คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ III บทลงโทษ
-
อัปเดตล่าสุด 21 ธ.ค. 53
บทที่ III บทลงโทษ
ไม่ว่าใครเมื่อได้ยินคำว่า‘เจ้าชาย’ก็ย่อมต้องนึกถึงเจ้าชายขี่ม้าขาวแบบในนิทานที่เป็นชายหนุ่มรูปงามสง่าไร้ที่ติเป็นบุรุษสุภาพแสนใจดีและอ่อนโยนทั้งยังเก่งทั้งบู๋และบ๋นเหมือนเทพบุรุษแปลงกายมาช่วยชาวบ้านตาดำๆกับเจ้าหญิงโฉมงามที่ถูกคำสาปจากแม่มดใจร้ายไม่มีผิด
เมื่อก่อนเธอเองก็เคยให้นิยามคำว่าเจ้าชายแบบนั้น จนกระทั้งได้เห็นตัวตนเจ้าชายจริงๆ
ใครจะไปรู้ว่าเจ้าบ้าดีแต่ปากนั้นมันจะเป็นถึงเจ้าชาย แล้วใครจะไปรู้อีกว่าอยู่ดีๆจะได้ไปทัวร์คุกมืดข้อหาทำเจ้าชายหัวแตกและอาจได้รับตัดสินประหารเจ็ดชั่วโคตรหรือไม่ก็ได้ที่อยู่ใหม่ฟรีโดยไม่ต้องได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีกตลอดกาล
คนกำลังไปติดคุกคดีอาญาแดนเรเฟโอไนท์คิดอย่างปลงตก
ตอนนี้วีเนสย่ากำลังยืนตัวแข็งทื่อในรถม้าที่กำลังเดินทางไปคุกหลวงเพียงลำพัง แต่อีกทีเธอก็ไม่ได้ไปคนเดียว ซึ้งมันทำให้เธออยากไปๆถึงปลายทางเลยมากกว่าทนฟังเสียงคนหน้ารถ
“ เรเฟโอ เรเฟโอ เรเฟโอไนท์
เมืองต้องสาป แด่คนบาป อัศวินทมิฬ
แม่มดรึ ถูกกล่าวเป็น กาลกิณี
เทพธิดา ไม่อวยพร เรเฟโอไนท์ ”
ไม่รู้ว่าพวกทหารมันคิดว่าเธอสิ้นฤทธิ์หรือมั่นใจว่าเธอไม่มีปัญญาหนีหรืออย่างไง ถึงได้มีเพียงคนขับรถแค่คนเดียวเป็นคนคุมตัวเธอไปเข้าห้องขัง แถมยังสบายใจร้องเพลงเล่นได้อีก
แม้การคุมตัวนักโทษจะละหลวมมากถึงมากที่สุดชนิดแค่เธอกระโดดลงจากรถม้าได้เธอก็คงเดินหนีไปอย่างสบายๆราวนกบินออกจากกรงที่มีคนจงใจเปิดประตูกรงทิ้งไว้ให้
แต่ตอนนี้เธอไม่ต่างจากนกปีกหักที่ไม่อาจบินออกไปสู่อิสรภาพตรงหน้าได้
เพราะเวทพันธนาการแสบๆของเจ้าเกย์หัวเขียวที่ร่ายเวทใส่เธอเสร็จก็อุ้มเจ้าชายเฮงซวยจากไปทิ้งให้เธอได้แต่ยืนเซงถูกหามเข้าคุกไปอย่างเสียไม่ได้
“ ชายต้องสาป ถูกโซ่ตวน กันทุกคน
แม้ดิ้นรน ออกนอกกรอบ ความงมงาย
พรมลิขิต ก็ทลาย ไกลเกินกาย
หัวใจตาย ต้องเดียวดาย ดั่งคำนาง ”
วีเนสย่าได้แต่ถอดหายใจเพราะไม่สามารถทำอะไรได้ แม้แต่จะเถียงกับพี่ชายตัวดีก็ตาม
“พี่ก็บอกเราแล้วว่ายอมให้พวกมันจับไปดีๆก็ไม่เชื่อ เผลอๆอาจได้ถูกเชิญไปในฐานะว่าที่เจ้าชายของเจ้าชายนั้นก็ได้”
เสียงในหัวจากคนในร่างที่เธอได้ยินเพียงคนเดียวของเฮโลวิสที่เอ่ยอย่างเหนื่อยใจแต่เต็มไปด้วยคำพูดชอบแหย่ทำให้คนพูดไม่ได้ได้แต่คิดย้อนในใจ
เธอล่ะอยากรู้นักว่าถ้าเกิดเป็นแบบนั้นเข้าจริงๆ ท่านพี่จะไม่เกิดอาการหวงน้องเกินพิกัดจนเอา‘เพลิงอเวจี’ไล่ฟันไอ้หนุ่มที่มาเข้าใกล้เธอปางตายอีกได้รึเปล่า
เจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าที่ทำอะไรไม่ได้ถอดหายใจหนักๆอีกรอบ แล้วเลือกที่จะหลับตาคู่นั้นไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นเมื่อแลเห็นแสงสุดท้ายของวันนี้ค่อยๆลับตาผ่านประตูรถม้าที่ทหารเปิดไว้
เวลาของวีเนสย่ามีเพียงแค่พระอาทิตย์ขึ้น และหมดลงเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน
เธอจะไม่สามารถรับรู้อะไรได้อีก จนกว่าจะถึงเวลาที่แสงของเช้าวันใหม่ส่องลงมา
ต่างกลับพี่เฮโลวิสที่สามารถรับรู้ช่วงเวลาของเธอได้ แม้เจ้าตัวจะไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากคุยเล่นเป็นเพื่อนเธอจนกว่าจะถึงสนทยาก็ตาม
“ฝันดีนะวีเนสย่า เดี่ยวที่เหลือพี่จัดการให้เอง”
คำกล่าวที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่พี่ชายของเธอมักเอ่ยก่อนเธอเข้านอนเสมอตั้งแต่ตอนเด็กๆทำให้วีเนสย่ารู้สึกสบายใจข่มตาหลับได้ตลอดแม้เวลาน่าสิวน่าขวานอย่างนี้ก็ตาม
เธอเชื่อใจพี่ชายเหมือนกับที่เชื่อใจตัวเอง แม้เจ้าตัวจะชอบทำตัวไม่ค่อยน่าไว้ใจก็ตาม
แต่เธอก็เชื่อว่า ไม่ว่าอย่างไรพี่เฮโลวิสของเธอจะไม่มีวันทำให้น้องสาวคนนี้เสียใจอีกเด็ดขาด
พอแสงแห่งทิวาจากไปความมืดแห่งรัตติกาลก็เข้ามาปลุกคลุมทั่วฟ้าดิน
ร่างบางของเด็กสาวในคราบบุรุษที่ยืนหลับตานึ่งลำพังในรถม้ากำลังเปลี่ยนไป เปลวไฟสีแดงลุกขึ้นบนเส้นผมสีฟ้าเข้มปะบ่าตั้งแต่โคนจนปลายผมโดยไม่เผาผมที่ค่อยๆงอกยาวถึงอกและเปลี่ยนเป็นสีแดงเพลิง เปลวไฟนั้นลุกลามตั้งแต่ศีรษะไปจนถึงปลายเท้า
แล้วระเบิดออก เผยให้เห็นใบหน้าคมคายที่หล่อเหลาราวเทพบุตรแต่ดูเย็นชาราวไร้จิตใจเหมือนซาตาน ทั้งรูปร่างสัดส่วนและความรู้สึกจากคนตรงหน้าก็เปลี่ยนไปหมดราวแสงสว่างกับความมืด
นัยน์ตาสีโลหิตแดงฉานน่ากลัวลืมขึ้น มือขวาแข็งแรงค่อยๆกำจนแน่น
เคร้ง!
เสียงโซ่ที่มองไม่เห็นขาดสบันกระทบพื้นรถม้าดังขึ้นก่อนร่างกายที่ถูกพันธนการไว้จะเริ่มขยับได้อีกครั้ง เขาขยับนิ้วมือไล่ความชาออก ขณะที่หูก็ฟังเพลงที่ถูกร้องเล่นขับขานต่อๆกันมาของชาวเรเฟโอไนท์
“ เจ้าชายน้อย ผู้เกิดจาก ผลแห่งบาป
ปานประกาศ ภัยพิบัต ฮาโลกิ
เลือดสองสี โลกทั้งสอง ต้องพิชิต
มิเหลือมิตร และฤหัย ในนิลกาล ”
ก่อนที่คนอามรณ์สุทรีจะเอ๊ะใจถึงเสียงเคร้งในรถม้า ร่างสูงก็เท้าแตะผื่นหญ้าที่ถูกหิมะทับอย่างเงียบกริบเป็นที่เรียบร้อย นัยน์ตาสีโลหิตมองตามรถม้าที่วิ่งจากไปโดยไม่รู้เลยว่านักโทษได้หนีออกมาแล้ว พรางนึกถึงเนื้อเพลงสองท่อนสุดท้ายที่ยังคงเวียนในหัวเขา
เฮโลวิสเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามราตรีที่แสนจะเงียบเหงาด้วยสายตาอ่านยาก ริมปากบางพำพึมบางอย่างเบาๆ ก่อนปีกกลางหลังที่ตนใช้เวทอำพรางไว้จะปรากฏขึ้น
ปีกที่ปีกข้างซ้ายเป็นปีกนกสีขาวสะอาดขนาดใหญ่เหมือนปีกของเทพ
หากแต่ปีกข้างขวากลับเป็นปีกค้าวคาวสีดำทมิฬเหมือนปีกของปีศาจ
ปีกทั้งสองข้างที่ทำให้พวกเขาสองพี่น้องฝาแฝดต้องมาเป็นอย่างเช่นทุกวันนี้
ไม่ใช่เพราะคำสาป...
แต่เพราะเป็นตราบาปของคนสองคนที่ไม่สมควรรักกันจนมีพวกเขา
นัยน์ตาสีโลหิตยากจะหยั่งถึงต่างจากตอนอยู่กับน้องสาวฝาแฝดราวคนละคนหุบลง ปีกทั้งสองข้างค่อยๆกางออกยิ่งทำให้ความแตกต่างเด่นชัดขึ้น สายลมร้อนแรงหมุนวนรอบกายของเด็กหนุ่ม เจ้าตัวลืมตาขึ้นก่อนจะกระพือปีกบินขึ้นไปบนท้องฟ้าเพื่อออกตามหาคนคนหนึ่ง
คนคนหนึ่งที่ทำให้เขากับน้องสาวต้องกลับมายังเมืองแห่งความหลังนี้อีกครั้งเพื่อหาหนทางกลับเป็นอย่างเมื่อก่อน ก่อนที่จะลงมาที่นี้ครั้งแรก
e†g
“ทำไมยังไม่รีบกลับมาอีกนะ ข้าคนเดียวจะช่วยหมอนี้ได้อย่างไร Y_Y”
ปิ้ง
“เฮอ.. ที่ข้าจำต้องทำเพราะเพื่อช่วยเจ้าหรอกนะ U///U”
จุ๊บ
โครม!
“โอ๊ย! เจ้าเตี้ยมาผลักข้าทำไมเนี้ย >[]<”
“แฮกๆ ก็เจ้ามาลักจูบข้าทำไมล่ะ >///<”
“ข้าผายปอดช่วยชีวิตเจ้าต่างหาก ไม่ได้อยากขโมยจูบเจ้าซะหน่อย! >///<”
“ก็เหมือนกันนั้นแหละ เจ้ารู้มั้ยว่าจูบแรกของข้ามีความสำคัญมากขนาดไหน >[]<”
ผลัวะ! (=*=)/(#X_X)
เจ้าตัวเล็กโดนตบจนเอ๋อ จู่ๆสายฝนกระหน่ำลงมา แต่เด็กทั้งสองก็ยังนั่งเถียงกันอยู่ที่เดิม
“แง~เจ้ามาตบหน้าข้าทำไม T[]T”
“ไอ้ผู้ชายขี้แง ข้าบอกว่าข้าช่วยก็ช่วยสิ ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าจะตายข้าไม่จูบปากเหม็นๆของเจ้าหรอก =*=”
“ฮือ แต่ยังไงเจ้าก็จูบข้าไปแล้วอยู่ดีแหละ TxT”
“แล้วจะเอาไงล่ะฮะ ใช่ว่าจูบแรกของเจ้าสำคัญคนเดียว นี้ก็จูบแรกของข้าเหมือนกันนะ”
“เจ้าไม่เข้าใจหรอก จูบแรกของข้าน่ะมันมีคำสาปที่ทำให้ต้องมอบชีวิตทั้งชีวิตให้กับคนคนนั้นจนกว่าจะหมดลมหายใจไปพร้อมกัน ข้าจะต้องปกป้องเจ้าไปตลอดชีวิต เพราะหากเจ้าตายข้าก็จะต้องตายไปด้วยนะสิ ฮือๆT^T”
“เจ้าเอาอะไรมาพูด ถึงข้าจมน้ำตายก็ไม่ขอให้ผู้ชายปากเหม็นขี้แงอย่างเจ้ามาช่วยหรอก”
“ฮือ ถึงข้าจะต้องช่วยไม่ให้เจ้าตายเพื่อข้าจะได้ไม่ต้องตายตามเจ้าไปด้วย แต่ข้าก็ช่วยเจ้าไม่ได้อยู่ดี เพราะข้าว่ายน้ำไม่เป็น ฮือ”
“อะไรนะ! ว่ายน้ำไม่เป็น นี้เจ้าเป็นผู้ชายจริงๆรึเปล่าเนี้ย!O-O”
“ก็ข้าไม่ค่อยได้ออกมาเที่ยวเล่นเหมือนคนอื่นเขานี้ แล้วข้าก็พึ่งเคยมาทะเลสาบครั้งแรก”
“นี้เจ้าเตี้ย หยุดร้องเลยนะ ผู้ชายเขาไม่ร้องไห้กันหรอก -_-”
“ก็เจ้าดุข้าทำไมอ่ะ ข้าไม่ชอบให้ใครมาดุข้า แล้วอย่ามาว่าข้าเตี้ยด้วยมันปวดใจ T_T”
“ได้ๆ เจ้าอย่าร้อง ข้าไม่ว่าเจ้าแล้วก็ได้ แล้วข้าจะสอนเจ้าว่ายน้ำเป็นการไถ่โทษด้วยดีมั้ย”
“จริงหรอ O.o”
“จริงสิ ข้าให้สัญญาด้วยเกรียติของลูกผู้หญิงเลย /UvU”
“หา...! นี้เจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายที่เรียกว่าผู้หญิงงั้นหรอ ฮือ อย่ากินตับข้าเลยตับข้าไม่อร่อยเท่าลูกชิ้นกุ้งหรอก แง~ ท่านพ่อช่วยข้าด้วย /T[]T\”
“นี่เจ้า...! สิ่งมีชีวิตชั่วร้ายที่เรียกว่าผู้หญิงมันหมายความว่าไงกันฮะ หน้าข้าดูน่าเกลียดหน้ากลัวมากนักหรือไง ตอบไม่ดีมีตบแน่=*=++”
“ฮือ.. หน้าเจ้าไม่น่าเกลียดหรอกนะ ข้าว่าออกจะน่ารักมากๆด้วยซ้ำ(แก้มของเด็กผู้หญิงของคนนั้นแดงขึ้น ก่อนจะแดงทั้งหน้าพร้อมเย้ยผ่ามื่อขึ้นเมื่อได้ยินประโยคต่อมา)แต่ว่าน่ากลัวมากๆเลยเวลาเจ้าทำหน้ายักษ์ใส่ข้า แง~ อย่าตบข้าอีกเลยนะข้างนี้ยังชาไม่หายเลย”
“ข้าเลิกโมโหเจ้าก็ได้ ข้าผิดเองแหละที่ลืมไปว่าไม่ควรบอกให้ใครรู้ว่าข้าเป็นผู้หญิง”
“เออ.. ข้าขอถามอะไรหน่อยได้มั้ย”
“ก็ถามมาสิ”
“ตกลงแล้ว สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าผู้หญิง.. ชั่วร้ายอย่างที่พวกชาวเมืองเล่ากันรึเปล่า”
“เฮอ.. ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเจ้าไปได้ฟังอะไรมา แล้วข้าก็ไม่รู้จะตอบเจ้าอย่างไงดี อืม.. เอาเป็นว่า เจ้าเห็นว่าข้าดูชั่วร้ายอย่างที่เจ้าฟังมามั้ย”
“เออ... ไม่เลย ยกเว้นแต่ตอนที่เจ้าโมโหแล้วชอบทำหน้ายักษ์ใส่ข้าเหมือนนางแม่มด ฮือ อย่าพึงตบข้าเลยข้ายังพูดไม่จบ ข้าว่าจริงๆแล้ว เจ้าก็น่าจะเหมือนนางฟ้าแสนใจดีหรือไม่ก็เจ้าหญิงแสนอ่อนโยนในนิทานเลยนะ ไม่งั้นเจ้าคงไม่สละจูบแรกของเจ้าเพื่อช่วยชีวิตข้าหรอก”
“เจ้าเข้าใจผู้หญิงใหม่ก็ดีแล้ว แต่ ช่วยพยายามลืมเรื่องจูบนั้นไปซะทีได้ไหมฮะ-///-”
“ทำไมข้าต้องลืมจูบของเจ้าด้วยล่ะ ข้าควรจะจดจำไปตลอดชีวิตของข้าไม่ใช่หรอ ว่าที่ข้ามีชีวิตรอดอยู่ได้ทุกวันนี้ก็เพราะได้จูบแรกของเจ้าช่วยชีวิตข้าไว้ โอ๊ย...! แง~ เจ้ามาตบข้าทำไม”
“เจ้าซื่อบือข้าบอกให้ลืมก็ลืมเถอะน่า ไม่ต้องมาถาม เดี้ยวโดนอีกหรอก เอ๋นั้น..?”
“เจ้ามองอะไรอยู่หรอ(#T_T#)”
“อา.. ข้าคงต้องไปแล้วล่ะ ทีหน้าทีหลังก็ระวังตัวหน่อยแล้วกันนะเพราะไม่มีใครจะเข้ามาช่วยเจ้าได้ทันเวลาตลอดหรอก ข้าไปล่ะ”
“เดี่ยวก่อน แล้วที่เจ้าบอกจะสอนข้าว่ายน้ำล่ะO.O”
“อ้อ นั้นเดี๋ยวค่อยเจอกันที่นี้ตอนเที่ยงพรุ่งนี้นะ ข้าไปก่อนล่ะ บาย^-^/~”
“อ่ะเดี่ยวสิ ข้ายังไม่ได้ถามชื่อเจ้าเลย..”เด็กชายเอ่ยขึ้นอย่างพึงนึกออก หากแต่ร่างของคนถูกถามนั้นไปไกลเกินจะได้ยินแล้ว เขาขี้เกียจจะวิ่งตามเลยกะเก็บไว้ถามวันพรุ่งนี้แล้วกลับวัง
แต่สุดท้ายแม้เขาจะหนีการกักบริเวณที่ท่านพ่อลงโทษเรื่องโดดเรียนจนเกือบจมน้ำตายสำเร็จ ไปรอคนที่บอกจะสอนเขาว่ายน้ำที่ทะเลสาบกลางป่าบนภูเขาเดิม แต่เธอก็ไม่มาตามสัญญา แม้เขาจะรออยู่ที่เดิมทั้งคืนจนล้มป่วยสลบไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ฟื้นมาอีกทีก็มาอยู่ที่ห้องตัวเองสามวันหลังจากคืนนั้นแล้วแถมตั้งแต่นั้นมาโรคร่างกายอ่อนแอ่ของเขาก็กำเริบอย่างหนักได้แต่นอนเป็นซากศพอยู่แต่บนเตียงตั้งสามปีทำให้ความทรงจำนี้เลือนหายไปกับความทรมาร
e†g
นัยน์ตาสีทองของคนพึ่งถึงฝันเรื่องเก่าๆค่อยๆลืมขึ้นช้าๆ ก่อนจะกระพริบปรับสายตาที่พร่ามัวให้กลับเป็นปกติ แต่ความปวดหัวจื๊ดขึ้นสมองก็ทำให้ต้องหลับตาข่มความปวดจนดีขึ้น
ร่างสูงค่อยๆยันกายลุกขึ้นกึงนั่งกึ่งนอนโดยมีเพื่อนคอยพยุง มือหนาของอีกฝ่ายสะบัดเรียกคทาหยกฝั่งมรกตออกมาเสกแก้วน้ำแข็งบรรจุน้ำใสบริสุทธิ์มาให้เขาดื่มแก้คอแห้งอย่างรู้ใจ เด็กหนุ่มรับมาดื่มจนหมดแก้วแล้วเอาแก้วน้ำแข็งในมือประคบศีรษะตนที่ยังมึนไม่หาย
“รู้มั้ยคืนนี้ข้าฝันร้ายเป็นบ้าเลย ในฝันเป็นวันเกิดของข้าแท้ๆแต่กลับเจอแต่เรื่องร้ายๆ ทั้งโดนจับอาบน้ำ ทะเลาะกับท่านพ่อ เจ้าอุ้มข้าไปรอบวังแล้วทำท่าอย่างกับจะสารภาพรักข้า นิอาซ์มาสอนการเข้าพิธีเก้าร้อยเก้าสิบเก้าหฤโหดในรถม้า แถมระหว่างทางไปวิหารโซเลยังมีคนชุดดำฆ่าไม่ตายกว่าร้อยคนมาตามไล่ฆ่าข้า จนเจ้าต้องพาข้าหนี เจ้าเองก็เจ็บหนักแล้วยังโง่ปลอมตัวเป็นข้าล่อไปพวกมัน ตอนข้าคิดตามไปช่วยก็โดนหมีในถ้ำไล่งับจนต้องแกล้งตาย สุดท้ายข้าหลงทางไปช่วยคนจมน้ำตายแล้วโดนเข้าใจผิดจนถูกผลักหัวแตกแล้วยังโนตบอีก ซวยซะมัด”
คนฝันร้ายระบาย ก่อนสัมผัสได้ถึงมือหนาของอีกฝ่ายมาจับบ่าตนให้กำลัง
“เกรงว่ามันจะไม่ใช่ฝันร้ายอ่ะสิเพื่อน”
“หรือเจ้าจะบอกว่าเป็นฝันดี”เรฟราชีลว่าด้วยเข้าใจว่าอีกฝ่ายกวน ไควูฟัสส่ายหน้าช้าๆ
“มันไม่ใช่ทั้งฝันร้ายและก็ฝันดี แต่มันเป็นความจริงที่เกิดขึ้นกับเจ้าในวันนี้ต่างหากล่ะ”
พอฟังจบสมองคนยังรู้สึกมึนๆชาๆก็ประมวลผลก่อนนัยน์ตาสีทองจะเบิกตากว้าง แก้วน้ำแข็งหล่นแตกเช่นสติคนถือ
“นั้นตอนนี้ข้ากับเจ้าก็เป็นผีน่ะสิ..! ไม่นะ ถึงข้าจะชอบคิดอยากตายบ่อยๆ แต่ตอนนี้ข้ายังไม่พร้อม ข้ายังไม่ได้ทดแทนพระคุณของท่านพ่อแล้วลบคำสบประมาดของคนอื่นๆเลย ม่าย..!”
อาการสติแตกของเจ้าชายตนทำให้ราชองค์รักษ์แสร้งถอดหายใจเบาๆ
“เฮอ สงสัยเจ้าชายของข้าคงหัวแตกจนประสาทกลับเสียแล้ว”เจ้าตัวว่าแล้วจัดการเขย่าร่างของคนสติแตกแรงๆจนแทบหัวหลุด คนประสาทกลับได้สติก่อนจะผลักคนที่เขย่าตนออก
“ข้าเจ็บนะ เจ้ามาเขย่าข้าทำไม”
“เจ็บก็ดีแล้วนี้ เจ้าจะได้รู้ไงว่าข้ากับเจ้าเป็นผีหรือไม่”
“นั้นเจ้าก็ไม่ได้โดนคนชุดดำฆ่าตาย แล้วข้าก็ไม่ตายเพราะเสียเลือดมากน่ะสิ”
“ใช่ พอข้าจัดการพวกคนชุดดำเสร็จข้าก็รีบไปหาเจ้าที่ถ้ำ แต่กลับเจอหมีขี้หงุดหงิดที่คงฝันร้ายเลยตื่นมาอาละวาดช่วงจำศีล ข้าจึงออกตามหาเจ้า แล้วก็เจอเข้ากับกลุ่มของเทสที่ตามมาเพราะเห็นควันระเบิดเลยได้คนช่วยหาเจ้าอีกหลายแรง ระหว่างหาเจ้าจู่ๆฝนก็ตกลงมาเล่นเอาซะข้าใจเสียนึกว่าเจ้าถูกพวกคนชุดดำจับได้แล้วร้องไห้คร่ำควรถึงเสด็จพ่อก่อนถูกฆ่าตาย จนมาถึงทะเลสาบกลางป่าก็เห็นเจ้านอนหัวแตกอยู่ใกล้ๆเจ้าหน้าหวานที่กำลังหนี ข้าก็เลยพันธนาการเจ้านั้น แล้วพาเจ้ามาให้นิอาซ์รักษาที่หน้าทางขึ้นวิหารโซเลนี้”
นัยน์สีทองที่มองจิกคนเล่
าสักพัก ก่อนมองไปรอบตัวแล้วพบว่าตนกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนแบะนั่งกำมะหยีสีน้ำเงินในรถม้าที่นั่งมาตอนบ่ายกับพระอาจารย์ตัวเล็กที่ไม่ได้อยู่ด้วยในตอนนี้
คนนั่งเก๊กกอดอกตรงข้ามกลับไปใส่ชุดองค์รักษ์เหมือนเดิมเช่นเดียวกับเขาที่พวกผู้ดูแลใหม่คงมาเปลี่ยนชุดคลุมยาวสีขาวสะอาดสำหรับเข้าพิธีศักดิ์สิทธิ์แบบเมื่อบ่ายตัวใหม่ให้ และเจ้าตัวกวนก็คงได้รับการรักษาแผลสาหัสที่ไปฟัสกับใครบางคนมาจากพระอาจารย์คนเก่งเหมือนกับเขาที่แผลหัวแตกบนศีรษะหายสนิกมันถึงได้ขยันส่งยิ้มกวนๆมาให้เขานัก
แต่พอคิดถึงแผลบนหัวก็ทำให้อดคิดถึงคนที่ผลักเขาล้มหัวแตกเสียไม่ได้
นัยน์ตาสีทองมองออกไปนอกหน้าต่างรถม้าก็เห็นเพียงความมืดที่มีจันทร์เลยเต็มดวงส่องแสงอ่อนๆให้เห็นเงาองครักษ์ไม่กี่คนลางๆ แต่มองไปทั่วก็ไร้วี่แววศีรษะของคนที่มองหา
เรฟราชีลหยุดมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วเผลอหันมาสบเข้ากับนัยน์ตาสีมรกตที่จ้องมองเขาราวรู้ว่าเขาจะถามอะไร จนชักลังเลว่าจะถามจอมกวนประสาทดีหรือไม่
“แล้ว.. เจ้านั้นล่ะเป็นไงบ้าง”หลังจากเงียบไปพักนิ่งเขาก็เอ่ยถามคนตรงข้างเสียงแผ่วจนคนฟังต้องเลิกคิ้วข้างซ้ายขึ้น
“เจ้าก็รู้นี้ว่าพระอาจารย์คนเก่งฝีมือใช่ย่อยซะที่ไหน เล่นจัดการคนชุดดำฆ่าเวลารอเจ้ากลับมาที่รถม้าซะไม่เหลือซาก พอข้าพาเจ้ากลับมา นิอาซ์ก็ช่วยร่ายเวทรักษาให้เจ้าจนแผลหายแต่จงใจทิ้งความเจ็บไว้ให้เจ้าจื๊ดขึ้นสมองเล่นๆพอขำๆ แล้วก็ช่วยรักษาให้ข้าจนหายสนิก พอมาถึงหน้าบันไดสู่วิหารโซเลเจ้าตัวเล็กก็รีบขึ้นไปเตรียมพิธีศักดิ์สิทธิ์ในวิหารทันที”
คนถามส่ายหน้าเบาๆแล้วเอ่ยเสียงผิดปกติอีก“ไม่ใช่นิอาซ์” คิ้วที่เลิกสูงยิ่งเลิกสูงขึ้น
“พวกองค์รักษ์แปดคนนั้นน่ะหรอ ก็ปลอดภัยดีเจ็บตัวกันไม่มากให้หมอดูแลเดี่ยวก็หาย”
“ไม่ใช่ๆ ข้าหมายถึงเจ้านั้นไง”เจ้าตัวว่าพรางชี้นิ้วไปยังศีรษะตัวเอง
ไควูฟัสขมวดคิ้วก่อนพยักหน้าอย่างเข้าใจ สองมือประสาทเกยคางด้วยท่าทีเครียดๆเช่นเดียวกับน้ำเสียงเป็นงานเป็นการหายากจากเจ้าตัวที่คนฟังต้องตีหน้าเครียดไปด้วย
“ถ้าเจ้าหมายถึงเจ้าของลูกธนูที่เกือบพุ่งทะลุหัวเจ้าระหว่างที่เราขี่ม้าหนีแล้วล่ะก็ ข้าเองก็ไม่ค่อยรู้เหมือนกับว่าเป็นใคร รู้แต่ว่านางเป็นสตรีที่ไม่ยอมเปิดเผยตัวตน ตอนแรกที่เจอข้าก็คิดว่านางเป็นพวกเดียวกับคนชุดดำที่มาสังหารเจ้า แต่คำกล่าวของนางกลับบอกว่าไม่ใช่พวกเดียวกับคนที่คิดทำร้ายเจ้า แถมนางยังเตือนอีกว่ามีคนต้องการกำจัดเจ้าโดยที่ไม่ใช่เพราะเจ้าเป็นเจ้าชาย ข้าสงสัยว่าเรื่องนี้คงไม่ใช่เรื่องเล่นๆธรรมดาๆแล้วล่ะ”
คิ้วของเจ้าชายขมวดเป็นปม คนที่ทักทายเขาด้วยลูกธนูเกีอบเสีอบหัวเป็นผู้หญิงงั้นหรอ ที่น่าสงสัยคือเธอเป็นฝ่ายใครกันแน่ แล้วเพราะอะไรพวกนั้นถึงต้องมาจ้องฆ่าเขาด้วย ไม่เข้าใจ
“เรื่องนั้นข้าก็อยากรู้อยู่หรอก แต่ที่ข้าถามถึงคือคนที่ข้าช่วยชีวิตไว้ต่างเล่า”คนรอให้คนเดาผิดๆไม่ไหวว่าอย่างเซงๆ คนทำเป็นเข้าใจผิดกลับมาทำหน้ากวนๆเหมือนปกติ
“หืม คนอย่างเจ้านี้นะจะไปช่วยชีวิตใครเขาได้”เจ้าของนัยน์ตาสีมรกตที่มองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าเอ่ยอย่างไม่เชื่อ ทำให้คนพึ่งได้ทำเรื่องดีๆได้เป็นครั้งแรกอดอวดอย่างภูมิใจไม่ได้
“เจ้าอย่ามองข้าเหมือนเมื่อก่อนสิ ตอนนี้ข้าเปลี่ยนไปแล้วนะจะบอกให้”
“ในสายตาข้าเจ้าก็ยังเป็นแมวขี้เกียจดีแต่ปากอยู่ไม่เปลี่ยน”เพื่อนซี้ตั้งแต่เกิดว่า
“เหอะ เจ้าเองก็ยังเป็นหมาปากเสียไม่เปลี่ยนเหมือนแหละกันน่า แล้วจะบอกข้าได้ยังว่าเจ้าตาฟ้าที่ทำข้าหัวแตกอยู่ไหน”
‘หมาปากเสีย’ขมวดคิ้วครุ่นคิด ก่อนจะเลิกสูงอย่างกวนๆเหมือนปกติแล้วยักไหล่
“อ้อ เจ้าหน้าหวานที่ทำร้ายเจ้านั้นเอง ตอนนี้คงกำลังไปติดคุกมืดที่คุกหลวงอยู่น่ะ”
นัยน์ตาสีทองมนของคนมีส่วนทำให้คนจะจมน้ำตายดีๆมีอันต้องฟื้นไปติดคุกแทนฉายแววกังวลใจ ก่อนเจ้าตัวจะหลับตาลงแล้วโบกมือพร้อมพูดสิ่งที่คนฟังไม่คิดว่ามันจะพูดเป็น
“เจ้าช่วยส่งคนไปบอกให้ผู้คุมปล่อยตัวเจ้านั้นที”
“เมื่อกี้เจ้าพูดว่าไงนะ”ไควูฟัสถามอย่างแสร้งไม่แน่ใจหูตัวเอง
“ข้าบอกให้ส่งคนไปปล่อยเจ้านั้นไง”เรฟราชีลว่าอย่างรำคาญ เจ้าตัวกวนยิ้มแบบที่มันชอบยิ้มกวนประสาทชาวบ้าน
“นี้ข้าหูฟาดรึเปล่านี้ ปกติขนาดแค่คนนินทาเจ้า เจ้ายังชอบออกคำสั่งไร้สาระเช่นให้จับไปตัดหัวเสียบประจาน แต่นี้ถึงขั้นทำเจ้าหัวแตกเจ้ากลับไม่เอาเรื่องนี้นะ สมองเจ้าคงเลื่อมแล้ว”
มันพูดอย่างเหลือเชื่อพรางทำเป็นขยับตัวถอยห่างจากเขาที่นั่งตรงข้ามแล้วมองเหมือนไม่รู้จัก คนโดนกวนกลอกตาแล้วกัดฟันว่าเสียงดัง
“ข้ายังปกติดี
! แล้วข้าก็มีหลักฐานด้วยว่าเจ้านั้นไม่ได้ตั้งใจทำร้ายข้าจริงๆ มันอยู่ในมือข้านี้เอง เฮ้ย..! ต่างหูในมือข้าหายไปไหนแล้ว”
คนยังปกติ(?)รีบค้นหาของสำคัญที่พึงได้รับมาแต่กลับหายไปแล้วให้วุ่นจนราชรถโยกอย่างใจเสีย จนเห็นต่างหูรูปดาบกางเขนที่ถูกคนจับเอาไปคล้อยสร้อยเงินให้อยู่บนคอจึงสงบได้
“นี้สินะหลักฐานของเจ้า ขนาดตอนเทสกับเบสเปลี่ยนเสื้อให้เจ้ายังกำมันไว้ไม่ปล่อยราวกับสำคัญมาก ข้ารู้ดีว่าเจ้ามันคนขึ้หลงขึ้ลืมถือไว้เดี้ยวก็ทำหายแล้วเดือดร้อนให้คนอื่นช่วยหาให้แทบพลิกแผ่นดินอีก เลยให้เบสเอาไปทำเป็นจี้สร้อยคอให้คงไม่ว่ากันนะ”
“ทำได้ดีแฮะ ถ้าเป็นต่างหูข้าไม่อยากใส่ให้หัวเอียงมากกว่าเดิม จริงๆแล้วเจ้าหน้าหวานให้ข้าเอาไปขายซื้อข้าวตอบแทนบุญคุณที่ข้าช่วยชีวิต คิดดูสิถ้าเจ้านั้นจงใจทำร้ายข้าจริงคงไม่ให้ของที่แม่ให้กับข้าหรอก”คนเล่าไปยิ้มไปอย่างมีความรู้สึกดีๆจนเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เห็นรอยยิ้มแบบนี้ของทั้งนายและเพื่อนรักมานานแล้วอดสงสัยไม่ได้
“เรฟราชีลหรือว่าเจ้า...”น้ำเสียงจริงจังจากคนขี้เล่นทำให้ใจคนกำลังอารมณ์ดีกระตุกเล่น ก่อนอามรณ์จะเปลี่ยนอย่างรวดเร็วเมื่อมันพูดต่อเสียงเศร้าปนตัดเพ้อว่า “เจ้ากำลัง..คิดนอกใจข้า”
คนคิดนอกใจหน้าแดงด้วยความโมโหก่อนตะคอกใส่คนแกล้งเสียงดัง“ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งแล้วว่าอย่าพูดอะไรชวนฟ้าฝ่าอีก ข้าขนลุก
!”
หากแต่คนสมควรสำนึกที่ทำเจ้าชายกลับมาขี้โมโหด้วยเรื่องไร้สาระได้กลับหัวเราะชอบใจ“ขี้โวยขี้โมโหขี้ประชดขี้งอนขี้เกียจไม่มีเหตุผลแบบนี้สิถึงจะสมเป็นเรฟราชีลจริงๆ”
คนเป็นเรฟราชีลตัวจริงเสียงจริงหยุดใช้แต่อามรณ์กระพริบตาปริๆ เริ่มเข้าใจความหวังดีปนความสนุกส่วนตัวของเจ้าเพื่อนตัวแสบแล้วตบหน้าผากตัวเองอย่างอยากจะบ้าตาย
“ให้ตายสิ ถ้าเกิดวันใดวันนึ่งข้าเกิดอาการอยากเก๊กขรึมทำตัวเป็นสุภาพบุรุษแบบเจ้าชายประเทศอื่นเขาบ้าง ข้าไม่ลงแดงตายเพราะมีมารตัวเอ้อย่างเจ้ามาคอยกวนบาทาให้ตบะแตกหรอ”
“เจ้าเลียนแบบคนอื่นไม่เนียนหรอก เป็นตัวของตัวเองน่ะดีแล้ว ถึงแม้จะนิสัยแย่สุดกู๋จนยากจะกู้กลับก็ตาม”ว่าจบก็หัวเราะให้‘คนนิสัยแย่สุดกู๋จนยากจะกู้กลับ’นึกอยากไปเกิดใหม่
“เหอะ ข้าควรจะเชื่อคำของมหาปราชญ์ที่อุตส่าห์ลดตัวมาคบกับคนโง่อย่างข้าสินะ”เขาเปรยประชดชีวิต แล้วถอนหายใจเลิกเอาเรื่องคนที่อย่างไงเขาก็ไม่ชนะฝีปากบ๊อกๆของมัน
นัยน์ตาสีทองมนทอดมองพระจันทร์สีนวลที่ค่อยๆลอยขึ้นสูงสุดในคืนวันฮาโลวีนแสนเงียบวังเวงที่มองแล้วนึกถึงคนคนหนึ่งที่เขาอยากให้ท่านมาอยู่ด้วยในวันคล้ายวันเกิดเขายิ่งนัก
แม้วันๆท่านจะเอาแต่วุ่นกับราชกิจจนไม่ค่อยมีเวลาให้เขาแม้แต่จะกินข้าวพร้อมหน้ากันแล้วชอบทำเย็นชาใส่เขาเสมอ ไม่เคยตามใจเขาสักครั้ง ไม่เคยเข้าข้างเขาสักหน ชอบบ่นชอบว่าชอบติชอบลงโทษ ไม่เคยเข้าใจเขาบางเลย แต่ถึงท่านจะดูเหมือนไม่รักเขา ท่านก็เป็นพระบิดาของเขา และเป็นพ่อที่ประเสริฐที่สุดของเขาด้วย เพราะเขาไม่มีแม่ให้กำเนิด ผู้ที่ให้ชีวิตเขาจึงมีแต่ท่านพ่อ แม้จะต่างกันทั้งวิธีและระยะเวลา
จะมีบุรุษสักกี่คนกันที่ยอมกรีดเลือดเลี้ยงผลพีเยร่าตั้งเก้าวันเก้าคืนแล้วยอมสละอายุไขไปครึ่งนึงเพื่อปั่นบุตรที่ถอดแบบตนออกมาแป๊ะ เช่น ท่านเสนาคาฟัส วูฟไมรอสกับลูกชายตัวแสบ ไควูฟัส วูฟไมรอส ที่ทั้งสีผมนัยน์ตานิสัยเหมือนกันไม่มีผิด
แต่ไม่รู้เพราะผลพีเยร่าที่เสด็จพ่อเลี้ยงมันดันเป็นสีทองต่างจากผลอื่นที่เป็นสีเทาแถมยังมีเพียงลูกเดียวหรือมีหนอนขี้เกียจแอบอยู่ในนั้นหรืออย่างไร เขาถึงได้เกิดมาผ่าเหล่านัก ทั้งที่ผมของท่านพ่อเป็นสีดำรัตติกาลและมีนัยน์ตาสีน้ำเงินไพลินเช่นบรรพบุรุษเยรันไนท์ที่มีเชื้อสายของไนท์เอลฟ์ด้วย แต่เขากลับมีผมกับตาสีทองที่ถ้าเขามีท่านแม่ให้กำเนิดแทนท่านพ่อจริงๆล่ะก็เขาคงถูกตราหน้าว่าลูกชู้แหงๆ เรื่องนิสัยนี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึงต่างกันราวสวรรค์กับนรกส่งมาเกิด
หรือเป็นเพราะสาเหตุนี้ ท่านพ่อถึงได้เย็นชากับข้านัก
“เรฟราชีลต่อหน้าข้าเจ้ายังกล้าคิดถึงเจ้าหน้าหวานนั้นจนไม่สนใจข้าเลยรึ ทำแบบนี้ข้าหึงนะ”ไควูฟัสเอ่ยอย่างหวังกวนใจคนกำลังจมอยู่กับความคิดตัวเองให้ขนลุกเล่น แต่ไม่ได้ผล
“ไควูฟัส...”คนที่เงียบไปนานเรียกเจ้าของชื่อที่มองดูด้วยความแปลกใจ
“หืม?”เขาเอ่ยถามคนไม่สบตาด้วยความเป็นห่วง สงสัยจะหัวแตกจนสมองเสื่อมจริงๆ
นัยน์ตาสีทองมนของเจ้าชายยังคงมองออกไปนอกหน้าต่างรถม้าที่แลเห็นดวงจันทร์ที่ใกล้ขึ้นกลางหัวท่ามกลางความมืดเงียบสงบโดยไม่หันมามองเขา
“ทำไมจะเที่ยงคืนอยู่แล้วท่านพ่อยังไม่มาหาข้าเลย”
เสียงเรียบแต่ฟังดูเศร้าๆของคนมีปมทำให้คนชอบเล่นไม่รู้จักเวลำเวลาต้องหยุดพูดเล่น
“เมื่อสายพระองค์ก็เสด็จไปหาเจ้าแล้วนี้”
“แต่ตอนนี้ล่ะ อีกไม่กี่นาทีข้าจะเข้าพิธีขอพรจนถึงเช้าแล้วนะ ทำไมท่านพ่อยังไม่มาอีก”
เด็กหนุ่มผมทองว่าอย่างน้อยใจตามนิสัยเช่นทุกครั้ง เขาเลยต้องอธิบายแทนผู้ยังไม่มา
“พอเสด็จมาหาเจ้า พระองค์กับท่านพ่อก็เสด็จไปทำราชกิจต่อที่ชายแดนอามีซังน่ะ กว่าจะเสด็จกลับมาถึงที่นี้ก็ตอนเจ้าเข้าไปในวิหารแล้ว”
“งานๆ แม้แต่วันพิเศษของข้า ท่านพ่อก็ไม่สนใจว่าข้าจะเป็นไงเลยอย่างนี้ทุกที”
“เรฟราชีล เสด็จพ่อของเจ้าทรงราชกิจเพื่อใครกันล่ะฮะลองคิดบ้างสิ”เขาเอ่ยอย่างหนักใจในความเอาแต่ใจไม่เลิกของผู้เป็นทั้งเจ้านายและเพื่อนสนิก
“ท่านทำเพื่อประชาชนของท่านไม่ใช่เพื่อข้าเพียงคนเดียว เจ้าไม่ต้องเอาเรื่องนี้มาอ้าง ข้ารู้แล้วนะว่าทำไมท่านพ่อถึงชอบทำเย็นชาใส่ข้าตลอด”
นัยน์ตาสีทองหันกลับมาจ้องนัยน์ตาสีมรกตที่ฉายแววตกใจครู่หนึ่งก่อนกลับไปเป็นปกติ
“เจ้ารู้แล้วงั้นหรอ”คนฟังอึ่งด้วยไม่คิดว่าวันที่เจ้าชายแสนซื่อบื่อรู้ความจริงจะมาถึงเร็วกว่าที่คาด และการที่ไควูฟัสมีท่าทีตกใจยิ่งทำให้เรฟราชีลมั่นใจกับสิ่งที่ตนคิดมากขึ้น แม้จะยังรับไม่ได้ก็ตาม
“ใช่ ข้าพึงนึกออกเมื่อกี้นี้เอง ว่าทำไมท่านพ่อถึงไม่ต้องการมีข้า”
เจ้าตัวว่าโดยมีน้ำใสๆเริ่มคลอนัยน์ตา เพราะความจริงที่คิดนั้นมันช่างทำร้ายจิตใจตัวเองนัก แต่ก็ยังฝืนดันทุรังพูดต่อ
“เพราะข้า... เป็นเด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยงจากถังขยะไม่ใช่ลูกแท้ๆของท่านพ่อใช่ไหม...!”
นัยน์ตาสีมรกตที่เห็นเพียงข้างซ้ายเบิกกว้างก่อนจะกระพริบตาปริๆ พยายามหาคำพูดมาปลอบใจรัชทายาทแท้ๆแห่งเยรันไนท์ที่บ่อน้ำพระเนตรแตกเพราะคิดอะไรไร้สาระสุดๆทำร้ายจิตใจตัวเอง
“เจ้ารู้ได้ไง”แต่กลับเป็นแหย่เล่นซะงั้น
“ก็ทุกการกระทำของท่านพ่อและตัวข้ามันฟ้องน่ะสิว่าข้าไม่ใช่ลูกของท่านพ่อ”
“เจ้าอย่าได้พูดแบบนี้ต่อหน้าเสด็จพ่อเจ้าเชียว”เพื่อนผู้หวังดีเตือน
แต่คนคิดมากกลับถามด้วยความโมโห “ทำไมล่ะ ทำไมข้าจะถามไม่ได้”
“เรฟราชีล! เมื่อไหร่เจ้าจะหัดคิดเองได้ซะที หากเจ้าไม่ใช่โอรสแท้ๆขององค์เฟรัว เจ้าคิดหรือว่าจะมีใครยอมเจ้าได้ถึงขนาดนี้ เจ้ารู้รึเปล่าทั้งๆที่วันนี้พระองค์ทรงยุ่งจะตายพระองค์ยังอุตสาห์สละเวลาเสด็จมาหาเจ้าด้วยความเป็นห่วงเลย แต่ดูเจ้าสิ แทนที่จะทำให้พระองค์สบายพระทัยกลับต้องทรงหนักพระทัย เพราะเจ้าไม่หัดยืนอย่างมั่งคงด้วยขาของตัวเองเสียที ขนาดคนอื่นพยายามเขี้ยวเข่น เจ้าก็ไม่เอา แล้วเมื่อไหร่เจ้าจะทำให้พระบิดาหายห่วงได้เสียทีฮะ”
คนโดนว่าซะงักรู้สึกจุกในลำคอจนพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ก้มหน้าสำนึกเช่นทุกครั้ง
ไควูฟัสมองใบหน้าสับสนของอีกฝ่ายพรางถอดหายใจอีกหนแล้วเปรยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“บ้างที..ข้าควรจะบอกเรื่องนั้นกับเจ้า”
นัยน์ตาสีทองติดจะแดงๆเงยขึ้นมามองคนพูดในเชิงถาม
“ที่จริงแล้ว..”
แต่ไม่ทันทีจะได้รู้ เสียงเคาะประตูรถม้าก็ดังขัดตามด้วยเสียงชายร่างใหญ่ที่มาเชิญเขา
“ได้เวลาเจ้าชายเสด็จขึ้นไปวิหารโซเลแล้วขอรับ”
คนพูดค้างพยักหน้าแล้วผลักเปิดประตูรถไล่คนที่ยังรอฟังมันพูดต่อลงไป
“เรื่องนั้นเดี๋ยวข้าค่อยเล่าให้เจ้าฟังทีหลัง เจ้ารีบออกไปได้แล้วล่ะ ข้าไม่ขึ้นไปด้วยหรอกนะ เพราะหากมีคนชุดดำบุกขึ้นไปจะได้วิ่งหนีก่อนทัน”
เจ้าตัวกลับมาพูดจากวนๆเหมือนปกติ คนทำหน้าอยากตายลุกลงจากแบะนั่งพรางบ่น
“ข้ารู้แล้วน่าว่าอย่างไงในวันเกิดตัวเองข้าก็ต้องซังกะตายอยู่คนเดียวเหมือนทุกปีอยู่แล้ว”
คนมองยิ้มเอ็นดูปนขำเพื่อนชี๊ที่โตแล้วแต่ขี้น้อยใจเหมือนตอนเด็กๆไม่เคยเปลี่ยน
“สุขสันต์วันเกิดนะเรฟราชีล ขอให้เจ้าสมหวังในสิ่งที่เจ้าปรารถนาและขอให้เจ้ามีความสุขมากๆตลอดทุกช่วงชีวิตของเจ้า”
ร่างสูงที่กำลังค่อยๆลงจากรถม้าซะงักแล้วเผลอยิ้มด้วยความตื้นตันโดยไม่ให้อีกฝ่ายเห็นแต่ทำเป็นวางฟอร์ม “หึ วันนี้มีแต่เรื่องที่ข้าปรารถนาให้ข้ามีความสุขมากๆเยอะเสียเหลือเกิน”
“แต่ก็...ขอบใจนะไควูฟัส ข้าก็ขออวยพรให้วันเกิดวันนี้ของเจ้าได้ในสิ่งที่เจ้าอยากได้เช่นกัน”เจ้าตัวเอ่ยเบาราวกระซิบแล้วรีบลงจากรถไป
หากแต่คนหูดีก็ได้ยินชัดเต็มสองหู องครักษ์คนดีมองตามแผ่นหลังของเจ้าชายเด็กดีที่เดินห่างออกไปแล้วกล่าวสิ่งที่อีกฝ่ายไม่มีวันได้ยินเสียงเศร้า
“ท่านจะทำได้หรอ จะทนยิ้มรับมันได้จริงๆหรือ ถ้าท่านทำได้ ข้าก็ตายตาหลับ”
e†g
ร่างสูงโปร่งในชุดคลุมยาวสีขาวสะอาดค่อยๆก้าวขาลงจากรถม้าที่จอดสนิกหน้าทางขึ้นบันไดหินอ่อนสีขาวระยิบระยับที่สะท้านแสงจันทร์ทอดยาวสูงขึ้นไปถึงยอดเขาสูงสุดที่ตั้งของวิหารโชเล บันไดที่ทอดสูงขึ้นไปเหนือเมฆทำให้คนพึงเคยมาที่นี้ครั้งแรกถึงกับเหงื่อตกเมื่อลองคาดเดาถึงจำนวนขั้นบันไดตรงหน้า
“ฮะแฮม!”
เด็กหนุ่มสะดุ้งน้อยๆเมื่อคนทียืนรออยู่ตรงหน้าฮะแฮมเสียงดังเรียกความสนใจแล้วกล่าวเป็นงานเป็นการ
“เนื่องจากรถม้าไม่สามารถขึ้นไปถึงยอดเขาได้ ต่อจากนี้ข้าจะเป็นคนนำทางท่านขึ้นบันไดไปวิหารโซเลเอง เชิญ”ว่าจบก็หันหลังเดินนำขึ้นบันไดไป โดยไม่ถามความเห็นเลยว่าเขาอยากขึ้นบันไดสูงเสียดฟ้านี้มั้ย
เรฟราชีลหันไปมองเพื่อนตัวดีที่ชะโงกหัวผ่านหน้าต่างรถม้ามามองเขาแล้วตีหน้าเศร้าโบกผ้าเช็ดหน้าลาราวเขาจะไปตายด้วยหนังตากระตุกอย่างข่มอารมณ์ไม่ให้ตะโกนด่าคนแช่ง
แต่เด็กหนุ่มขี้โมโหก็จำต้องเดินคอตกขึ้นบันไดตามคนนำทางใจร้อนที่เขาจำได้ดีว่ามันได้รับสิทธิ์ดัดนิสัยเขาเต็มทีจากท่านพ่ออย่างว่าง่าย
บันไดช่วงสี่สิบขั่นแรกๆร่างสูงก็พอก้าวขึ้นไปได้ง่ายๆสบายๆพรางกินลมชมวิว แต่พอยิ่งขึ้นไปสูงๆขั้นบันไดก็เริ่มสูงชัน จนทำให้บางครั้งเขาต้องสองมือช่วยปืน ต่างจากพี่ชายร่างใหญ่ที่มันกระโดดข้ามขั้นบันไดสี่ขั้นได้อย่างคล่องแคลวราวซุปเปอร์แมน และไม่คิดจะหันมาสนใจคนตามหลังที่ปืนขึ้นมาอย่างยากลำบากว่าเป็นอย่างไรบ้างเลย
พอเด็กหนุ่มผมยาวขึ้นมาได้ถึงขั้นที่สามร้อยหกสิบหกก็เข่าอ่อนนั่งหอบหายใจด้วยความเมื่อยขา แม้จะขึ้นมาสูงมากแล้ว แต่เขาก็ยังไม่เห็นวิหารหลังเมฆสีดำที่ยังอยู่อีกไกลเลย คนนั่งอู้ทอดตามองขึ้นไปยังดวงจันทร์ที่ใกล้อยู่เหนือหัวเต็มทีแล้วเกิดความคิดชั่วร้ายขึ้น
บางทีถ้าขึ้นไปถึงวิหารไม่ทันเวลา อาจไม่ต้องฝืนปืนขึ้นไปเข้าพิธีวิบากนั้นก็ได้
คนที่เคยตั้งปณิธานโก้หรูแต่กลับคิดจะทำตรงข้ามยิ้มชั่วร้ายเมื่อนึกแผนการชั่วๆออก หากแต่ก็ต้องหุบยิ้มทันทีเมื่อได้ยินเสียงเรียกโหดๆของคนเดินนำขึ้นไปไกลแต่เดินกลับลงมาเร่ง
“ทำไมท่านไม่รีบขึ้นไปต่อ”
“ข้า...”คนหน้าซีดพูดติดอางเมือสบนัยน์ตาสีดำทมิฬของอีกฝ่ายที่จ้องตาเขาไม่กระพริบ
“โอ้ย! ข้าปวดขามากๆเลย ไม่รู้เมื่อกี้ข้าล้มแล้วขาแพงหรือเปล่า”เขาร้องแล้วงอตัวจับขา ตีสีหน้าแสดงความเจ็บปวดสุดรวดร้าวแบบทีถ้าเป็นนักแสดงจริงๆคงได้รางวัลตุ๊กแกทองแน่ๆ
“ข้าขอดูหน่อย”เทสกล่าวเสียงเรียบก่อนจะคุกเข่าใกล้ๆเพื่อยื่นมือไปดูอาการให้ แต่คนเจ็บกลับหลบอย่างรวดเร็ว
“พี่ไม่ใช่หมอจะดูออกได้ไงเล่า ขืนมือใหญ่ๆมาจับสุมสี่สุมห้าขาข้าก็ยิ่งหักสิ”
“แต่เมื่อครู่ท่านบอกว่าท่านขาแพง”คนจับพิรุธได้ว่าด้วยเสียงเย็นชา คนลืมบทสะดุ้ง
“เออ...ใช่ ข้ารู้สึกเจ็บแบบนั้นจริงๆ ก็..ข้าไม่ใช่หมอนี้ จะได้บอกถูกว่าตัวเองเป็นอะไร”
ชายร่างใหญ่หรี่นัยน์ตามองแล้วยืนขึ้น“นั้นเชิญท่านรีบขึ้นไปต่อเถอะ เดี่ยวไม่ทันการ”
เจ้าตัวไม่ว่าเปล่าหันหลังเดินนำต่อ ให้คนแผนเสียแต่ยังไม่ล้มเลิกคิดอู้ค้านเสียงหลง
“เฮ้ย! แต่ข้าปวดขาอยู่นะ เกิดข้าเป็นลมเป็นแล้งไปจะทำไงล่ะ”
เจ้าของนัยน์ตาสีรัตติกาลเพียงใช้หางตามองเด็กหนุ่มไม่เอาไหนที่ไม่สมควรเป็นถึงลูกเหนือหัวที่ตนเคารพนับถือสุดชีวิตพรางต่อว่า
“ผู้เป็นจอมราชันแม้ทรงเหนื่อยสายตัวแทบขาดแต่เพื่อความสงบสุขของบ้านเมืองก็จะทนฝืนพระวรกายทำให้ราชฏษรุ่มเย็นเป็นสุขต่อ หากแม้แค่ขึ้นบันไดไม่กี่ก้าวแค่นี้ยังทนก้าวให้ถึงยอดไม่ได้แล้วนับประสาอะไรที่จะปกครองใครให้พันทุกข์ได้”
“แต่ข้า...”
“ท่านจะขึ้นไปเองดีๆหรือจะให้ข้าลากท่านขึ้นไป”
คำกล่าวที่คงไม่ใช่เพียงคำขู่เพราะเจ้าตัวหันมาทางเขา ทำให้คนแกล้งเจ็บขาต้องรีบลุกแล้วเบ้ปากเดินตามผู้ดูแลที่หันกลับไปเดินขึ้นบันไดไปพรางแอบบ่นคนนำทางจอมโหดไป
สงสัยจะกินพ่อหมีป่าผักเผ็ดเป็นอาหารเช้า พี่เสือลุยสวนพริกเป็นอาหารกลางวัน น้องกระทิงน้ำแดงนรกเป็นมื้อค่ำ และตบท้ายด้วยแม่จระเข้บัวลอยเป็นของหวานถึงได้โหดนัก
นอกจากไควูฟัสกับนิอาซ์แล้วดูท่าในวังได้มีตัวทำให้เขาอยู่ไม่เป็นสุขเข้าเพิ่มอีกตัว
เจ้าชายนึกปลงพรางเดินขึ้นบันไดที่ไม่รู้จะสิ้นสุดลงเมือไหร่ไปเรื่อยๆอย่างเหนื่อยใจ
นัยน์ตาสีทองที่กำลังมองดูวิวบนท้องฟ้าไปเรื่อยเปื่อยระหว่างเดินขึ้นบันไดแสนสูงเห็นเงาของตัวอะไรบางอย่างที่บินอยู่บนท้องฟ้ายามราตรีอย่างเดียวดายด้วยความเร็วราวพญาอินทรี
เรฟราชีลเพ่งมองสิ่งนั้นด้วยความสนใจ แต่เพราะความมืดทำให้เขาเห็นไม่ชัดว่าเป็นตัวอะไร เขาเดาว่าคงเป็นนกหรือไม่ก็ค้างคาวที่ออกหากินในเวลากลางคืน
ที่หน้าสนใจก็คือตัวมันใหญ่กว่านกกับค้างคาวมาก ดูๆแล้วก็น่าจะมีขนาดเท่าคนตัวสูงๆ
ผู้มีปีก!
คนพึ่งได้เคยเห็นคนบินได้ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง เขาเอามือขยี้ตาแล้วมองดูใหม่อีกครั้ง แต่ภาพที่นัยน์ตาสีทองมนเห็นก็เหมือนเดิม ตอนแรกเขาก็กะตะโกนเรียกผู้คุมให้มองดูว่าเขาตาฟาดหรือไม่ แต่จู่ๆร่างที่เห็นอยู่ไกลๆลางๆบนท้องฟ้าก็พุ่งดึ่งลงไปในป่าเบื้องล่าง เขารีบมองตามไปข้างล่างแล้วก็ได้เห็นว่าตอนนี้ตัวเองอยู่สูงจากพื้นดินขึ้นมามากขนาดไหนอย่างไม่ได้ตั้งใจโรคเก่าเลยกำเริบ ความสูงน่าหวาดเสี่ยวทำให้รู้สึกเหมือนโลกหมุนกลับหัวกลับหางด้วยอาการกลัวความสูงกำเริบทำให้ขาที่แทบไม่มีแรงสั่นจนการทรงตัวเสียศูนย์แล้วล้มกลิ้งลงไป
“หวออออออออออออออออออออออออ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”
“เจ้าชายเรฟราชีล!”
ตุบ! ตุบ! โอ๊ย!
ผู้ดูแลเจ้าชายเรียกด้วยความตกใจเพราะตอนแรกคิดว่าเจ้าชายแกล้งสำออย
ตุบ! ตุบ! อ๊าก!
แต่ดูท่าร่างที่กลิ่งลงบันไดไม่หยุดจะไม่ได้ตั้งใจเจ็บตัวจริงๆเจ้าตัวถึงร้องโหยหวนนัก
“ช่วยยยยยยยยยยยยยยยยด้วยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!!!!!!!!!!!!!!”
ตุบ! ตุบ! อ๊าค!
เทสกัดฟันกับความผิดพลาดของตนที่ปล่อยให้คนกลัวความสูงขึ้นบันไดตามลำพัง
“มา~ช่วย~ข้า~เร็ว~เซ่~”
ตุบ! ตุบ! อัก!
ด้วยความเร็วของคนที่กลิ่งตกบันไดคนวิ่งลงบันไดคงตามไม่ทันก่อนคนกำลังหัวหมุนติ้วกระแทกขั้นบันไดหลายทีจนสมองไหลแน่
ตุบ! ตุบ! อัค!
ชายร่างใหญ่ตัดสินใจเรียกขวานขนาดใหญ่ของตัวเองออกมาหมุนเพิ่มแรงส่งขว้างขวานพุ่งไปปักขั้นบันไดขวางหน้าร่างนั้นอย่างเฉียดปักหัวชุ่มเลือดขาด
เคร๊ง! ตุบ! โป๊ง! เอิ๊ก!
คนกลิ้งตกบันไดหัวโขกใบขวานใหญ่ที่ขว้างมาขวางเต็มแรงรักจนคนหยุดกลิ้งแน่นิ่งไป
“เจ้าชาย!”หัวหน้าผู้ดูแลเจ้าชายกระโดดตามลงมาเรียกคนหมดสติ ก่อนแบกเจ้าตัวขึ้นหลังแล้วรีบวิ่งขึ้นไปข้างบนด้วยความร้อนรน
เพราะตอนแรกเขาดันเอาแต่จะดัดนิสัยเจ้าชายจอมขี้เกียจมากเกินไป จนประมาทลืมไปว่าคนที่เขากำลังดัดนิสัยอ่อนมากขนาดไหน
e†g
ร่างหนึ่งที่บินอยู่ท่ามกลางท้องฟ้ายามราตรีด้วยปีกสองข้างที่ต่างกันสุดขั่ว หยุดอยู่กับที่เมื่อมาเจอจุดหมายที่บินหามานานพอสมควร นัยน์ตาสีโลหิตมองกระท่อมไม้เล็กๆที่อยู่ในป่าลึกห่างไกลความวุ่นวายของมนุษย์ด้วยสายตาอ่านยาก
ร่างนั้นหุบปีกสองข้างดิ่งลงจากท้องฟ้าตามแรงโน้มถ่วง และกางปีกกระพือสองสามทีเพื่อชะลอลดความเร็วลงเมื่อใกล้ถึงพื้นดิน ร่างสูงร่อนลงใกล้ๆกระท่อมหลังนั้นอย่างเงียบกริบ
เด็กหนุ่มผมสีแดงเพลิงพึมพำบางอย่าง ปีกกลางหลังก็หายไป กลับมาเหมือนเป็นมนุษย์ธรรมดา มือซ้ายกำเข้าหากันแล้วคลายออกลูกไฟสีแดงแค่พอใช้ส่องแสงก็ลุกขึ้นบนฝ่ามือหนา
เฮโลวิสเดินตรงไปยังกระท่อมหลังนั้นโดยในมือมีเพียงไฟส่องทางอ่อนๆ ขายาวๆก้าวมาหยุดอยู่หน้าประตูบ้านที่น่ากลัวว่าหากเคาะแรงไปบานประตูไม้ผุๆนี้อาจพังลงได้
แอ็ด...
ไม่ทันที่จะเคาะประตูนั้น มันก็เปิดออกอย่างเชื้อเชิญราวเจ้าของบ้านรู้ถึงการมาของเขา
นัยน์ตาสีโลหิตเพ่งมองเข้าไปในกระท่อมผ่านประตูที่เปิดอ้า แต่ก็เห็นเพียงความมืดสนิกแม้จะเอาดวงไฟในมือส่องดูก็ตาม เมื่อเห็นว่าไฟส่องทางตนไร้ผลเขาจึงกำมือให้ดวงไฟในมือนั้นดับลง เด็กหนุ่มผมแดงชั่งใจอยู่ครุ่นหนึ่ง ก่อนจะเดินก้าวเข้าไปในความมืดอย่างไม่ลังเลอีก
ปึ่ง!
พอร่างสูงก้าวพ้นประตูมันก็ปิดเองโดยไม่มีใครจับ
แม้จะแปลกใจที่ไม่พบคนเปิดปิดประตู แต่เจ้าของนัยน์ตาสีโลหิตก็ยังคงมีท่าทีนิ่งเฉยเงียบขรึม ไม่มีท่าทางของคนกลัวสิ่งที่มองไม่เห็นเลย แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้เจ้าของบ้านแปลกใจ
พึบ! พึบ! พึบ!
ดวงไฟสีม่วงลุกขึ้นบนเชิงเทียนรอบผนังห้องจนเผยให้เห็นสิ่งของต่างๆในห้องชัดเจนขึ้น รวมถึงคนที่เขากำลังตามหาด้วย
“เชิญนั่งก่อนสิ เรามีเรื่องที่จะต้องคุยกันอีกนาน ยืนคุยกันคงไม่สะดวกนัก”
ชายชราที่ปกปิดใบหน้าด้วยชุดคลุมยาวสีขาวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้มุมห้องเอ่ยอย่างเป็นกันเองราวเด็กหนุ่มเป็นลูกหลานพรางเผยมือเหี่ยวย่นไปยังเก้าอี้ตรงข้าม แต่คนถูกเจ้าของบ้านต้อนรับอย่างดีก็ยังคงยืนเฉยและมองดูชายชรานิ่งๆ คนถูกมองจึงเปรยขึ้นให้อีกฝ่ายสบายใจ
“หากแม้แต่การมาของเจ้าข้ายังไม่รู้ แล้วข้าจะตอบปัญหาของเจ้าได้อย่างไรล่ะ จริงไหม”
เพราะไม่อาจเห็นแววตาของอีกฝ่ายได้ เลยไม่รู้ว่าน้ำเสียงเอ็นดูนั้นออกจากใจจริงหรือเสแสร้ง แม้นัยน์ตาสีโลหิตยังคงมองดูนิ่งเฉยแต่เจ้าตัวกลับยิ่งเพิ่มความระวังตัวมากขึ้น
“คนแก่อย่างข้าจะมีเหตุใดต้องหลอกเด็กหนุ่มอย่างเจ้าด้วยเล่า สาเหตุที่ข้าปกปิดใบหน้าก็เพียงเพราะไม่อยากให้ใครเห็นรอยตามวัยเท่านั้นเอง”
ยังไม่ทันที่เขาจะปริปาก ชายชราก็กล่าวอย่างเมตตาปัดคำถามในใจของเด็กหนุ่ม
“อย่าพึงถามว่าข้ารู้ได้ไงว่าเจ้าคิดอย่างไร นั่งลงก่อนเถอะ ในเมื่อมาหาข้าแล้วก็ช่วยทนสนทนากับคนแก่ขี้เหงาหน่อยเถิด”
เมื่อไม่เห็นว่ามีเหตุอันใดต้องระแวง ร่างสูงก็ค่อยๆนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ที่เจ้าของบ้านเผยมือเชิญอีกรอบ เขายังคงนั่งมองอีกฝ่ายนิ่งๆ นอกจากมือเหี่ยวยั่นที่ส่งแก้วน้ำชามาให้ ก็เห็นเพียงเครายาวๆสีขาวของคนตรงหน้ากับเสียงแหบแห้งเท่านั้นที่บอกว่าอีกฝ่ายเป็นผู้อาวุโส
“เจ้าหนุ่มอย่าได้สงสัยให้มากความเลย หากแท้จริงข้ายังหนุ่มแน่นเช่นเจ้าข้าคงอวดความหล่อเหลาในเยาว์วัยให้แขกได้ชื่นชมแล้ว”
อีกครั้งที่คนตรงข้ามรู้ว่าเขาคิดอะไร จึงทำให้เขาเริ่มมั่นใจว่าเจ้าตัวคือคนที่ตามหาจริงๆ
“ท่านผู้เฒ่าในเมื่อท่านรู้ว่าข้ามาเพื่อสิ่งใด ก็ได้โปรดช่วยชี้ทางคนตาบอดด้วยเถอะ”
ในที่สุดคนปากหนักก็เอ่ยขอด้วยมองไม่เห็นหนทางจะไปต่อ ชายชรายกมือเหี่ยวยั่นขึ้นลูบเคราสีขาวยาวถึงท้องแล้วเอ่ย
“แม้ข้าจะชี้ทางให้ แต่ใช่คนมองไม่เห็นจะก้าวไปถูก”
“ท่านหมายถึง...?”
“ต้องมีคนตาดีคอยช่วยนำทางคนตาบอด หากแต่คนตาดีนั้นก็ไม่รู้ว่าจุดหมายที่คนตาบอดจะไปคือทางใด”
คิ้วหนาของเด็กหนุ่มขมวดเข้าหากันกับความนัยแฝงของชายชรา
เขาจะต้องหาคนที่สามารถช่วยเขาได้แต่ไม่รู้ว่าเขาต้องการให้ช่วยอะไรสินะ
“แล้วท่าน..”
“ข้าเป็นเพียงชายแก่ที่สายตาพร่าเลือนและไม่อาจถ่อสังขารไปนำทางใครได้”
“นั้นท่านพอรู้มั้ยครับว่าใครจะช่วยนำทางข้าได้”
“ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถนำทางเจ้าได้หรอก”ท่านผู้รู้เอ่ยอย่างเห็นใจ
คนฟังรู้สึกผิดหวัง แต่คงไม่มากเท่าอีกคนที่ยังไม่รู้
ความหวังสุดท้ายของวีเนสย่าเป็นอย่างที่เขาคิดไม่ผิด
แฝดน้องที่หวังไว้สูงมากคงตกลงมาซึมอีกนานจนกว่าจะหาความหวังที่แทบไม่มีใหม่ได้
“ขออภัยที่มารบกวนท่านยามวิกาล ข้าขอตัวก่อน”
เมื่อรู้ว่าคงคว้าน้ำเหลวเช่นทุกครั้ง ผู้มาเยืยนจึงกล่าวลา แต่ไม่ทันที่เขาจะลุกขึ้นเสียงจากคนนั่งตรงข้ามก็รั้งตัวเขาไว้ได้สนิก
“ข้ายังไม่ได้บอกว่าหมดหวังเลย เฮโลวิส ฮาคาลอซ์ ผู้พิพากษาฮาโลกิ”
นามสกุลจริงๆที่ไม่น่ามีใครในโลกมนุษย์รู้ถูกขับขาน ให้เจ้าของนามหันไปจ้องผู้แทงใจ
“ในเมื่อนามนั้นท่านยังรู้ แล้วทำไมท่านไม่รู้ว่าข้าควรทำเช่นไรต่อ”
“ข้ารู้ แต่เจ้าจะเปลี่ยนจากคนตาบอดเป็นคนขาด้วงเป็นใบ้ได้หรือไม่”
“ข้าไม่เข้าใจ”
“ยังมีอีกหลายเรื่องหลายสิ่งที่เจ้ายังไม่เคยรู้และไม่อาจเข้าใจ หากแต่เจ้ายอมเป็นฝ่ายชี้ทางโดยไม่บอกสิ่งที่เจ้าเห็นให้กับคนตาดีขาดีแต่ไม่รู้ว่าต้องไปไหนได้ ข้าก็จะให้เจ้าหูตาสว่าง”
เฮโลวิสพิจารณาข้อเสนองงๆแปลกๆจากผู้อาวุโสเงียบๆอยู่ครู่นึ่ง
เขาต้องเปลี่ยนจากขอความช่วยเหลือเป็นให้ความช่วยเหลือใครบางคนที่ไม่รู้อย่างลับๆ
เพื่ออะไร...?
แล้วผลมันจะออกมาเหมือน‘วันนั้น’หรือไม่...?
ภาพของเด็กสาวผมยาวสีฟ้าเข้มปรากฏขึ้นในมโนภาพของเด็กหนุ่ม
นัยน์ตาสีโลหิตถูกซ่อนหลังเปลือกตาเมื่อนึกถึงน้องสาวฝาแฝดเจ้าของร่างที่ต่างกับเขาแทบทุกอย่างทั้งเพศ สีผม นัยน์ตา และนิสัย แม้จะต่างกันราวนางฟ้ากับเทพอสูร แต่วีเนสย่าก็เป็นน้องที่เขารักและปรารถนาจะอยู่เคียงข้างเพื่อปกป้องแฝดน้องจอมแก่นจนกว่าจะมีคนที่เขาเห็นสมควรให้มาปราบพยศเธอได้
นัยน์ตาสีแดงฉานลืมตาขึ้นมองหน้าที่ถูกปกปิดด้วยผ้าคลุมจนเห็นเพียงเครายาวๆด้วยสายตาอ่านยากแต่ใช่ว่าคนถูกมองจะอ่านไม่ออก
“เจ้าตกลงสินะ”
ชายชราเอ่ยด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยเอ็นดู เด็กหนุ่มผมแดงตอบสั่นๆ“ครับ”
“แม้อนาตดที่เจ้าจะได้เห็นโดยไม่อาจแก้ไขได้จะทำให้เจ้าทรมารใจมาก เจ้าก็ยอมสินะ”
“ครับ”เขาตอบอย่างหนักแน่นไม่ลังเล
“ดี ข้าจะให้ได้เห็นทุกอย่าง แต่จงจำไว้ว่าห้ามเล่าเรื่องทั้งหมดที่รับรู้ให้ใครฟังก่อนถึงเวลานั้น”ท่านผู้อาวุโสย้ำเรื่องสำคัญด้วยน้ำเสียงจริงจัง
เฮโลวิสพยักหน้ารับด้วยสายตานิ่งเฉยที่แฝงประกายความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า เขาพร้อมทำทุกอย่างเพื่อให้น้องสาวฝาแฝดของเขาไม่ต้องแอบร้องไห้และเสี่ยงอันตรายตามลำพังอีก
แสงสีม่วงจากเชิงเทียนตามผนังค่อยๆดับลง จนกลับมามืดเหมือนตอนแรกที่ก้าวเข้ามา
เด็กหนุ่มยืนขึ้นเมื่อรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงในห้อง เขาไม่รู้สึกถึงเก้าอี้ไม้ที่เคยนั่ง รวมถึงการยังมีตัวตนของคนที่เขาพึ่งคุยด้วยเหมือนครู่
ท่ามกลางความมืดมิดแสนเงียบวังเวง แสงสีขาวก็สว่างจ้าตรงหน้าจนเขาต้องหลับตาด้วยความแสบตา เขาค่อยๆลืมตาขึ้นเมื่อแสงที่แย้งตานั้นหายไปแล้วนัยน์ตาสีโลหิตก็ต้องเบิกกว้าง
ภาพตรงหน้าที่เห็นชวนลืมหายใจ รู้สึกจุกในลำคอจนไม่อาจส่งเสียงเรียกชื่อคนนอนจมกองเลือดได้ ร่างสูงล้มทั้งยืนพยายามสัมผัสใบหน้าไร้ลมหายใจนั่น แต่มือหนาก็ทะลุผ่านราววิญญาณ หัวใจคนได้รับรู้โชคซะตาอันเลวร้ายที่ยังมาไม่ถึงแทบแตกสลาย นัยน์ตาสีแดงฉานเงยขึ้นจ้องหน้าผู้ยืนถือดาบเปือนเลือดอยู่ข้างร่างนั้นด้วยความอาฆาต
แล้วก็เป็นเจ้า เป็นเจ้าจนได้
เจ้าชายพ่อมดแห่งเรเฟโอไนท์....!
e†g
“พี่เร จะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงไหนครับ ตื่นเถอะ”
เสียงเล็กๆปลุกให้คนสลบค่อยๆลืมตาขึ้น ภาพแรกที่เห็นคือเด็กหนุ่มผมเทาหน้าตาน่ารักกำลังยืนยิ้มยินดีข้างๆเขาที่นอนอยู่บนแท่นพิธีบางอย่างในวิหารเทพแสนสวยดูมีมนต์ขังราววิมาณบนสวรรค์ที่เขาเคยฝันเห็น
เรฟราชีลพอจำได้ว่าระหว่างที่เขากำลังเดินขึ้นบันไดผงาดฟ้าไปวิหารโซเล เขาเห็นคนมีปีกบินอยู่บนท้องฟ้าจึงมองตาม ก็รู้สึกตาลายหัวหมุนล้มกระแทกอะไรไปบ้างไม่รู้จนระทมไปทั้งร่าง แล้วเขาก็จำอะไรไม่ได้อีก แต่ตอนนี้ร่างเขากลับไม่รู้สึกปวดหัวปวดตัวปางตายนั้นเลย
“นิอาซ์ นี้ข้า.. ตายจริงๆแล้วใช่มั้ย”
คำถามเพี้ยนๆจากคนพึงฟื้นไม่ได้ทำให้หนุ่มน้อยนัยน์ตาสีหมอกแปลกใจแต่อย่างไร แถมยังแขวะกลับให้คนอยากตายผิดหวัง
“ท่านก็แหกตาดูสิครับว่าแผ่นดินสูงขึ้นหรือยัง”
“เฮอ..ถ้าตื่นแล้วโดนแพะจิ๋วมาแขวะให้ปวดหัวอีกรอบแบบนี้ข้าขอหลับไม่ตื่นดีกว่า”
เด็กหนุ่มผมยาวบ่นพรางยันกายลุกนั่ง มือหนาจับศีรษะตนที่ไร้บาดแผลใดๆหลงเหลือด้วยฝีมือคนข้างกาย นัยน์ตาสีทองกวาดมองไปรอบๆอีกครั้ง
ตามพื้นหินอ่อนสีขาวสว่างเรียงรายไปด้วยเทียนที่ยังไม่ได้จุดรอบวิหารสวยอลังการหลายร้อยเล่ม รอบผนังสีขาวสะอาดมีกระจกสีรูปเทพเจ้าต่างๆมากมาย ทั้งยังมีกระจกสีพระฉายาลักษณ์รูปองค์เรชเปปฐมกษัตริย์เยรันไนท์หรือปู่ทวดปู่ทวดของปู่เขาด้วย หน้าเทวะรูปมหาเทพโซเลขนาดยักษ์มีคัมภีร์เล่มหนาปกสีทองเก่าๆเล่มเดียวกับที่นิอาซ์ให้เขาอ่านวางอยู่
นั้นที่นี้ก็คือวิหารโซเล แล้วเขาตื่นก่อนหรือเลยเที่ยงคืนแล้วนะ
ไม่ทันที่เขาจะถามพระอาจารย์ก็เอ่ยให้หายสงสัย
“นับว่าอย่างน้อยๆท่านก็ยังมีจิตสามัญสำนึกที่ตื่นมาตรงเวลาพอดีเลยนะครับเนี่ย”
มิน่าถึงได้ยิ้มดีใจตอนเขาตื่น แบบนี้เขาคงหนีการเข้าพิธีหฤโหดไม่ได้แล้วสินะ
เรฟราชีลเป้หน้าอยากร้องไห้ที่ตัวเองดันตื่นมาถูกที่ถูกเวลาจนไม่น่าให้อภัย หากแต่พระอาจารย์ตัวเล็กก็ไม่ได้สนใจแล้วรีบพูดเข้าเรื่องให้คนหายปวดหัวได้ปวดหัวอีกรอบ
“เอาล่ะครับเจ้าชาย หวังว่าสมองปลาทองเสื่อมๆของท่านจะจำขั้นตอนที่ท่านต้องทำในพิธีเพียงคนเดียวที่ข้าสอนได้นะครับ หากจำไม่ได้ข้าก็ได้จดละเอียดต่างๆไว้ให้ในคัมภีร์แล้ว พยายามเข้านะครับ”
“เดี่ยวสินิอาซ์ ข้าไม่อยากเข้าพิธีหฤโหดนี้”
ว่าจบเจ้าตัวก็หันหลังเดินออกไปโดยไม่ฟังคำอ้อนวอนใดๆ ทิ้งให้เขาอยู่คนเดียวตามธรรมเนียม
สุดท้ายแล้วไม่ว่าจะพยายามหาข้ออ้างอย่างไง เจียนตายเขาก็ถูกห่ามมาขึ้นเขียงอยู่ดี
มือเรียวยาวจำใจจับเชิงเทียนที่เจ้าตัวเล็กจุดไว้ให้ค่อยๆก้มจุดเทียนตามพื้นวิหารต่ออีกเป็นทอดๆ นัยน์ตาสีทองมนมองเทียนรอบตัวกว่าพันเล่มตาละห้อย
กว่าจะจุดเทียนจนครบเก้าร้อยเก้าสิบเก้าเล่มเขาคงได้กลายเป็นตาแก่หลังงอแหงๆ
ใครนะเป็นคนช่างคิดพิธีบ้าๆนี้ขึ้นมาให้เหล่ารัชทายาทแห่งราชวงศ์เยรันไนท์ผู้น่าสงสารต้องประสบเคราะห์กรรมอันเลวร้ายเช่นนี้ ต้องอดหลับอดนอนปืนขึ้นมาจุดเทียนเก้าร้อยเก้าสิบเก้าเล่มแล้วนั่งชันเข่าเงยหน้ามองหน้ารูปปั้นลอยตัวสูงโคตรจนกว่าจะท่องเก้าร้อยเก้าสิบเก้าบทหฤโหดครบจึงออกไปตากน้ำค้างได้
ขั้นตอนอาจจะไม่มากฟังง่ายๆ แต่พอทำจริงๆมันยากที่จะอดทนพยายามทำให้จบครบทุกอย่าง โดยเฉพาะถ้าผู้เข้าพิธีเป็นเด็กหนุ่มที่มีความพยายามและความอดทนต่ำถึงต่ำที่สุดนามว่า เรฟราชีล คงได้คิดหาทางลัดตามวิถีคนขี้เกียจขั่นเทพเพื่อเอาตัวรอด
ปิ้ง! ความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในหัวยุ่งๆ รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏบนริมปากเจ้าผมทองหากแต่ก็หายไปอย่างรวดเร็วเมื่อความคิดขัดแย้งพุ่งเข้ามา
จะทำได้หรอ ขนาดในสถานการณ์คับขันยังใช้ไม่ได้ บางทีแค่ทนจุดเทียนให้ครบอาจไม่ถึงกับหลังงอก็ได้
แต่พอนัยน์ตาสีทองเหลีอบมองเทียนที่ต้องจุดเต็มไปหมดอีกหนก็เปลี่ยนใจ
เอาวะ ไม่ลองไม่รู้
เด็กหนุ่มวางเชิงเทียนบนแท่นพิธีใกล้ๆ แล้วเรียกคทาทองคำหัวไพลินของตัวเองออกมา เขานึกคาถาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพึมพำร่ายเวทเท่าที่จำได้
พึบ..!
แสงสีทองพุ่งออกจากหัวคทาไพลินไปทั่ววิหาร พอแสงต้องไส้เทียนทั้งเก้าร้อยเก้าสิบเก้าเล่มเปลวไฟก็ถูกจุดขึ้นพร้อมกันด้วยเวทจากพ่อมดที่กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ
“เย้
! สำเร็จ ข้ายังทำได้ ข้ายังใช้เวทได้อยู่ เฮ้ย..!”
แต่ความดีใจเพียงชั่วครู่ก็ต้องเปลี่ยนเป็นตกใจ เมื่อเปลวไฟน้อยๆบนเทียนไขเหล่านั้นลุกโซนรุนแรง เผาเทียนทั้งหมดจนเหลือแต่น้ำตาเทียนร้อนๆนองพื้นช่วยดับไฟ
“เออ..ข้าไม่ใช่คนทำนะ”คนทำพลาดแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วรีบเก็บคทาเข้าไปในร่างกายเพื่อทำลายหลักฐานว่าเขาแอบใช้เวทจุดเทียนจนเกือบเผาวิหารมหาเทพ
เด็กหนุ่มผมยาวหันกลับไปเผชิญหน้ากับเจ้าของวิหารที่ตนเกือบวางเพลิงพรางส่งยิ้มแห้งๆให้เมื่อนัยน์ตาสีทองบังเอิญสบดวงตาขาวๆไร้แววตาของเทวะรูปที่เหมือนมองเขาด้วยสายตาดุๆ จนคนทำผิดสยอง
‘คงคิดไปเอง’
เจ้าตัวนึกปลอบขวัญตัวเอง ก่อนค่อยๆย่อกายนั่งชันเข่าหน้าคัมภีร์ที่นิอาซ์วางทิ้งไว้ให้ด้วยรู้ว่าเขาคงจำบทสวดไม่หมด มือซ้ายเตะพื้นมือขวาแนบอกตามแบบที่พระอาจารย์สอน แล้วก้มหน้าก้มตาอ่านคัมภีร์แทนจะเงยหน้ามองหน้ารูปปั่นสูงๆจนคอแทบหักแถมอาจได้ผวาเล่น
เป็นที่รู้ๆกันอยู่ว่าเขาเรียนไม่เก่งสักวิชาโดยเฉพาะพวกวิชาที่ต้องใช้สมองและความจำดีมากๆหรือแม้แต่วิชาที่ใช้แต่กำลังไม่ต้องใช้สมองเขาก็ไม่ได้เรื่องอยู่ดี
พระอาจารย์ที่รู้จักลูกศิษย์จอมขี้กียจของตนดี เลยใจดีช่วยเขียนคำอ่านของอักษรโบราณเป็นหมืนๆตัวในคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ให้ ทั้งยังแปลความหมายให้อีกด้วย ถ้าเป็นลูกศิษย์คนอื่นๆคงจะซึ้งใจแล้วมีกำลังใจสวดขึ้นเยอะ หากแต่ใช้ไม่ได้ผลกับเจ้าศิษย์สันหลังยาวชอบทำมักง่ายคนนี้
นัยน์ตาสีทองมองคำอ่านของอักษรโบราณที่พระอาจารย์เขียนให้อย่างเหนื่อยใจ
นิอาซ์ก็เป็นแบบนี้แหละ แม้จะชอบแขวะเขาตลอด แต่ที่ว่าก็พราะอยากให้เขาปรับปรุงตัว ถึงบางครั้งจะชอบใช้เคียวสอนเพื่อให้จำเพราะรู้ดีว่าเขามันความจำปลาทองถ้าไม่อ่านหรือทบทวนบ่อยๆเดี้ยวก็ลืม แต่ไม่ว่าอย่างไรพระอาจารย์เขาก็ยังใจแข็งไม่พอที่จะปล่อยให้ลูกศิษย์คนนี้หัดยืนด้วยเองแล้วก็ล้มไม่เป็นท่า เพราะตบหัวแล้วลูบหลังแบบนี้ไงเขาถึงไม่โตสักที
เจ้าชายจอมขี้เกียจเลือกที่จะท่องแต่คำแปลแทน เพราะถึงจะมีคำอ่านแต่แต่ละคำก็อ่านออกเสียงลำบากอยู่ดี อีกอย่างอ่านไปแปลไม่ออกด้วย เขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าเก้าร้อยเก้าสิบเก้าบทนี้มีอะไรบ้าง
“บัดนี้ข้าพเจ้าได้รู้แล้วว่าไม่ว่าใครพอเกิดมาก็ต้องมีหน้าที่ภาระที่ต้องแบกรับตั้งแต่เกิด ไม่ว่าจะคาบซ้อนเงินซ้อนทองมาเกิดหรือชิงหมาเกิดมาก็ตาม”
คิ้วของคนท่องขมวดเข้าหากัน นี้คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์จริงหรอ? แต่ก็ก้มหน้าก้มตาท่องต่อ
“ภาระหน้าที่ตั้งแต่เกิดที่ว่าคือเกรียติยศศักดิ์ศรี ชื่อเสียง และสมบัติของวงค์ตระกูลที่ต้องพยายามรักษาไว้ ไม่ให้เสื่อมเสียหรือสูญเสียสิ่งสำคัญไป ยิ่งโตขึ้นก็มีหน้าที่ต้องแบกรับมากขึ้น
ความผิดชอบชั่วดีคือสิ่งที่คนเราต้องจำขึ้นใจ เพราะหากเห็นกงจักรเป็นดอกบัวแล้วล่ะก็ผลร้ายก็จะตามมามากมายยิ่งนัก หากคนเราขาดศีลธรรมใช้แต่อำนาจฝ่ายชั่วในการตัดสินใจไม่ว่าจะคิดจะทำจะพูดอะไรก็ล้วนนำภัยมาสู่คนรอบข้างและตัวเอง กฏหมายและความยุติธรรมจะหมดความศักดิ์สิทธิ์ลงทันทีเมื่อผู้คุมกฏโกงตราชั่งเห็นแก่พวกพ้องเห็นแก่เงินทองมากกว่าความถูกต้อง การเป็นผู้ใหญ่ไม่ใช่การโตแต่ตัว ไม่ใช่เพราะเพียงอายุและริ้วรอยที่มากขึ้น แต่การเป็นผู้ใหญ่นั้นจำเป็นต้องมีเมตตา กรุณา อภัยทาน และใช้เหตุใช้ผลด้วยความเที่ยงธรรมมากกว่าใช้อารมณ์ในการดำเนินชีวิต เพราะหากผู้ใหญ่ทำแบบอย่างที่ไม่ดีให้เด็กดูแล้วเด็กจะดีได้อย่างไร การนินทาเป็นสัจธรรมของมนุษย์ที่ไม่ว่าใครก็ไม่พ้นโดนนินทา ขึ้นอยู่กับเราจะปล่อยให้เสียงนินทาเหล่านั้นเป็นเพียงเสียงนกเสียงกาหรือทำให้มันกลายเป็นฉนวลของสงคราม
สติปัญญาที่นำไปใช้ในทางไม่ถูกต้องไม่ต่างอะไรกับคนเมาหาเรื่องใส่ตัว สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง ไม่เคยมีใครไม่เคยผิดพลาดนอกจากคนที่ยังไม่เคยทำอะไร ไม่ว่าจะทำผิดอะไรเล็กน้อยหรือร้ายแรงก็ยังไม่สายหากจะกลับตัวกลับใจไม่ทำผิดอีก อำนาจ ศักดิ์ศรี ความเก่ง ที่ใช้รังแกเอาเปรียบผู้ด้อยกว่าไม่ต่างอะไรกับสุนัขหมู่ไล่กัดเด็ก ความเมตตาอารีใจกว้างกับผู้อื่นนั้นป็นสิ่งที่ดี แต่หากใช้กับผู้ไม่ซื่อใจคตไม่รู้จักบุญคนก็ไม่ต่างอะไรกับยืนดาบให้โจรฟัน”
เรฟราชีลหาวฟอดใหญ่ด้วยความเบื่อหน่ายเหมือนกับที่ชาวเมืองส่วนใหญ่ชอบการต่อสู้แข็งขันอวดเก่งมากกว่าหาทางสงบเข้าทางธรรมจึงถูกประณามว่าเป็นบ้านป่าเมืองเถือน
แม้เจ้าชายหนุ่มจะพึงสวด(?)มาได้แค่สิบกว่าบทต้นๆ แต่ด้วยสำนวนน่าเบื่อผสมกับความเมือยและความขี้เกียจขั้นเทพตัวสำคัญ ทำให้คนรักความสะดวกสบายจัดตัดสินใจไม่ท่องบทที่สิบสองต่อแล้วผลิกเปิดข้ามไปท่องบทใกล้จบในหน้าสุดท้ายเสียดื้อๆด้วยคิดว่าคัมภีร์นี้ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจเหมือนกับคัมภีร์สวดมนตอื่นๆเลย
“วันเวลาที่สูญเสียไปไม่อาจเรียกกลับคืนได้ ความชะล่าใจ ความขี้เกียจ ทำให้เวลาที่เหลือเตรียมตัวมีน้อยกว่าคนขยันและคนที่วางแผนอนาคตไว้ก่อน เพราะเมื่อถึงเวลาที่ต้องเผชิญหน้าสู้กับมรสุมทั้งมวลจะต้องมีสติตลอดเวลา บางสิ่งบางอย่างที่ดูเล็กน้อยสำหรับเราอาจเป็นเรื่องใหญ่สำหรับคนอื่น เมื่อเลือกพันธนาการเป็นสังคมที่มนุษย์ร่วมกันสร้างขึ้น เรื่องของเราจะไม่ใช่เพียงเรื่องเราอีกต่อไป ความเห็นแก่ตัวเป็นรากเหง้าของความชั่วร้ายทั้งปวง หากคนเราทุกคนไม่รู้จักที่จะลดความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่พวกพ้อง ความเห็นแก่เกรียติยศชื่อเสียง ความวุ่นวายบนโลกมนุษย์ก็ไม่มีวันจะจบสิ้นลง เช่นเดียวกับที่เจ้ากำลังทำอยู่นี้ หากยังไม่รู้จักเลิกสันดานเสียๆแบบนี้อีกล่ะก็ เจ้าก็ไม่คู่ควรกับบัลลักง์แห่งเรเฟโอไนท์หรือแม้แต่เป็นคนในราชวงค์เยรันไนท์ เร..ฟรา..”
คนท่องซะงักเมื่ออ่านบทสุดท้ายเกีอบจบ คำแปลที่นิอาซ์เขียนหมดลงตั้งแต่บทที่ว่าด้วยเรื่องความเห็นแก่ตัวจบ ส่วนบทแปลกๆที่เขาอ่านเมื่อครู่มันไม่ใช่ลายมือของนิอาซ์ ทั้งยังเหมือนพึงถูกเขียนตอนเขากำลังอ่านนี้เอง
เรฟราชีลขยี้ตาแล้วมองดูบทนั้นชัดๆอีกรอบแล้วก็ต้องขนลุกเพราะบทที่หนึ่งพันหายไปเหลือแต่หน้ากระดาษเปล่าๆ
คงตาฟาดไป มั่ง ต้องใช่อยู่แล้ว เพราะง่วนมากเลยตาฟาดไป แบบนี้ต้องพักสายตา
เขาพยายามนึกปลอบขวัญตัวเองแล้วรีบลุกขึ้นบิดขี้เกียจไล่ความปวดเมื่อยพรางมองหาที่นอนสบายๆ ก่อนจะกวาดข้าวของบนบนแท่นพิธีใกล้ๆทิ้งแล้วล้มตัวนอนบนนั้นโดยไม่ได้สำนึกว่าตัวเองทำอะไรลงไป ร่างสูงเอนกายอยู่บนแท่นพิธีอย่างเอาสบายเต็มที่แล้วเอาแขนสองข้างรองศีรษะต่างหมอนก่อนจะค่อยๆหลับตาลงเพื่อเข้าเฝ้ามหาเทพต่อในฝัน
“เจ้าช่างสามหาวนัก เรฟราชีล..!”
เสียงทรงอำนาจที่ดังก้องไปทั้งวิหารปลุกให้คนครึ่งหลับครึ่งตื่นสะดุ้งสุดตัว นัยน์ตาสีทองมองไปรอบๆด้วยความตื่นตระหนก แต่ก็ไม่เห็นมีคนอื่นอยู่ในนี้เลยนอกจากเขาคนเดียว
คงหูฝาดไปด้วยมั้ง งั้นคราวนี้ต้องอดหูพักเสียง
เด็กหนุ่มพยายามนึกปลอบขวัญอ่อนๆของตนอีกรอบพรางจับอกซ้ายที่ข้างในเต้นผิดปกติด้วยความกลัว ก่อนจะค่อยๆเอนกายลงพยายามข่มตาหลับต่อราวไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ตึง!
เสียงอะไรหนักๆเคลื่อนไหวดังขึ้นจากด้านหลังทำให้คนหลับตาบี๋ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ยิ่งผวา
ตึง!
เสียงเดิมดังขึ้นอีกครั้งตอกย้ำให้คนไม่ยอมรับความจริงต้องยอมรับว่าเขาไม่ได้อยู่ลำพัง
...
แต่จู่ๆเสียงชวนจินตนาการเรื่องน่ากลัวๆไปมากมายนั้นก็เงียบหายไปเฉยๆราวไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น นัยน์ตาสีทองมนจึงค่อยๆแอบชำเรืองมองไปข้างหลังด้วยความกล้าๆกลัวๆ
พระพักตร์มหาเทพโซเลที่เต็มไปด้วยความเกี้ยวกราดกำลังจ้องเขาตาเขม็งด้วยระยะหน้าใหญ่ยักษ์นั้นห่างจากตัวเรฟราชีลแค่หนึ่งช่วงแขนหรือครึ่งลมหายใจของเทวะรูปเท่านั้น!!!!!
“ว๊ากกกกกกกกกกกกก!!!!!!!”
โครม!
เมื่อเห็นว่าเป็นอะไรคนเจอดีก็ร้องลั่นหงายหลังตกแท่นพิธีเท้าชี้ฟ้า นัยน์ตาสีทองเบิกกว้างมองตาค้าง เข่าอ่อนปากสั่นเองโดยไม่ได้สั่ง
จะไม่ให้ตกใจกลัวมากขนาดนี้ได้ไง
ในเมื่อเจ้าของเสียงน่ากลัวนั้นคือเทวะรูปมหาเทพโซเลที่อุตส่าห์ก้มพระพักตร์มาเล่นจ้องตาเขาอย่างใกล้ชิดในระยะเผาขนขนาดนี้ราวกับมีชีวิต
พระพักตร์รูปสลักที่เคยไร้ชีวิตของสุริยะเทพในชุดนักรบบัดนี้เต็มไปด้วยความโกธรกริ้วราวพระองค์กำลังทรงพิโรธหนักน่ากลัวเป็นที่สุด
“พิธีศักดิ์สิทธิ์นี้ประสงค์แท้จริงแล้วคือการรับการทดสอบว่าที่ราชันจากเรา และการทดสอบจากเรานั้นก็ได้เริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนขึ้นเขามาที่นี้”
ใครจะไปตรัสรู้ล่ะครับว่าอยู่ดีๆจะโดนเทพทดสอบ เผลอทำเรื่องงามหน้าเยอะเลย คนถูกมหาเทพทดสอบโดยไม่รู้ตัวกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากเมื่อนึกถึงสิ่งต่างๆที่เขาทำไว้
“การขึ้นบันไดสูงหลายร้อยขั้นมาวิหารนี้ทดสอบร่างกายและความกล้าหาญที่จะก้าวข้ามอุปสรรคทั้งหลายอย่างสง่างามองอาจ”
แต่เขากลับขึ้นไปหอบไปซ้ำยังกลิ้งตกบันไดจนต้องให้เทสแบกเขาที่หัวแตกขึ้นมา
“การค่อยๆจุดเทียนทีละเล่มจนครบทั้งเก้าร้อยเก้าสิบเก้าเล่มทดสอบความพยายามและความตั้งใจที่จะรับผิดชอบทำหน้าให้สำเร็จอย่างภาคภูมิ”
แต่เขากับใช้วิธีลัดแบบขอไปทีจนเกือบทำวิหารไหม้
“การนั่งชันเข่าเงยหน้ามองข้าคือการทดสอบความอดทน ความศรัธา และความมุ่งมั่งเสมอต้นเสมอปลาย”
แต่เขากลับเลือกที่จะรีบท่องให้จบเร็วๆเพื่อจะได้ไม่นั่งนานถึงสิบห้านาที
“การท่องบทสวดศักดิ์สิทธิ์ทั้งเก้าร้อยเก้าสิบเก้าบทคือการทดสอบสมาธิความจำและสติปัญญาที่จะซึมซับจดจำความสอนของเรา”
แต่เขากลับอ่านผ่านๆไปแล้วยังดูถูกคำสอนของมหาเทพว่าเป็นเพียงสำนวนน่าเบื่ออีก
“สุดท้ายการออกไปรับแสงอาทิตย์ของเช้าวันใหม่คือการทดสอบว่าเจ้าสามารถแก้ปัญหาก่อนเวลาจะสายเกินแก้ได้หรือไม่”
เขายังอยู่ไม่ถึงตอนนั้นเลย ทั้งๆที่กะนอนฆ่าเวลาแท้ๆ แต่ก็ต้องมาขวัญผวาซะก่อน
“แล้วการทดสอบนี้ก็ทำให้เรารู้ว่า...”พระองค์ทรงเปรยเสียงเย็นยะเยือก ก่อนจะกลับเป็นเสียงที่เต็มไปด้วยความพิโรธให้คนทำผิดผวาแทบช็อด “เจ้ามันเป็นคนอ่อนแอ ขี้ขลาด ขี้เกียจ มักง่าย เห็นแก่ตัว โง่เง่า และทำทุกอย่างเพียงเพื่อให้ตัวเองอยู่สุขสบายโดยไม่สนใจความทุกข์ร้อนของใคร เจ้ามันไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นราชันหรือแม้แต่รัชทายาทเลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังจะเป็นตัวนำพาความโกลาหนมาสู่บ้านเมืองอีก”
เรฟราชีลยอมรับว่าเขาไม่สมควรกับตำแหน่งสำคัญพวกนั้นเลย เขาอยากป็นแค่มนุษย์สามัญชนธรรมดาที่จะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบเหมือนกับที่คนอื่นทำเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องปกติ
ก็เขาเลือกเกิดไม่ได้นี้หนา แล้วถึงเขาจะเป็นของเขาแบบนี้ก็ไม่เห็นจะผิดตรงไหนเลยนี้
“ข้าเตือนเจ้าขนาดนี้แล้วยังไม่รู้จักสำนึกอีก
!”เสียงต่อว่าดังสนั่นพร้อมกับนิ้วชี้เทวรูปชี้หน้าคนโดนอ่านความคิดจนผวาตัวสั่น
“เรฟราชีล เจ้าจะต้องได้รับบทลงโทษอย่างสาสมในความขี้เกียจเห็นแก่ตัวของเจ้า จนกว่าเจ้าจะสำนึก..!”พอมหาเทพโซเลลั่นคำสาปจบดัชนีพิพากษาก็พุ่งมาที่เขาอย่างรวดเร็ว
นัยน์ตาสีทองเบิกกว้างสะท้อนแสงสีขาวสว่างจ้าที่กำลังพุ่งมาหาตนด้วยความเร็วแสง ร่างสูงพยายามจะลุกแล้ววิ่งหนี แต่ไม่ทันที่ขาจะได้ก้าว สายฟ้านั้นก็พุ่งใส่กลางหลังของเขาอย่างแรงจนร่างของเด็กหนุ่มกระเด็นไปกระแทกกำแพงวิหาร กระแสไฟฟ้าวิ่งจากกลางหลังไปทั่วอวัยวะทุกส่วนในร่างกายของคนนอนแน่นิ่งอย่างบ้าคลั่ง น้ำใสๆไหลออกจากดวงตาขาวโพลด้วยความเจ็บปวดทรมารยากจะทานทนราวร่างกายทุกส่วนจะแหลกเหลวจนหมดสติไป
e†g
ขบวนเสร็จขององค์เฟรัวได้เคลื่อนขบวนขึ้นมายังภูเขาที่ตั้งทางขึ้นวิหารโซเล พระองค์ทรงทอดพระเนตรมองออกไปนอกราชรถพรางสดับฟังสิ่งที่พระสหายเอ่ยอย่างนิ่งเฉย
“ฝ่าบาททรงอย่าทำเช่นนี้ต่อไปเลยพะย่ะค่ะ เจ้าชายเรฟราชีลน่ะทรงเป็นเด็กหัวแข็งดือเอาแต่ใจหากพระองค์ไม่ทรงรับสั่งให้เจ้าชายเข้าใจ เจ้าชายก็จะไม่ยอมเข้าใจสักทีนะพะย่ะค่ะ”
ท่านเสนาคาฟัสทูลองค์เฟรัวด้วยความเป็นห่วง เขาเป็นพระสหายองค์ราชามาตั้งแต่พระองค์ทรงพระเยาว์ก็ย่อมจะรู้ดีว่าเบื้องหลังความเย็นชานั้นเป็นเช่นไร
หากแต่โอรสของพระองค์เองแท้ๆ กลับดูไม่ออก และเลือกเข้าใจแต่สิ่งที่ตนมองเห็น
จึงทำให้มักเกิดการไม่เข้าใจของสองพ่อลูกเสมอ แต่ฝ่ายที่เริ่มก็เห็นจะมีแต่คนลูกที่ไม่เคยเข้าใจอะไรเลย ขนาดเขารักและเอ็นดูเจ้าชายเรฟราชีลเหมือนเป็นลูกของตัวเองอีกคนมาตั้งแต่เกิด พอเห็นเจ้าตัวเผลอทำบาปต่อพ่อแล้วก็อดที่จะโกธรจะติด้วยเป็นห่วงอนาคตของผู้ไม่รู้สึกตัวไม่ได้
องค์เฟรัวยังคงทรงทอดพระเนตรมองออกไปนอกหน้าต่างเงียบๆ แต่ท่านเสนาก็รู้ว่าพระองค์ยังคงสดับฟังที่เขาพูดพร้อมดำริตาม
“ฝ่าบาทก็ทรงรู้ว่าตั้งแต่ประสูติเจ้าชายมีชะตาเช่นไร ขอพระองค์ทรงหยุดทำให้พระองค์เองและโอรสต้องทุกข์พระหัยเรื่องนี้อีกเลย อะไรที่มันผ่านมาแล้วก็ขอให้ผ่านไปเถอะพะย่ะค่ะ”
ไม่มีรับสั่งกลับมาจากองค์ราชาเหมือนทุกครั้ง ท่านเสนาถอดหายใจแล้วแอบบ่นองค์เหนือหัวที่เป็นเพื่อนสนิกแต่เด็กเบาๆแต่จงใจดังพอให้คนโดนบ่นได้ยินชัดเจน
“เฮอ...ดื้อทั้งคู่ คนลูกก็ดื้อเอาแต่ใจ คนพ่อก็ดื้อเงียบ ข้าล่ะไม่รู้จะพูดอย่างไงต่อแล้ว”
หากแต่คนดื้อเงียบก็ยังดื้อเงียบไม่เปลี่ยน พระเนตรสีไพลินทอดมองไปบนท้องฟ้าสีดำทมิฬด้วยสายตานิ่งสงบอ่านยากเช่นปกติ แต่เบื้องหลังความสงบนั้นฉายแววกังวลบางอย่างอยู่
ทั้งๆที่วันนี้สมควรเป็นวันฟ้าเปิดกลับมีเมฆหนาสีดำทมิฬราวลางร้ายมาบิดบังทั่วฟ้า
สายลมหนาวพัดแรงก่อเค้าพายุหิมะจนต้นไม้ใหญ่โค่น หิมะสีขาวตกกระหนำลงมาพร้อมๆกับลูกเห็บแล้วแปรเปลี่ยนเป็นพายุใต้ฝุ่นอย่างรวดเร็ว
“มันอะไรกันล่ะนี้ เดี่ยวหิมะตกลูกเห็บลงแล้วยังพายุเข้าอีก”ท่านเสนาคาฟัสเอ่ยอย่างแปลกใจขณะที่นัยน์ตาสีมรกตจ้องมองสภาพอากาศแปรปรวนด้านนอก
แสงสีขาวสว่างจ้าไปทั่วบริเวณตามมาด้วยเสียงกัปนาคดังสนั่นจนแผ่นดินสะเทือน
คนไม่นิ่งพอเหมือนคนข้างๆรีบเปิดประตูราชรถถามเหล่าองค์รักษ์ทันที
“เกิดอะไรขึ้น”
“มีสายฟ้าขนาดใหญ่ฟาดลงมาบนยอดเขาขอรับ”หนึ่งในองค์รักษ์ตอบด้วยสีหน้ากังวล
“วิหารโซเล...”คาฟัสพึมพำกับตัวเอง แล้วรีบหันกลับไปมององค์ราชา แต่ร่างของพระองค์ก็ได้หายไปจากในราชรถแล้ว!
เสียงม้าร้องที่ดังห่างไป ทำให้ท่านเสนาผู้ควบตำแหน่งหัวหน้าราชองค์รักษ์พิทักษ์ราชันด้วยรีบกระโดดขึ้นม้าตาม
e†g
ไควูฟัสที่เฝ้ามองเหตุการณ์อยู่หน้าบันไดขึ้นวิหารโซเลได้แต่เพียงพยายามเพ่งมองผ่านขึ้นไปเหนือเมฆสีดำทมิฬด้วยความกังวลใจ มือหนากำแน่นจนเล็บจิกเนื้อ
แม้เขาอยากจะขึ้นไปดูให้ชัดกับตา แต่หากไม่มีรับสั่งจากองค์ราชาใครหน้าไหนก็ขึ้นไปขัดพิธีศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้
ฮื่อ!
อาชาสีเงินสง่างามที่วิ่งมาด้วยความเร็วสูงวิ่งขึ้นบันไดไปโดยไม่สนใจคำห้ามของใคร และการมาของท่านก็ทำให้คนรอจังวะนี้มานานรีบกระโดดขึ้นม้าของตัวเองขึ้ตามขึ้นไปทันที
“ไควูฟัสนี้มันเกิดอะไรขึ้น”ท่านพ่อของเขาที่ขี่อาชาสีดำตามคนข้างหน้ามาตะโกนถามขณะเร่งฝีเท้าม้าให้วิ่งขึ้นบันไดเร็วขึ้น
“ข้าเองก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ”เด็กหนุ่มผมเขียวตอบโดยไม่หันกลับไปมอง เขากระตุกบังเหียนให้ม้าคู่ใจวิ่งสุดฝีเท้าตามองค์ราชาที่ทรงม้าทิ้งห่างพวกเขาไปไกล
ในที่สุดผู้ที่ขึ้นไปถึงวิหารโซเลก่อนก็เป็นองค์เฟรัวดั่งคาด พระองค์ทรงลงจากหลังม้าแล้วเสด็จผ่านผู้ดูแลเจ้าชายที่รอรับเสด็จอย่างอำอึง เทสไม่รู้จะทูลอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น เจ้าตัวจึงทำความเคารพสูงสุดแล้วหลบให้พระองค์เข้าไปทอดพระเนตรด้วยพระองค์เอง
ไควูฟัสที่ตามองค์เฟรัวเข้ามาในวิหารติดๆ เห็นพระองค์ทรงหยุดนิ่งอยู่กับที่
นัยน์ตาสีมรกตจึงมองตามพระเนตรสีไพลินที่ฉายแววแปลกใจแบบที่เขาไม่เคยเห็นพระองค์จะแปลกใจอะไรได้เท่านี้มาก่อน แล้วภาพตรงหน้าที่เห็นก็ทำให้เขาตกใจยิ่งกว่า
“ท่านพ่อ!”
คำเรียกเสด็จพ่อง่ายๆอย่างติดปากของคนไม่ชอบใช้ราชาศัพท์ที่ออกมาจากปากเล็กๆของคนตรงหน้าด้วยความตกใจทำให้คนพึงมาถึงทั้งสามต่างอึ่งพูดอะไรกันไม่ออก
“ข้าไม่ได้ตั้งใจทำให้มหาเทพโซเลโมโหนะครับ ข้าแค่แอบใช้เวทจุดเทียน...จนเกือบเผาวิหารเฉยๆ แล้วก็แค่เห็นว่าในคัมภีร์มันยาวมากแถมยังน่าเบื่อเลยข้ามไปท่องหน้าสุดท้ายเอง ข้ากะจะแอบงีบ แต่จู่ๆรูปปั่นของท่านก็ลุกมาว่าข้า แล้วก็ฟาดสายฟ้าใส่จนตัวข้าชาไปหมด”
คนที่เขาเห็นนั่งตัวสั่นอยู่ข้างๆนิอาซ์พูดอย่างร้อนตัวพรางชี้นิ้วไปที่เทวะรูปมหาเทพโซเลที่เหมือนมีใครทะลึงไปสลักพระพักตร์พระองค์ใหม่ให้ทรงดูกริวได้น่ากลัวเช่นนี้
แม้จะเริ่มเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะอะไรแล้ว แต่เขาก็ไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่ตาเห็น
“พระอาจารย์นิอาซ์ช่วยเตรียมพิธีขอขมามหาเทพโซเลโดยด่วน เทส เทซัสจงรีบขี่ม้าไปเชิญท่านผู้เฒ่าอาเปรย์ซีเย่ที่อยู่ในป่าลึกไปพบข้าที่พระราชวัง ไควูฟัส วูฟไมรอสจงพานางกลับไปยังห้องของเจ้าชายเรฟราชีลโดยอย่าให้ใครเห็นนางเด็ดขาด”องค์เฟรัวรับสั่งเฉียบขาด
“พะค่ะย่ะฝ่าบาท”นิอาซ์กับเทสต่างรีบแยกกันไปทำตามพระบัญชา
หากแต่เจ้าของนัยน์สีมรกตที่มองคนที่ตนต้องพากลับวังโดยไม่ให้ใครเห็นตาไม่กระพริบยังคงยืนอึ่งทำอะไรไม่ถูกเช่นเดียวกับเจ้าตัวที่คงเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติกับตัวเองแล้ว
“นาง...? ท่านพ่อพูดถึงใครกัน แล้วทำไมทุกคนต้องมองข้าด้วยสายตาแปลกๆด้วย”
คนในชุดคลุมยาวสีขาวสะอาดมองซ้ายมองขวาหา‘นาง’ที่ท่านพ่อเรียก
แล้วนัยน์ตาสีทองก็สบเข้ากับร่างหนึ่งในกระจกเงาใบใหญ่ที่พระอาจารย์ตนเสกมาให้
เจ้าของนัยน์ตาสีทองที่กำลังเบิกกว้างเดินเข้าไปดูภาพที่สะท้านมาจากกระจกเงานั้นใกล้ๆอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตน
คนในกระจกเงาเป็นเด็กสาวตัวสูงอายุน่าจะราวสิบเจ็ด เธอมีผมสีทองยาวถึงเอวที่ถูกมัดหลวมๆด้วยเส้นไหมสีดำคลอเคียดวงหน้าเรียวสวยที่มีสีหน้าตกใจ นัยน์ตาสีทองมองดูชุดคลุมยาวสีขาวที่ร่างสูงเพรียวสวมใส่ ก่อนจะกลับขึ้นมาสบนัยน์ตาสีทองมนสวยที่ฉายแววสับสันของอีกฝ่ายซึ่งจ้องกลับมาแบบเดียวกัน
“ล้อเล่นน่า....”
เด็กสาวคนนั้นพูดเบาๆราวเสียงกระซิบ เจ้าตัวเองก็คงจะซ็อดยิ่งกว่าใครๆ
“นี้ข้าถูกสาปให้เป็นผู้หญิงงั้นหรอ เป็นหนอนเป็นแมวยังพอว่า แต่เป็นผู้หญิงในเมืองชายต้องสาปที่เชื่อกันว่าผู้หญิงเป็นตัวกาลกิณีของบ้านเมืองแบบนี้มันไม่ตลกเลยนะ..!”
“ไควูฟัส ฝ่าบาทรับสั่งให้รีบพานางกลับวังไม่ใช่หรอ ยังไม่รีบไปอีก..!”
ท่านเสนาสั่งลูกชายย่ำอีกครั้งแทนองค์เฟรัวที่ทรงเสด็จไปทำพิธีขอขมามหาเทพโซเลที่ยังทำหน้าบึ่งให้คนมัวทำอะไรไม่ถูกได้สติ
ไควูฟัสโค้งคำนับองค์ราชาก่อนจะเดินไปใกล้ๆร่างสูงบางที่ยังคงจ้องมองกระจกตาไม่กระพริบจนไม่รับรู้การมาของเขา เด็กหนุ่มผมเขียวถอดเสื้อนอกของตัวเองแล้วค่อยๆคลุมศีรษะเด็กสาวผมทอง ก่อนเขาจะช่วยพยุงเธอที่ซ็อดจนพูดไม่ออกกลับวังเงียบๆท่ามกลางความสับสน
e†g
เทสเหนื่อยใจกับตัวเองยิ่งนักที่รีบออกมาโดยไม่ถามท่านเสนาก่อนว่า ท่านอาเปรย์ซีเย่เป็นใครอยู่ที่ไหน ชายร่างใหญ่จึงต้องควบม้าเข้าไปในป่าลึกตามลูกไฟเวทที่ไว้ใช้หาคนด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่ม้าตัวนี้จะวิ่งได้ นัยน์ตาสีดำสนิทมองตรงไปตามลูกไฟเพื่อหาที่อยู่ของคนที่เขาได้รับพระบัญชาจากองค์เฟรัวให้มาเชิญตัว
หลังจากที่วิ่งหามาได้พอสมควรลูกไฟเวทก็ไปหยุดหน้ากระท่อมไม้กลางป่าตรงหน้า เมื่อควบอาชาเข้าไปถึงชายผมดำก็รีบลงจากหลังม้าแล้วตรงไปเคาะประตูกระท่อมนั้นทันที
ปัก! ปัก! ปัก!
“ท่านผู้เฒ่าอาเปรย์ซีเย่อยู่มั้ยครับ ข้าได้รับพระบัญชาจากองค์เฟรัวให้มาเชิญท่านไปพระราชวังครับ”
แอ็ด..
ประตูบานนั้นเปิดออกโดยไม่มีใครเป็นคนเปิดจนเทสนึกว่าเขาทุบแรงไปจนประตูผุๆพัง
ก่อนจะเลิกสนใจมันด้วยเสียงเรียกของชายชราในชุดคลุมยาวสีขาวที่นั่งจิบน้ำชาบนเก้ากี้ไม้ในกระท่อม
“ข้ารู้แล้ว รอคนแก่เตรียมตัวสักครู่นะเจ้าหนุ่ม”
เทสพยักหน้ารับ ก่อนจะสังเกตเห็นว่านอกจากชายชราที่ลุกไปเอาของแล้ว ยังมีเด็กหนุ่มผมสีแดงเพลิงยาวถึงอกนั่งเมลอลอยอยู่ตรงข้ามชายชรา
เด็กหนุ่มคนนั้นไม่ได้หันมามองเขา แสงไฟสีม่วงส่องให้เขาเห็นเพียงเสี้ยวหน้าที่ดูลึกลับของอีกฝ่าย นัยน์ตาสีโลหิตน่ากลัวนั้นว่างเปล่าราวเจ้าของวิญญาณออกจากร่าง
“คืนนี้พักที่นี้ก่อนเถอะ ต่อจากนี้ไปเจ้าคงจะไม่ได้หยุดพักอีกเลย”
ท่านผู้เฒ่าเอ่ยกับเด็กหนุ่มที่ไม่มีท่าทางใดๆตอบกลับ ก่อนเดินนำเทสออกจากกระท่อม นัยน์ตาสีดำจึงละสายตาจากเด็กหนุ่มปริศนาคนนั้น แล้วรีบพาท่านผู้เฒ่าไปพระราชวัง
ปึง!
พอเจ้าของบ้านออกไปประตูกระท่อมค่อยๆปิดเองอีกครั่งเช่นเดียวกับหัวใจของคนอยู่ในความมืดมิดเพียงลำพังที่ถูกปิดตาย
e†g
ตลอดทางกลับมาอากาศนั้นแปรปรวนเหมือนกับใจของคนที่กำลังขี่ม้าแอบเข้าทางข้างหลังพระราชวังเงียบๆ องค์รักษ์หนุ่มกับเด็กสาวข้างหลังเขายังไม่ได้ปริปากพูดอะไรกันด้วยทั้งต่างฝ่ายต่างยังซ็อดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่หาย และด้วยฝีเท้าของเชอวาลก็ทำให้ให้พวกเขามาถึงพระราชวังในสองชั่วยามโดยที่ไม่มีใครเห็น
ไควูฟัสสั่งให้เชอวาลหยุดที่หลังพุ่มไม้ข้างหน้าต่างห้องบรรทมของเจ้าชายเรฟราชีล
ร่างสูงกระโดดลงจากหลังม้าอย่างเงียบกริบราวย่องเบาด้วยกลัวใครได้ยินพรางมองซ้ายมองขวาดูว่ามีใครอยู่แถวนั้นหรือไม่ เมื่อเห็นว่าปลอดคน เขาจึงรีบช่วยคนที่ยังนั่งนิ่งบนหลังม้าลงมาก่อนจะส่งเจ้าตัวข้ามหน้าต่างแล้วตัวเองก็สั่งให้ม้าคู่ใจกลับเข้าคอกเองก่อนปืนตามขึ้นไป
พอปีนขึ้นมาในห้องที่คุ้นเคยเขากลับรู้สึกแปลกๆ นัยน์ตาสีมรกตมองผ่านความมืดในห้องที่มีเพียงแสงจันทร์ส่องให้เห็นร่างสูงบางยืนหันหลังให้เขา เส้นผมสีทองยาวยุ่งๆที่ถูกมัดลวกๆทำให้คนเห็นประจำมองแล้วนึกคิดคนไม่ชอบสระผมนานนับเดือน ถึงแม้อะไรๆหลายอย่างจะบอกชัดว่าเจ้าตัวเป็นคนที่เขารู้จักมาทั้งชีวิต แต่พอเผลอมองชุดสีขาวที่เจ้าตัวสวมใส่อยู่นั้นชุ่มน้ำฝน คนเห็นก็ต้องรีบหันหน้าไปทางอื่นแล้วเตือนตัวเองใจใน แต่แล้วก็งานเข้าจนได้
“ไควูฟัสเจ้าช่วยบอกข้าทีได้มั้ยว่าที่ข้าเป็นอยู่นี้ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าผู้หญิง”
เจ้าของน้ำเสียงที่หวานเปลี่ยนไปจากเดิมมากหันมาถามด้วยความไม่แน่ใจ เพราะเจ้าตัวเคยเห็นผู้หญิงตัวเป็นๆแค่ครั้งเดียวในชีวิตซึ่งนั้นมันก็นานมามากแล้ว แถมรูปร่างไม่ขนาดนี้ด้วย
ถึงแม้เขาจะพบเจอรู้จักผู้หญิงนอกเมืองมามากมายแล้ว แต่เขาก็ไม่อยากจะยอมรับว่าคนที่เขาพยายามไม่หันไปมองอยู่นี้เป็นผู้หญิง แม้สิ่งที่เขาพยายามไม่มองมันจะฟ้องเด่นชัดว่าใช่
“นี้ เจ้าเคยออกไปจีบผู้หญิงมาหลายคนแล้วไม่ใช่หรอ หันมาดูข้าให้ชัดๆแล้วตอบข้ามาว่าตอนนี้ข้ากลายเป็นผู้หญิงหรือว่าเป็นกระเทย”
เจ้าต๊องเอ๊ย จะให้ข้าหันไปมองดูเจ้าชัดๆได้ไงเล่าเดี้ยวได้ตบะแตกกันพอดี
“ข้าบอกให้หันมาดูข้าไงไควูฟัส”คนชอบออกคำสั่งไร้สาระสั่งเสียงดุ
แต่ถ้าเขาเชื่อฟังก็หัวขาดน่ะสิ
“เจ้าคอหักหูหนวกหรือไงฮะ ข้าบอกให้มองข้าแล้วตอบมาว่าข้าเป็นอะไรกันแน่”
คนเอาแต่ใจชอบใช้อามรณ์เป็นหลักก็ยังไม่ยอมเข้าใจเหตุผลของเขาซะที ซ้ำยังเอามือนุ่มๆที่ปกติก็นุ่มอยู่แล้วเพราะไม่เคยหยิบจับทำอะไรหนักๆมาจับหน้าเขาให้หันไปสบใบหน้างามขาวใสสะอาดที่ไม่คู่ควรกับคนชอบทำตัวซกมกเลย นัยน์ตาสีมรกตรีบหุบสนิก แต่นิ้วเรียวบางก็เลิกเปลือกตาคนไม่ยอมมองตนขึ้นพรางสั่งเสียงเย็น
“ไควูฟัส วูฟไมรอส”
“ก็ได้ๆ เจ้าอยากให้ข้าดูเจ้าเองนะ”คนป่วยการจะหลบต่อเอ่ย แล้วแกล้งจ้องผ่านชุดสีขาวเปียกๆที่ลู่ติดส่วดทรงองค์เอวของคนอยากให้เขามองรู้ตัว
แต่อีกฝ่ายก็ยังยืนบื่อเหมือนเดิมเขาเลยต้องบอกอ้อมๆ
“รู้มั้ยรูปร่างเจ้าตอนเป็นหญิงแจ๋มกว่าที่ข้าคิดไว้ซะอีก อกเป็นอก เอวเป็นเอว สะโพกเป็นสะโพก ถ้าไม่ติดว่าข้ายังไม่ลืมเจ้าตอนเป็นชาย ข้าหว่านเสน่ห์ใส่เจ้าไปแล้วนะนี้”
“อะ..ไอ้หมาโรคจิต ข้าเป็นผู้ชายเหมือนเจ้านะ”เจ้าคนที่เข้าใจเขาผิดไปใหญ่โตว่าเสียงสั่นพรางก้าวขาถอยด้วยความที่เชื่อว่าเขาจะทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้จริงๆ คนโดนเข้าใจผิดก็จำต้องเล่นไปตามน้ำต่อ
“เหมือนตรงไหน เจ้าดูตัวเองให้ดีสิว่าอะไรที่เราเคยมีเหมือนกัน ตอนนี้เจ้ายังมีอยู่ไหม”
นัยน์ตาสีทองเริ่มมองสำรวจร่างกายตัวเองพรางจับส่วนต่างๆที่เปลี่ยนไปให้คนมองตามต้องรีบหันหลังให้แล้วตบหน้าผากเรียกสติตัวเอง
“ม่ายยยยยยยยยยยยยยจริงงงงงงงงงงงงงงงง....!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”
เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นจากคนข้างหลังที่พึงเห็นความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของตนชัดชัดกับตา ถ้าจู่ๆเขาต้องกลายเป็นอย่างเจ้าตัวก็คงร้องราวฮาโลกิแตกกว่านี้ด้วยซ้ำ
“ทีนี้ เจ้ารู้รึยังล่ะ ว่าเจ้าเป็นอะไร”หลังจากปล่อยให้เพื่อนรักที่กลายเป็นสาวทำใจไว้อาลัยกับการจากไปของความเป็นชายสักพักเขาก็ถามเรียกสติอีกฝ่ายที่ตอบกลับมาผิดคาด
“ถึงตอนนี้ร่างกายข้าจะเปลี่ยนไปแต่ใจข้าก็ยังเป็นชาย อย่ามาคิดทะลึ่งเชียวนะเฟ้ย!”
ไควูฟัสเลิกคิ้วสูง ตอนแรกเขาคิดว่าเรฟราชีลจะสะเทือนใจที่โดนสาปให้กลายเป็นผู้หญิงในเมืองที่สตรีถูกมองเป็นกาลกิณีบ้านเมืองจนเครียดวิตกกังวลจัดจนอยากฆ่าตัวตายอีก
แต่เจ้าตัวกลับห่วงเรื่องที่เขาจะคิดไม่ซื่อมากกว่าราวกับไม่เดือนร้อนอะไรมากมาย ทั้งๆที่ทำให้คนเผลอหันไปมองที่เคยแตกพานของเจ้าตัวหน้าร้อนอยู่นี้
“เจ้าอาจจะคิดว่าตัวเองเป็นผู้ชายได้ แต่ข้า คนอื่น หรือแม้แต่เสด็จพ่อของเจ้า ไม่ว่าใครก็เห็นว่าตอนนี้เจ้าเป็นผู้หญิงเต็มสองตาอยู่ดี ที่สำคัญพอเจ้าใส่เสื้อผ้าไม่มิดชิดเผยใจแล้วมันยิ่งใช่”
คนที่ตบะจะแตกรอมร่ออยู่แล้วบอกพรางชี้ให้คนซื่อบื่อมองตามว่าเขาเห็นอะไรที่ ใช่เลย
“ไอ้ทะลึ่ง!”ในที่สุดเจ้าคนที่เขาไม่รู้จะว่ามันบื่ออย่างไงดีแล้วก็รู้ตัว รีบกอดอกปิดอกไม่สามศอกแล้ววิ่งไปเปลี่ยนเสือผ้ามิดชิดกว่าเดิมให้เขาได้กลับมาหายใจได้ทั่วท้องหน่อย
หัวหน้าองค์รักษ์คุ้มครององค์รัชทายาทที่จำต้องเปลี่ยนหน้าที่มาดูแลเจ้าหญิงจอมโก๊ะแทนลอบถอนหายใจเบาๆแล้วเดินไปจุดตะเกียงทั่วห้องให้สว่างไสวขึ้นเพราะรู้ดีว่าเจ้าตาไม่ดีไม่น่าตาเหมือนตาแมวมองเห็นในความมืดไม่ค่อยชัด และที่สำคัญเจ้าตาทองน่ะนอกจากเป็นโรคกลัวความสูงแล้วยังกลัวความมืดเวลาอยู่คนเดียวมืดๆมักจะหลอนได้ยินได้เห็นอะไรก็นึกว่าเป็นผีไปหมดต้องให้เขามานอนเป็นเพื่อนตั้งแต่สามขวบ ผูกพันจนเหมือนเป็นพี่น้องร่วมสาบาน
“เป็นผู้หญิงแล้วยังไม่วายทำตัวซกมกอีกนะ”เด็กหนุ่มแขวะเมื่อหันไปเห็นชุดที่คนล้มตัวนอนบนเตียงใส่เป็นตัวเดียวกับเมื่อวานที่เจ้าตัวใส่ไม่เปลี่ยนมาเป็นอาทิตย์ แต่คนที่อย่างไงอย่างไงก็ไม่เปลี่ยนสันดานเดิมๆมีหรือจะเชื่อฟัง
“ก็ไม่มีใครซักตัวอื่นให้ข้า ข้าก็จำต้องใช้ตัวนี้ไปก่อนจนกว่าจะมีคนเอาตัวใหม่มาให้”คนที่เคยมีคนอื่นทำโน้นทำนี้ให้จนติดเป็นนิสัยเอ่ยอย่างไม่แยแสคำติใดๆให้คนสอนปวดหัว
“เจ้าแมวกินปลาทองลืมไปแล้วรึไง ว่าองค์เฟรัวมีรับสั่งให้เจ้าหัดทำอะไรด้วยตัวเองซะบ้างไม่ใช่ดีแต่สั่งให้คนอื่นมาคอยประเคนให้”
นัยน์ตาสีทองมนกลมๆเหมือนตาแมวที่มีทั้งความหยิ่งยโสเอาแต่ใจและความขี้อ้อนอยู่ในขณะเดียวกันจ้องนัยน์ตาสีมรกตที่มองมาด้วยสายตารู้ทันเขม็ง
“ข้าจำได้น่า ถ้าข้าอยากเปลี่ยนชุดตัวใหม่เดี้ยวข้าก็ซักของข้าเอง ใครทนเห็นข้าใส่ชุดตัวนี้ต่อไม่ได้ก็ไม่ต้องมอง หรือไม่ก็ซักมาให้ข้าเปลี่ยนสักตัวสิ”
เจ้าชายพ่อมดเผยแผนชั่วที่จะสั่งให้คนอื่นทำให้อ้อมๆชวนโดนสาปเป็นคางคก
“นั้นเจ้าก็เชิญใส่จนราขึ้น ปมขึ้น ขี้กลานขึ้นเสียให้พอ ปากดีแบบนี้คงมีใครเห็นใจเจ้าหรอกนะ”คนฟังว่าด้วยรอยยิ้มขำไม่จริงจังในคำพูดของตนที่คนโดนอวยพรก็หลุดขำออกมา
“เหอะ มันก็เรื่องของข้าไม่เห็นจะหนักหัวใครนี้หนา เฮ้ย..! เล่นบ้าอะไรของเจ้าอีกเนี้ยไควูฟัส ข้าเจ็บหัวไปหมดแล้ว”
คนแกล้งทนฟังไม่ไหวกระโดดขึ้นไปขยี้หัวคนปากดีเล่นด้วยความหมั่นเขี้ยวพรางกลับมายิ้มกวนประสาทคนมองค้อนตามปกติ เพราะเรฟราชีลยังเป็นเรฟราชีลไม่เปลี่ยนไปตามรูปร่างที่เกือบทำให้เขาหลงกลภาพมายาเขาจึงเริ่มที่จะยอมรับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ได้บ้างแล้ว
“ผู้หญิงปากดีก็น่ารักอยู่หรอกนะ แต่อย่างเจ้าน่ะมันดีแต่ปาก มีแต่จะพูดให้ตัวเองเดือดร้อนโดนคนอื่นหมั่นไส้หรือไม่ก็เกลียดเข้าไส้มากกว่าถูกใจนะจะบอกให้”เขาว่าพรางเอานิ้วจิ้มปากสั่งสอนคนที่เกือบจะตอกกลับด้วยการเอาฟันกระต่ายกัดนิ้วเขาขาดได้
“แล้วไง ข้าจะปากดีหรือดีแต่ปาก แล้วมันไปหนักหัวใครไม่ทราบ”เด็กสาวผมทองพูดพรางแลบลิ้นปี้นตาใส่เพื่อนรักแต่เกิดที่แสร้งส่ายหน้าด้วยความเอือมระอา
“ระวังเถอะ มีคนหัวหนักขึ้นมาแล้วเจ้าจะร้องหาข้า”
“ก็มันเป็นเรื่องของข้ามันจะไปหนักหัวคนอื่นได้ซะทีไหน”
“ก็ที่หัวเสด็จพ่อท่านไง”
เจ้าคนปากดีเมื่อกี้สะดุ้งสุดตัวรีบถีบคนข้างกายไปไกลๆก่อนจะหันไปมองยังเจ้าของเสียงที่คุ้นๆแล้วหันไปสบเข้ากับพระเนตรสีไพลินของผู้ที่ยืนอยู่ข้างท่านพ่อคนโดนเชิญลงเตียง
“ท่านพ่อ...”เขาคงไม่ต้องบอกสินะว่าหน้าของเจ้าคนทำเขาขายหน้าต่อหน้าผู้ใหญ่ตอนนี้ซีดขนาดไหน เฮอ.. เตือนแล้วก็ไม่เชื่อ สม
ไควูฟัสลุกทำความเคารพองค์เฟรัว ขณะที่เจ้าคนมีคดีติดตัวเยอะได้แต่นั่งทำหน้าสลดรอการสอบสวนจากเสด็จพ่อผู้เด็ดขาดประดุจภูเขาน้ำแข็งที่คงไม่ปล่อยให้มันรอดคุกกรงทองแน่
“จงเล่าเรื่องที่เจ้าสร้างไว้มาทั้งหมดเรฟราชีล”
“คร๊าบ!”
เฮอ... ได้โดนจับดัดนิสัยจริงๆก็คราวนี้แหละเจ้าชายพ่อมดจอมขี้เกียจ
e†g
โค๊ด กรอบทอง moon of
sky
sky
บาร์เขียว moon of
ความคิดเห็น