คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Over The Silver Lake | inspired by Donnie Darko (2001)
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
“เจซ! กาแฟ!”
หญิงสาวที่กำลังย่อตัวไขกุญแจปิดตู้เกมลุกขึ้น หันมองชายหนุ่มคนเรียกที่ยื่นแก้วกาแฟเย็นมาให้ เธอรับมาพร้อมเอ่ยขอบคุณด้วยรอยยิ้ม ก่อนได้รับรอยยิ้มไม่ต่างกันกลับมาเมื่อเขาบอกเธอว่าไม่เป็นไร เรื่องแค่นี้เองน่า ฉันเต็มใจ!
ไม่ใช่ครั้งแรกกับภาพที่ใครหลายคนได้เห็นจนชินตาในร้านเกมตู้ที่เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงนี้ มันเหมือนเป็นกิจวัตรของเธอและเขาไปแล้ว อาจตั้งแต่แรกเริ่มของเมื่อสี่เดือนก่อนที่เจเซเบลเข้ามาทำงานในอาร์เคด เธอเป็นพนักงานกะดึกเข้าใหม่ ส่วนเดเกอร์เป็นพนักงานกะดึกที่ทำงานมานานกว่าเธอ รุ่นพี่ที่อายุน้อยกว่าเธอหนึ่งปีคอยช่วยสอนงานให้เธออย่างดี เป็นเพื่อนร่วมงานที่ดี
แต่แม้เดเกอร์จะไม่เคยพูดออกมา การกระทำทุกอย่างก็ฟ้องให้เจเซเบลรู้ว่าเขาคิดกับเธอ...มากกว่านั้น
ทั้งคู่เดินออกมาจากตู้เกมที่อยู่เกือบในสุดของอาร์เคดด้วยกัน พูดคุยหัวเราะกันด้วยเรื่องสัพเพเหระเรื่อยเปื่อย แต่แล้วทันใดก็ต่างหุบยิ้ม หยุดฝีเท้าชะงักกึกโดยพร้อมเพรียงกัน เมื่อเห็นด้านหลังของชายตัวสูงที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะแลกเหรียญ แต่คนทั้งคู่รู้ว่าเขาไม่ได้มารอแลกเหรียญ และรู้ดีว่าเขามาทำไม
ชายคนนั้นหมุนตัวหันมาเห็นพวกเขาเข้าพอดี เขายิ้มให้เธอ—แค่เธอ เจเซเบลได้เพียงถอนหายใจออกมา ไม่ยิ้ม ใช่จะไม่ยินดีที่ได้พบหน้าเขา แต่เธอไม่อยากยินดีที่ได้เห็นเขาในเวลาทำงานของเธอ
“กลับไปเถอะ คืนนี้ฉันเฝ้าคนเดียวได้”
เจเซเบลไม่จำเป็นต้องพูดอะไรเลยเมื่อคนข้างกายเข้าใจทุกอย่างดี...ทั้งที่เขาไม่ควรต้องเข้าใจ เธอหันมองเดเกอร์ ริมฝีปากขยับเหมือนจะพูดอะไรออกมา แต่ก็ชะงัก กลับมาหุบสนิท เพราะไม่ว่าจะพูดอะไรออกมา ผู้ชายอีกคนก็จะขัดเธอ หาข้ออ้างมาให้เธอ ราวกับมันเป็นข้อเสนอที่ไม่อาจปฏิเสธได้ และใช่, เธอปฏิเสธไม่ได้
เดเกอร์ยอมให้เธอทุกครั้ง...เพราะเขาชอบเธอ
และมันก็คือเหตุผลเดียวกันไม่ต่างสำหรับเธอ
ความรักไม่ใช่เรื่องผิด แต่การรักคนผิดเป็นเรื่องผิด เจเซเบลเก็บความรักเป็นความลับที่ไม่เคยบอกใคร ไม่มีวันแพร่งพรายออกไปให้ใครรู้ได้ เพราะเควนติน—ผู้ชายคนนั้น มีคนรักแล้ว
และ ‘คนรัก’ ของเขาก็คือ ‘พี่สาว’ ของเธอ
หากพระผู้เป็นเจ้าล่วงรู้ความลับที่น่ารังเกียจนี้ พระองค์คงจะลงโทษเธออย่างสาสม หรือไม่, พระองค์ก็กำลังทำอยู่
“เวลาทะเลาะกับพี่ ช่วยเลิกดึงฉันเข้าไปเอี่ยวสักทีได้มั้ยคะ ฉันไม่อยากถูกไล่ออก”
เจเซเบลถามทั้งที่ยังได้แต่ก้มหน้าหดคอมองตักของตัวเอง รถของเควนตินพ้นจากอาร์เคดมาได้สักพักแล้ว เขาไม่ได้เปิดเพลงที่ชอบฟังผ่านเครื่องเสียงหน้ารถ ยามนี้มีเพียงแค่เสียงของสายลมเอื่อยที่พัดมาปะทะร่างของพวกเขาบนรถเปิดประทุนสีน้ำเงินเข้ม เควนตินขับขี่ด้วยความเร็วปกติ รถแล่นไปอย่างนิ่มนวล แต่ไม่ได้ทำให้คนบนรถใจเย็นไปด้วยได้เลย
“ออกได้สิดี” คนหลังพวงมาลัยรถสวนทันควัน “ทำงานนอกบ้านตอนกลางคืนแบบนี้มันอันตราย”
“ไม่อันตรายสักหน่อย!” เจเซเบลเงยหน้าขึ้นท้วง “มีเดเกอร์อยู่ทั้งคน!”
เควนตินละสายตาจากถนนทางตรงที่ทอดยาวเพื่อหันมองคนนั่งข้าง รอยยิ้มเหยียดเยาะผุดขึ้นที่มุมปาก บ่งบอกเจตนาจากคำพูดที่ประชดประชันกลับมาว่า
“ทำอย่างกับไม่รู้ว่าเจ้าจอมเพ้อ ดอนนี ดาร์คโค นั่นแหละที่อันตรายที่สุด”
ทั้งยังตอกย้ำด้วยการเปลี่ยนชื่อเพื่อนร่วมงานของเธอ ที่มีนามสกุลเหมือนกับตัวละครในหนังชื่อเดียวกันกับชื่อเรื่องนั้น ดอนนี ดาร์คโคไม่ได้เพ้อสักหน่อย! เขาคือคนที่ได้รู้ทุกอย่างต่างหาก! ทว่าเจเซเบลก็ต้องข่มใจอย่างมากที่จะไม่พูดในสิ่งที่ใจคิดออกไปตอบโต้
จึงตัดสินใจเบือนหน้าหนีไปอีกทาง เกยคางพิงบนแขนที่วางพาดกับขอบประตูรถ ด้วยไม่ต้องการต่อความยาวสาวความยืดกับเขา ไม่อยากมองหน้าเขา เธอไม่ชอบทั้งรอยยิ้มเยาะและคำพูดเย้ยราวกับรอบรู้ไปซะทุกอย่าง เควนตินชอบทำเหมือนเขารู้ทุกเรื่องดีซะเต็มประดา และใช่—มันก็คงจริง
ใจหนึ่งก็นึกอยากยอกย้อนกลับไปด้วยเรื่องคนรักของเขา แต่ก็ไม่อยากพูดถึงอิสซาเบลให้ทรมานใจตัวเอง...แม้รู้ว่ามันจะทำให้เขาทรมานใจได้ไม่ต่างกัน แล้วก็ไม่อยากเปิดปากพูดเพียงเพื่อให้เขาเหน็บแนมอะไรกลับมาได้อีกเมื่อเธอไม่เคยชนะ จึงเลือกจะนิ่งเงียบเสีย
“ฉันพูดจริงนะเรื่องออกจากงาน” หากเป็นเควนตินที่ทำลายความเงียบที่เขาสร้างขึ้นเอง
“ทำแบบนี้อีกสักรอบสองรอบ ฉันก็คงโดนไล่ออกจากงานเองค่ะ” เรื่องนี้เธอย้อนกลับไป
เจเซเบลหมายถึงเรื่องที่เขาชอบมารับเธอออกจากงานกลางครันแบบนี้ บางครั้งเธอก็เพิ่งเข้างานได้ไม่ทันไร อย่างวันนี้ก็ยังเหลืออีกตั้งหกชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาเลิกงานตอนหกโมงเช้า และทุกคราวที่เป็นแบบนี้ เธอก็ต้องส่งข้อความไปขอโทษเดเกอร์ หอบหิ้วของกินไปขอโทษเขาในคืนถัดมา เพื่อเขาจะได้บอกเธอด้วยรอยยิ้มว่าไม่เป็นไร เรื่องเล็กแค่นี้เอง
แต่ไม่เลย, มันไม่ใช่เรื่องเล็ก เขาแค่ชอบเธอ...เขาถึงไม่เคยตำหนิหรือว่ากล่าวเธอ
ใช่จะไม่รู้ว่าตัวเองทำผิด
การทำงานไม่ใช่การเล่นเกมที่เธอจะทำตามใจตัวเองได้
แต่พอเป็นเรื่องของเควนตินทีไร
เธอก็ควบคุมอะไรไม่ได้เลย
เพราะมันคือความรัก...และเธอกับเดเกอร์ต่างก็รู้ดีว่าความรักทำให้คนโง่งมได้มากขนาดไหน
“เธอไม่มีทางถูกไล่ออกจากงานนั้นหรอก” เจเซเบลได้ยินเสียงหัวเราะของเควนตินกลั้วไปกับคำพูดนั้น เขาทำให้เธอหงุดหงิด แต่เธอโกรธตัวเองที่สุดที่ต่อให้เขาจะทำแบบนี้กับเธออีกกี่ครั้ง เธอก็ยังไม่ยอมหยุดโง่งม
“ชอบวงเอคโค แอนด์ เดอะ บันนีเมน มั้ย” เขาเปลี่ยนเรื่อง
“ไม่ค่ะ” เจเซเบลตอบห้วน ใช่ว่าเขาจะไม่เคยถามคำถามนี้กับเธอ เขาก็รู้อยู่แก่ใจว่าคำตอบจะเป็นอะไร เหมือนที่เธอก็รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น เควนตินจะยิ้ม กดเปิดเพลงจากเครื่องเล่นหน้ารถ และมันจะเป็นเพลงของวงที่เขาเพิ่งถามไปเสมอ
บทเพลง คิลลิง มูน ของวงนี้เริ่มเล่นขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน เจเซเบลนึกสมเพชตัวเองที่แม้เธอจะไม่ชอบวงนี้ แต่พอรู้ว่ามันเป็นวงที่เขาชอบ รู้ตัวอีกที เธอก็จะกดฟังมันทุกครั้งในมือถือเธอ และเสียงของเขาที่ร้องคลอตามบทเพลงไปด้วยอย่างแผ่วเบา ก็น่าฟังกว่าเสียงของนักร้องนำเป็นไหนในโสตประสาทของเธอ
เธอรับฟังได้ทั้งชีวิต...ถ้าเพียงแต่เสียงของเขาจะมีเพื่อเธอ
“ไปดูหนังรอบดึกกันมั้ย อันเดอร์ เดอะ ซิลเวอร์ เลค ยังเข้าโรงอยู่ไม่ใช่เหรอ”
แม้คนอย่างเจเซเบลจะไม่เกี่ยงอะไรกับการดูหนังอีกรอบ หรืออีกหลายรอบหากเป็นหนังที่ชอบ และแน่นอนว่าไม่เกี่ยงเลยหากจะได้ดูมันกับเควนติน แต่โรงหนังไม่ควรเป็นที่ที่เธอจะไปดูหนังกับแฟนของพี่สาวตัวเองสองต่อสอง
...มันไม่ควรต้องเป็นอย่างนั้น
“ไม่ค่ะ ฉันดูแล้ว”
“แต่ฉันยังไม่ได้ดู”
...แต่ทุกครั้งมันก็จะเป็นอย่างนี้
ทิศทางที่รถกำลังมุ่งไป ไม่ใช่ทางกลับบ้านของเธอกับเขา แต่เป็นทางไปโรงภาพยนตร์ในเมือง เควนตินเป็นคนเอาแต่ใจ ชอบทำอะไรตามใจตัวเองเสมอ แต่เธอก็ยินยอมให้เขาทำตามใจ...แค่เขาคนเดียว
ทว่าคนที่เขาตามใจไม่เคยใช่เธอ แต่เป็นอิสซาเบล—พี่สาวของเธอ
เจเซเบลทอดสายตากลับไปริมทาง เห็นเพียงทิวทัศน์มืดๆบนถนนสองข้างทางโล่งๆ รถขับไปเรื่อยๆอย่างไม่เร่งรีบด้วยความเร็วคงที่ ภูมิทัศน์ข้างทางก็ยังคงเงียบเหงา ปราศจากอะไรให้มอง แต่แล้วเธอก็เห็นคนคนหนึ่งอยู่ตรงมุมมุมหนึ่งที่ไกลออกไป ใครคนนั้นอยู่ในชุดเดรสสายเดี่ยวเหนือเข่าสีแดง สวมรองเท้าส้นแหลมปรี๊ดสีเดียวกัน แต่สิ่งที่ทำให้หล่อนดูเหมือนไม่ใช่ความจริง...คือส่วนหัว มันไม่ใช่ใบหน้าคน แต่เป็นหัวกระต่ายสีดำเป็นเงาขลับ ไม่ใช่ว่าหัวหล่อนเป็นกระต่าย มันเป็นแค่หัวตุ๊กตากระต่ายแบบที่พวกตัวแมสคอตสวมกัน แม้รถจะเคลื่อนไป กระต่ายตัวนั้นก็ยังคงอยู่ที่เดิม แต่มันมองตามเจเซเบลอยู่ตลอดเวลา เหมือนที่เจเซเบลก็มองมันไม่ละสายตาเช่นกัน ไม่นึกตระหนกหรือตกใจเมื่อได้เห็นมันจนชาชิน
และบางครั้งคราว เควนตินก็จะละสายตาจากถนนและหันมองคนที่นั่งรถมาด้วย เธอเอาแต่เหม่อมองไปริมทาง ให้เขาได้เห็นแต่แผ่นหลังที่ได้เห็นเสมอเวลาที่เธอไปไหนมาไหนกับเขาและอิสซาเบล เจเซเบลไม่มีอะไรเหมือนกับคนรักของเขาเลยสักอย่าง
ก็เหมือนที่เขาไม่ได้รักเธอ—อย่างที่รักคนรักของเขา
แรกเริ่มเขาก็แค่ใส่ใจเธอในฐานะน้องสาวของคนรัก เพราะอย่างนั้น จึงคอยดูแลเธอมาตลอดหนึ่งปีที่คบกับอิสซาเบล หากยิ่งผ่านไปนานวัน เธอก็ยิ่งทำให้เขานึกถึงน้องสาวที่เขารัก แต่เควนตินก็รู้ดีแก่ใจว่าเจเซเบลไม่เหมือนน้องสาวของเขา เพราะน้องสาวของคนรัก...ตกหลุมรักเขา
และเจเซเบลไม่รู้...ว่าเขารู้มาตลอด
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
- สรุปก็คือ..มันเป็นฟิคเก่าเล่าใหม่ และที่จริงมันก็ไม่ใช่ชอร์ตฟิคด้วย แต่เป็นตอนที่หนึ่งที่ไม่มีตอนต่อ มันก็เลยจบตัดอย่างนี้แหละ 555 (ได้เหรอวะ T v T) แต่เราคิดว่ามันก็โอเคนะ เอามาลงเพื่อเป็นการรำลึกว่าตอนนี้เราบ้าพี่เจคก็ได้ (มาว่ะ..) อนึ่ง ตัวละครเควนตินเวอร์ชันก่อนแปลงเด็กกว่านี้มาก พอเปลี่ยนเป็นอิมเมจที่โตอย่างนี้มาทำอะไรแบบนี้มันก็แปลกเหมือนกัน แต่ก็เนียนอยู่ ค่ะ พูดเองเออเองได้
ความคิดเห็น