คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : โรงพยาบาล
จ๊อดยังคงปวดที่ศีรษะ และคงยังมึนๆ อยู่ เขาลืมตาขึ้นและรู้ว่าตนเองกำลังนอนอยู่ที่ไหนซักแห่ง ที่ไม่ใช่ถนนรัชดาภิเษก จ๊อดผงกหัวขึ้นนิดหน่อย เพื่อมองดูว่าเขาอยู่ที่ไหน และรู้สึกว่าตัวเองกำลังเคลื่อนไปข้างหน้า และถูกนำเข้าไปในห้องๆ หนึ่ง
เขาลืมตาขึ้นได้เพียงเล็กน้อย มีเสียงคนกำลังคุยกัน
“นี่เขายังไม่สลบนี่” เป็นเสียงผู้หญิง จ๊อดหลี่ตามองเธอ และเห็นว่าเธออยู่ในชุดสีขาว
“อืม เพิ่มยาสลบหน่อย” เสียงผู้ชายตอบ แต่จ๊อดมองไม่เห็นเจ้าของเสียง
ผู้หญิงชุดขาวเดินหายไปและกลับมาอีกครั้ง เธอยื่นอะไรบางอย่างมาที่หน้าของจ๊อด เขามองหน้าเธอ และต้องตกใจจนรู้สึกเหมือนมีอะไรมากระตุ้นเขาอย่างแรง เพราะใบหน้าของผู้หญิงในชุดขาวมีใบหน้าเหมือนกับผู้หญิงที่ตายในอุโมงค์ทางลงของสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินอย่างกับว่าคือคนๆ เดียวกัน
เพียงครู่เดียวเขาก็รู้สึกมึนหัวมากขึ้น ความปวดมันบีบหัวมากขึ้นจนเขาไม่สามารถที่จะหลับลงได้ แต่ก็ไม่สามารถที่จะลืมตาอย่างเต็มที่ได้เหมือนกัน เขาได้แต่หลี่ตามองว่าคนพวกนี้จะทำอะไรต่อไป
ทุกอย่างดูมันช้าไปมัน แม้แต่เสียงที่คนในห้องนั้นคุยกันก็ฟังดูยืดยาน ราวกับเทปที่ยืดดดด..
จ๊อดตื่นขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้เขาลืมตาได้เต็มที่ และมองดูเพดานห้องมันเป็นสีขาว เปิดไฟสว่าง มีผ้าม่านปิดอยู่ เขาผงกหน้าขึ้นดู เขาเอามือจับที่หัวเพื่อเช็คดูว่ามีบาดแผลหรือเปล่า ซึ่งก็ไม่มีอะไรผิดปกติ
“เอ เรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” เขาพึมพำกับตัวเอง และทรงตัวลุกขึ้นนั่ง มองดูชุดที่สวมใส่ จึงรู้ว่าเขาอยู่ที่..
“โรงพยาบาลตำรวจ” จ๊อดอ่านตามข้อความที่เห็นในชุด แม้ตัวอักษรจะกลับหัวก็ตาม เขาก็อ่านออก
โรงพยาบาลตำรวจ สำนักงานแพทย์ใหญ่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งอยู่เลขที่ ๔๙๒/๑ ถนนพระราม ๑ แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ และเวลามีอุบัติเหตุที่มีคนตาย ศพจะถูกนำมาส่งที่นั่นเพื่อการชันสูตรพลิกศพ ที่สถาบันนิติเวชศาสตร์ โรงพยาบาลตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติที่อยู่ใกล้ๆ กัน คือถนนอังรีดูนัง
“แอ๊ดดดด..” เสียงประตูเปิดออก มีคนกำลังเข้ามาในห้อง จ๊อดจึงรีบล้มตัวลงนอน แกล้งทำเป็นหลับ โดยที่ตัวเขาเองก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมเขาต้องทำอย่างนั้น
“ครืดดดด” เสียงเลื่อนผ้าม่านดังขึ้น พร้อมกับแหวกออก มีคนเดินเข้ามาใกล้ที่เตียง จ๊อดเงี่ยหูฟัง
“ยังหลับอยู่เหรอ” เป็นเสียงผู้หญิง เจ้าของเสียงเอามือมาลูบที่แก้มของเขา เขารู้สึกดีที่มีมือมาสัมผัสที่ใบหน้า จ๊อดนึกถึงแม่ของเขา
ความทรงจำเป็นเพื่อนสนิทของมนุษย์ มันทำหน้าที่เป็นบันทึกที่คนเราจะเก็บสิ่งที่ดีและไม่ดีเอาไว้ จ๊อดจำได้ว่าเขาเคยหลับอยู่หน้าทีวี แล้วแม่ก็จะมาปลุกเขาให้ไปนอน แต่เขาแกล้งหลับต่อเพื่อให้แม่อุ้มเขาไป และเมื่อถึงที่นอนเขาก็จะส่งเสียงดังให้แม่ตกใจ มันการแกล้งที่เขาชื่นชอบมาก และก็ไม่ได้ทำแบบนี้นานมากแล้ว..
จ๊อดจึงหยีตามองเพื่อไม่ให้รู้ว่าเขาแกล้งหลับ เขาพยายามมองใบหน้าของเธอว่าเป็นใคร
“นา ต าลี” จ๊อดพยายามพูดออกมา แต่เสียงที่เล็ดลอดออกมาแทบจะไม่ได้ยิน
“ตื่นแล้วเหรอ เป็นยังไงบ้างจ๊อด” เธอเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเธอช่างหวานไพเราะ เขาชอบเสียงของเธอ
เขาลืมตาขึ้นเพื่อมองดูหน้าเธอให้เต็มตา ชื่อของเธอผุดขึ้นมาพร้อมกับหน้าตาแบบนี้ จะเป็นคนอื่นไปไม่ได้เลย นอกจาก “นาตาลี” นั่นเอง เธอคือผู้หญิงที่จ๊อดรัก?
“ผม.. มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“เธอจำไม่ได้เหรอ”
“ฮึ”
“ก็ มีรถชนกัน รถที่เธอนั่งถูกชน แล้วเธอก็สลบไป มีคนมาช่วยพาเธอส่งโรงพยาบาลนี่แหละ”
“แล้วมีใคร เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ไม่มีนี่ ก็มีแต่เธอนี่แหละ ที่สลบไป.. ฉันนะเป็นห่วงเธอมากรู้ไหมจ๊อด” แล้วเธอก็เอามือมาแตะที่หน้าผากของเขาอีก จ๊อดเอามือจับที่มือของเธอ แล้ว.. เอามือเธอออก จู่ๆ จ๊อดก็รู้สึกแปลกๆ ที่มีใครมาทำกับเขาแบบนี้ที่ไม่ใช่แม่
“เป็นอะไรไปเหรอ” เธอรู้สึกได้ว่าจ๊อดมีอะไรบางอย่างข้างใน
“เปล่า ผม.. เพียงแต่..” เขาหลบหน้า จ๊อดรู้สึกเขินๆ ที่มีผู้หญิงมาแตะต้องตัว
แต่เธอไม่ยอมหยุด ยังดึงมือของเขาเอาไปกุม
“แหม เราเป็นแฟนกันนะ ไม่ต้องอายหรอก”
((เป็นแฟนกัน)) จ๊อดคิดในใจ และมองหน้าเธออีกครั้ง เขาขมวดคิ้วเข้าหากัน และพยายามคิดว่าเขามีแฟนตั้งแต่เมื่อไหร่
“เอ สงสัยว่า อุบัติเหตุจะทำให้เธอความจำเสื่อมหรือเปล่านา” เธอแกล้งพูดด้วยน้ำเสียงล้อเล่น
แต่จ๊อดก็ยังไม่แน่ใจ โอเคนะ เธอก็สวยดี ถ้ามีแฟนหน้าตาแบบนี้ เขาสงสัยตัวเองว่าทำไมถึงจำไม่ได้ว่าเคยเป็น ไม่ซิ เคยรู้จักเธอมาก่อนหรือเปล่า แต่เธอก็สวยจริงๆ หน้าตาเธอ หรือแม้แต่ชื่อ เหมือนกับนางงามจักรวาลที่มาประกวดในเมืองไทย นี่ถ้าเธอพูดภาษาไทยไม่ชัดอย่างนี้ คงต้องนึกว่าฝันไปแน่ๆ แต่ก็ช่างเถอะ เขาอาจจะความจำเสื่อมไปก็ได้ เพราะอย่างน้อยเขายังจำชื่อเธอได้นี่..
“อืม สงสัยผมคงจะความจำเสื่อมมั้ง”
“ฮึๆๆๆ” เธอยกมือปิดที่ปากแล้วขำ “เธอนี่ยังตลกได้อีกนะ”
“ก๊อกๆๆ” เสียงเคาะประตูดังขึ้น ขัดจังหวะการสนทนาระหว่างเขาและเธอ
“เชิญค่ะ” นาตาลีขานตอบ
ประตูเปิดออก มีคนเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน และเขาก็รีบปิดประตูอย่างรวดเร็ว เขาอยู่ในชุดสีขาวแบบเดียวกับที่พวกแพทย์ตามโรงพยาบาลสวมใส่
“เอ่อ.. คุณจ๊อดครับ ผมหมอคมสันครับ อาการของคุณคงดีขึ้นแล้วครับ ก็..คงกลับบ้านได้เลยครับ” หมอพูดเสร็จก็สบตากับนาตาลีแวบหนึ่งอย่างมีพิรุธ แต่จ๊อดไม่ทันสังเกตเห็น
“อืม ดีเหมือนกันนะค่ะ จ๊อด นี่ชุดใหม่ที่ฉันซื้อมาฝากให้เธอเปลี่ยนตอนกลับบ้าน”
“อ้าว แล้วชุดเก่าของผมล่ะครับ”
“อ้อ มันขาดไปหมดแล้ว ฉันทิ้งมันไปแล้วล่ะ”
“เหรอ.. แล้วของอย่างอื่นล่ะ” จ๊อดดูเป็นกังวล
“นี่หรือเปล่า” นาตาลีหยิบโทรศัพท์ออกมา และยื่นให้จ๊อด
“อืม ใช่” แล้วจ๊อดก็มาเปิดเครื่อง จากนั้นก็ขมวดคิ้วทำหน้างงๆ
“อันเก่ามันเสียแล้วล่ะ สงสัยจะกระแทกแรง ระบบเลยเสีย ซิมก็เสียด้วย ฉันเลยซื้ออันใหม่ให้เธอ”
“ไม่น่าเลย เสียดาย”
“เสียดายอะไรเหรอ”
“อ๋อ ไม่มีอะไรหรอก ข้อมูลของผมน่ะ เบอร์โทรศัพท์ด้วย เมมไว้เยอะ”
“ผมว่าคุณรีบเปลี่ยนชุด แล้วกลับบ้านเลยดีกว่า” หมอเห็นว่าจ๊อดโอ้เอ้ ก็เลยพูดตัดบทสนทนา
“ใช่ๆ ฉันว่า เธอรีบกลับไปพักผ่อนที่บ้านจะดีกว่า นี่มันไม่ใช่โรงพยาบาลเอกชนนะ จะได้นอนกี่วันก็ได้” นาตาลีพูดจาเหมือนประชดหมอ จ๊อดเลยต้องรีบเปลี่ยนชุด
เพียงครู่เดียวจ๊อดก็แต่งตัวเสร็จ นาตาลีพาเขาลงลิฟท์ และไปสู่ทางออกด้านหลัง เพื่อไปขึ้นรถของเธอที่จอดอยู่ที่ลานจอดรถด้านหลังโรงพยาบาล เธอขับรถปอร์สเช่ รุ่น ๙๑๑ สวยหรู สีขาวดูสะอาดตา ท่าทางเธอดูมีฐานะดี ซึ่งจ๊อดเพิ่งสังเกตเห็น เธอแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าแบรนด์เนม เขาจึงลังเลที่จะขึ้นรถ และยังยืนงงๆ ทำไมเขาจำอะไรไม่ได้เลย เกี่ยวกับเรื่องของเธอ ยกเว้นใบหน้ากับชื่อ!
“ไปซิ เดี๋ยวจะไปส่งที่บ้าน” นาตาลีไม่พูดอย่างเดียว เธอดึงเขาให้ไปที่รถ และกดรีโมทเปิดรถ แถมยังเปิดประตูให้เขาด้วย จ๊อดจึงจำต้องนั่งลงที่เบาะด้านหน้า
นาตาลีรีบเดินวนอ้อมไปที่นั่งสำหรับคนขับ เธอสตาร์ทรถ และรีบออกจากที่นั่นอย่างรีบร้อน เธอออกจากโรงพยาบาลมาสู่ถนนและเลี้ยวซ้าย แต่พอดีติดไฟแดงที่สี่แยกราชประสงค์
ทางฝั่งตรงข้ามด้านซ้ายของสี่แยก จ๊อดมองเห็นพีระมิดกระจก ซึ่งคงจะไม่เกี่ยวอะไรกับพีระมิดของอียิปต์ เขาเคยได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกีบพีระมิดนี้ว่า สร้างขึ้นตามหลักฮวงจุ้ย และเป็นการแก้เคล็ด เพื่อสะท้อนพลังของเทพเจ้าในบริเวณนั้น มีพระพรหมตั้งอยู่ที่ฝั่งตรงข้าม ด้านหน้าของโรงแรมเอราวัณ และที่บริเวณนั้นมีเจ้าที่แรง มีคนตายแถวนั้นเยอะโดยเฉพาะที่โรงพยาบาลตำรวจมีคนตายที่นั่นทุกวันโดยเฉพาะเรื่องอุบัติเหตุอย่างที่เกิดกับจ๊อด
และเลยไปก็คือ “ห้างเซ็น” ที่อยู่อาคารเดียวกับ “เซ็นทรัล เวิร์ล พลาซ่า” ที่เปลี่ยนชื่อมาจาก “เวิร์ล เทรด เซ็นเตอร์” ที่เปลี่ยนก็เพราะมีชื่อเดียวกับอาคารเวิร์ล เทรด ที่ถูกถล่มด้วยเครื่องบินสองลำ ในวันอังคารที่ ๑๑ กันยายน ปี ๒๐๐๑ ที่ฝรั่งเรียกว่า “นาย วัน วัน ๙๑๑” ฝรั่งอเมริกันนิยมเรียกเดือนก่อนจึงตามด้วยวันที่ ซึ่งเป็นเหตุการณ์สะท้านโลก เป็นการก่อวินาศภัยที่รุนแรงที่สุดตั้งแต่มีการก่อการร้ายในโลก
หนึ่งในผู้การร้ายในครั้งนั้นคือ “โมฮัมเหม็ด อัตตา” ชาวอียิปต์ อายุ ๓๓ ปี ขับเครื่องบินชนตึกเหนือ เป็นนักศึกษาวิชาผังเมือง และเคยพบบิน ลาเดน ที่อัฟกานิสถานในปี ๑๙๙๙
และ “มาร์เวน อัล เชฮิ” ชาวเอมิเรตส์ อายุ ๒๓ ปี ขับเครื่องบินชนตึกใต้ ต่อจากอัตตา ๑๘ นาที เคยพบบิน ลาเดน ในปี ๑๙๙๙ เช่นกัน
จ๊อดยังนึกถึงวันที่ตุ๊ยตุ่ยโทรศัพท์มาหาใครในดึกคืนนั้น
“พี่จ๊อด เปิดทีวีอยู่หรือเปล่า”
“เปล่า กำลังอ่านหนังสือ”
“พี่เปิดเดี๋ยวนี้เลยนะ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”
“เรื่องอะไร.. ช่องไหนเหรอ”
“ช่องไหนก็ได้พี่มีทุกช่องเลย”
จ๊อดเปิดทีวีโดยไม่รู้ว่าตุ๊ยตุ่ยหมายถึงเรื่องอะไร พอเปิดภาพก็มองเห็นตึกคู่หนึ่ง ที่ตึกหนึ่งมีควันพวยพุ่งออกมา ทีแรกจ๊อดนึกว่าเป็นหนังฝรั่ง แต่พอเปลี่ยนไปดูช่องอื่นก็เป็นภาพเดียวกัน จึงลองเปลี่ยนดูทุกช่องเหมือนกันหมด
รายงานข่าวซีเอ็นเอ็นเผยแพร่ภาพนี้ไปทั่วโลก กำลังถ่ายภาพย้อนกลับเหตุการณ์ที่มีเครื่องบินโดยสารลำหนึ่งกำลังบินชนตึกเวิร์ลเทดเป็นตึกเหนือที่มหานครนิวยอร์ค
แล้วก็ตัดภาพไปมาระหว่างเหตุการณ์ปัจจุบัน มีเครื่องบินอีกลำกำลังบินเข้าสู่อีกตึก
จ๊อดไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่คือเหตุการณ์จริงที่อยู่ในหน้าจอทีวี มันเป็นการฆ่าตัวตายชัดๆ ผลก็คือมีคนเสียชีวิตที่นั่นถึง ๓,๐๐๐ คน
มีหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า “ปี ๒๐๐๐ ไม่ใช่วันสิ้นโลก” เคยเอ่ยถึงคำพยากรณ์เกี่ยวกับเมืองหนึ่งที่ถูกทำลายภายในหนึ่งชั่งโมง และเมืองนั้นคือ “นิวยอร์ค” เพราะเมืองนี้คือศูนย์รวมของเศรษฐกิจโลก!
ในช่วงก่อนปี ๒๐๐๐ ซึ่งฝรั่งมักจะเรียกว่า
และตามคำพยากรณ์ในหนังสือเล่มสุดท้ายของคัมภีร์ไบเบิ้ลที่ว่า “คนเหล่านั้นกลับมีชีวิตขึ้นมาใหม่ และได้ครอบครองร่วมกับพระคริสต์เป็นเวลาพันปี”
ในปี ๑๐๐๐ ชาวคริสต์ในยุโรปมีความเชื่อว่าพระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมา พวกเขาขายทรัพย์สมบัติแห่กันไปแสวงบุญที่เยรูซาเล็ม เมืองที่พระเยซูถูกตรึงกางเขน เป็นขึ้นมาจากความตาย และเสด็จสู่สวรรค์
แต่เมื่อถึงเวลา พระองค์ยังไม่เสด็จกลับมาตามที่พวกเขาตีความ จึงต้องเดินทางกลับถิ่นฐาน แต่ระหว่างทางกลับพวกเขาถูกปล้น และข่มเหงระหว่างทาง เพราะเยรูซาเล็มในขณะนั้นอยู่ในความดูแลของชาวมุสลิมที่นับถือศาสนาอิสลาม
การเทศนาของนักพรตคริสเตียนที่กลับจากแสวงบุญปลุกเร้าให้เกิดการตื่นตัวเรื่องดินแดนศักดิ์สิทธิ์ และส่งผลให้ในปี ๑๐๙๕ เกิดการเรียกร้องจากศาสนจักรให้ทำสงครามศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกว่า “สงครามครูเสด” และในครั้งแรกของสงครามนี้ ขุนนางฝรั่งเศสคนหนึ่งก็ได้ถูกเชิญให้ขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งเยรูซาเล็ม นั่นก็คือ “โกเดอฟรัว เดอ บุยยง (
ความกลัวเรื่องวันโลกแตกในปี ๒๐๐๐ มาพร้อมกับคำพยากรณ์ที่ผู้คนในโลกให้ความสนใจมากที่สุด และเขาก็เป็นคนฝรั่งเศสอีกนั่นก็คือ “นอสตราดามุส
และ “อนุสาวรีย์เทพีสันติภาพ
น่าสังเกตว่าพอครบกำหนดพันปี ก็มักจะมีสงครามตามมา และนี่อาจจะเป็นสงครามอีกรูปแบบหนึ่งของสหัสวรรษใหม่นี้ก็เป็นได้สงครามระหว่างความเชื่อที่แตกต่าง..
พอไฟเขียว นาตาลีก็ขับรถออกจากสี่แยกมุ่งตรงสู่ถนนราชปรารภ
ความคิดเห็น