คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำภาคมณีถอนมนตรา
บทนำภาคมณีถอนมนตรา
มันคงจะดีกว่านี้ถ้าการรอใครสักคนสองคนนั้นไม่นานเกินรอ และมันคงจะดีกว่านี้มากถ้าได้นั่งจิบโกโก้เย็นไปรอไปหรือหม่ำขนมจีบกุ้งไปรอไปมากกว่าการยืนตะคิวกินเมือยทั้งขาเมือยทั้งคอเพราะต้องคอยยืดคอมองหาพร้อมแผ่รังสีอำมหิตชนิดที่ใครๆในตลาดก็ไม่กล้าเข้าใกล้คนที่ยืนจังก้ารอฆ่าใครอยู่
‘ไอ้หมาขี้เต๊ะ ให้วิ่งไปคาบไม้กลับมาแค่นี้ มัวไปโชว์ออฟเอาโล่ห์อยู่รึไง ปล่อยให้ยืนรอหัวโด่โดนมองเด่นอยู่คนเดียวตั้งนานสองนาน แถมยังไม่ทิ้งไอ้นั้นไว้ให้ใช้ในยามคับขันอีก ถ้ายังไม่รีบโผล่หัวมาพร้อมหน้าเจ้านั่นเจ้าได้เจอดีแน่’
ปากเล็กใต้ผ้าคลุมศีรษะที่ปกปิดใบหน้าคนรอขยับยิ้มหวานจัดตามความคิดที่นึกขึ้นได้ว่าจะต้อนรับคนกลับมาช้าอย่างไงถึงจะสาสมแก่โทษของพวกมันดี
ถึงจะรู้อยู่แก่ใจว่าที่มันกลับมาช้าด้วยเหตุผลต่อให้หมาป่าตัวใหญ่แข็งแรงขนาดไหนก็โดดตรุบจับหงส์ที่บินหนีอยู่มาไว้ในอุ้งเท้าไม่ได้ง่ายๆ
แต่ที่โมโหไม่ใช่เพราะมันไปนาน ต่อให้มันกลับมาช้ากว่านี้อีกสักชั่วยามก็รอได้ขอแค่จับเจ้านั่นมาให้ได้ก็พอ
ที่โมโหเพราะมันดันลืมทิ้งไอ้นั้นไว้ให้ใช้ในยามที่จำเป็นต้องใช้ที่สุดต่างหาก
เล่นไม่ทิ้งไว้สักแดง แล้วจะให้ไปเอาตังจากที่ไหนมาซื้อฮอตด็อกร้านข้างๆนี้กินเล่า!
โครก~
เสียงสัตว์ร้ายใต้ชุดคลุมคำรามขึ้นเป็นรอบที่สามให้รังสีอำมหิตของเจ้าของตัวที่พร้อมจะบุกขย้ำทุกสิ่งทุกอย่างที่กินได้ในตลาดนี้ได้ทุกเมื่อรุนแรงยิ่งขึ้นซะจนคนโมโหหิวเองยังกลัวใจตัวเองว่าหากขืนอยู่แถวนี้ต่อมีหวังทนกลิ่นหอมหวานชวนน้ำลายย้อยนี้ต่อไม่ไว้จนพังเป็นแถบๆ
‘อย่าให้เจอตัวเชียว จะจับทำลูกชิ้นเนื้อหมากับนกย่างกินทั้งคู่เลยคอยดู!’
ผู้คนที่เดินไปเดินมาในตลาดกลางเมืองต่างรีบหลบทางให้คนลึกลับเจ้าของจิตสังหารน่าสยองที่เริ่มเดินจ้ำเอาจ้ำเอาอย่างไม่สนใจใครหน้าไหนนอกจากหน้าคนอยู่ในบัญชีดำในใจที่ถ้าเจออาจเละจนจำหน้าศพไม่ได้ อย่างพร้อมเพียงด้วยเกรงจะโดนลูกหลงแทนคนทำให้โมโหหิว
บางคนเมื่อร่างนั้นเดินผ่านไปแล้วก็เหลี่ยวหลังลอบมองอย่างสังเกตคนแปลกหน้าที่คงมาจากต่างถิ่นกัน ด้วยชุดของคนที่เหมือนกำลังมองหาใครอยู่นั้นปกปิดแทบทุกส่วนซะจนมองไม่เห็นหน้าตานอกจากรูปร่างที่ติดจะสูงสง่าแต่กลับบอบบางจนเกินคนเมืองนี้ทำให้เป็นที่ต้องสงสัยกันอย่างมาก ไม่ใช่คนที่นี้จะชอบสู่รู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้านแต่อย่างใด แต่พวกเขาต้องระวังต้องระแวงถึงบางสิ่งที่อาจนำภัยร้ายมาสู่บ้านเมืองตน ยิ่งเมื่อคืนเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นด้วย
แต่คนโดนมองจับผิดอยู่ก็หาได้รู้ตัวไม่ ยังทำตัวเด่นอยู่อย่างนั้นโดยไม่ตั้งใจดังด้วยในหัวคิดถึงแต่นอกจากนกย่างกับลูกชิ้นหมาเมนูไหนจะง่ายๆสบายๆแต่ทรมารวัตถุดิบหลักได้ดีที่สุด!
“ตอนเด็กๆพวกเจ้าเคยฟังนิทานเรื่องเจ้าชายพีเยร่าสีทองหรือเปล่า”
‘เจ้าชายพีเยร่าสีทอง?’
เสียงยังไม่แตกหนุ่มดีของเด็กผู้ชายคนหนึ่งในกลุ่มเด็กสิบเอ็ดสิบสองที่นั่งเล่นกันอยู่ข้างร้านของเล่นฉุดให้คนกำลังคิดเมนูอาหารสุดสยองอยู่หยุดเดินด้วยสะดุดกับเรื่องที่เด็กคุยเล่นกัน
“เรื่องเล่าของเด็กพึงเกิดจากผลพีเยร่าสีทองที่ร้องไห้แล้วฝนตกลงมาดับทะเลเพลิงและภูเขาไฟที่ปะทุขึ้นหลังจากเจ้าชายน้อยเกิดใช่ม่ะ”
เด็กเล็กสุดในกลุ่มถามกลับแบบชวนงง แต่เด็กชายที่ตัวโตสุดในกลุ่มและเป็นผู้เริ่มการสนทนาก็เข้าใจพยักหน้าตอบประมาณว่า‘นั่นแหละ’ ก่อนหันไปถามย้ำเพื่อนอีกคนที่ยังไม่ได้ตอบเพราะมัวจ้องดาบไม้ตาเป็นมันอยู่
“แล้วเจ้าล่ะ เคยฟังเรื่องนี้มั้ย ถ้าไม่เคยเดี้ยวข้าจะเล่าแบบเต็มๆให้ฟังก็ได้นะ”
เด็กผมเกรียนล่ะสายตาจากของเล่นที่อยากได้มาตอบอวดรู้บ้างทันควัน
“ข้าเคยฟังเรื่องนั้นมาตั้งแต่ขวบครึ่งแล้ว ถ้าใครอยู่ในเรเฟโอไนท์แล้วไม่เคยได้ยินนิทานเรื่องนี้สิแปลกคน”
คนจำไม่ได้ว่าเคยฟังและถูกมองว่าไม่ใช่คนเรเฟโอไนท์ด้วยซ้ำนึกค้าน
ไม่แปลกที่จะจำนิทานก่อนนอนไม่ได้ด้วยวันเวลาที่เคยฟังนั้นผ่านมานานแล้ว แล้วก็ไม่แปลกหากคนที่ไม่ใช่คนนอกเรเฟโอไนท์จะไม่เคยฟัง คนเรเฟโอไนท์ใช่จะอยู่แต่ในเมืองเนี้ย
แต่คนลอบฟังอย่างเห็นชัดๆว่ากำลังตั้งใจฟังที่เด็กคุยกันอยู่ก็ลอบฟังเงียบๆต่อเมื่อเด็กคนแรกเริ่มประเด็นใหม่
“นั้นพวกเจ้าเคยรู้รึเปล่าว่าตอนนี้เจ้าชายพีเยร่าสีทองเป็นอย่างไง”
“ไม่รู้สิ นิทานที่ข้าเคยฟังเล่าถึงแค่หลังจากเจ้าชายน้อยทำให้ภัยพิบัติทุกอย่างที่เกิดหลังเจ้าชายเกิดสงบลง ก็มีผู้หยั่งรู้มาทำนายว่าโตขึ้นเจ้าชายจะเป็นเจ้าชายแห่งความหวังผู้ลบล้างจ้าวแห่งความโหดร้ายทารุณและปลดปล่อยผู้ที่รอคอย หากปานแดงรูปดาบศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้นกลางอกอีกครั้งนั้นหมายถึงภัยร้ายจะเกิดขึ้น แล้วปานกลางอกก็จางหายไป”
เจ้าตัวเล็กตอบราวท่องเท่าที่จำได้ ส่วนเจ้าผมเกรียนก็ออกความเห็นอย่างมั่นใจว่า
“ถามได้ โตขึ้นเจ้าชายก็ต้องเป็นเจ้าชายที่ ทั้งหล่อ ทั้งเก่ง ทั้งเท่ห์ แล้วก็ฉลาดสุดๆ สมเป็นวีรบุรุษเหมือนเจ้าชายในนิทานทุกเรื่องน่ะสิ”
รอยยิ้มชอบใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่ถูกปกปิดด้วยผ้าคลุมหน้า หากแต่รอยยิ้มของผู้แอบฟังก็ต้องเจือไปทันทีเมื่อได้ยินประโยคถัดไปจากเด็กรุ่นน้องที่ดูจะรู้จริงไปเสียทุกเรื่อง
“ตรงข้ามกันเลยต่างหาก”คนตั้งคำถามเปรยพรางส่ายหน้าประกอบ
สหายทั้งสองทำหน้าเป็นตัวคำถาม‘?’อย่างไม่เข้าใจและส่งสายตาอยากรู้เต็มแก่ไปให้ เจ้าตัวเลยต้องเฉลยให้เพื่อนฟัง โดยไม่รู้เลยว่าทำคนแอบฟังสะดุ้งโดนแทงใจดำไปหลายที
“ก็ทุกคนในวังน่ะ พอรู้ว่าเจ้าชายเป็นคนพิเศษก็ช่วยกันเลี้ยงดูอย่างดีจนเกินไปชนิดเจ้าชายไม่ต้องทำเดี๊ยวกระหม่อมทำให้ทุกอย่างจนเจ้าชายทำอะไรเองไม่เป็น เอาอกเอาใจตามใจจนเจ้าชายขี้เกียจเป็นนิสัย น้ำท่าก็ขี้เกียจอาบ การเรียนก็ไม่สนใจ วันๆเอาแต่กินแล้วก็นอน ใครขัดใจก็สั่งจับไปตัดหัวไม่ก็สาปให้กลายเป็นหมูหมากาไก่ จึงมีฉายาว่าเจ้าชายพ่อมดจอมขี้เกียจ”
‘ใส่ร้าย ใส่ร้ายกันชัดๆ อย่างมากก็แค่สั่งจับไปตัดหัวเสียบประจานเฉยๆ ไม่เคยสาปใครซะหน่อย ไปเอาที่ไหนมาพูด’
“โห เจ้าชายแห่งความหวังกลายเป็นพ่อมดชั่วร้ายไปซะแล้วหรอ แล้วทำไมเจ้าถึงรู้ดีจัง”เจ้าตัวเล็กถามได้น่าตบรางวัลสองเด้ง คน‘รู้ดี’จึงอวดแหล่งข่าวสารวงในตน
“ก็พ่อข้าเป็นคนรับใช้ในวังน่ะสิ พวกผู้ดูแลเจ้าชายที่ทนไม่ไหวชอบบ่นเรื่องความขี้เกียจของเจ้าชายกับท่านหัวหน้าผู้ดูแลเสมอ พ่อข้าแอบได้ยินประจำน่ะ”
“หรอ แล้วทำไมเมื่อวานข้าถึงเห็นพ่อเจ้าไปขอทำงานตีดาบกับพ่อข้าน๊า”เด็กอีกคนที่ดูเหมือนจะเป็นคู่กัดกับคนบอกเอ่ยอย่างดักคอ
คนที่กำลังยืนยืดอยู่เลยเริ่มหด“ก็ตอนนี้พ่อข้าไม่ได้ทำงานในวังแล้วน่ะ”
“อ้าว แล้วทำไมพ่อเจ้าถึงไม่ทำงานในวังต่อล่ะ”อีกครั้งที่น่ามอบรางวัลให้เจ้าตัวน้อย
ความภูมิใจของคนตอบเมื่อกี้หายไปหมด
“ก็เพราะพ่อข้ามาเล่าเรื่องความขี้เกียจเกินบรรยายของเจ้าชายให้ข้าฟังไงล่ะ เลยโดนไล่ออกโทษฐานเผยความลับสุดยอดระดับชาติ”
‘หึ แค่นั้นยังน้อยไป มันน่าจับมาตัดหัวเสียบประจานเจ็ดชั่วโครตด้วยซ้ำ!’
เสียงที่ดังก้องในใจคนคนหนึ่ง ไม่ได้ยินถึงหูเหล่าเด็กที่กำลังพูดถึงคนใกล้ตัวโดยไม่รู้ตัว
สหายทั้งสองของเด็กคนนั้นทำตาโตราวได้เห็นคนต่างฮาโลกิ
“นั้นที่เจ้าพูดมาทั้งหมดก็เป็นเรื่องจริงสิ”
เจ้าตัวเล็กถามอย่างเหลือเชื่อ เด็กโตพยักหน้า อีกคนก็ถามต่อทันที
“งั้นเจ้าก็รู้ด้วยสิว่าเจ้าชายพีเยร่า..ไม่สิเจ้าชายพ่อมดจอมขี้เกียจจริงๆแล้วชื่ออะไร”
“เออ...ถ้าข้าจำไม่ผิดพ่อข้าบอกว่าเจ้าชายชื่อ...เออ...”
ผู้รู้ทำท่าคิดอยู่นานก่อนจะดีดนิ้วอย่างพึ่งคิดออกและตอบอย่างมั่นใจสุดๆว่า
“เล-ปลา-ชีส”
‘!?!’
“เล-ปลา-ชีส คนอะไรชื่อเหมือนมันฝรั่งแผ่นทอดกรอบรสแปลกๆเลยแฮะ”
เจ้าเกรียนน้อยว่าก่อนเด็กทั้งสามจะระดมหัวเราะเยาะกันเย้ยฟ้าท้าดินชนิดถ้าเจ้าของชื่อ มาได้ยินคงอับอายจนต้องรีบเอาหน้าแทรกแผ่นดินหนี หรือไม่ก็ขบกรามแน่นพยายามห้ามใจไม่ให้ไปตบกบาลเด็กด้วยต่อให้หล่อกระชากใจขนาดไหนเจ้าชายตืบเด็กก็เร็ตติ้งตกดับอนาถแน่
แต่ทั้งสองตัวเลือกนั้นคงหยิบยกมาใช้ในตอนนี้ไม่ได้ ในเมื่อเจ้าของชื่อเหมือนมันฝรั่งแผ่นทอดกรอบรสแปลกๆตอนนี้หน้ามืดเพราะหิวจัดจนไม่เหลือสติยั่งว่าตนไม่ใช่เด็กแล้วท่าน
ร่างลึกลับในชุดคลุมดำปาดเข้าไปกระชากคอเสื้อเด็กโตขึ้นโดยขาดสติ เด็กๆตกใจหนีไปคนละทิศละทางทันที ผู้คนที่สัญจรไปมาหรือแม้แต่พ่อค้าที่กำลังตะโกนเรียกลูกค้าต่างหยุดหันมามองดูเหตุการณ์เล็กๆที่เกิดขึ้นกลางตลาดระหว่างเด็กชายกับคนแปลกหน้าไม่คาดสายตา
เด็กคนนั้นพยายามดิ้นให้คอเสื้อหลุดจากมือคนที่อยู่ดีๆก็เป็นบ้ามาทำเขาตัวลอยโดยไม่ทราบสาเหตุ หากแต่ดิ้นเท่าไหร่ก็ไม่หลุด จึงจำต้องถามออกไปเผื่อเรียกสติคนทำได้บ้าง
“วางข้าลงเถอะพี่ชาย ท่านก็โตกว่าข้าแล้วเรื่องอะไรต้องมารังแกเด็กด้วยอ่า”
“เป็นเด็กก็เล่นกันตามประสาเด็กไปสิ ไม่ใช่มาจับกลุ่มนินทาคนอื่นแบบนี้ ข้าจะเป็นเจ้าชายพีเยอะไรนั้นหรือเป็นเจ้าชายพ่อมดจอมขี้เกียจ แล้วมันไปหนักหัวใครตรงไหนมิทราบ แล้วก็จงจำไว้ด้วยนะ ชื่อของข้าคือ เร-ฟรา-ชีล ไม่ใช่ เล-ปลา-ชีส!”
เจ้าของมือที่พร้อมจะหักคอเด็กจิ้มน้ำพริกเอ่ยด้วยเสียงที่ทำเอาคนทั้งตลาดตกตะลึง ไม่ใช่คำพูดนั้นหมายถึงร่างลึกลับนั้นเป็นใคร เพราะคนอื่นๆไม่ได้ฟัง หรือว่าป่าเถือนอย่างไร
หากแต่เป็นเพราะเสียงนั้นหวานจนผิดปกติคนที่นี้ทำคนในเมืองนึกถึงเรื่องร้ายเมื่อคืน
แล้วก็ดูเหมือนเรื่องร้ายเมื่อคืนจะย้อนกลับมาอีกครั้งตอกย้ำสิ่งที่ใครๆก็คิด
ไม่ทันที่ใครจะพูดอะไร จู่ๆสายลมเอือยๆก็เปลี่ยนทิศ มีเสียงดังหวีดหวิวในอากาศดังมาจากถนนทางใต้ ให้ทุกคนหันมองไปทางเดียวกันอย่างเงียบเป็นป่าช้า
พริบตาข้าวของที่เคยนอนนิ่งบนแผงลอยปลิวหายไปตามลมกระแสที่พัดมาอย่างรุนแรง ลมแรงขนาดที่ผู้ชายตัวใหญ่ๆยังเซ ผ้าคลุมชุดคลุมวิกผมใครต่อใครต่างโบกสะบัดตามแรงลมให้คนสวมใส่อยู่แทบจะปลิวตามจนต้องรีบหาที่ยืด ซึ่งคนในชุดคลุมดำเองก็ต้องรีบจับเด็กที่คาดโทษไว้ลงมานอนราบกับพื้นด้วยกันกันจะปลิวหายไปก่อนทันได้จับไปทำแอมเบอร์เกอร์ให้หายโมโหหิว ขณะที่พ่อค้าลูกค้าของมีคมต่างพยายามเก็บของๆตนไม่ให้เกิดความเสียหายไปกว่านี้
เรฟราชีลเงยหัวขึ้นมองไปยังทางต้นลมเพื่อมองหาผู้ที่อาจเป็นคนเรียกลมร้ายนี้แต่ก็ต้องรีบก้มหน้าจูบพื้นหลบดาบพุ่งเฉียดหัวแทบไม่ทัน แขนบางกระชับล็อดร่างเล็กกว่าไว้แน่นเพื่อไม่ให้เจ้าเด็กอวดดีลุกหนีแล้วโดนมีดที่โดนลมพัดเสียบอกแทนจะเป็นปังตอคนอยากสับๆย่างๆ
ทุกอย่างวุ่นวายโกลาหนจนไม่มีเวลาสนใจว่าอะไรดำๆบางอย่างก็ถูกลมพัดหายไปด้วย
จนกระทั่งสายลมบ้าคลั่งนั้นสงบลง ผู้คนจึงเริ่มกลับมาสังเกตสภาพดูไม่ได้ของตัวเอง และคนรอบข้างว่ายังอยู่ดีมั้ยกัน แล้วก็ใบหน้าคนคนนึงที่ทำเอาคนมองตาค้างไปตามๆกัน
แม้ลมพายุผ่านเพียงแค่ไม่กี่นาที หากแต่สร้างความเสียหายกับทรัพย์สินบ้านเรือนไว้ไม่น้อยเลย ไม่เพียงเท่านั้น มันกำลังสร้างความเสียหายกับคนคนหนึ่งจนอาจถึงขั้นเสียชีวิตเลยก็ได้
ร่างสูงที่พบว่าตนเหลือเพียงชุดคลุมดำรีบยันตัวลุกขึ้น นัยน์ตาสีเดียวกับผมสีทองยาวถึงเอวที่ถูกเผยให้เห็นโดยฝีมือลมร้ายที่พัดผ้าคลุมหน้าสีดำปลิวหายไปด้วยจ้องมองผู้คนรอบข้างที่จ้องมาตาค้างอย่างวิตก ริมฝีปากบางสีชมพูที่อยู่บนใบหน้าเรียวสวยส่งยิ้มแห้งๆไปทั่ว ขายาวๆค่อยๆก้าวถอยช้าๆเตรียมพร้อมวิ่งเสมอหากสิ่งที่คิดจะเกิดขึ้น
“คนบ้าที่จะทำร้ายข้าเป็นผู้หญิงหรอ?” เด็กชายคนนั้นร้องอย่างตกใจราวเห็นผี
“ตัวกาลกิณี…”หนุ่มวัยรุ่นที่มองมาด้วยแววตาเหมือนเห็นตัวประหลาดสุดๆครางขึ้น
“ต้นเหตุของอาเพศในเมืองเราเมื่อคืนนี้”ชายคนหนึ่งพูดด้วยท่าทีหวาดกลัว
“ตัวที่ทำให้เกิดลมมรณะนั้น!”พ่อค้าที่คงได้รับความสร้างหายที่เกิดขึ้นชนิดบ้านโดยพัดไปด้วยพูดด้วยความโมโห
เสียงมากมายดังขึ้นกลุ่มคนที่มองมาทางเธอก็มากขึ้นและบางคนก็ย่างสามขุมตรงมาที่เธอด้วยสายตามุ่งร้าย
‘ซวยแล้วไง เพราะไอ้ลมบ้านั้นแท้ๆ อย่าให้รู้เชียวนะว่าใครสร้างมันขึ้นมาไม่งั้นข้าจะ.. ‘
เธอได้เพียงแต่คิดในใจแค่นั้นก็มีเหตุให้สองเท้าต้องออกวิ่งทันทีเมื่อพ่อค้าคนนั้นพูดว่า
“ส่งมันไปให้ทางการลงโทษที่ลักลอบเข้าเมือง!”
เกมวิ่งไล่จับที่เธอเป็นคนวิ่งหนีเพียงคนเดียวแล้วมีชายฉกรรจ์ทั้งตลาดวิ่งไล่จับจึงเริ่มขึ้น
เด็กสาววิ่งหนีสุดชีวิต เท้าสองข้างก้าวสลับไปมาอย่างเร็วจนน่ากลัวว่ามันจะสะดุดกันเอง เหล่าผู้คนที่ยังไม่รู้ว่าเธอเป็นสตรีต่างหลบทางให้ด้วยความฉงน บางคนเมื่อเห็นว่าเธอเป็นผู้หญิงก็ยิ่งวิ่งตามมาเพิ่มกันใหญ่
ร่างสูงวิ่งหลบเข้าตรอกซอยตามบ้านเรือนไปเรื่อยๆเพื่อหวังสลัดพวกที่ยังตามมาได้ให้หลุด สองเท้าที่ก้าวอย่างเร็วเริ่มก้าวช้าลงเพราะเหนื่อยล้าจากการไม่ค่อยได้เคยออกกำลังกายบ่อย
หลังจากที่วิ่งหนีมาได้ไกลพอสมควรเด็กสาวตัวสูงก็ยืนหลบหอบข้างกำแพงอย่างคนหมดแรงพรางนึกด่าไปทั่วอย่างหาที่ลงกับใครไม่ได้
‘นี้มันวันซวยอะไรอีกนักหนานะ หรือเป็นเพราะผลพวงคำสาปจากบทลงโทษบ้าๆนั้น’
“ตัวกาลกิณีอยู่นั้นไง”
หากแต่เสียงคนที่ใกล้เข้ามาก็ทำให้เธอต้องรีบฝืนวิ่งต่อไปผ่านเข้าไปในซอยที่คาดว่าจะเป็นทางลัดออกไปนอกเมือง
แต่แล้ว...
ทางตัน!
เรฟราชีลแทบอยากจะยอมเสียศักดิ์ศรี‘ที่(ไม่ค่อย)เคยมี’แล้วหัดกริ๊ดให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย เมื่อทางที่คิดว่ารอดของเธอดันกลายเป็นกำแพงสูงใหญ่ที่ทำอย่างไงก็ข้ามไม่พ้น
ดวงหน้างามหันซ้ายหันขวาเพื่อหาทางออกแต่ก็พบแต่กำแพงสูงทั้งสามด้าน
“เจ้าหนีไปไหนไม่ได้แล้วล่ะแม่นาง”
เสียงชายฉกรรจ์ที่ดังขึ้นด้านหลังเรียกให้นัยน์ตาสีทองหันไปมองอย่างคนอยากตายดีกว่าต้องมองหน้าพวกเจ้า
เจ้าพวกนั้นตามมาล้อมปิดทางออกเดียวที่เหลืออยู่เป็นที่เรียบร้อยแล้วแถมแต่ล่ะคนท่าทางอย่างกับเสือหื่นกวางซะด้วย เธอไม่ชอบใจสายตาที่โดนมองแบบนี้เป็นอย่างมากเห็นแล้วขนลุกรู้สึกขยะแขยงเกินบรรยายเพราะไม่เคยถูกคนอื่นมองแบบนี้จริงจังมาก่อน นอกจากเป็นการแกล้งยั่วโมโหจากคนที่ตอนนี้ไม่รู้มันไปลัลล้าอยู่ที่ไหน
“ทางที่ดี เจ้าตามไปพบทางการกับพวกข้าดีกว่า เพื่อความปลอดภัยของตัวเจ้าเองนะคนสวย”คำพูดไม่น่าไว้ใจของตัวแทนอีกฝ่ายที่เธอนึกค้านตั้งแต่มันอ้าปากพูดประโยคแรก
ทางไปนรกน่ะสิไม่ว่า
“แล้วถ้าข้าตอบว่าไม่ล่ะ”
เด็กสาวกัดฟันถามแม้รู้ดีว่าคำตอบอีกฝ่ายจะออกมาไง เท้าบางถอยห่างจนหลังชิดกำแพง
ชายฉกรรจ์เหล่านั้นยิ้มเหี้ยมแบบที่เธอเกลียดที่สุด ก่อนคนหน้าสุดจะตอบเหมือนที่คิด
“ก็ต้องขออภัยที่ต้อนรับเจ้าไม่ดีนัก เฮ้พวก จับนางไปให้ทางการลงโทษกันเถอะ”
เจ้าพวกนั้นย่างสามขุมเข้ามาใกล้เธอเรื่อยๆ
นัยน์ตาสีทองหรี่มองอย่างเจ็บใจพลางนึกด่าความเชื่อบ้าๆในเมืองตัวเองที่งมงายเชื่อกันว่า หากมีสตรีเข้ามาในเมืองชายต้องสาปนี้จะเกิดความหายนะอย่างใหญ่หลวง กับกฎโบราณที่ตั้งเพื่อป้องกันผู้บริสุทธิ์จากความเชื่อแสนป่าเถือนที่แม้แต่พระราชารุ่นหลังกี่รุ่นกี่รุ่นก็ลบล้างให้หมดไปจริงๆไม่ได้สักที กฎลงโทษให้สตรีที่ไม่ว่าจะหลงเข้ามาหรือตั้งใจนั้น มีอันต้องโดนจับเปลือยกายแห่ประจานไปทั่วเมืองเพื่อให้อับอายจนไม่กล้ามาอีกทุกราย ไอ้ตอนได้ฟังเรื่องนี้ผ่านๆหูมันก็อยากดูอยู่หรอกว่าจะเหมือนแห่นางแมวมั้ย
แต่มันต้องไม่ใช่ตอนที่อยู่ใน‘สภาพอย่างงี้’!
คิดแล้วก็นึกโทษเจ้าคนที่ทำให้เธอต้องมาอยู่ใน‘สภาพอย่างงี้’กับอีกคนที่เกิดเรื่องขึ้นขนาดนี้แล้วมันก็ไม่ยอมโผล่หัวมาทำหน้าที่แม้แต่น้อยอย่างแค้นใจ!
แต่ถ้าลองคิดให้ดีดีสักสามสิบสามตลบแล้ว
คนที่ควรต้องคาดโทษไว้มากที่สุดคงเป็นใครไม่ได้นอกจากตัว ‘เธอ’ เอง
ไม่สิ
ถ้าไม่เพราะ‘เขา’เอง ขี้เกียจจะท่องบทสวดศักดิ์สิทธิ์ให้ครบทั้งหมด
‘เขา’ ก็ไม่ต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้จนเกิดเรื่องน่าอัปยศขึ้นตลอดหรอก...
เจ้าไม่น่าขี้เกียจเสมอต้นเสมอปลายเลยเรฟราชีลเอ๊ย...!
e†g
ความคิดเห็น