คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : in a windy day, let’s fly the glider (EP1 : Come Monday Night)
RE-RELEASE DATE : MAY 8, 2021
---------------------------------------------------------------------------------
- มาจากความบ้าบอที่ต่อเนื่องมาจากตอนที่แล้วที่เราบ่นว่าอยากแต่งฟิคให้น้องฟินน์สักเรื่องจังวะ แต่เราก็ยังไม่มีพล็อตหรือหมูหมากาไก่อะไรทั้งนั้น เผอิญไล่อ่านฟิคเก่าแล้วก็คิดว่าเอ้ายกให้น้องฟินน์ได้อยู่นะเฮ้ย ถึงจะออกน้อยมาก...หรือเรียกว่าแทบไม่ทันได้ออกเลยดีกว่า แต่เอาเถอะ สเตรนเจอร์ติงส์ss4ก็ทยอยปล่อยทีเซอร์ออกมาแล้ว คิดถึงน้องฟินน์คนับพี่น้อง ถึงฟิคจะโคตรสั้นแถมยังตัดจบไม่มีตอนต่อ แต่ก็อยากให้โลกรู้ว่ามี มีแค่นี้ก็ดีกว่าไม่มี เปิดตัวน้องฟินน์พระเอกเรื่องแรก โปสที่เราตั้งใจทำก็ออกมาสวย ดูมาทั้งวันก็ยังไม่เบื่อเลย เห้อ แย่
- แต่งเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่ปี2016 ต้นฉบับคือวงBoyfriend เพราะบฟเคยถ่ายเอ็มวีที่ชิคาโก น้ำตาจะไหล ชิคาโกที่มาก่อนกาล ก่อนเราจะชอบหนุ่มชิคาโกอย่างจอห์นนีหลายปีดีดัก ไม่กี่เดือนจากนั้นเราก็เอามาแปลงเป็นฝรั่งและพระเอกตอนนั้นก็คือcharlie heaton เพราะเราบ้าสเตรนเจอร์ติงส์พร้อมอเมริกาตั้งแต่ยังไม่ฉายแล้วไงล่ะ 555 จะโม้เรื่องจริงจะทำไมล่ะ :p
- ตัวละครหยิบมาจากเรื่อง The Town That Dreaded Sunrise ในตอนก่อนหน้าเนี้ยแหละ แต่พอมาแต่งแล้วเราไม่สนุกกับการพิมพ์ชื่อผู้ชายสักคน (โอเคแค่ชื่อสเตอร์จิลล์ ที่เราเอามาจากคุณ sturgill simpson เพราะตอนนั้นเพิ่งดูเรื่อง The Dead Don't Die มาอิอิ) แต่เราก็ตั้งใจเลือกชื่อมาตั้งให้ทุกคนเสมอนะ :p ว้าวส้าลิส้าเคยใส่เสื้อที่สกรีนว่าชิคาโกจริงสมเป็นนางเอกฟิคชิคาโกของเรา since 2018 d(T w T
- ชื่อเรื่องเราตั้งเองเพราะตอนนั้นบอยเฟรนด์ออกเพลงชื่อ Glider แล้วชิคาโกก็เป็นเมือง windy city ว่าแต่หนุ่มชิคาโกที่เล่นสเตรนเจอร์ติงส์ก็คือโจ เคียรีไม่ใช่เหรอ 555 แต่พูดหน่อยเถอะ ถึงเรื่องนี้จะแต่งสมัยที่เรายังคิดพล็อตไม่เก่ง แต่เราชอบโทนฟิคเรื่องนี้มาก ตอนนี้พยายามแต่งยังไงก็ไม่ออกมาเป็นอย่างนี้แล้ว ทำไมก็ไม่รู้ o<-<
- หิหิ จะบอกว่าเจอฟิคไว้แปลงให้น้องฟินน์อีกเรื่องแล้ว ยังไม่มีเรื่องใหม่แล้วจะทำไม เรื่องเก่าที่เรามีก็ยกให้เค้าเป็นพระเอกเราได้น่า 55555
เย็นวันจันทร์ทุกคนก็ยุ่งด้วยกันทั้งนั้น!
มือซ้ายของเธอที่ถือปากกาน้ำเงินกำลังขีดฆ่าตัวหนังสือ บ้างก็เขียนเติมคำหรือแก้ประโยคด้วยภาษาไทยอย่างไม่เป็นระเบียบ หลายชั่วโมงแล้วที่หญิงสาวได้แต่ก้มหน้าก้มตางึมงำแก้เกลาประโยคบนงานแปลที่พรินต์ออกมา ไยหนอนหนังสือตัวยงเช่นเธอจะไม่รู้ว่าความรู้สึกระหว่างอ่านบนจอกับอ่านบนแผ่นนั้นแตกต่างกันเช่นไร อีกทั้งบรรณาธิการจะตรวจผลงานในวันพรุ่งนี้จากแผ่นกระดาษเท่านั้น หล่อนเขียนบอกมาในอีเมลด้วยว่าหากเด็กสาวนักแปลจะเขียนด้วยมือก็ไม่เกี่ยง ผลงานทดลองแปลเรื่องสั้นญี่ปุ่นจากต้นฉบับงานแปลภาษาอังกฤษเรื่อง ‘เยสเทอร์เดย์’ ของฮารูกิ มูราคามิ ยังคงถูกแก้ไขไม่หยุดหย่อน ไม่ใช่ครั้งแรก...หรือจะเป็นครั้งสุดท้าย...ที่ลิสซาเบธนึกรำคาญความเพอร์เฟคชันนิสต์ของตน ไม่ทันไรก็ต้องวกกลับไปอ่านย่อหน้าเก่าซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าภาษาเข้าที่หรือยัง เธอคิดว่ามันใกล้เคียงกัยอาการวิตกจริต ไอจูนส์ในแล็ปท็อปที่ปล่อยให้มันบรรเลงผ่านเฮดโฟนวนกลับมาที่บทเพลง ‘เยสเทอร์เดย์’ ของเดอะบีเทิลส์อันเป็นที่มาของเรื่องสั้นชิ้นนี้อีกครั้งกับเนื้อเพลงที่ว่า
‘วันวาน ปัญหามลายพลันสลายสิ้น วันนี้ คลาคล้ายทุกข์ยากพากันกรายกลับ’
หากเพราะมัวจดจ่อแต่กับงานจนไม่ได้ใส่ใจกระทั่งเพลงที่คลอเคลียในหู หญิงสาวจึงไม่ทันรับรู้ถึงลมใบไม้ผลิที่พัดแรงกว่าพัดลมเบอร์สองที่จ่ออยู่กับแผ่นหลัง รู้ตัวอีกทีงานหลายแผ่นที่วางระเกะระกะบนพื้นก็ปลิวออกไปผ่านหน้าต่างที่เปิดอ้ารับลมไว้ ลิสซาเบธรีบลุกขึ้นแต่ชะรอยจะลืมไปว่าสวมหูฟังครอบอยู่ ครั้งไปไกลเข้าหน่อยสายเฮดโฟนก็เลยรั้งไว้ เธอร้องออกมาอย่างขัดใจขณะถอดมันออก ไม่มีอารมณ์ขอบคุณสวรรค์ที่มันไม่รั้งแล็ปท็อปจนร่วงจากโต๊ะเตี้ยเหมือนหลายคราวที่ผ่านมา ลิสซาเบธพุ่งตัวไปชะโงกผ่านบานหน้าต่าง จึ๊ปากอย่างขัดใจก่อนเปิดประตูห้องวิ่งผลุนผลันลงไปชั้นล่างโดยไม่สวมรองเท้า เพราะถุงเท้าที่สวมออกไปข้างนอกตั้งแต่เที่ยงยังไม่ถูกถอดออก
สเตอร์จิลล์ที่กำลังกวาดพื้นอยู่หลังเคาน์เตอร์ทันได้เห็นหญิงสาวในชุดเดรสสีแดงวิ่งว่องผ่านไปด้วยความเร็วแสง หากมีประกายไฟสีส้มบนตัวเธอด้วยก็คงทำให้เขานึกว่าเธอเป็นเดอะแฟลชอย่างในละครทีวีที่หลานสาวชอบดูได้เลย
ลิสซาเบธหันรีหันขวางเผื่อมีกระดาษแผ่นใดตกค้างอีก ก่อนจะมองเห็นกระดาษแผ่นสุดท้ายที่ตกไปไกลหน่อย ทว่าขณะกำลังก้าวไปหา ผ้าใบสีน้ำเงินจากหนุ่มนักกีฬาร่างกำยำที่วิ่งจ็อกกิ้งผ่านมาก็ย่ำเหยาะลงไป ตามติดด้วยจักรยานของเด็กส่งอาหารจีนที่ล้อเปื้อนดินฝากรอยซิกแซกไว้ มิวายจะมีอุ้งตีนเฟรนช์บูลด็อกสีขาวขยี้ขยำให้ช้ำใจเข้าไปอีก ในตอนที่เธอก้มลงจะหยิบกระดาษอันแสนรันทด อีกหนึ่งฝีเท้าก็เหยียบย่ำลงไปต่อหน้าต่อตาอย่างชวนซาบซึ้งเป็นที่สุด
เมื่อเงยมองเจ้าของฝีเท้าด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย เด็กหนุ่มก็รีบขยับเท้าออกพร้อมเอ่ยขอโทษ แต่ก็ใช่ว่าลิสซาเบธจะขึ้งเคือง เพราะหนึ่ง มันไม่ใช่ความผิดของเขา และสอง คำขอโทษที่ฟังจริงใจกับใบหน้าติดประหม่านั้น ใครจะบ้าโกรธได้ลง จึงพูดว่าไม่เป็นไรก่อนค้อมหัวให้เขาด้วยรอยยิ้มแหยอย่างรู้สึกผิดเสียเอง เธอหมุนตัวกลับเข้าอาคารแต่ก็มิวายจะเกาศีรษะบ่นพึมพำคนเดียวว่า “โอ๊ย! ลมแรงจริงจิ๊งวันนี้” พร้อมลมที่หอบมาแรงอีกระลอกจนกลบคำพูดของเธอไปหมด
เทรเวอร์ บรินสันมองดูหญิงสาวในชุดสีแดงหายลับเข้าไปในตึก เขายิ้มออกมาขณะกระชับกระเป๋าเป้และออกเดินต่อไป
เธอน่ารักดี หากในอนาคตเขาได้รู้จักเธอก็คงดี
“วันนี้ลมแรงมากเลย สเตอร์จิลล์ดูแผ่นนี้สิ รอยโดนเหยียบเต็มไปหมด” ลิสซาเบธที่มาเคาะกระดาษให้สม่ำเสมอกันหน้าเคาน์เตอร์พูดไปเรื่อยเปื่อยตามประสา สเตอร์จิลล์หัวเราะก่อนชวนเธอคุยว่า “ฉันเห็นแฟนเชอร์รีมาส่งเชอร์รีประจำ” เขาไพล่เอ่ยไปถึงเพื่อนร่วมห้องของเธอ “เมื่อไหร่เธอจะมีแฟนกับเขาบ้างล่ะลิซ ไม่สนใจจีบสตีเวนหนุ่มโสดห้องตรงข้ามดูเหรอ”
ถึงจะพูดว่าห้องตรงข้ามแต่ที่จริงในตึกก็มีแค่สองห้องให้เช่า แม่ของลิสซาเบธสนิทสนมกับแม่ของสเตอร์จิลล์ตั้งแต่ครั้งมาร่ำเรียนที่ชิคาโกเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน จึงทำให้คนเป็นลูกสาวมาเช่าอาศัยได้ในราคาย่อมเยา ตอนแรกลิสซาเบธก็อยู่คนเดียวกระทั่งเพื่อนรักอย่างเชอร์รีย้ายมาอยู่ที่ชิคาโกด้วยเมื่อห้าเดือนก่อน สองเดือนจากนั้นถึงค่อยมีชายหนุ่มย้ายเข้ามาพักห้องว่างตรงข้ามกับพวกเธอ
ลิสซาเบธเคยเจอสตีเวน แมคคีย์ผ่านตาแค่ไม่กี่ครั้ง พอได้ทักทายกันบ้างจนรู้จากสำเนียงว่าคนอังกฤษ เขาเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีไม่เบาในวัยไล่เลี่ยกับเธอแต่ดูเงียบขรึมเอาการ เพราะอย่างนั้นลิสซาเบธผู้อยากผูกมิตรจึงถูกกำแพงอิฐกั้นจนยากจะรู้จักเขามากกว่านั้นได้อีก
“สเตอร์จิลล์พูดอะไรไม่รู้เรื่องแล้ว! คนยิ่งยุ่งอยู่!” เธอว่าอย่างไม่จริงจังแล้วก็รีบวิ่งตึงตังขึ้นบันไดไป
เด็กสาวหายลับไปได้ไม่ทันไร สเตอร์จิลล์ก็ร้องทักคนที่เพิ่งเดินเข้ามาในตึก สตีเวนผงกศีรษะเอ่ยกลับไปด้วยประโยคเดียวกัน ก่อนเดินขึ้นบันไดไปอย่างเงียบกริบ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ไม่ใช่เพราะงานของเชอร์รีเสร็จแล้วถึงมีเวลาว่างในเย็นวันจันทร์มานั่งรอแฟนที่ร้านไอศครีมบนถนนแรนดอล์ฟได้ แต่เพราะไม่มีงานมากว่าสามสัปดาห์แล้วต่างหากถึงมีเวลาว่างอย่างนี้ได้ หญิงสาวเริ่มคิดว่ามันอาจเป็นลางร้ายแม้จะยังไม่เจอกากชารูปตัวกริมม์ แต่เธอคงต้องกลับบ้านเกิดไปอยู่กับครอบครัวที่เบื่อแสนเบื่อในอีกไม่ช้าแน่หากยังเป็นแบบนี้ต่อไป ถึงลิสซาเบธจะไม่เคยบ่นว่าเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งค่าแฟลต ค่าอาหาร ค่าซื้อของเข้าบ้าน และอีกจิปาถะในช่วงหลังที่การเงินของเชอร์รีเริ่มฝืดเคือง ไม่ต้องพูดถึงแฟนของเชอร์รีด้วยซ้ำ เขาเลี้ยงอาหารซื้อของให้เธอไม่ขาดจนเธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นปลิง ทั้งที่มันไม่เป็นความจริงและเพรสตัน อัลไบรต์ก็ไม่เคยคิดอย่างนั้น แต่ต่อให้เงินทองจะร่อยหรอ เรื่องจะให้เธอเสียเวลาไปกับงานที่ไม่ชอบก็ไม่เอาอยู่ดี ดีไม่ดียังเสียเวลาเปล่า ไม่โดนไล่ออกก็ได้เดินออกมาภายในวันสองวันแหง ลิสซาเบธเองก็พลอยเห็นดีเห็นงามไปกับเพื่อนซี้ด้วย เดิมเชอร์รีก็เป็นคนเสียนิสัยอยู่แล้ว พอเพื่อนหนึ่งเดียวทั้งให้ท้ายและสนับสนุนก็เลยยิ่งเตลิดไปใหญ่
“ขอโทษที่ให้รอนานนะ”
ความคิดกลับมาเมื่อได้ยินเสียงพร้อมการปรากฏตัวของคนรักที่มานั่งตรงข้าม ครั้นจะบอกว่าไม่นานสักหน่อย เพรสตันก็คงจับโกหกได้เหมือนเคยจากช็อกโกแลตชิปสองสกู๊ปในถ้วยที่เข้าปากเธอเป็นคำสุดท้ายพอดิบพอดี จึงเพียงยิ้มพลางเอ่ยทักทายกลับไปด้วยรอยยิ้มกว้าง
“เลือกร้านได้แล้วหรือยัง”
เมื่อคืนตอนคุยโทรศัพท์กัน เชอร์รีก็บอกว่าขอเป็นฝ่ายเลือกร้านอาหารในคืนนี้เอง เพราะร้านที่เพรสตันพาไปตั้งแต่เดตแรกยันปัจจุบันไม่เคยใช่ร้านที่ราคาน่าคบหาสำหรับฟรีแลนซ์เงินน้อยนิดอย่างเธอ ถึงจะไม่เคยต้องควักกระเป๋าจ่ายเองและทำได้เพียงเลี้ยงเขาบ้างตามโอกาส เชอร์รีก็ยังแสนเกรงใจจนไม่รู้จะเกรงใจยังไง
”แมค!”
“แมคโดนัลด์เหรอ ที่ไหนก็มีนะ แคนาดา เวลส์ อเมริกา ไม่เบื่อเหรอ”
หากเมื่อเชอร์รีพยักหน้ายืนยันความคิดแน่นหนัก เพรสตันผู้ไม่คิดขัดใจคนรักจึงหัวเราะยอมรับโดยดีก่อนพูดต่อว่า “อีกไม่กี่วันก็ต้องซ้อมเรื่องวันซ์แล้ว คงยุ่งไปอีกยาวเลย”
วันซ์ที่เขาพูดถึงก็คือละครเวทีที่ดัดแปลงมาจากหนังไอร์แลนด์เรื่องดังในชื่อเดียวกันและเขาได้รับบทตัวเอกเป็นครั้งแรก เพรสตันเริ่มเล่นละครเวทีที่ไม่ดังมากในชิคาโกมาเกือบปีกว่าจะฉายแววเตะตาผู้ใหญ่ในวงการได้ คนรักของเธอไม่ชอบพูดถึงครอบครัวที่เวลส์ หากเชอร์รีก็รู้ว่าครอบครัวอัลไบรต์ของเขารวยมากพอจะส่งลูกไปเรียนการแสดงละครเวทีที่นิวยอร์กได้โดยไม่ขัดสน แรกพบเขาที่เวลส์ตอนได้ทุนไปเรียนต่อ เชอร์รียังรู้ได้ในรัศมีร้อยเมตรว่าเขาเป็นคนมีเงินและเผลอตราหน้าว่าคงถูกสปอยล์มาไม่น้อย ที่ไหนได้จะกลายเป็นเธอเองที่ถูกเขาสปอยล์ สุดท้ายพอเพรสตันเรียนจบและไปตามความฝันที่อเมริกาเต็มตัว เชอร์รีที่เรียนจบก็ต้องกลับควีเบกไปอยู่กับครอบครัวใหญ่ที่รั้งเธอไม่ให้ไปไหน กระทั่งได้รู้ข่าวว่าคนรักทางไกลไปอยู่ที่ชิคาโกและเพื่อนรักแต่อ้อนแต่ออกก็ได้ย้ายไปทำงานที่เมืองเดียวกัน ตอนนั้นเองที่เชอร์รีตัดสินใจได้ทันทีว่าอะไรที่ควีเบกก็รั้งเธอไว้ไม่ได้อีกแล้ว
ทันใดเพรสตันก็ลุกจากเก้าอี้จนเกิดเสียงดังตึงตังและคว้าข้อมือของเธอที่ยังกำช้อนไอศครีมไว้
“ไปช้อปปิ้งไถ่โทษที่จากนี้ฉันจะไม่ค่อยมีเวลาให้เธอดีกว่า”
เป็นเย็นวันจันทร์ที่ยุ่งวุ่นวายเสียจริง!
ความคิดเห็น