาเยือน
    “นั่งลงก่อนซิ  คืนนี้ต้องคุยกันยาว...จะเข้าก็เข้ามาเถอะจอช จอลลี่”
    “ท่านพ่อจะให้ผมทำอะไร?”
    “แล้วรู้อะไรมาบ้าง?”
    “ทุกอย่าง”
    “ดี  งั้นก็เข้าเรื่องได้  เจ้ารู้ถึงเหตุผลที่คิงองค์ใหม่แห่งอัสรานเนียฆ่าองค์เก่าหรือไม่?”
    “คิดว่า...รู้...แต่ไม่แน่ใจว่าจะเกี่ยวกับ...เรื่องนั้นหรือเปล่า...กุญแจ”
    “พูดตรงจุด  ใช่  เป็นประเพณีการผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน  คิงจะบอกความลับสุดยอดแก่ผู้ที่จะมาเป็นต่อโดยมิได้เปิดเผยแก่ใครๆทั้งสิ้น  ความลับสุดยอดนี้ว่ากันว่าเป็นกุญแจแห่งอำนาจครองโลก  ซึ่งเดิมทีคริสเตียนเป็นแค่เจ้าชายองค์รอง  แต่เพราะบิดาท่าน  จึงได้เป็นคิงแทนมกุฎราชกุมาร”
   
      “แล้ว...”
    “ชาร์ลส์แค้นเสียยกใหญ่ที่ไม่ได้อำนาจตามที่หวัง  แถมยังถูกถอดยศลงเป็นเจ้าชายธรรมดาเพราะแฝดคนโตได้ตำแหน่งนี้ไป” จักพรรดิเริ่มแย้มพระโอษฐ์
    “นิโคลัส”
    “ดังนั้นการแสวงหาอำนาจจึงเกิดขึ้น  พอรู้เรื่องกุญแจก็เลยพยายามเค้นออกมาจากปากผู้รู้  พอดีมีเรื่องควีนท่านมาพันด้วย  คราวนี้ก็เลยจับคั้นซะเลย  ผลก็คือตัวเองได้นั่ง  แต่กลับไม่ได้เรื่อง  แถมมกุฎราชกุมารยังหนีรอดอีกต่างหาก  สนุกกับชีวิตได้ก็คราวนี้แหละ  ฮ่าๆๆๆๆ” สรวลเสียงดังก้องโดยไม่ปิดบังหรือรักษาภาพลักษณ์แห่งผู้ปกครองจักรวรรดิเลยสักนิด
    “งั้นที่ท่านจะบุกคราวนี้...”
    “จะได้หาตัวเจ้าของที่นั่งพบเร็วๆไง  บางทีอาจช่วยให้รอดจากการถูกล่าก็ได้  เจ๋งมั้ยล่ะไอ้ลูกชาย” ราชาธิราชกลับกลายเป็นเจ้าชายหนุ่มขี้เล่นอีกครั้ง
    เฮ้อ!
    ผมถอนหายใจโดยไม่แสดงอาการ  เมื่อเห็นท่าทางท่านพ่อที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่ยังจำความได้จนถึงปัจจุบัน  ความเคร่งขรึมเอาการเอางานและปัญญาความสามารถถูกซ่อนไว้แนบเนียนภายใต้ความตลกโปะฮาอารมณ์ขัน  แต่ที่ทำให้เหล่าเสนาบดีมุขอำมาตย์ต้องหวั่นเกรงคือนัยน์ตาที่ลุกโชนวาวระยับกับเสียงเยียบเย็นยะเยือกชวนเสียวสันหลังวาบไปตามๆกัน  คงมีเพียงท่านแม่ละมังที่ท่านเกรงใจไม่กล้าแสดงใส่  แต่กับคนอื่นล่ะไม่เว้นแม้กระทั่งพวกลูกๆอย่างผม
   
    “แถมยังเป็นคู่หมั้นด้วยนา”
    “ท่านพ่อ!” ใบหน้าขึ้นสีแดงจัดด้วยความเขินอายก่อนจะถูกกลบเกลื่อนให้เป็นปกติ
    “แล้วจะให้ผมทำอะไร?”
    “ตามหากุญแจนรกนั่นซิ  เผื่อๆจะได้รู้เคล็ดลับวิชาครองโลกบ้าง  ล้อเล่นน่าจอน  ตามหาเพื่อป้องกันและส่งต่อต่างหาก  เข้าใจใช่ไหม?”
    “ครับ”
    “ฮ่าๆๆ  ฉลาดมากไอ้ลูกแมว  อีกหน่อยคงได้ลูกเสือล่ะ”
    “แล้วเมื่อไหร่ผมจะได้เป็นเสือเต็มตัวล่ะฮะ?”
    “เมื่อวันนั้นมาถึงไง ฮ่าๆๆๆๆ”
    เฮ้อ! พ่อนะพ่อ  จะตอบดีๆก็ไม่ได้
    “ง่า  แต่ได้ข่าวมาว่าไปรับเลี้ยงเด็กเรอะพ่อนักบุญ”
    “ไม่ใช่นะฮะ  รับเป็นน้องต่างหาก  คืองี้ฮะ...” ผมต้องชี้แจงรายละเอียดตั้งแต่ต้น  ท่านพ่อก็ยังฉาบรอยยิ้มไว้ที่ใบหน้า  ส่วนท่านแม่นั้นบางครั้งก็บกมือขึ้นทาบอกด้วยความตกใจ บางครั้งก็พึมพำด้วยความรู้สึกสงสาร  จอชนั่งทำท่าเหมือนจะบอกว่า เบื่อที่จะฟัง  ส่วนจอลลี่นั้นวิเคราะห์อะไรต่อมิอะไรเต็มไปหมด
   
    “ชัดๆช้า  มกุฎราชกุมารแห่งซานาร์กันด์จะกลายเป็นเจ้าชายอาสาสงเคราะห์ซะแล้ว” จักรพรรดิทรงหยอกพระโอรสองค์โตในบรรดาแฝดสามคน
    “แม่อยากเห็นหน้าหนูธัญญ่าจังเลย  โถๆๆ น่าสงสาร  ยังเด็กยังเล็กอยู่เลย” ท่านแม่ผมก็ยังมีจิตใจเมตตากรุณาล้นฟ้าเช่นเคย
    “แหม ท่านแม่  ยัยเด็กตัวกะเปี๊ยกนี่ก็ร้ายทีเดียวเชียวนา  ท่านไม่ได้ยินเหรอ  เธอสามารถครอบครอง ‘เอ็นลิล’ ที่จอนเคยฝันไว้ได้ด้วย  อันที่จริงผมก็อยากเห็นหน้าเหมือนกันแหละ” จอชว่า
    “อ้าว!? ไหนลูกบอกว่าเรียนที่เดียวกันไง  แล้วทำไม...?”
    “ท่านแม่! ถ้าคุณหนูรู้ว่าผมมีแฝดล่ะก็  แม่คุณคงซักจนสะอาดทีเดียวเชียวล่ะ  คราวนี้ก็คงรู้หมดไส้หมดพุงกันแน่ๆ  แค่นี้ก็เกือบปิดไม่มิดแล้ว”
   
      “นายเคยสังเกตอะไรเกี่ยวกับธัญญ่าบ้างมั้ย?” เสียงเย็นทุกสถานการณ์ของจอลลี่เอ่ยขึ้นบ้าง
    “อย่างเช่น  ของในสัมภาระ”
    “ก็ไม่ค่อยนะ  ชั้นไม่เห็นว่าน่าสนใจ  แต่...ใช่แล้ว  คุณหนูห้อยจี้แซฟไฟร์สีน้ำเงินม่วงที่คอตลอดเวลาเลย  ไม่เคยถอดซักครั้งแม้แต่เวลาอาบน้ำ  คราวนั้นสายสร้อยขาดแล้วมันหาย  ร้องไห้ได้ทั้งวัน  แถมเกือบพังบ้านซะอีก”
    “รูปพรรณล่ะ?”
    “จำได้ลางๆนะ  แต่ไม่แน่ใจ”
    “ใช่...แซฟไฟร์สีน้ำเงินที่เจียระไนหลังเบี้ยทงสูงมีใบไม้เงินคู่ล้อมด้านบน  ตัวพลอยมีลำแสงตัดกันสามสาย...หรือเปล่า?”
    “คิดว่า...เอ...ใช่...ใช่ๆ...ตรงเป๊ะเลย”
    “แน่ใจ?”
    “ชัวร์ป้าบ  ร้อยเปอร์เซ็นต์”
   
    โจเวียลิลถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะมองหน้าแฝดคนโตด้วยสายตาที่จางความเยือกเย็นลงอย่างมากทำให้ใบหน้าละมุนละไมน่ารักดึงดูดชวนหลงใหลอย่างไม่เคยพบมาก่อน  ซึ่งโจเซฟเคยบอกว่า ถ้าวันไหนน้ำแข็งละลาย วันนั้นน้ำจะท่วมหลังเป็ด  ซึ่งคืนนี้เขาก็พึมพำว่า ต้องรีบย้ายข้าวของขึ้นที่สูงโดยด่วน
 
    “นาย...รู้ไหมว่าตัวเองโชคดีมีบุญมาก?” เธอถามขึ้น
    “ดูแลเธอให้ดีเถอะ”
    “พูดอะไรน่ะจอล! จะบอกว่าจอนโชคดีที่รับยัยตัวร้ายมาเลี้ยงเหรอ  พูดม้าๆไปได้”
    “นาย...ไม่รู้อะไรแล้วอย่าพูด” น้ำเริ่มเข้าสู่จุดเยือกแข็ง
    “แล้วลูกรู้อะไรบ้างล่ะจ๊ะ  บอกแม่หน่อยซี”
    “เท่าที่สมองประมวลมานะแม่  เด็กที่จอนดูแลไม่ใช่แค่เด็กกำพร้าจากการถูกโจรปล้นฆ่าตามที่เธอเล่าหรอกค่ะ  เธอเป็นอะไรที่พิเศษกว่านั้น”
   
    “แม่มดปลอมตัวมางั้นซี”
    “จอช  นายเลิกสอดกลางคันซะก่อนซิ  ชั้นยังเล่าไม่จบ  คืองี้ค่ะแม่  วันที่จอนไปเจอเธอคือวันรุ่งขึ้นของการโค่นคิงอัสรานเนียองค์เก่า  เธอมีเครื่องรางที่สั่งทำพิเศษ  เธอบอกว่าเธอชื่อ ธัญญ่า มาร์เซย...”
    “แล้วไงไม่ทราบครับ”
    “จะแล้วไงล่ะยะ  ก็หัดคิดตามซะบ้าง  ถ้าพิจารณาดูดีๆนะคะ  เธอต้องเป็นเจ้าหญิงองค์ที่สามที่ชื่อ ทาเทียน่าแน่ๆ”
    “เฮ่ย!” จอชอุทานอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ตนได้ยินพลางทำตาปริบๆ
    “โม้แหลก...”
    “ไม่มั่วไม่โม้ไม่โกหกด้วย  จริงๆย่ะ”
    “ไม่เชื่อ!”
    “จริงๆ”
    “ขี้จุ๊เบ่เบ๊”
    “พูดจริง! จริงๆนะ  ไม่เชื่องั้นเหรอ?”
    “เชื่อก็บ้าแล้ว  ไม่แน่นอน”
    “ก็ได้  งั้นถามเจ้าตัวให้รู้ๆกันไปเลยดีกว่า  เชิญเถอะค่ะ น้องหญิง  แอบฟังไม่ดีนะคะ”
   
    ทุกคนหันตามโจเวียลิลไปทางประตูพลางรอดูว่าอะไรจะเกิดขึ้น  ชั่วครู่ประตูก็เปิดออกเบาๆเผยให้เห็นคนในผ้าคลุมที่สะกดรอยตามโจนาธานมา  พอเขาเลิกหมวกออก  เจ้าชายเธอก็หน้าเหวอทันทีด้วยความตกใจ    เพราะคุณหนูที่เขารู้จักนั้นเตี้ยกว่าที่เห็นมาก  แต่ก็ถึงบางอ้อไปส่วนหนึ่งเพราะตัวเธอลอยอยู่จึงไม่เห็นขาโผล่ออกมา
    “คุณหนู...ธัญญ่า...” ถ้อยคำหลุดออกมาเบาๆภายใต้แก้มที่ขึ้นสีมะเขือเทศแล้วกลับซีดขาวสลับกันไป
    ผมมองเจ้าตัวอนามัยจัดที่กำลังย่อขาทำความเคารพท่านพ่อท่านแม่ด้วยอาการสั่นประหม่าออกจะขัดเขิน  แล้วหันมาโค้งคำนับเราที่เหลืออีกสามคน  ดวงหน้าเธอดูซีดเซียวและค่อนข้างดูเยือกเย็นไปกว่าเดิม  ทำให้บรรยากาศรอบตัวผมใกล้เขตหลอมเหลวเต็มที
 
    “ธัญ...ญ่า...”
    “เนี่ยน่ะเหรอ คนเก่งคนดัง  ยังเด็กๆอยู่เลยนี่  ไหน ขอพี่ชายดูเอ็นลิลหน่อยซี  ท่าจะมีอนาคตรุ่งโรจน์โชติช่วงชัชวาลชัวร์ๆ” จอชยังคงติดตลกเหมือนเดิมทุกสถานการณ์ตั้งแต่เด็กกระทั่งปัจจุบันและอาจจะต่อไปอีกในอนาคต
    ผมเห็นเธอล้วงเอาของที่ว่านั่นจากกระเป๋าชุดคลุมด้านในส่งต่อให้เจ้าน้องชายฝาแฝดที่ทั้งตาลุกวาวเท่าไข่ไก่  ตัวสั่นยิกๆ  และมีเหงื่อออกมาบางๆ  ส่วนน้องสาวฝาแฝดนั้นเหมือนเธอกำลังโกรธอยู่เพราะสายตาที่มองดูเย็นชาเสียเหลือเกิน
    “หนักแฮะ  น้องหญิงไม่หนักบ้างหรือคะ?” เป็นเสียทุกทีไปที่ชอบพูดคะขาหยอกล้อเล่นสนุกกับผู้เยาว์ต่างเพศเมื่อรู้สึกถูกชะตาด้วย
    “จอช...ถอยไป” น้ำเสียงชวนขนพองสยองเกล้าดังมารวดเร็ว
    “ใครก็ได้ไปเชิญพิทคาร์กให้มาที่นี่ด่วน”
    พิทคาร์ก...ใคร?...ผมจำได้ว่าไม่เคยมีชื่อนี้ผ่านหูผ่านตามาเลย  ถึงแม้ว่าผมจะอยู่นอกวัง  แต่ผมก็รับรู้ข่างสารความเป็นไปภายในได้จากจดหมายนกพิราบที่ติดต่อกับจอชและจอล  รวมถึงนักสืบ(อาจจะสอดด้วย) อย่างแซม
    ทหารองครักษ์สองนายนำตัวคนคนนั้นมาให้ตามคำสั่ง  เขายังเป็นเพียงเด็กผู้ชายตัวเล็กๆที่ค่อนข้างอ้วน  แก้มยุ้ย  ผมเสยตั้ง  ท่าทางดูตื่นๆและหวาดกลัวสิ่งรอบข้างโดยดูจากอาการตัวสั่น  เหงื่อไหลไคลย้อย  ใบหน้าขาวเผือด  ดวงตามองไปมองมา
    “ขอบใจ  ไปได้แล้ว” เธอบอกแก่พวกเขาทั้งคู่
    “เอาล่ะ  สำหรับคนที่ชอบเล่นซ่อนหา  ถ้านับถึงสามยังไม่ออกมาล่ะก็  เด็กนี่...ตายแน่”
    “เฮ่  เดี๋ยวก่อนสิ  ชั้นยังคุยกับน้องหญิงไม่จบเลยนะ  อย่า...”
    “อย่าเพิ่งยุ่งจะได้มั้ย?” เสียงเย็นยอกย้อนขัดเสียก่อน
    “หนึ่ง”
    “จอลลี่!” คราวนี้เป็นทีของจอชที่เหลืออดแล้ว
    “สอง”
    “จอล...” ผมลองเสี่ยงเรียกเธอดูบ้าง
    “อยู่เฉยๆก่อนน่าจอน  สุดท้ายแล้วนะ  สาม!”
    ปัง!
    พลันนั้นประตูก็เปิดออก  ที่พัดเข้ามาคือลมกรรโชกอย่างรุนแรงทำเอาฝาแฝดชายต้องยกแขนขึ้นต้าน  แต่หญิงสาวยังคงนั่งไม่สะทกสะท้านใดๆ  ส่วนเด็กชายกับเด็กหญิงนั้นก็ถูกโอบล้อมกันโดยจักรพรรดิและจักรพรรดินี  เมื่อลมสงบจึงปรากฏร่างร่างหนึ่งที่เขย่าขวัญเจ้าชายทั้งสองให้ตกอยู่ในวังวนแห่งความกลัวในทันที  แต่สำหรับโจเวียลิลนั้นกลับยิ้มอย่างชื่นบานอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน   
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น