คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Cherry Blossom Bridge | 1917 (2019)
BASED ON CHARACTERS FROM : 1917 (2019) | Dir. Sam Mendes
RE-RELEASE DATE : JANUARY 2, 2021
---------------------------------------------------------------------------
- เนื่องในฤกษ์งามยามดีที่ HBO GO เอาเรื่อง1917มาลงรับปีใหม่ในวันนี้ เราก็ต้องขนฟิคที่เรารักมากที่สุดเรื่องหนึ่ง...จากหนังที่เรารักมากที่สุดตลอดกาลเรื่องนี้...มาแปลงใส่นางเอกและเอามาลงใหม่เพื่อฉลองและเอาฤกษ์เอาชัยให้การเปิด(บทความ)โรงหนังใหม่ด้วยสิฟะ! อ้อ ทอล์คข้างล่างเราเอาทอล์คเก่าดั้งเดิมมาลง แต่ตอนนี้เราดู1917สิริรวมได้13รอบแล้ว(เพิ่งได้เปิดแผ่นดูแค่2รอบเอง o<-<) และสถิติก็จะดำเนินต่อไปไม่หยุดอยู่ดี ;3
- ขอบคุณ1917เสมอมาที่ทำให้เรากลับมารักและสนใจเรื่องสงครามจริงจัง สำหรับเราที่ไม่มีความรู้ความเข้าใจเรื่องราวในสนามรบเลย (จะให้แต่งฉากพระเอกออกไปรบก็ไม่มีปัญญาโว้ย!) แต่เรารักเรื่องรักหรือเรื่องราวชีวิตที่มีฉากหลังเป็นยุคสงครามเสมอ ก็ดีใจมากที่เคยได้แต่งเรื่องราวในยุคนั้นอยู่จำนวนหนึ่ง แม้ไม่มากแต่ทุกอันก็เป็นผลงานที่เรารักและภูมิใจที่ได้แต่ง ยังหวังเสมอว่าสักวันจะได้หวนกลับมาแต่งอีก (เพราะเรายังมีหนังและนิยายสงครามตุนไว้อีกเยอะ :p) แต่ก็คงจะเป็นเรื่องราวรักแท้ การฝ่าฝันของคนสองคน และความงดงามที่ได้พบท่ามกลางสงครามที่โหดร้ายเหมือนเดิมอยู่ดีล่ะนะ :3 เพราะเราแต่งได้แค่แนวเดียวยังไงล่ะ! >_O
- สารภาพว่าชื่อdaisyของนางเอกมีที่มาจากชื่อน้องสาวจอร์จ แมคไคย์ เราอยากได้ชื่อที่ให้ความรู้สึกเหมือนน้องสาวข้างบ้าน ทั้งที่ในเรื่องนี้เดสี้ก็ไม่ใช่น้องสาวใครอยู่ดี :p (แต่ทอมาซินเคยเล่นหนังกับจอจจริงนะ 555) อันนี้พูดจริงว่าเรื่องนี้เราแต่งด้วยความรู้สึกเหมือนเป็นแม่เบลกเอง ว่าถ้าลูกตัวเองมีคนรักจะออกมาเป็นยังไงนะ เพราะเรารักและเอ็นดูเบลกในเรื่อง1917มากจริง T_T
ถึง: ทอม เบลก เพื่อนข้างบ้านที่รัก (ขอให้รู้ว่าฉันแฝงความประชดประชันไว้)
ฉันเขียนมาหานาย เพราะฉันเพิ่งเขียนหาพี่ชายที่ไปรบเหมือนกันเสร็จ แล้วกระดาษมันเหลือ และฉันก็ว่างพอดี ฉันเลยคิดว่าน่าจะเขียนมาหานาย (อย่าให้ฉันต้องย้ำซ้ำซากว่าฉันจะเขียนหานายแค่เฉพาะตอนที่ฉันเขียนถึงพี่ชาย แล้วกระดาษมันเหลือ และฉันก็ว่างพอดี ไม่ใช่เพราะฉันอยากเขียนหานายทุกอาทิตย์ โอเคนะ ไม่เข้าใจผิดเป็นอื่นนะ)
สนามรบทางฝั่งนายเป็นไงบ้าง พี่ชายฉันว่าอาหารทางฝั่งเขามันสุดทน ฉันก็เลยคิดว่าน่าจะส่งแยมเชอร์รีที่เหลือจากปีที่แล้วไปให้นายด้วย มันไม่อร่อยแล้วล่ะก็เลยเอาให้ (เพราะถ้ายังอร่อยอยู่ เรื่องอะไรฉันจะแบ่งให้นาย) หวังว่าจะพอประทังชีวิตไปได้ ปีนี้พอต้นเชอร์รีหลังบ้านนายออกผลอีกครั้ง ฉันกับแม่นายก็จะเอาไปทำแยมเชอร์รีอีก เพิ่งได้สูตรใหม่เอี่ยมอ่องมาจากคุณนายแชร์วิลล์ รับรองอร่อยเหาะ ระหว่างนี้ฉันก็เก็บดอกเชอร์รีมาร้อยเป็นมงกุฎให้เด็กๆแถวบ้านเราด้วย พวกเธอเหมือนนางฟ้าตัวน้อยกันทุกคนเลย เมอร์เทิลกรี๊ดกร๊าดดีใจเป็นที่สุด เธอขอให้ฉันทำมงกุฎดอกเชอร์รีให้ลูกหมาตัวใหม่ของเธอด้วยนะ เป็นภาพที่น่ารักมาก รอให้นายได้กลับมาเห็นแทบไม่ไหวแล้ว
ฉันอยู่ทางนี้ก็สบายดีไม่มีปัญหาอะไร (นอกจากไม่สบายนิดหน่อยตอนเผลอตากน้ำค้างเข้าไป ต้องนอนซมติดเตียงตั้งสามวันแน่ะ!) แม่นายบ่นคิดถึงนายให้ฉันฟังไม่หยุด เธอปัดกวาดห้องนอนให้นายทุกวันเลยด้วยนะ เผื่อนายกลับมาจะได้ไม่สำลักฝุ่นตายซะก่อน (แน่นอนว่าฉันก็ไปช่วยเธอทำด้วย สำนึกบุญคุณฉันด้วยล่ะ!) ถึงนายจะผ่านสนามรบ นอนกลางดินกินกลางทรายมาแล้วก็เถอะ แต่เพราะอย่างนั้นนายถึงยิ่งควรได้สิ่งนี้เป็นรางวัล
ที่จริงฉันมีเรื่องกะจะเซอร์ไพรส์นายด้วย ไม่ได้อยากรีบบอกหรอกแต่ฉันตื่นเต้นจนเก็บไว้ไม่ไหว อยากอวดมากว่าฉันเตรียมตัดเสื้อกั๊กให้นายอยู่! เพิ่งได้แพทเทิร์นใหม่มาแล้วก็ได้ผ้าเหลือมาจากโรงงานตัดเย็บที่ทำอยู่พอดี คิดว่าคงเสร็จทันก่อนนายจะกลับไปสนามรบ ก็ใช่ว่าฉันตั้งใจทำเพื่อนายโดยเฉพาะหรอกนะ อย่าเพิ่งหลงดีใจไป (ถึงฉันรู้ว่านายจะดีใจก็เถอะ หุบยิ้มกว้างของนายเดี๋ยวนี้นะ!) แม่นายเพิ่งได้ชุดกระโปรงลายดอกเดย์ซีตัวใหม่ที่ฉันทำให้ เธอใส่มันทุกวันอาทิตย์เลยนะ มันสวยมาก ก็แหงล่ะ ฝีมือฉันซะอย่าง
ตอนที่ฉันเขียนหานายอยู่นี้ พระจันทร์เต็มดวงกำลังลอยเด่นอยู่กลางฟ้าเลย ถึงฉันจะอยู่ที่อังกฤษหรือนายจะอยู่ที่ฝรั่งเศส เราก็ยังได้มองพระจันทร์ดวงเดียวกัน
รักและคิดถึง, เดย์ซี เพื่อนรักข้างบ้านที่เป็นเพื่อนซี้ที่สุดของนาย (ถ้านายไม่ไปเจอเพื่อนซี้คนใหม่ในสนามรบจนลืมฉันซะก่อนนะ)
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
“ยินดีต้อนรับกลับบ้าน หมู่เบลก”
คำทักทายจากหญิงหลังโต๊ะกินข้าวเมื่อเขาผละจากอ้อมกอดแม่ในชุดกระโปรงลายดอกเดย์ซี เรียกให้เบลกหันไปมองคนพูดที่นั่งจิบน้ำชาอย่างสบายอารมณ์เหมือนคนใจสงบ โดยไม่มีทางรับรู้ได้เลยว่าใจดวงน้อยของเธอเต้นโครมครามมากแค่ไหนยามได้พบหน้าคนที่เฝ้ารอมานานอีกครั้ง และการที่เธอต้องยกริมฝีปากจรดกับขอบถ้วยชาก็เพื่อปกปิดรอยยิ้มกว้างด้วยความดีใจอย่างที่สุด
“ดีใจที่ได้พบกันอีกครั้งนะ เดย์ซี” ผิดกับสิบตรีเบลกผู้ทักทายเธอด้วยรอยยิ้มกว้างที่อาบอยู่เต็มหน้าอย่างไม่เห็นจำเป็นต้องปิดบัง
เดย์ซีกับเขาเป็นเพื่อนข้างบ้านที่สนิทกันตั้งแต่ยังเป็นแค่เด็กไม่รู้ประสา แม้บ่อยครั้งจะชอบทำตัวเหมือนคู่กัดกัน แต่แท้จริงพวกเขาเป็นเพื่อนที่รักกันมาก และเบลกไม่เห็นประโยชน์ที่ต้องเก็บซ่อนความดีใจไว้แค่ข้างใน เพราะทันใดเขาก็ตรงมาหาเธอ ดึงตัวเธอให้ลุกขึ้นอย่างไม่เกรงใจเพื่อจะกอดเธอแน่นเต็มรัก หากแม้เดย์ซีจะรีบวางถ้วยชาลงบนโต๊ะได้ทันก่อนมันจะกระฉอกหกรดเขา แต่เธอกลืนน้ำชาลงคอไม่ทันหมด อารามตกใจทำให้เธอสำลักจนน้ำชาในปากกระเด็นไปโดนปกคอเสื้อชุดทหารของเขา ทว่าก็แน่นอนว่าเบลกจะไม่ว่าอะไร
เพราะสิ่งเดียวที่เขารู้สึกในยามนี้ คือความดีใจที่ได้กลับมาพบกับบ้านที่รัก แม่ที่รัก และเพื่อนที่รักก็เท่านั้น
หลังจากสวาปาม(เดย์ซีหมายถึงเบลก)ไก่อบเป็นมื้อเที่ยงและมื้อแรกด้วยกัน เบลกก็ชวนเธอไปนั่งเล่นที่ใต้ต้นเชอร์รีหลังบ้าน ทีแรกเด็กหนุ่มก็นึกว่าต้องใช้เวลาสักพักเพื่อเกลี้ยกล่อมแม่ เพราะหล่อนคงอยากใช้เวลากับเขาให้มากที่สุดในวันแรกที่เขาได้ลาพักรบกลับมา ทว่าผิดคาดเมื่อหล่อนอนุญาตโดยไม่หยุดคิดหรือให้เขาต้องขอเป็นคำรบสอง บอกเพียงว่าเดี๋ยวจะไปนอนพักสักงีบ และให้เบลกไปสนุกกับเด็กสาวข้างบ้านให้เต็มที่
“ลูกควรได้ใช้เวลากับเพื่อนรักของลูก”
หล่อนว่าอย่างนั้น เบลกตอบรับด้วยอ้อมกอดอีกครั้ง หากเมื่อเดย์ซีเห็นคนที่กอดกับลูกชายหันมาหลิ่วตาให้ เธอก็เข้าใจความนัยของหล่อนได้ในทันทีจนสำลักบิสกิตที่เพิ่งเอาเข้าปากไป หญิงสาวหลงคิดว่าตนเองเก็บความรู้สึกได้เนียนสนิท ทว่าตั้งแต่เบลกไปรบ เธอก็กังวล เป็นห่วง กระวนกระวาย คิดถึงเขามาก...อาจมากเกินไป จนเมื่อนึกย้อนไปก็จดจำได้ว่ามันถูกแสดงออกผ่านคำพูด คำพ้อ คำนึงหา และการกระทำมากมายนับไม่ถ้วน แต่พอเดย์ซีเห็นเบลกที่หันมายิ้มให้และพยักเพยิดให้ออกไปหลังบ้านด้วยกันโดยไม่ได้รับรู้อะไรเช่นผู้เป็นแม่ เธอก็เข้าใจว่าความลับที่คนทั้งหมู่บ้านดูออก เห็นจะมีแค่เจ้าตัวคนเดียวที่ดูไม่ออก
ว่าเธอคิดเช่นไรกับเขา
.
แผ่นหลังของเธอกับเขาที่นั่งข้างกันพิงอยู่กับต้นเชอร์รีขนาดใหญ่ที่ดอกไม้บานเต็มต้นจนแผ่ร่มเงาได้ บทสนทนาของคนทั้งคู่เงียบหายไปได้พักหนึ่งแล้ว เพราะต่างเข้าใจว่ามันคือช่วงเวลาที่ไม่จำเป็นต้องสื่อสารกันด้วยถ้อยคำสนทนา แค่ซับซาบความเงียบระหว่างอยู่ด้วยกันให้เต็มที่ก็เพียงพอ ไม่นานจากนั้นก็มีลมพัดแรงหอบใหญ่จนดอกเชอร์รีหลุดจากกิ่งก้าน ตกลงมาบนเสื่อที่พวกเขารองนั่ง เดย์ซีแหงนหน้ามอง พึมพำออกมาว่า
“สวยจัง”
เบลกแหงนมองตาม แต่ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใด ทั้งที่เขาเคยชอบการมองดูกลีบดอกไม้เริงระบำไปตามท่วงทำนองของสายลม ทว่ายามนี้เขากลับเมินเฉยต่อมันเพื่อมองดูคนข้างกายแทน ดวงตาวับวาวเป็นประกายของเดย์ซีจับจ้องอยู่ที่กลีบดอกไม้สีชมพูอ่อนเกือบขาวไม่วางตา ริมฝีปากสีอ่อนของเธออ้ากว้างโดยไม่รู้ตัว เบลกมองเธอแล้วทันใดเขาก็รู้สึก...บางอย่าง
อาจเพราะการได้บุกบั่นเข้าไปในถิ่นของเยอรมันกับสกอฟิลด์ด้วยกันสองคนเพื่อส่งข่าวให้กองทหารของพี่ชาย ได้ผ่านประสบการณ์เฉียดตายที่สุดเท่าที่ชีวิตนี้ได้เคยพานพบ ทำให้เบลกมองโลกในแง่มุมที่เปลี่ยนไป กระทั่งได้ตระหนักเข้าใจว่าชีวิตคนเรานั้นแสนสั้น ในชั่วขณะที่เขาเฉียดใกล้กับความตายที่สุด เบลกก็ไม่แปลกใจเลยเมื่อคนที่เขานึกถึงจะมีเดย์ซีอยู่ในนั้นด้วย ทุกช่วงเวลากับเธอนั้นมีค่า และเขาก็หวังว่าจะได้ใช้มันกับเธอไปจนแก่เฒ่า
เพราะพวกเขาเป็นเพื่อนรักกัน และเบลกคิดว่าเขารักเดย์ซีมากเกินเพื่อนแล้ว
โดยไม่ทันรู้ตัว เขาก็หยิบดอกเชอร์รีบนเสื่อขึ้นมาดอกหนึ่ง จากนั้นก็กระเถิบเข้าไปใกล้เดย์ซีที่หันมองเมื่อรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวเพื่อทัดก้านดอกเข้ากับหูซ้ายของเธอ เธอยังคงยิ้มไม่หุบ แต่หนนี้รอยยิ้มของเธอไม่ได้มีให้กับความงดงามของดอกเชอร์รี ทว่ามีให้กับความงดงามของการกระทำที่คนที่รักทำให้เธอ
“ขอบคุณ”
เดย์ซียิ้มกว้างให้เขาโดยไม่คิดปิดบังอีก อาจเพราะบรรยากาศและทิวทัศน์สงบเงียบงดงามที่เหมือนฝันนี้ ไม่ทำให้เธอเก็บงำอะไรได้ทั้งนั้น และเบลกเองก็ควรได้รับมัน ได้รับความสุขระหว่างหยุดพักจากความโหดร้ายที่ไม่ควรเกิดขึ้นเพื่อพรากความสุขของใครมาตั้งแต่ต้น
“เธอสวย”
และเบลกก็อาจคิดเช่นเดียวกันว่าเธอควรได้รับความสุข แทนที่ความทรมานจากการรอคอยและเฝ้าภาวนาให้เขาปลอดภัยโดยไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางจะจบลงที่ใด ดังนั้นเขาจะใช้ช่วงเวลาพักจากสงครามนี้ให้เต็มที่ ทำในสิ่งที่อยากทำที่สุดตลอดเวลาที่อยู่ในสนามรบคือทำให้แม่และเดย์ซีมีความสุข เบลกปณิธานแน่วแน่เช่นนั้นตั้งแต่วินาทีแรกที่เหยียบย่างลงมายังแผ่นดินเกิดอีกครั้ง
แต่รอยยิ้มกว้างของเดย์ซีกลับจางหายไปทันใด ใบหน้าพลันเด๋อด๋าอย่างที่สุดเมื่อปุบปับก็ถูกชมโดยไม่ทันตั้งตัว แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เบลกชมเธอ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นได้บ่อยเช่นกัน หญิงสาวตกใจมากเสียจนกระทั่งคำว่า ‘พูดอะไรของนาย’ ก็ยังหลุดออกมาจากริมฝีปากที่อ้าค้างไม่ได้ แล้วก่อนจะทันรู้ตัวอีกครั้ง เบลกก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้และฉกฉวยริมฝีปากของเธอไปด้วยการประทับแนบชิด เดย์ซีหุบมันได้ทันขณะรับรู้ถึงความอ่อนนุ่มของผู้ชายคนแรกที่เคยทำอะไรแบบนี้กับเธอ ทว่าดวงตาสีอ่อนของเธอก็เบิกกว้างเพราะการกระทำที่ไม่เคยคุ้นนี้ด้วยเช่นกัน แต่แค่ครู่เดียวเบลกก็ผละออกเหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าทำบ้าอะไรลงไป เป็นเพราะการตอบรับอย่างแข็งทื่อของเธอด้วยที่ทำให้เขาเข้าใจว่าได้ทำเรื่องที่ไม่ถูกไม่ควรไปแล้ว
“ฉัน...ฉันขอโทษ”
เด็กหนุ่มละล่ำละลักบอกเธอด้วยความรู้สึกผิด เดย์ซีเป็นเพื่อนรักของเขา เพื่อนที่เขารักมานานที่สุด และเขาไม่อยากผิดใจหรือต้องขุ่นข้องหมองใจกับเธอแม้แค่นิดเดียว ทุกครั้งที่ทะเลาะกันไม่ว่าจะเรื่องน้อยใหญ่แค่ไหน เขาก็จะเป็นฝ่ายงอนง้อก่อนเสมอ เพราะเบลกไม่อยากให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาต้องเหินห่างเป็นแค่คนแปลกหน้าต่อกันเพียงเพราะการกระทำชั่ววูบ จนต้องตีอกชกหัวตัวเองในใจว่าอะไรดลใจให้เขาทำเรื่องบ้าบอไม่ยั้งคิดอย่างนี้ลงไปได้
เดย์ซียังคงได้แต่นิ่งงันอีกเป็นครู่จนเบลกยิ่งว้าวุ่นหวั่นใจ เขาหลับตาก่อนลืมมันขึ้น จากนั้นก็ถอนหายใจแรงออกมาเมื่อแน่ใจแล้วว่าตนได้ทำเรื่องผิดพลาดลงไป
“บ้าเอ๊ย! เดย์ซี ฉันขอโทษจริงๆ เธอจะตบหน้าฉันก็ได้ จะด่าว่าฉันยังไงก็ได้ที่ทำแบบนั้นกับเธอ ฉันขอโทษ แต่ขอให้เรายังเป็นเพื่อนกันต่อไปได้มั้ย ฉันไม่อยากเสียเธอ...”
ทว่าเบลกได้พูดแค่นั้น เมื่อเดย์ซีโผนเข้าไปปิดปากเขาด้วยริมฝีปากให้เบลกเป็นฝ่ายที่ต้องเบิกตากว้างบ้าง หากไม่นับเรื่องผิดพลาดเมื่อครู่นี้ พวกเขาก็ไม่เคยจูบมาก่อน จนต่างรู้ดีว่ามันเงอะงะอาจถึงกับน่าขัน แต่เธอกับเขาช่วยกันเรียนรู้ได้ เมื่อไม่ช้าจูบที่แข็งทื่อและงุ่มง่ามเหมือนเด็กจูบกันก็แปรเปลี่ยนเป็นจูบที่มาจากอารมณ์ความรู้สึกข้างใน เปี่ยมล้นไปด้วยความรัก อัดแน่นไปด้วยความรู้สึก มือของเบลกประคองอยู่ที่สองแก้มของเดย์ซี และมือของเธอก็กอดเกี่ยวรอบคอเขา มีเพียงความรักความโหยหาที่ถูกส่งมอบให้แก่กันจากความรู้สึกที่เอ่ออยู่ข้างในมานานจนล้นทะลัก
พวกเขาเรียกมันว่า ‘จูบแรก’ ใต้ต้นเชอร์รีที่กลีบดอกปลิดปลิวร่วงหล่นลงมาพร้อมกับสายลมอ่อนโยน
ตอนที่เขากับสกอฟิลด์เดินผ่านต้นเชอร์รีด้วยกันระหว่างเดินเท้าเข้าถิ่นพวกเยอรมัน เบลกก็นึกถึงเดย์ซีขึ้นมา นานหลายปีแล้วที่เธอกับเขาได้นั่งพัก พูดคุย วิ่งเล่น และเก็บผลต้นเชอร์รีที่หลังบ้านเขาด้วยกัน เพื่อเธอกับแม่ของเขาจะได้เอาไปทำแยมทาขนมปัง แม้บัดนี้ขนมปังนุ่มกรุ่นหอมเมื่อวัยเด็กจะกลายเป็นขนมปังปันส่วนที่แข็ง หืน และชืด แต่แยมเชอร์รีที่เดย์ซีกับแม่ของเขาทำก็ยังมีรสเปรี้ยวอมหวานเสมอ แยมกระปุกที่เธอเพิ่งส่งให้เขาก็ไม่ได้แย่เหมือนอย่างที่เธออำในจดหมาย ตรงกันข้าม มันยังรสชาติดีเยี่ยมเหมือนครั้งแรกที่เขาเคยกิน
แต่จูบกับเดย์ซีนั้นหวานเสียจนแยมเชอร์รีที่อร่อยกว่าอาหารใดในสนามรบก็พลันจืดชืดไปได้สนิท มันแย่ที่เขาต้องคิดถึงรสชาตินี้แทบแย่เมื่อกลับไปรบอีกครั้ง แต่เขาก็พกมันติดตัวไปไม่ได้ ดังนั้นสิ่งเดียวที่เบลกทำได้คือลิ้มรสมันให้เต็มที่ระหว่างที่ทำได้ และนำความทรงจำถึงมันไปกับเขาในสนามรบ
เดย์ซีกับเบลกไม่รู้เลยว่าจูบกันไปนานแค่ไหน เธอกับเขายอมผละจากกันได้ในที่สุดก็ตอนที่เหมือนจะหายใจไม่ออก ขนาดต้องสูดอากาศเข้าไปทั้งที่หลบตากัน และแม้จะกลับมาหายใจในจังหวะปกติได้แล้ว พวกเขาก็ยังไม่กล้าสบตากัน คล้ายไม่แน่ใจว่าควรทำอย่างไรจากการกระทำเมื่อครู่นี้ดี เป็นความรู้สึกที่ทั้งกระดาก ทั้งเขิน ทั้งอาย แต่แน่นอนว่ามากที่สุดคือความสุขใจ หัวใจเต้นแรงเหมือนรัวกลองจนกลัวอีกฝ่ายจะได้ยิน แม้จะรู้ดีแก่ใจว่าอีกฝ่ายก็ได้ยินมันชัดถนัดถนี่
“นาย...” เดย์ซีตัดสินใจเงยหน้าที่แดงก่ำยิ่งกว่าเชอร์รีสุกปลั่งซึ่งจะออกผลในเดือนหน้าขึ้น เบลกเงยหน้าที่ก็แดงเรื่อไม่แพ้กันขึ้นมอง “นายก็ชอบฉันแบบนั้นเหมือนกันเหรอ”
“หา!” เบลกขึ้นเสียงสูงกับคำถามที่ทำให้เขาฉงนงงนงาย
“เพราะฉันชอบนายมาก! ที่จริงฉันชอบนายอย่างนั้นมาตั้งนานแล้ว!”
“เธอหมายถึงอย่างแฟนเหรอ!” เบลกทำตาโตอีกครั้ง ใบหน้างงงวยฉายแววประหลาดใจมากจนปิดไม่มิด “เธอจะบอกว่าเธอชอบฉันอย่างคนรักน่ะเหรอ! พูดจริงเหรอ! เธอเนี่ยนะชอบฉัน! ไม่ ฉันไม่รู้เลย ก็เห็นเธอชอบบ่นชอบว่าฉัน แม้แต่ในจดหมาย...”
“ก็เพราะฉันกลัวนายรู้ต่างหาก!” เดย์ซีรีบขัดด้วยอับอายกับการกระทำงี่เง่าที่แล้วมาของตัวเองเพราะไม่กล้าเผยความนัย “แต่พอไม่ได้เจอหน้านาย ได้แต่เขียนจดหมายหานาย พอคิดว่าชีวิตนายแขวนอยู่กับเส้นด้าย จะได้กลับบ้านเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ หรืออาจไม่ได้กลับมาเลยก็ได้ ฉันก็เลยคิดว่า...”
“ใช่ ฉันเองก็รู้ตัวว่าชอบเธอมากตั้งแต่ตอนอยู่ในสนามรบ” ทว่าเบลกพูดแทรกเธอราวกับทนรออีกไม่ไหวแม้แค่หนึ่งวินาที “ฉันเองก็เพิ่งผ่านประสบการณ์เฉียดตายที่สุดในชีวิตมา อีกไม่นานก็คงได้เหรียญตราเอามาอวดทุกคน แต่รู้มั้ย ในตอนที่ฉันคิดว่าตัวเองจะตาย นอกจากครอบครัว ก็มีเธออีกคนที่ฉันนึกถึง อาจเพราะฉันไม่ได้คิดกับเธอแค่เพื่อนข้างบ้านที่เป็นเหมือนคนในครอบครัว แต่เพราะฉันอยากให้เธอมาเป็นครอบครัวอยู่ในบ้านเดียวกัน”
เดย์ซีงันไปกับคำสารภาพจากปากชายที่เธอแอบรักมาได้พักใหญ่...หรือที่จริงอาจเป็นตลอดมา ความสัมพันธ์ที่เริ่มจากเพื่อนธรรมดา กระทั่งความผูกพันคะนึงหาก่อตัว แปรเปลี่ยนเป็นสิ่งที่มากมายกว่านั้นจนไม่อาจประเมินค่าได้อีก
“นั่นใช่คำขอแต่งงานหรือเปล่า”
“ไม่รู้สิ” เบลกนิ่วหน้าคล้ายกำลังครุ่นคิดหาคำตอบ “แต่ก่อนจะแต่งงานกัน ก็ต้องเริ่มกันที่การเดต...หรือเปล่า....” เขาเงียบไปครู่หนึ่ง หากก็ยังมองหน้าจ้องตาเดย์ซีอย่างแน่วแน่มั่นคงก่อนพูดต่อมาว่า “เราจะลองเดตกันดูมั้ย”
“ฉันจะพยายามทำให้ดีที่สุด” เดย์ซีตอบรับอย่างเขินอาย เบลกทัดผมข้างที่ไม่มีดอกไม้เข้ากับใบหูของเธอ บอกเธอด้วยน้ำเสียงหนักแน่น จริงจัง และจริงใจที่สุดว่า
“เธอไม่จำเป็นต้องพยายามอะไรทั้งนั้น แค่เป็นตัวเธอคนเดิมที่ฉันรู้จักมาตลอด เพราะเธอคนนั้นคือเพื่อนที่ฉันรัก คือคนที่ฉันอยากร่วมชีวิตด้วย...ได้มั้ย”
เดย์ซีพยักหน้า เธอยิ้มกว้างด้วยความรู้สึกดีใจที่ล้นปรี่มากจนน้ำตาไหลรินตามติดมาด้วย
เบลกสนองรับคำตอบของเธอด้วยจูบ จูบที่พวกเขานับมันเป็นครั้งที่สอง และจะเป็นจุดเริ่มต้นไปสู่จูบอีกนับไม่ถ้วนจนไม่จำเป็นต้องนับอีกต่อไป
ครั้งหน้าที่กลับไปสนามรบ เบลกรู้แล้วว่าเขามีเรื่องอะไรจะเอาไปอวดสกอฟิลด์ และเขารู้ว่าเพื่อนรักในสนามรบจะยิ้มให้เขาอย่างจริงใจที่สุดขณะบอกว่า
“ยินดีด้วย นายคู่ควรกับความสุขนี้แล้ว”
- ไปดู 1917 มาห้ารอบฮ่ะ แล้วก็คิดว่าจะมีอีกตราบที่ยังไม่ออกโรง 555 ประเด็นคือเพราะอย่างนั้นแหละ พอดูหลายรอบก็ยิ่งคิดว่าเบลกน่าสงสารมาก เด็กสิบเก้ายังไม่ทันได้เจอโลกเจออะไร แต่ต้องมาตายเพราะสงครามที่ตัวเองไม่ได้เริ่ม เป็นแค่เด็กคนนึงที่รักพี่มากจนยอมทำทุกอย่างเพื่อช่วยพี่ เราก็เลยคิดว่าอยากเห็นเบลกมีความสุขเหมือนเด็กสิบเก้าเท่าที่ชีวิตในยุคสงครามจะให้ได้ ดูไปก็คิดว่าไม่ได้แล้ว ต้องแต่งให้เบลกแล้วว้อย!
- ฉากเขียนจดหมาย เราได้มาจากตอนต้นที่เบลกอ่านจดหมายจากทางบ้าน อยากเห็นเค้ายิ้มได้ตอนได้อ่านจดหมายเรา ส่วนฉากต้นเชอร์รี เป็นฉากที่memorableมากในหนัง มันสื่อถึงเบลก จนเราต้องเอามาเป็นแก่นหลักของเรื่อง เราแต่งจบแค่ในไม่ถึงสองชั่วโมงด้วยนะ (หมายถึงตอนยังไม่เกลาจ้า) เหมือนทุกอย่างมันพร่างพรูออกมาเอง เราแฮปปี้กับการแต่งอะไรในยุคนี้มาก จริง T_T
- ที่จริงเราก็สงสารสกอฟิลด์มากด้วยนะ การเสียเพื่อนที่รักไปในสนามรบ ชีวิตจากนั้นก็ต้องอยู่ด้วยความคิดถึงเพื่อนตายที่จากไป เราว่ามันโคตรเศร้า เป็นตัวละครที่น่าเอามาแต่งมาก แต่เรารู้สึกว่าไม่สามารถแต่งได้ ยิ่งในเรื่องเค้ามีลูกมีเมียที่รักมาก (ทุกฉากที่สกอเปิดกล่องเหล็กดูรูปลูกเมีย เราโคตรซึ้ง) จะเอานางเอกเราไปแทรกก็รู้สึกไม่ดีเพราะอย่างนี้แหละ รู้สึกบาป ฮ่าฮ่า.. เราแต่งให้แมคไคย์,พี่เบเนดิกต์,พี่ริชาร์ด,พี่สกอตต์ ได้หมด (อย่าท้า สามคนแรกเราเคยแต่งให้มาแล้ว กรั่ก) แต่แต่งให้สกอฟิลด์ไม่ได้ แต่งให้คนอื่นในเรื่องอีกก็ไม่ได้ เพราะคิดอะไรไม่ออกแล้ว จบจ้า o<-<
- อยากอวยเพลงประกอบมากกกด้วย เราฟังเพลย์ลิสต์เพลงประกอบหนังไปเรื่อย แล้วพอได้ฟังเพลงนี้ก็ชอบมาก ตอนนั้นงงด้วยว่า Emma คือเอ็มมาไหน 555 (Emma ปี 1996) เป็นscoreที่ได้รางวัลออสการ์ปีนั้นด้วย และแน่นอนว่าเพลงนี้จะต้องเพราะมาก เราตั้งใจเลือกเฟ้นเสมอ โดยเฉพาะกับเรื่องที่เรารักและทุ่มเทมาก...อย่างเรื่องนี้เป็นต้น
ที่จริงเราพูดถึงทุกเรื่องที่เราแต่ง
คุณก๊อปบท,คำพูด,นิสัยตัวละครเราไปให้กับใครที่ไหนก็ไม่รู้ที่เราไม่ต้องการ แม่งเหมือนเอาบทที่มาจากสมองเราไปปู้ยี้ปู้ยำกับตัวละครโคตรห่วย
ต่อให้จะเป็นเรื่องที่เราแต่งแล้วไม่ชอบหรือเราว่าไม่ดี คุณก็ไม่มีสิทธิ์เอาไปจากเรา แล้วยิ่งเป็นบทที่เรารักมาก ตั้งใจเขียนเพื่อคนนี้ แต่คุณเอาไป ยิ่งโคตรทุเรศ
รู้ตัวก็รับไปให้หมดทุกคนเลยนะ คิดว่าเราโง่เหรอ เราเห็นหมดทุกเรื่องแหละแค่ไม่พูด ขนาดเราด่าในหน้าบทความมาเป็นปีก็ไม่เห็นสะเทือน ยังก๊อปไม่หยุดหย่อน
เราโคตรเกลียดโคตรโกรธโคตรสมเพช หน้าไม่อาย ไม่ขอบคุณด้วยที่เข้ามาอ่าน เราแต่งเพราะอยากแต่ง มีแค่เราอ่านคนเดียวเราก็แฮปปี้ดี ไม่ได้แอบก๊อปใครด้วย
ความคิดเห็น