คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : The Hills Have Eyes (Tribute To Dir. Wes Craven)
Release Date : AUGUST 15, 2020
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เริ่มเย็นย่ำแล้วตอนที่รถบัสประจำทางพาโจมาถึงหน้าสถานีเพื่อขึ้นกระเช้าต่อไปยังแบล็ควู้ดเมาน์เทน หรือที่ตอนนี้ผู้คนรู้จักกันในนาม ‘เมานท์วอชิงตัน’ นับตั้งแต่ตระกูลวอชิงตันเข้ามาซื้อถือกรรมสิทธิ์ครอบครองแทบทั้งภูเขาลูกนั้นในช่วงปี1990 จะเรียกว่าเป็นเหตุสุดวิสัย เรื่องช่วยไม่ได้ หรืออะไรก็ตามแต่ที่โจเกิดติดธุระด่วนจนทำให้เธอมาถึงช้ากว่าที่ควรเป็น เพราะอย่างนั้นก็เลยต้องเดินทางมาคนเดียวแทนที่จะมากับเน็ดอย่างที่ตั้งใจกันไว้แต่ต้น หญิงสาวพรูลมหายใจออกมาเป็นควันขาว เธอไม่ชอบอากาศหนาว โดยเฉพาะบนภูเขาตอนหิมะตกที่เหมือนอยู่บนแดนดินถิ่นฝันร้ายสีขาวที่ไม่อยากให้มีจริง อากาศหนาวเหน็บจับไปถึงขั้วหัวใจจากอุณหภูมิติดลบที่ยิ่งทวีความโหดร้ายเมื่อความมืดคลี่คลุม ถึงโจจะรู้ว่าทุกครั้งที่ได้มาเมานท์วอชิงตัน เธอจะไม่ต้องกังวลกับความเย็นเยือกที่พร้อมแช่แข็งเธอได้ทุกเมื่อ ไม่แค่เพราะบ้านตากอากาศหลังมหึมาที่ทุกคนพร้อมใจกันเรียกว่าคฤหาสน์นั้นอบอุ่นมากทั้งจากเตาผิง ฮีตเตอร์ หรืออ่างน้ำอุ่น แต่ยังรวมถึงเจ้าของคฤหาสน์ที่ก็จะทำให้เธออุ่นได้...ด้วยร่างกายของเขาเอง
พอคิดถึงเรื่องนั้นก็พลันนึกถึงจูบกับเขาขึ้นมาจนต้องกอดอกห่อตัวในเสื้อกันหนาวตัวหนา หวนนึกถึงไออุ่นจนร้อนผ่าวของเขาที่ถูกส่งมาให้เธอในคืนนั้นเมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อน ก็ทำได้เพียงเร่งฝีเท้าเพื่อจะรีบไปให้ถึงสถานีเคเบิลคาร์ ราวกับต้องการเร่งสลัดความคิดนั้นทิ้งไปด้วยเพราะมันไม่เข้าท่าเอาเลย เหตุใดเธอถึงต้องโหยหาเขามากขนาดนี้ ทั้งที่ควรมีแค่จอชต่างหากที่โหยหาเธอ เขาควรได้รับผลกรรมจากการทอดทิ้งเธอไปโดยไม่แม้แต่จะบอกกล่าวอำลา แต่ทำไมเธอถึงต้องได้รับผลกระทบเข้าเองอย่างจังด้วย
ระยะทางจากที่ที่รถบัสจอดส่งไปถึงสถานีเคเบิลคาร์ไม่ไกลกันมาก ทว่าก็ยังมีประตูบานใหญ่กั้นไว้ไม่ให้คนนอกขึ้นกระเช้าเดินทางข้ามไปยังภูเขาอีกฝั่งได้โดยพลการ บ้านของจอชร่ำรวยมหาศาลจากกิจการค่ายหนัง ‘เดอะ วอชิงตัน คอมพานี’ แม้โจจะไม่รู้เรื่องราวในแวดวงภาพยนตร์มากมายนักนอกจากเรื่องที่เธอชอบดูหนัง แต่เธอก็รู้มากพอว่ามันเป็นธุรกิจที่ทำกำไรได้มากมายขนาดไหน ถึงจะมีความเสี่ยงว่าอาจต้องแลกมาด้วยการขาดทุนมหาศาล หากก็ดูเหมือนว่าพ่อแม่ของจอชจะตาแหลมเก่งฉกาจเอาการในเรื่องการเลือกหนังที่จะทำเงินได้
แต่เมื่อไปถึงก็พบว่าประตูเหล็กดัดบานใหญ่นั้นถูกคล้องกุญแจไว้ โจเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งเสียบอยู่กับกุญแจจึงหยิบขึ้นมาอ่าน ‘ประตูเสีย ใช้ไม่ได้ ปีนมา’ ไม่มีชื่อคนเขียนปิดท้ายแต่เธอก็จำได้ว่าเป็นลายมือของจอช หญิงสาวพับเก็บมันเข้ากระเป๋าเสื้อกันหนาวเพราะรู้ว่าตัวเองเป็นคนสุดท้ายที่มาถึง จากนั้นก็เดินไปด้านข้างเพื่อจะปีนกำแพงที่สูงไม่แพ้ประตูขึ้นไป มันเป็นกำแพงหินที่เรียงกันตะปุ่มตะป่ำไม่เป็นระเบียบแต่ก็มีช่องพอให้จับหรือเหยียบขึ้นไปได้ โจกับกลุ่มเพื่อนทั้งเจ็ดล้วนเคยปีนกันมาแล้วทั้งนั้น อาจขลุกขลักอยู่บ้างแต่เธอก็จะปีนข้ามไปได้ เว้นก็แต่ตอนข้ามไปถึงอีกด้านที่เธอรู้ดีว่าตัวเองจะหน้าคว่ำตอนลง นับจากนั้นจอชก็จะรออยู่ที่อีกฝั่งเพื่อคอยรับเธอให้ลงไปได้โดยสวัสดิภาพ แต่โจรู้ว่าคราวนี้มันจะไม่ใช่เขา หากก็ไม่คิดว่าจะเป็นใครอีกคนอย่าง...
“เน็ด” เธอทักทายเจ้าของชื่อเมื่อเขาช่วยรับตัวเธอลงมาจากกำแพงเรียบร้อยดีแล้ว “นึกว่านายจะไปถึงแล้ว”
“ตอนแรกก็กะจะทำอย่างนั้นอยู่หรอก” คนที่เธอควรได้เดินทางมาด้วยตอบ “แต่ขืนเธอเป็นอะไรไปก่อนถึงบ้านจอช มันได้ฆ่าฉันตายแน่”
และคำตอบที่มีชื่อของใครอีกคนพ่วงมาด้วยก็ทำให้โจนึกเขินจนทำได้เพียงหัวเราะเก้อขณะเดินไปกับเน็ด เดิมมันก็เป็นเส้นทางที่ค่อนข้างลัดลดคดเคี้ยว ถ้าเป็นฤดูร้อนก็มองเห็นทางได้สะดวก แต่กับฤดูหนาวที่ถนนหนทางถูกปกคลุมด้วยหิมะก็เป็นเรื่องที่ท้าทายขึ้นมาหน่อย แม้สุดท้ายมันก็จะเป็นแค่ด่านที่ง่ายดายของเน็ดกับโจที่เคยแวะเวียนมาบ่อยครั้งก็ตาม
ป้ายโลหะสีเงินอันใหญ่ยังตั้งตระหง่านอยู่ตรงทางก่อนขึ้นบันไดไปยังสถานีเคเบิลคาร์ ทุกครั้งโจจะหยุดอ่านมันกับเจซาเบล...และลีนา ส่วนเน็ด จอช รวมถึงเพื่อนทุกคนที่เหลือ (ไม่นับรวมเคนเนธ) จะพากันบ่นพรำว่าข้อความซ้ำซากน่าเบื่อและไม่เห็นเข้าใจว่ามันน่าสนใจตรงไหน ที่ก็จะได้รับบทลงโทษเป็นการที่สามสาวประสานเสียงอ่านเนื้อหาบนป้ายนั้นให้พวกเขาฟังเหมือนผึ้งบินหึ่ง คนที่ไม่เต็มใจรับฟังก็จะโวยวายบ้าง ปิดหูบ้าง และหัวเราะด้วยกันในท้ายที่สุด มันเป็นเรื่องราวของ...
“ชนเผ่าพื้นเมืองกับการอ่านคำทำนายจากผีเสื้อ” แต่หนนี้เน็ดย่อตัวลงไปเล็กน้อยเหมือนโจและอ่านมันออกเสียง จนเพื่อนหญิงต้องหันไปหัวเราะอย่างนึกขันระคนประหลาดใจ “อ่านต่ออีกสิ” เธอว่า และเน็ดก็ทำตามนั้นโดยไม่อิดออด
“ชนเผ่าครีที่เคยอาศัยอยู่บนภูเขาลูกนี้ เชื่อว่าผีเสื้อจะนำความฝันและคำพยากรณ์ถึงอนาคตมาด้วย สีของผีเสื้อจะเป็นตัวบ่งบอกคำพยากรณ์ สีดำคือการทำนายว่าจะมีคนตาย สีแดงคือการเตือนว่าจะเกิดเรื่องอันตรายขึ้น สีน้ำตาลจะบอกถึงเรื่องราวน่าเศร้าที่เกิดกับเพื่อน สีเหลืองจะให้นิมิตเพื่อช่วยเหลือและชี้ทาง สีขาวจะนำพาความโชคดีมา”
เน็ดหัวเราะเล็กน้อยเมื่ออ่านจบ ก่อนหันไปหาหญิงสาวที่ย่อตัวกวาดสายตาไปตามการอ่านของเขา “เธอเชื่อมั้ยว่าเรื่องนี้มีจริง”
“ก็แล้วทำไมจะไม่จริงล่ะ” คนที่ยืดตัวขึ้นเหมือนเขาเพื่อจะเดินต่อไปด้วยกันตอบคำถาม “ฉันเชื่อเรื่องของคำสาปพวกเนทีฟอเมริกันนะ อย่างเวนดิโกไง”
“หนังที่จอชเคยเปิดให้ดูแล้วฉันหลับเป็นตายเรื่องนั้นเหรอ” แม้จะถูกโจมองค้อนก็ยังไม่วายถามต่อว่า ”อย่าบอกนะว่าเธอเชื่อเรื่องพวกวูดูอะไรทำนองนั้นด้วย”
“ก็ทำไมจะไม่เชื่อล่ะ ฉันใช้ตุ๊กตาวูดูสะกดใจจอชให้หลงฉันหัวปักหัวปำนะ”
โจย้อนกลับไปพร้อมมือที่เงื้อขึ้นทำท่าเหมือนถือตะปูเตรียมปักอก เรียกเสียงหัวเราะขำปนระอาจากเน็ดได้จนเขาหมุนตัวที่สะพายกระเป๋าเป้ใบใหญ่ไปชนกับไหล่ของคนเดินด้วย ทำเอาเธอร้องออกมาขณะเซถลันเกือบล้มคว่ำถ้าไม่พยุงตัวเองไว้ได้ทัน ทั้งอย่างนั้นเจ้าตัวคนชนก็ยังหัวเราะรื่นขณะเดินเรื่อยไปยังกระท่อมเคเบิลคาร์ จนโจต้องรีบย่ำเท้าสวบสาบบนหิมะตามไปให้ทัน แล้วเอากระเป๋าสะพายใบโตที่หลังของตัวเองกระแทกชนเขาบ้าง แต่หนนี้คนที่ไม่คิดว่าจะโดนแก้เผ็ดด้วยวิธีการเดียวกันกลับล้มลงไปก้นจ้ำเบ้าและโอดโอย ขณะที่คนชนเดินลิ่วไปเปิดประตูอย่างสบายอารมณ์
“จะว่าไป พวกเรามาที่นี่ก็ตั้งหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่เคยเห็นโรงแรมกับสถานพักฟื้นแบล็ควู้ดไพนส์กันเลยนะ” โจพูดขึ้นเมื่อเธอกับเน็ดมานั่งอยู่บนกระเช้าด้วยกันแล้ว
“โรงแรมกับสถานพักฟื้นร้าง” เน็ดเติมคำให้สมบูรณ์ เขาเองก็เห็นใบปิดเก่าจนสีซีดจางของมันที่คงแปะอยู่ในสถานีเคเบิลคาร์มานานเป็นชาติแล้ว ครั้งหนึ่งที่ภูเขาลูกนี้ยังไม่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของครอบครัววอชิงตัน มันก็เคยเป็นสถานที่ที่ผู้คนมาพักผ่อนหย่อนใจกันได้ท่ามกลางทัศนียภาพงดงาม แต่เรื่องนั้นก็ผ่านมานานมากแล้ว จอชบอกว่าโรงแรมปิดตัวไปนานหลายปีแล้วก่อนครอบครัวของเขาจะเข้ามาซื้อ ส่วนสถานพักฟื้นปิดกิจการไปตั้งแต่ช่วงยุคห้าศูนย์ ตอนที่พวกเขามาถึงมันก็ทรุดโทรมและไม่มีใครไปฟื้นฟูสถานที่ร้างแห่งนั้นแม้กระทั่งครอบครัวของจอชเอง “และมันไม่มีอะไรน่าดูหรือน่าสนใจหรอก” จอชกล่าวสรุป
“ฉันว่าเราน่าจะไปสำรวจกันดูนะ แบบพวกวัยรุ่นหน้าโง่ในหนังสยองวัยรุ่นที่ค่ายหนังของพ่อแม่จอชชอบออกทุนให้”
เน็ดพูดจบก็หัวเราะขำร่วมไปกับโจ มันเป็นเรื่องที่พวกเขาชอบเอามาแซวกันเกี่ยวกับค่ายหนังวอชิงตัน ที่มักจะเป็นหนังสยองขวัญทุนต่ำแต่ทำกำไรกลับคืนค่ายได้เป็นกอบเป็นกำ มากพอจะให้ครอบครัววอชิงตันซื้อภูเขาเกือบทั้งลูกได้ หลายเรื่องก็กลายเป็นการเปิดตำนานหน้าใหม่ให้กับหนังผีหรือหนังไล่เชือด และส่วนใหญ่มันก็จะเป็นหนังแบบดูเอาสนุก พล็อตเบาโหวง เนื้อหาซ้ำซากเดาทางได้ ขายความแหวะหรือฉากตุ้งแช่ เป็นหนังแบบที่นักวิจารณ์จะไม่ชื่นชม แต่คนดูจะชื่นชอบและพร้อมควักเงินจ่ายเพื่อความบันเทิงที่ไม่ต้องคิดมาก
แม้จอชจะเคยพูดให้พวกเขาฟังตอนเมาว่า “ฉันอยากเปิดค่ายทำหนังสยองเป็นของตัวเองสักค่าย หนังที่อาจทำเงินได้ไม่มาก แต่เป็นหนังดี ดูจบแล้วตราตรึง มีอะไรให้คิดต่อ หนังที่นักวิจารณ์จะชอบและคนดูกลุ่มหนึ่งก็จะชอบ” แต่เขาก็ไม่เคยพูดถึงมันอีกตอนสร่าง พวกเขาถึงไม่เคยเก็บคำพูดนั้นมาคิดจริงจัง
แต่ไม่มีใครรู้ว่าโจเก็บทุกคำพูดของจอชไว้ในหัว แค่ไม่เคยได้หยิบยกมันมาพูดเมื่อเขาก็ไม่พูดถึง
“เธอกับจอชกลับมาดีกันหรือยังล่ะ” เหมือนกับบางเรื่องที่เธอคงไม่พูดก่อนถ้าเน็ดไม่พูดถึง “หมายถึงจอชมันง้อเธอหรือยังตั้งแต่วันนั้น”
“อืม” โจตอบแค่นั้นแต่ก็ยังมองหน้าสบตากับเน็ดนิ่งโดยไม่หลบ และเน็ดคิดว่ามองเห็นรอยยิ้มเบาบางที่แทบรับรู้ไม่ได้บนริมฝีปากของเธอ ทำให้เขาที่นั่งตรงข้ามกับเธอหัวเราะพรืดออกมา “ง้อกันบนเตียงล่ะสิ”
“นายไม่ลองเอาไปทำบ้างล่ะ” โจไม่ได้ถือสากับคำพูดไม่อ้อมค้อมของเพื่อนสนิท หากเพราะตัวเองก็เป็นคนตรงไปตรงมาจึงย้อนกลับไปไม่ต่าง “กับเจซน่ะ”
เน็ดหยุดหัวเราะทันใด ยักไหล่ราวกับต้องการให้เธอยุติแค่นั้น ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดถึงเรื่องที่ไม่อยากพูดอีก โจรู้แต่ก็อดไม่ได้อยู่ดี เพราะอยากแกล้งเน็ดด้วย แต่อีกส่วนหนึ่งก็เจือความเห็นใจเจซาเบลด้วย จอชอาจเป็นคนแรก แต่เธอก็เป็นอีกคนที่รู้ว่าเจซาเบลชอบเน็ดมากแค่ไหน เพราะอย่างนั้นหากพวกเขาคืนดีกันได้ก็คงดีกับเจซาเบลหรือกระทั่งเน็ดเอง แม้จะไม่ได้คาดหวังว่าคนทั้งคู่ต้องถึงขนาดงอนง้อคืนดีกันบนเตียงก็ตาม
“ถ้าไม่มีฝ่ายไหนเริ่มคุยก่อน ก็อาจได้ไปคุยกันอีกทีตอนอยู่ในโลง”
เน็ดหัวเราะ “อย่าดึงคำโปรยในหนังเรื่องใหม่ของพ่อแม่จอชมาพูดอะไรที่มันจริงจังอย่างนี้ได้มั้ย รู้ว่ารักกันแต่ไม่ต้องมาโปรโมทขนาดนี้ก็ได้”
“ไม่ตลกได้มั้ยเน็ด” จนคนที่โดนยั่วให้เคืองต้องยกเท้าในรองเท้าบู๊ตขึ้นสะกิดเข่าคนตรงข้ามอย่างเหลืออดปนขำ แต่ก็ตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องเมื่อรู้แน่ชัดว่าเน็ดไม่อยากพูดถึง
“นายเชื่อเรื่องบัตเตอร์ฟลายเอฟเฟคท์มั้ย”
“ฉันเรียกมันว่า ‘ถ้าเกิด’” เน็ดเองก็เปลี่ยนจากอารมณ์ขันมาเป็นขั้วตรงข้ามได้ทันทีเหมือนสับสวิตช์ “ทุกอย่างเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ที่เกิดจากการกระทำของเราเองทั้งนั้นต่างหาก ไม่ใช่เพราะผีเสื้อที่ไหน”
“ว้าว คนอย่างเน็ดก็พูดอะไรฉลาดกับเค้าเป็นด้วย” ที่ก็โดนเน็ดสวนกลับไปด้วยขายาวของเขาที่ชนขาเธอให้เบี่ยงไปอีกทางจนโจต้องค้อนขวั่กเข้าให้ “รู้มั้ยว่าชื่อเจซาเบลมาจากผีเสื้อ” หากก็อดวกกลับไปที่เจ้าของชื่อนี้อีกครั้งไม่ได้ และการที่เน็ดมองเธอนิ่งก็เป็นคำตอบชัดเจนว่าเขาไม่รู้ “ฉันเองก็จำที่มาที่ไปชัดเจนตอนเจซาเบลเล่าให้ฟังไม่ได้นะ ไว้เราลงจากภูเขานายก็ไปเสิร์ชหาเอาในเน็ตดูสิ หรือไม่พอถึงภูเขาก็ไปถามจากเธอเองก็ได้”
“แล้วทำไมฉันจะต้องรู้ด้วย”
โจแค่นหัวเราะ “บัตเตอร์ฟลายเอฟเฟคท์น่ะนะ แค่เราเหยียบผีเสื้อตายสักตัวก็อาจเปลี่ยนแปลงทั้งอนาคตได้ เป็นวัฏจักรลูกโซ่จนถูกเรียกว่าการกระพือปีกของผีเสื้อ”
“จะมาเลคเชอร์อะไรอีกล่ะคราวนี้”
“ก็เปล่า ฉันก็แค่คิดว่าต่อให้ผีเสื้อไม่ตาย สิ่งที่เกิดต่อจากนั้นก็เรียกว่าเป็นบัตเตอร์ฟลายเอฟเฟคท์ได้อยู่ดีใช่มั้ยล่ะ”
“อยากวิเคราะห์หนังเรียนเชิญไปคุยกับจอช อยากพูดอะไรวิชาการเรียนเชิญไปคุยกับเคนเนธ”
“อยากกระทืบคนเรียนเชิญไปคุยกับเน็ด” โจย้อนกลับหน้าตายทันควัน ก็พอดีกับที่กระเช้ากำลังจะถึงสถานีเมานท์วอชิงตัน เธอจึงเปลี่ยนจากเรื่องไร้สาระมาเป็นเรื่องจริงจังก่อนจะหาโอกาสพูดอีกไม่ได้ว่า “บางทีมันอาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้กลับมารวมตัวกันครบก็ได้ นายไม่อยากทำอะไรให้มันถูกต้องเหรอ อย่าง...คืนดีกับเพื่อนเคยสนิท”
ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากปากเธอหรือเขาอีก กระทั่งกระเช้าหยุดกึกเมื่อมาถึงสถานีและเน็ดลุกขึ้นเพื่อเปิดประตูออกจากกระเช้าที่นิ่งสนิทแล้ว
“ฉันอยากกลับไปแก้ไขในสิ่งที่ไม่มีทางย้อนไปแก้ได้มากกว่า”
“งั้นนายก็คงต้องอยู่ในวังวนนั้นไปจนตายถ้ายังไม่ยอมปล่อยวาง”
“อย่างน้อยมันก็คือการไถ่บาปของพวกเราไม่ใช่เหรอ”
“เพราะนายยังแบกรับความผิดไว้ต่างหาก”
“หรือเธอจะบอกว่าไม่รู้สึกผิดแล้วที่...”
หากเมื่อเน็ดกำลังจะพูดประโยคอื่นใดต่อเมื่อบทสนทนาจริงจังกลายเป็นเครียดเคร่งไม่เหลือเค้าความเฮฮาอีก มันก็จำต้องหยุดแค่นั้นเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงเปิดประตูสถานีดังขึ้นก่อน ตามติดมาด้วยเสียงของคนที่พวกเขาต่างก็คุ้นเคยกันดี
“พวกนายมาถึงสักที!”
“หวัดดี จอช” เน็ดทักทายเมื่อเขากับโจออกมาเผชิญความหนาวเหน็บอีกครั้งที่ภูเขาด้านนอก
“ยู้ฮู นายไม่ได้มาคนเดียวใช่มั้ยเน็ด หรือผู้หญิงที่ฉันเห็นมากับนายเป็นวิญญาณ เธอถึงไม่ทักไม่ทายฉันเลย”
จอชแกล้งรวนยวนเพื่อนหญิงที่เพิ่งเดินออกมา จากนั้นก็ปิดประตูไขกุญแจล็อกกันไม่ให้คนนอกบุกรุกเข้ามาในที่ดินของครอบครัว แม้จนกระทั่งกระบวนการนี้เรียบร้อยดีแล้ว คนที่จอชมองหน้าสบตาตลอดเวลานั้นก็ยังไม่พูดอะไรสักคำ
“อย่างี่เง่าน่าจอช” โจเปิดปากในที่สุดขณะเบี่ยงตัวหลบจอชที่เอามือมาจับไหล่ หาใช่แค่การแกล้งหยอกจับตัวเพื่อพิสูจน์ว่าเธอมีจริงไม่ใช่สสารวิญญาณอย่างเขาว่า แต่มือของจอชที่บีบลงไปดูมีนัยยะบางอย่างที่ทำให้เธอขนลุกได้ และไม่ใช่เพราะอากาศหนาวที่ทะลุผ่านเสื้อกันหนาวตัวหนามาได้ด้วย แต่เป็นเพราะสัมผัสจากมือของเขาที่ทำให้เธอวูบวาบไปถึงข้างในได้ต่างหาก
“ใช่ อย่างี่เง่าน่าจอช” เน็ดที่กลับมาร่าเริงเฮฮาเป็นปกติแล้วขยิบตาให้โจ จากนั้นก็ค่อยชกเข้าให้ที่ไหล่ของจอชเพื่อจะโดนสวนกลับอย่างอารมณ์ดี แม้จะมีบางอย่างที่เปลี่ยนไป แต่ก็มีอีกหลายอย่างที่ยังคงเดิม อย่างเช่น...มิตรภาพที่ก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
“ทุกคนมาถึงกันหมดแล้วใช่มั้ย” โจที่ถอดกระเป๋าสะพายออกวางบนพื้นเพื่อยืนกอดอกพิงกำแพงถามขึ้น
“ใช่ พวกนั้นไปรอกันอยู่ที่บ้านแล้ว” จอชตอบเธอก่อนหันไปเป็นเน็ดอีกครั้ง คนถูกมองหัวเราะร่วนเมื่ออ่านความหมายในท่าทีของเพื่อนออก เขายกสองมือขึ้นในระดับใบหน้าเป็นเชิงยอมแพ้
“โอเค ไม่ต้องไล่กันทางอ้อมก็ได้ ออกปากไล่กันตรงๆฉันก็ไปแล้ว เจอกันที่บ้านนะ อย่านานนักล่ะ ข้างนอกนี้มันหนาว รีบทำก็น่าจะดี”
โจถลึงตาเงื้อหมัดขึ้นกับคำพูดสองแง่สองง่ามของเน็ด เขายังคงหัวเราะไม่หยุดขณะเดินจากไปพร้อมมือขวาที่ยกขึ้นโบกโดยไม่หันมอง จอชหัวเราะตาม ส่วนโจก็ได้แต่เม้มริมฝีปากแน่นเพื่อจะได้ไม่หลุดคำด่าใส่คนทะลึ่งทะเล้นที่รู้ดีไปซะทุกเรื่องอย่างเน็ด
เมื่อเน็ดพ้นไปจากสายตาแล้ว ความสนใจทั้งหมดของจอชก็เปลี่ยนมาเป็นหญิงสาวหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ ผู้ก็เป็น ‘หนึ่งเดียว’ ในความหมายทั้งหมดทั้งมวลของเขาเช่นกัน
“ดีใจที่เธอมา” และพูดคำที่อยากบอกเธอที่สุดในยามนี้
“ดีใจที่ได้เจอนาย” เธอเองก็ตอบรับด้วยคำที่อยากบอกเขาที่สุดในยามนี้
“คิดถึงฉันมากมั้ย” แต่แทนที่จะเป็นการกลับมาพบกันสุดโรแมนติค จอชก็ยังคงหยุดกวนประสาทไม่ได้จนโจต้องหมั่นไส้ครามครันทุกครั้งคราว ทว่ามันก็เป็นส่วนหนึ่งของเขาที่เธอรักจนอดกวนเขากลับไปอย่างอารมณ์ดีด้วยไม่ได้
“แล้วนายล่ะคิดถึงฉันมากมั้ย”
โจกอดอกมองตารอคอยการตอบรับของคนรักที่กำลังยิ้มพราว ทันใดมือของเธอก็ถูกจอชดึงออกไปวางแนบกับกำแพงทั้งสองข้าง และคำตอบของคำถามนั้นก็คือริมฝีปากที่โน้มมาแนบประทับ เพียงเท่านี้ก็ทำให้ทุกความคิดถึงของเธอที่มีต่อเขามลายหายวับไปได้ในพริบตา เธอคิดถึงเขา...คิดถึงสัมผัสของเขา...คิดถึงจูบของเขา...คิดถึงทุกอย่างที่เป็นจอช วอชิงตัน โจพยายามจะดึงมือออกจากการจับกุมของจอชที่ตรึงมันไว้ เพื่อจะเอาไปกอดรัดหรือแตะต้องร่างกายของเขามากกว่าแค่การสนองตอบด้วยจูบ แต่จอชรับรู้การเคลื่อนไหวของเธอและไม่ยินยอมให้เธอทำตามต้องการ มันเหมือนการพยศเล็กๆที่จอชชอบเป็นฝ่ายควบคุม และทุกครั้งโจก็จะยอมให้เขาควบคุมเธอเบ็ดเสร็จในท้ายที่สุด
แค่ครู่ริมฝีปากเย็นเฉียบก็กลายเป็นความร้อนที่มากพอจะทำให้โจละลายจนเข่าอ่อนระทวยเหมือนกับเทียนไข เป็นตอนนั้นเองที่จอชยอมปล่อยมือเธอเพื่อเอามาโอบเอวประคองเธอที่กำลังจะลงไปกองบนพื้นไม้แทน เขาหัวเราะร่วนจนโจที่รู้สึกเสียหน้าตัดสินใจฉุดเขาให้ลงไปกองบนพื้นด้วยกัน แต่จอชก็ดูจะมีปฏิกิริยาตอบรับไวว่องเมื่อเขาเอาแขนสอดเข้าไปรองศีรษะของคนข้างใต้ไม่ให้กระแทกกับพื้น หากก็ยังคงไม่หยุดหัวเราะ
“จะหยุดหัวเราะได้หรือยัง”
โจว่าอย่างชักจะอดรนไม่ไหว หาใช่เพราะรำคาญ แต่เพราะเธออายมากจนแน่ใจว่าความร้อนที่ผิวแก้มเป็นของจริง ทว่าจอชก็คือจอช เขามีวิธีทำให้เธอหวั่นไหวได้เสมอ
“หยุดฉันเองสิ”
ด้วยการท้าทายที่เธอกับเขามักจะผลัดกันทำและต่างก็ไม่มีใครยอมใคร ดังนั้นเมื่อโจยันตัวลุกขึ้น จอชก็เอามือมาประคองสองแก้มนั้นและปิดปากตัวเองด้วยจูบ โจสนองรับด้วยความร้อนเร่าที่รุมเร้าไม่ต่าง อารมณ์ที่พาเตลิดทำให้จอชรูดซิปเสื้อกันหนาวของเธอ แต่โจที่รู้ตัวก่อนรีบจับแขนเขาไว้ ยอมผละจากจูบที่แม้จะโหยหาเท่าไหร่ก็เติมเต็มไม่เคยพอเพื่อจะบอกว่า
“จอช ภูเขามีตานะ”
จอชทำหน้าทึ่งหากก็ด้วยความชื่นชมไม่น้อย เมื่อคนตรงหน้าพูดออกมาเป็นชื่อหนังโปรดเรื่องหนึ่งของเขา ‘เดอะ ฮิลส์ แฮฟ อายส์’ (เนินเขามีตา) คือหนังปี1977ของเวส เครเวนที่ก็เป็นหนึ่งในผู้กำกับคนโปรดของเขา ในหมู่ผลงานทั้งหมดของเครเวน โจชอบหนังเรื่อง ‘อะ ไนท์แมร์ ออน เอล์ม สตรีท 4: เดอะ ดรีม มาสเตอร์’ นิ้วเขมือบภาคที่เขาก็ชอบที่สุด สำหรับจอชเพราะมันเป็นหนังที่ดึงความโหดของเฟรดดี้ ครูเกอร์ออกมาได้ดีเยี่ยม ฉากการตายก็เปี่ยมจินตนาการเมื่อมองในมุมของแฟรนไชส์หนังสยองขายความโหด แต่โจชอบฉากกับบรรยากาศของหนังปี1988เรื่องนี้ และเธอก็ชอบเพลง ‘ดนท์ บี อะเฟรด ออฟ ยัวร์ ดรีมส์’ ของวงโก เวสต์ที่ประกอบในเรื่องและเอนด์เครดิตส์ จอชจะนึกถึงเธอทุกครั้งที่ได้ยินเพลงนี้ แต่กับหนังของพวกมนุษย์กลายพันธุ์ที่ปล้นฆ่ากินคนซึ่งเดินทางผ่านมาในถิ่นที่อยู่ของพวกมันนั้น โจทนดูไม่ได้อีกเลยหลังเคยดูรอบแรกรอบเดียวจากการชักชวนของเขา แต่มันก็ทำให้จอชรู้สึกดีทุกครั้งที่โจยังจำหนึ่งในนับล้านสิ่งที่เขาเคยแนะนำให้เธอได้
“เธอทำให้ฉันอยากกินเธอเลยนะ”
“อี๋” โจนิ่วหน้า “นายเป็นมนุษย์กินคนหรือไง”
“ถ้าจนตรอกจริงฉันอาจกินก็ได้ ในความหมายตรงตัวเลยนะ” จอชว่ากลั้วหัวเราะขณะช่วยฉุดร่างของโจให้ลุกยืนด้วยกัน “คนเราทำได้ทุกอย่างเพื่อจะเอาชีวิตรอดอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ” เขาหยิบกุญแจในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาไขประตูสถานีเคเบิลคาร์ จากนั้นก็จูงมือโจเข้าไปก่อนงับปิดมันตามหลัง
“แต่ถ้าเราต้องตกอยู่ในสถานการณ์อย่างนั้น ฉันก็พร้อมสละตัวฉันให้เธอกินนะ” แต่คนตรงหน้าก็พูดด้วยรอยยิ้มขำว่า “เงียบได้แล้วน่า” แล้วก็ปิดปากคนพูดมากด้วยจูบเพื่อสานต่อสิ่งที่ขาดช่วงไปอีกครั้ง และแม้จะอยู่ท่ามกลางความหนาวเหน็บบนภูเขาที่ตัดขาดจากโลกภายนอก แต่สิ่งที่จอชกับโจรู้สึกในยามนี้ก็มีเพียงความร้อนจากกันและกันเท่านั้น
-------------------------------------------
เน็ดหยุดฝีเท้าเมื่อเห็นภาพด้านหลังของเจซาเบลที่กำลังนั่งยองๆทำอะไรบางอย่างที่เขาไม่เห็น พื้นถนนปกคลุมไปด้วยหิมะหนา เธอจึงไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าหรือรับรู้ถึงการมาของใครอีกคน เน็ดก้าวเข้าไปใกล้มากขึ้นกระทั่งมองเห็นเสี้ยวหน้าที่กำลังยิ้มให้กระรอกซึ่งกำลังกินถั่วจากมือเธอ บนภูเขานี้ยังคงมีสัตว์ป่าตามธรรมชาติอาศัยอยู่ และบางครั้งพวกเขาก็จะได้พบกับสัตว์น้อยใหญ่เป็นมิตรอย่างเช่นกระรอกนี้ เจซาเบล โจ ลีนา และเคนเนธชอบเอาของกินไปให้พวกมัน ทั้งสี่คนนั้นเป็นมิตรกับสัตว์มากกว่าพวกเขาที่เหลือ และในตอนนั้นเองที่เน็ดหวนนึกถึงตอนที่เขากับเจซาเบลยังเป็นเพื่อนรักกัน เธอจะตื่นเต้นตอนที่กระรอกมากินถั่วจากมือ ตอนที่ได้ลูบจมูกกวางเอลก์ ตอนที่ได้โบกมือให้จิ้งจอกนอร์ธเวสเทิร์น และจากนั้นก็จะหันมากระโดดโลดเต้นบอกเขาเหมือนมันเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก แม้จะได้รับเพียงเสียงหัวเราะขำด้วยความเอ็นดูกับท่าทางเหมือนเด็กก็ตาม
แต่แล้วเน็ดที่เหม่อลอยไปชั่วขณะก็เผลอเหยียบกิ่งไม้จนเกิดเสียงขึ้น เจซาเบลรีบหันมองและหุบยิ้มหันหน้ากลับไปเมื่อเห็นว่าเป็นเน็ด แต่กระรอกตรงหน้าเธอก็วิ่งพรวดไปแล้ว และเน็ดก็ไม่ทันได้เรียกชื่อเธอที่ลุกขึ้นเมื่อเขาได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเสียก่อน
“หวัดดี ชาร์ลีน เนต” เน็ดหันไปทักทายคู่รัก แต่พอหันกลับไปอีกทีก็เห็นเจซาเบลลากขากะโผลกกะเผลกที่มีผ้าพันเข่าทั้งสองข้างจากไปแล้ว โดยไม่แม้แต่จะหันมองเขาอีก พร้อมกับที่ในตอนนั้นเองเน็ดก็มองเห็นผีเสื้อสีฟ้าตัวหนึ่งโผผินบินจากไหล่เธอขึ้นไปบนฟ้า
ไม่มีผีเสื้อสีฟ้าบนป้ายคำทำนายของชาวเนทีฟอเมริกันเผ่าครีที่เขากับโจได้อ่านก่อนขึ้นกระเช้ามา แต่หากชื่อเจซาเบลมีที่มาจากผีเสื้อ เช่นนั้นผีเสื้อตัวนี้ก็กำลังบินหนีไปจากเขาเช่นกัน การที่เจซาเบลจะไปให้พ้นจากสายตาของเขาไม่เคยเป็นสิ่งที่กวนใจเขามานานมากแล้ว ทว่าในตอนนี้เน็ดกลับรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างที่ตัวเองก็ให้คำตอบไม่ได้
แต่ภูเขาลูกนี้แม้จะกว้างใหญ่ไพศาล ทว่าผีเสื้อบาดเจ็บจะไปไหนไกลได้ อย่างไรมันก็ต้องซมซานกลับมา แม้จะหมายถึงการกลับมาหาคนที่เคยทำร้ายมันก็ตาม
เป็นดั่งวัฏจักรที่จะวกวนเวียนอยู่ในวังวน จนกว่าจะเกิดการพัดกระพือครั้งใหญ่ขึ้น...อีกครั้ง
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ปล. 2 ชื่อเรื่องนี้ดัดแปลงมาจากชื่อเพลงที่เอามาประกอบในตอนนี้แหละ ไม่เชิงว่าชอบชื่อนี้ที่สุดนะแต่ก็คิดว่ามันเหมาะกับเรื่องนี้ที่สุดแล้ว เปิดตัวฮ่ะ
- ตั้งใจจะแต่งเรื่องนี้ออกมาให้ได้เดือนละตอน (เราผลิตแต่ผลงานที่ได้คุณภาพ ไม่เน้นปริมาณหรือความรวดเร็ว ความดีงามระดับช่องเอชบีโอ จริง ดูออก) แล้วก็นึกว่าเพิ่งผ่านมาแค่เดือนเดียว จนได้รู้ว่าผ่านมาสามเดือนแล้ว! อ๊าก คุณยู กูขอโทษ เอากูไปตัดหัว o<-< มันเป็นฟิคที่เราแต่งให้แก! เพื่อแกเพื่อจอช! บทคนอื่นจะเป็นยังไงก็ช่าง แต่จอชกับโจจะต้องเด่นที่สุด มึงดูไว้เลย! เพราะมึงบอกว่าขอแค่พี่รามีในบทจอชสักเรื่อง แล้วจากนั้นกูจะเอาพี่รามีไปเล่นเรื่องไหนก็เอาแม้กระทั่งมิสเตอร์โรบอท ก็เลยได้ กูจะสู้จนตัวตาย 555
- ที่กลับมาแต่งได้เพราะเดือนนี้เป็นเดือนเกิดของปู่ Wes Craven (คารวะปู่เสมอมาและตลอดไปค่ะ) ผู้เป็นเจ้าพ่อหนังสยองให้เรามานานนม เลยคิดว่ายังไงก็ต้องมีสักตอนในเดือนนี้เพื่อเป็นการคารวะปู่สิวะ! (ที่จริงเริ่มแต่งตั้งแต่วันเกิดปู่แล้วล่ะนะ นานแต่มีคุณภาพเป็นแบบนี้เอง อิ อิ) ชื่อตอนก็เอามาจากหนังปู่ที่เป็นตำนานความแหวะให้เรามาแต่เด็ก (ถึงเราจะดูเวอร์ชันรีเมคก็เถอะ แต่ก็ฉิบหายพอกัน) เพราะเรื่องนี้ก็ยังยืนพื้นว่าขายความเกรดบีตามกิจการค่ายหนังของครอบครัววอชิงตัน! แล้วชื่องานหนังปู่เรื่องอื่นก็ไม่สอดคล้องกับฟิคนี้เท่า The Hills Have Eyes แล้ว แต่ไม่มีใครโชคดีที่ตายก่อนหรอก...เพราะไม่ตายก็ดีกว่าล่ะนะ T_T
- ทีนี้ก็เลยคิดว่าต้องมาอวยนิ้วเขมือบ 4 ด้วยสิเฟ้ย! (มาเพิ่มทีหลังตอนเกลาแน่ะ) ที่เคยบังเปิญเปิดเจอทางช่อง Cinemax แล้วโอ้โหชอบมากจนต้องไปหาซื้อแผ่นมาดู ในเมื่อตอนนี้เป็นการคารวะปู่ ยังไงก็ต้องมีนิ้วเขมือบที่รักที่สุดสิโว้ย! บอกกันตรงนี้ว่าความรู้เรื่องหนังของจอชก็มาจากกูเนี้ยแหละ เค้าจะรู้เยอะไม่เยอะก็เท่าที่กูรู้นั่นล่ะนะ 555
- ลังเลนานมากว่าจะเอาฤดูหนาวหรือฤดูที่ไม่มีหิมะ เพราะตอนเล่นเราก็พูดกันว่าไม่ชอบฤดูหนาวเลยว่ะ แต่สุดท้ายก็คิดว่าฤดูหนาวแหละน่า มันโยงไปหลายฉากได้ แต่ก็ยังคิดอยู่เลยว่าแล้วไอ้ความไลฟ์อิสสเตรนจ์กับอลันเวคที่เขียนไว้หน้าบทความจะเอามาใส่ยังไงฟะ!
- คำพยากรณ์เรื่องผีเสื้อแน่นอนว่าขโมยมาจากในเกมอันทิลดอว์น ขอบคุณคลิปพิวดี้พายเล่นเกมนี้ที่เราเปิดดูระหว่างแต่ง เกมนี้เรารักพิวด์เล่นที่สุดแล้ว T_T พิวด์ที่ดูออกตั้งแต่ต้นยันจบว่าจอชไม่น่าไว้ใจ 555
ความคิดเห็น