คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Happiness Is The Butterfly (I : Peeping Tom) | Peeping Tom (1960) / Carnival Of Souls (1962) / Shadow Of A Doubt (1943)
INSPIRED BY :
Peeping Tom (1960) | Dir. Michael Powell / Carnival Of Souls (1962) | Dir. Herk Harvey / Shadow Of A Doubt (1943) | Dir. Alfred Hitchcock
RE-RELEASE DATE : DECEMBER 25, 2020
---------------------------------------------------------------------------
- หนึ่งในเรื่อง(ที่คิดจะแต่งเป็นเรื่องยาว)ที่รักที่สุดและภูมิใจที่สุดที่เคยแต่งมา โอ๊ย ทำไมสมัยนั้นเราแต่งอะไรแบบนี้ออกมาได้นะ อย่างกับหนังแนวนี้ยุคเก่าจริง อิอิ อวยตัวเอง ช่วงนั้นเราติดดูหนังเก่ามาก แล้วก็จำได้ว่ากำลังดูเรื่องเดอะแฮนด์เมดส์เทลss3อยู่ด้วย และgod knowsว่าเรารักโทนซีรีส์เรื่องเดอะแฮนด์เมดส์เทลมากกกก เลยจับมาผสมรวดกับแรงบันดาลใจจากหนังที่เราก็รักมากทั้งสามเรื่องที่ได้กล่าวไป จนออกมาเป็นฟิคที่เรารักบรรยากาศและโทนเรื่องมากที่สุดเรื่องหนึ่งนี้ได้ T_T
- ยังไงสักวันก็จะกลับมาแต่งแนวนี้อีก รักไมเคิล พิตต์มากจริง อยากแต่งอะไรไม่ปกติให้เค้าอีกจริง เรื่องสั้นก็ยังดีน่า...นะ T-T ชื่อพระเอกเราเอามาจากคุณออร์สัน เวลส์ที่เป็นตำนานหนังคลาสสิคฮอลลีวูดนะคุณเอ๊ย อุทิศแด่หนังเก่าจริงยังไงล่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า
เธอใช้ชีวิตตอนกลางวันอย่างปกติสุข และตอนกลางคืนเธอก็นอนหลับอย่างสบายใจ
มีความฝันโง่เง่าที่แสนสงบ และฉันก็นำฝันร้ายมาให้”
ชาร์ลีย์ โอกลีย์ – “ชาโดว์ ออฟ อะ เดาบท์”
MAIN THEME : Milk And Honey – Jackson C. Frank
เรื่องมันเริ่มจาก
ได้แปล Boardwalk Empire แล้วก็พบว่าไมเคิล พิตต์หล่อจังวะ – นึกถึงเรื่อง Funny Games (2007) ที่เค้าแสดงก็เลยเอากลับมาดู - ดูจบก็ไปหาอ่านรีวิวเรื่องฟันนีเกมส์เรื่อยเปื่อย แล้วก็เลยได้รู้ประวัติของผกก.ไมเคิล ฮาเนเคอว่าเรียนด้านหนัง, จิตวิทยา, ปรัชญามา เค้าก็เลยทำหนังที่ดูแล้วประสาทแดกได้ - ทีนี้ก็คิดว่าอยากแต่งพระเอกที่มีความเป็นผกก.ฮาเนเคอ (คือยังไงนะ) บวกกับพอนึกหน้าไมเคิลจากบทโรคจิตในฟันนีเกมส์ก็เลยคิดว่าเข้าท่าว่ะ เอาวะ สักตั้ง - จากนั้นทุกอย่างก็งอกออกมาจนคิดว่าขอลองแต่งดูหน่อยแล้วกัน
เรื่องนี้จัดเป็น Experimental Fiction นิยายแนวทดลองสำหรับเรา ก็คือทดลองว่าตัวเองจะมีปัญญาแต่งมั้ยด้วย
ขอบคุณชื่อเรื่องจากเพลง Happiness Is A Butterfly ของ Lana Del Rey ที่เราเอามาดัดแปลงด้วยจ้า
แคสต์แนวหนังอินดี้ทุนต่ำจ้ะแม่...
.
ดร. โรเซน: สคอปโตฟีเลีย มันคือแรงกระตุ้นอย่างรุนแรงที่จะจ้องมอง
— พีปปิง ทอม (1960)
กริ่งนาฬิกาปลุกชายที่กำลังนอนอยู่ให้ยกมือขึ้นตบปุ่มเพื่อหยุดเสียงกรีดแหลมนั้นสักที เมื่อชะโงกศีรษะและเปิดตาที่ปรือขึ้นมองก็เห็นเข็มสั้นยาวพร้อมใจกันหยุดที่เลขแปด เขามีนัดคุยกับ ‘ว่าที่’ ผู้เช่าบ้านคนใหม่ตอนสิบเอ็ดโมง ยังมีเวลาถมเถ ต่อให้นับรวมตอนลุกจากเตียง ทำธุระในห้องน้ำ แต่งตัว หรือรับประทานมื้อเช้ารวบเที่ยง
และมันจริง เมื่อเขาทำทั้งหมดนั้นได้เรียบร้อยโดยไม่ต้องเร่งรีบ ทั้งยังเหลือเวลามากพอจะนั่งอ่านหนังสือที่ห้องรับแขกชั้นล่างเหมือนที่ทำเป็นกิจวัตรได้ บทเพลง ‘เอนทรี ออฟ เดอะ กอดส์ อินทู วัลฮัลลา’ ของวากเนอร์ ฉบับที่จอร์จ เซลล์เป็นคอนดักเตอร์ให้คณะเดอะ คลีฟแลนด์ ออร์เคสตรา บรรเลงเป็นดนตรีประกอบจากแผ่นเสียงแอลพียามเขานึกออกว่าห้องเงียบเกินไป กาแฟไม่ร้อนกรุ่นแล้วแต่ยังคงอุ่นอยู่เมื่อกริ่งประตูแผดดังขึ้น เขาหยิบที่คั่นหนังสือบนโต๊ะกลมข้างเก้าอี้มาคั่นหน้ากระดาษและวางมันบนโต๊ะ ก่อนลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูที่อยู่ห่างไปไม่กี่ก้าว
บ้านอิฐสองชั้นกลางเก่ากลางใหม่ในย่านเงียบสงบนี้เป็นมรดกตกทอดจากป้าของเขาที่เสียไปหลายปีแล้ว มันค่อนข้างกว้างขวางและมีพื้นที่เหลือเฟือ เขาถึงไม่ขัดข้องเมื่อมัลคอล์ม—เพื่อนที่รู้จักตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย—มาขอเช่าบ้านเขาอยู่เมื่อหนึ่งปีก่อน ก่อนย้ายออกไปอยู่กับแฟนเมื่อไม่นานมานี้ พอคิดว่าจะได้ครองบ้านที่มีแค่ตนเองอีกครั้ง มัลคอล์มก็บอกว่าจะเป็นไรมั้ย แต่มีคนที่เขารู้จักกำลังมองหาที่พักในราคาสมเหตุสมผล
‘เธอเป็นคนดีมาก ไม่สร้างปัญหาให้นายเหมือนฉันแน่นอน เอาหัวเป็นประกันเลย’
เขาจึงบอกว่างั้นขอให้เธอมาลองคุยดูก่อน มัลคอล์มจัดแจงเป็นธุระให้ทั้งสองฝั่งด้วยความยินดี ถ้าเพื่อนของเขาแนะนำอย่างนั้น เขาก็เชื่อว่าเธอจะเป็นคนที่ไว้ใจได้ แต่เขาไม่ได้มองหาความไว้วางใจ สิ่งที่เขามองหาคือบางอย่าง...บางอย่างที่ทำให้เขาเชื่อมั่นได้ว่าเธอจะเป็นผู้เช่าที่เหมาะกับบ้านของเขา—กับเขา
“สวัสดีค่ะ คุณออร์สัน วอร์ริค”
เธอทักทายด้วยรอยยิ้มทันทีที่เขาปรากฏตัวหลังประตูบานไม้ที่ถูกเปิดออก ยื่นบางอย่างในมือส่งให้เขาที่เลื่อนตามองด้วยความประหลาดใจ
“ฉันไม่รู้คุณชอบอะไร แต่ฉันว่าทุกคนน่าจะชอบดื่มชานะคะ”
ออร์สันมองดูกล่องสี่เหลี่ยมสีดำคาดแดงของชาอิงลิชเบรคฟัสท์ยี่ห้อหนึ่ง แล้วกลับไปเป็นหญิงสาวคนถือ รอยยิ้มของเธอเริ่มเจื่อนจางเมื่อเห็นว่าเขาได้แต่จ้องหน้านิ่ง บางทีชาดำอาจเป็นความคิดที่แย่ หรือสิ่งที่แย่อาจเป็นการเอาของมาให้ในการเจอกันครั้งแรก เพราะดูเป็นการตีสนิทมากเกินไป ทั้งที่เขายังไม่ได้ตอบตกลงจะให้เธอเช่าอยู่ด้วยซ้ำไป แต่ในช่วงเวลาที่หญิงสาวรู้สึกอึดอัดจะแย่แล้วนั้น เขาก็ยิ้มออกมา รับกล่องชาไปจากเธอ
“ขอบคุณครับ เข้ามาก่อนสิ” ขณะเข้ามาในบ้านก็พูดต่อว่า “นั่งรอตรงไหนก็ได้นะครับ ดื่มชามั้ย ผมจะชงให้”
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณมาก” เธอตอบ นั่งลงบนโซฟาบุกำมะหยี่สีน้ำเงินตัวยาวกลางห้อง “ฉันดื่มก่อนมาแล้วค่ะ”
ตอนที่เขาหายลับเข้าไปในห้องอื่นพร้อมกล่องชา หญิงสาวก็กวาดสายตาไปตามห้องกว้างที่เดาได้ว่าคงเป็นห้องรับแขก ดูเรียบง่าย แทบไม่มีการตกแต่งที่ไม่จำเป็น ไม่แค่เหมือนตกทอดมาจากอดีต แต่ราวกับไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเก่าก่อนเลย ยินเสียงเพลงคลาสสิคเล่นคลอเสมือนดนตรีประกอบก็ดั่งช่วยย้ำความคิด บทเพลงฟังคุ้นหูอย่างน่าประหลาด แต่นึกไม่ออกว่าเคยฟังจากไหน กระทั่งไม่แน่ใจว่าความคุ้นเคยนั้นตนอาจแค่คิดไปเอง กลิ่นหอมอ่อนจางของกาแฟโชยมาเตะจมูก ดูท่าเขาจะเป็นคอกาแฟมากกว่าชา อาจดื่มกาแฟทุกเช้า เห็นทีว่าครั้งหน้า—หมายถึงถ้าเขาให้เธอมาอาศัยอยู่ด้วย—เธอจะซื้อกาแฟมาฝากเขา สิ่งที่สะดุดตาเธอต่อมาคือหนังสือเล่มหนาที่เก่าจนกระดาษเหลืองข้างถ้วยกาแฟกระเบื้อง
‘เดอะ แฮนด์เมดส์ เทล’ เธอยิ้ม—น่าสนใจ หนังสือที่อ่านสามารถบอกตัวตนเราได้หลายอย่าง โดยเฉพาะหนังสืออย่างเรื่องเล่าของสาวรับใช้นี้ ย่อมไม่ใช่อะไรที่จะมองข้ามได้ มันบอกเล่าเรื่องราวในอนาคตอันใกล้ที่ผู้หญิงไม่มีสิทธิ์มีเสียงอันใดแม้แต่กับร่างกายของตัวเอง เธอไม่รู้ว่าชายคนนี้อยู่ฝั่งไหน เขาเห็นดีเห็นงามกับโลกที่ชายเป็นใหญ่ หรือเห็นอกเห็นใจผู้หญิงอย่างพวกเธอ แต่มันน่าสนใจที่ในอนาคตอันใกล้ เธออาจได้คำตอบนี้จากเขา
ไม่ทันได้คิดอะไรมากกว่านั้น เมื่อชายที่เธอนึกถึงเดินกลับมาพร้อมน้ำเปล่าแก้วหนึ่ง เธอรับมาขณะพึมพำคำขอบคุณ ก่อนเขาจะหยิบเก้าอี้มานั่งตรงหน้าเธอ ขายาวในกางเกงสแล็กสีดำยกขึ้นไขว่ห้าง สองมือวางประสานบนเข่า เธอกับเขาต่างมองหน้ากันนิ่งคล้ายกำลังประเมินอีกฝ่าย อาจแค่ผิวเผินภายนอกหรือลึกถึงภายในก็ไม่รู้ได้ ก่อนเธอจะรู้ตัวเหมือนหลุดออกจากภวังค์เมื่อคนตรงหน้ากะพริบตา เมื่อนั้นจึงนึกออกทันใดว่าควรต้องพูดอะไร
“เอ่อ ฉันชื่อชาร์ลีย์...”
“ชาโดว์ ออฟ อะ เดาบท์” ออร์สันหลุดปากออกมาอย่างนั้นก่อนเขาจะทันรู้ตัวเสียด้วยซ้ำ
“แต่ฉันไม่ได้มีอาชื่อชาร์ลีย์นะคะ” ทว่าเธอไม่ชะงัก ทั้งยังย้อนกลับทันควันกลั้วเสียงหัวเราะขำ “แล้วฉันก็ไม่ได้มีเทเลพาธีถึงอาของฉันด้วย”
คำพูดของเธอสะกิดใจออร์สันได้ชะงัด ด้วยไม่เคยเจอใครตอบโต้ความคิดชั่ววูบของเขาโดยไม่ฉงนงนงายอย่างนี้มาก่อน ‘ชาโดว์ ออฟ อะ เดาบท์’ เป็นชื่อหนังโปรดเรื่องหนึ่งของเขา เด็กสาวตัวเอกในเรื่องมีชื่อว่าชาร์ลีย์ เรื่องราวเริ่มต้นเมื่ออาของเธอที่มีชื่อเดียวกันว่าชาร์ลีย์กลับมาเยือน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นไม่ใช่เรื่องที่ดี
มีแค่ครั้งเดียวในเรื่องที่เด็กสาวชาร์ลีย์พูดถึงเทเลพาธี—การสื่อสารทางโทรจิต หากเพราะอย่างนั้น...ออร์สันจึงแน่ใจได้ว่าการพบกับชาร์ลีย์คนนี้จะเป็นเรื่องที่ดี
“มัลคอล์มบอกว่าคุณอยากเป็นนักแสดง”
ออร์สันเห็นใบหน้าที่มีกระกระจายเกลื่อนเริ่มแดง เธอกัดริมฝีปากคล้ายขัดเขินก่อนพยักหน้า
“ค่ะ ฉันก็เลยตั้งใจทำงานเก็บเงิน เผื่อวันหนึ่งจะได้ย้ายไปอยู่เมืองอื่น” เธอเอ่ยชื่อเมืองแห่งอุตสาหกรรมบันเทิง “ตอนนี้ฉันทำงานที่ร้านอาหารค่ะ ฮาวานา ตรงหัวมุม”
“ร้านอาหารคิวบา ผมรู้จักครับ” เธอยิ้มรับเมื่อเขายิ้มให้
อาจเพราะอย่างนั้น ออร์สันพลันนึกขึ้นมาได้ เธอถึงโต้ตอบเขาเรื่องหนังอย่างนั้นได้ การศึกษาการแสดงจากดารานับเป็นวิธีเรียนรู้ที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งของคนที่มีความฝันเฉกเช่นเดียวกัน แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใด ออร์สันก็ยอมรับกับตนเองว่าการโต้ตอบของเธอทำให้เขาประทับใจ ต้องบอกด้วยว่าอย่างมาก
“ไม่รู้มัลคอล์มบอกคุณหรือยังนะคะ” เด็กสาวชาร์ลีย์กลับมาหน้าเคร่งอีกครั้ง “แต่ฉันมักจะทำงานไม่ค่อยเป็นเวลา หมายถึง...ฉันทำกะเช้า แต่บางทีฉันก็มักจะควบกะด้วย แบบว่า...ได้เงินเพิ่มน่ะค่ะ แล้วมันก็อาจทำให้คุณ...” เธอเงียบ เบือนหน้าไปทางอื่นราวกับกำลังนึกหาคำที่เหมาะควรมาเสริมต่อ และไม่ช้าเธอก็พบ “รำคาญ”
“เรื่องนั้นไม่เป็นปัญหาหรอกครับ ผมเป็นพวกหลับลึก”
เปล่าเลย เรื่องนั้นโกหกทั้งเพ ออร์สันไม่เคยใช่คนหลับลึก เขาระแวดระวังตัวอยู่เสมอ มันเป็นสัญชาตญาณที่ติดตัวเขามานานมากแล้ว เขาคุ้นชินกับชีวิตแบบนี้ ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องที่เธอกังวลจะไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาแม้แต่นิดเดียว
“เอ่อ แล้วคุณวอร์ริคเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยใช่มั้ยคะ”
“ครับ”
“ถามได้มั้ยคะว่าสอนอะไร”
“จิตวิทยาครับ”
“คุณต้องเก่งมากแน่” เธอยิ้มกว้างด้วยความชื่นชม พลางพูดถึงเรื่องราวของเขาที่ได้ฟังมาจากมัลคอล์มด้วยท่าทีที่เริ่มเป็นกันเองมากขึ้น ทั้งเรื่องที่เขาได้ปริญญาห้าใบก่อนอายุสามสิบส่วนเธอเรียนจบแค่ไฮสกูล เรื่องบ้านหลังใหญ่ของเขาที่เธอว่ามันสวยกว่าที่คิดในหัวมาก หรือเรื่องที่เขาดูอ่อนกว่าวัยสามสิบเจ็ดจนทำให้เธอแอบทึ่งเมื่อแรกพบ แต่เขาดูมีมาดอาจารย์มหาวิทยาลัย เรื่องนั้นเธอก็สารภาพตามตรง
ออร์สันให้เธอพูด ส่วนตนเองตอบรับในจังหวะที่เหมาะสม ขณะเดียวกันก็ถือโอกาสพิจารณาใบหน้าของเธอไปด้วย เธอแต่งหน้า แต่ไม่ได้กลบกระ มันยังดูเป็นธรรมชาติ ริมฝีปากเป็นสีชมพูจากลิปสีอ่อน ฟันคู่หน้ายื่นนิดหน่อย ดวงตาของเธอเป็นสีเขียวเหมือนเขา แต่อ่อนกว่า ฉายแววขี้เล่นแต่ก็มุ่งมั่น เธอมีหน้าตาน่าชม บุคลิกน่ารัก แต่หากจะเป็นดาว เสน่ห์ของเธอบนแผ่นฟิล์มจะต้องเฉิดฉายมากกว่านี้ ทว่าทันใด ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวของเขา
คุ้น—เหตุใดเขาจึงรู้สึกคุ้นเคยกับใบหน้าของหญิงสาวอย่างน่าประหลาดทั้งที่เพิ่งเคยพบ หากก็เรียกความคิดที่คลุมเครือให้ชัดเจนขึ้นไม่ได้เลย ก่อนความคิดนั้นจะวับหายไปเมื่อใบหน้าที่หันไปทางอื่นครู่หนึ่งกลับมาเป็นเขาอีกครั้ง
“อันนั้นอะไรเหรอคะ” เขาหันมองตามเธอที่พยักเพยิดไปทางมุมหนึ่งของห้อง “เหมือนเปียโน แต่ฉันว่าฉันรู้จักหน้าตาเปียโนนะคะ”
“ออร์แกนครับ”
“ที่เค้าเล่นกันในโบสถ์ใช่มั้ยคะ”
เขาพยักหน้า
“คุณเป็น...เอ่อ คนคริสต์เหรอคะ”
เขาหัวเราะกับคำถามที่ไม่เคยคาดคิดว่าจะได้รับกับแค่การเห็นออร์แกน หากก็ตอบด้วยรอยยิ้มกึ่งขบขันกึ่งชอบใจว่า “เปล่าครับ ผมเคยไปเล่นออร์แกนให้โบสถ์ก็จริง แต่ความสัมพันธ์กับโบสถ์นอกเหนือจากนั้น...” เขาจบประโยคแค่นั้น แล้วย้อนถามกลับไปยังคนที่พยักหน้ารับว่า “แล้วคุณ?”
“ไม่ค่ะ” เธอส่ายหน้าให้กับคำตอบเดียวกัน “แต่ฉันชอบเพลงกอสเปลนะคะ พวกเพลงออร์แกนก็ชอบ ถ้าคุณเล่น ฉันก็อยากฟังนะคะ”
“แน่นอนครับ ถ้าผมเล่น ผมจะเรียกคุณมาฟัง จะขึ้นไปเยี่ยมชมบ้านก่อนเข้าอยู่กันเลยมั้ยครับ”
“อ้อ จริงสิคะ ฉันเห็นคุณอ่านเรื่องเดอะ แฮนด์เมดส์ เทล”
ชาร์ลีย์หยุดฝีเท้าขณะกำลังจะเดินออกจากที่พัก ‘ใหม่’ หลังจากการเดินชมบ้านผ่านพ้นไป เย็นนี้เธอจะไปเข้างานแทนเพื่อน จะได้ขอแลกกะเพื่อขนของย้ายเข้ามาในวันพรุ่งนี้ กฎระเบียบไม่จุกจิกที่เธอยินดีปฏิบัติตาม บ้านหลังงามกับเจ้าของบ้านที่เธอนึกถูกชะตา ชาร์ลีย์แน่ใจว่ามันจะเป็นไปด้วยดี
“ถามได้มั้ยคะว่าคุณคิดยังไงกับกิเลียด”
และคำถามนั้นก็ยิ่งทำให้ออร์สันแน่ใจว่าเธอจะเป็นเพื่อนร่วมบ้านคนใหม่ที่น่าสนใจอย่างมาก เธอไม่ได้ถามเขาว่าคิดยังไงกับเนื้อเรื่อง แต่ถามว่าคิดยังไงกับกิเลียด—ชื่อประเทศใหม่ของอเมริกาหลังถูกปฏิวัติจนเป็นดินแดนดิสโทเปีย ผู้หญิงที่ยังสืบพันธุ์ได้จะถูกนำไปเป็นสาวใช้ ไม่มีหญิงใดมีสิทธิ์มีเสียงในกิเลียดที่ชายปกครอง เขาอ่านหนังสือเรื่องนี้มานับครั้งไม่ถ้วน ดูฉบับละครทีวีซ้ำไปมาหลายครั้ง
แน่นอนว่าเขามีความคิดถึงกิเลียดในหัว...เขามีคำตอบในคำถามนั้นให้เธอ
แต่ออร์สันในยามนี้ให้คำตอบแค่เพียงว่า “เรายังมีเวลาคุยเรื่องนี้กันอีกมากครับ ตอนที่คุณไม่ต้องรีบไปทำงานต่อ”
เธอหัวเราะ ยอมรับคำตอบนั้นโดยดุษฎี หากเมื่อกำลังจะออกไป คนที่เหมือนเพิ่งนึกอะไรออกก็หันมาบอกเขาว่า
“ยังไม่ได้แนะนำชื่อเต็มเลย ฉันชาร์ลีย์ ฮิลล์นะคะ”
และในระหว่างบอกลากัน เธอก็ใช้มือรวบผมไปไว้ด้านหลังจนผมยาวระอกสีน้ำตาลเข้มกลายเป็นสั้นประบ่า
ออร์สันนึกออกในวินาทีนั้นเอง
เขาวิ่งขึ้นห้องแทบจะทันทีที่ประตูหน้าบ้านปิดลง คุ้ยหาบางอย่างบนชั้นวางม้วนฟิล์มในห้องมืดที่ซ่อนอยู่หลังม่านดำด้านในสุดของห้องนอน เขาปรับปรุงมันเป็นห้องมืดเก็บเสียงเพื่อดูหนังและทำหนังส่วนตัว เขารักภาพยนตร์ มันเป็นชีวิตของเขา เป็นโลกอีกใบของเขา และห้องนี้ก็มีความหมายอย่างนั้นสำหรับเขา การดูหนังกับการทำหนังคืองานอดิเรกของเขา แม้อย่างหลังนี้จะเป็นแค่งานอดิเรกนานทีปีหนไปแล้วก็ตาม เขาไม่เคยมีผลงานสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอัน เพราะไม่มีเรื่องใดที่รู้สึกรักมากพอจนอยากทำให้จบ ทุกชิ้นจบลงด้วยการถูกทิ้งเป็นฟุตเทจครึ่งๆกลางๆ หรือบทหนังที่ค้างเติ่งอยู่ในแป้นพิมพ์ดีด
แต่สิ่งที่ต้องสนใจในตอนนี้ไม่ใช่หนังของเขา ออร์สันมีฟิล์มหนัง 16 มม.เรื่องหนึ่งของชายชาวฝรั่งเศสคนหนึ่ง มันจบแค่ในโรงหนังเล็กๆเพราะหานายทุนจัดจำหน่ายไม่ได้ ไม่นานจากนั้น ชายผู้ฝันจะเป็นนักทำหนังก็หายไป อาจถอดใจจนกลับบ้านเกิดเมืองนอนไปแล้ว ม้วนฟิล์มถูกทิ้งไว้กับเจ้าของโรงหนังที่ออร์สันเป็นลูกค้าประจำ ริดลีย์ยินดียกมันให้แทนที่จะนำไปทิ้งอย่างเสียเปล่า เขาเปิดหนังเรื่องนั้นดูคนเดียวหลายครั้งในห้องที่มืดและเงียบจนรู้สึกราวกับต้องสำรวมนี้ หาใช่เพราะมันเป็นผลงานที่เยี่ยมยอด มันไม่ได้แย่แต่ก็ไม่ได้ดีแม้จะมองในมุมหนังทุนต่ำ ทว่าเหตุผลที่ออร์สันชอบดูมันเพราะบางอย่างในนั้น
‘เลอ เดบิวต์ ดู มองด์’ (จุดเริ่มต้นของโลก) เป็นหนังรักดรามาที่มีฉากหลังเป็นยุคสงคราม เมื่อหนังฉายไปได้ราวสามนาที เขาก็เห็นบางอย่างนั้น หญิงสาวที่คล้องแขนเดินควงกับชายคนหนึ่ง เป็นฉากประกอบให้กับพระนางที่ได้กลับมาเจอกันอีกครั้งยังสถานีรถไฟ ผมประบ่าสีน้ำตาลของเธอเป็นเกลียวตรงปลายตามแบบสตรีทั่วไปในยุคนั้น ใบหน้าที่ยิ้มกว้างดูโตและสวยมากจากใบหน้าขาวเนียนไร้กระ แก้มสีชมพูเรื่อ แพขนตางอนยาว และลิปสติกสีแดงสด
หัวใจของออร์สันเต้นแรงกว่าครั้งใดที่เคยดูเรื่องนี้ เมื่อเขาได้รู้จักหญิงในจอผู้เป็นดั่งหญิงในฝันของเขามาตลอดสามปีในที่สุด
ผู้ที่—ในความหมายหนึ่ง—เป็นจุดเริ่มต้นของโลกเขา
‘ชาร์ลีย์ ฮิลล์’
ห้องนอนอีกห้องอยู่ตรงข้ามกับห้องนอนใหญ่ของเขา คั่นกลางด้วยโถงทางเดินไม้กับบันไดที่นำขึ้นมาสู่ชั้นสองนี้ พื้นที่ที่เคยยุ่งเหยิงรุงรัง เต็มไปด้วยเอกสาร ภาพถ่าย และอะไรต่อมิอะไรของมัลคอล์มที่เป็นนักหนังสือพิมพ์ บัดนี้ดูโล่งไปถนัดตาแม้เฟอร์นิเจอร์จะยังอยู่ครบครัน แต่พื้นที่ว่างจะถูกเติมเต็มอีกครั้งได้เองเมื่อหญิงสาวคนใหม่ย้ายเข้ามา
ออร์สันนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้หน้าจอแล็ปท็อปที่ปรากฎภาพสองจอบนนั้น จอหนึ่งคือพื้นที่สี่เหลี่ยมที่จะพบได้ทันทีเมื่อเปิดประตูห้องนอนเข้าไป และอีกจอหนึ่งคือภาพเตียงในห้องด้านในที่ถูกกั้นแบ่งไว้ เขามีกล้องวงจรปิดที่ไม่เคยแกะกล่องวางทิ้งอยู่ในห้องมานานแล้ว มันจะได้ทำหน้าที่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เขานำไปติด—ซ่อน—ในห้องนอนของชาร์ลีย์
เขายังคงไม่ไหวติงเหมือนเป็นรูปปั้น ดวงตาสีเขียวสะท้อนภาพจากหน้าจอที่ก็ไม่มีสิ่งใดเคลื่อนไหว
แค่รอ...รอให้วันพรุ่งนี้มาถึง
โลกของเขาก็จะเริ่มต้นเคลื่อนไหว...อีกครั้ง
- ค่อนข้างobsessedกับการให้ตัวละครอาศัยอยู่ร่วมที่พักเดียวกัน ทีนี้ตอนคิดพล็อตก็ไงไม่รู้ไปนึกถึงหนังเรื่อง Peeping Tom (1960) ที่เพิ่งดูไปเมื่อเดือนก่อน อะไรหลายอย่างในตอนนี้ (เอาไปเอามาก็คือพล็อตหลักของเรื่องนี้เลยแหละ) ก็เลยได้รับอิทธิพลหนักมากจากเรื่องพีปปิงทอม แม้ต้องขอสารภาพว่าไม่ใช่หนังที่ชอบมากมายก็ตาม
- คิดพล็อตให้ตัวละครเล่น(Pipe)ออร์แกนเพราะเล่นเกม The Sims 4 แล้วชอบเสียงมันมาก แต่ตอนแต่งเราก็ดูเรื่อง Carnival of Souls (1960) พอดี แล้วก็อึ้งมากที่นางเอกเป็นนักออร์แกน และมีความคิดเรื่องศาสนาเหมือนออร์สันเปี๊ยบ แต่สาบานว่าเราคิดเรื่องพวกนี้ไว้ในหัวก่อนแล้ว ปกติเราก็ไม่ค่อยเคลมไอเดียที่ได้มาจากเรื่องอื่นว่าเป็นของตัวเองอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเรื่องนี้เป็นความบังเอิญจริง :p (แต่จากนี้เราแต่งเรื่องไหนก็ต้องมีตัวละครเล่นออร์แกนหมดแน่ พบแล้วว่ารักเสียงเครื่องดนตรีนี้ที่สุด T_T) และมั่นใจว่าเรื่องนี้ก็ต้องมีไอเดียที่ได้มาจากคาร์นิวัลออฟโซลส์ด้วยเช่นกันฮ่ะ :3
- ขอบคุณหนังเรื่อง Alien: Covenant ที่ทำให้เรารู้จักเพลง Entry of the Gods into Valhalla จนกลายเป็นเพลงคลาสสิคที่รักมากเพลงหนึ่งไปแล้วจ้า
- เราเองก็ไม่รู้ทิศทางของเรื่องนี้ว่าจะไปทางไหน เพราะอย่างที่บอกว่ามันเป็นแนวทดลองสำหรับเรา อาจดูเหมือนฟิคธรรมดาทั่วไปสำหรับคนอื่น แต่สำหรับเรามันเป็นการพัฒนาแนวทางตัวเองครั้งใหญ่มาก เป็นงานที่สนุกมาก และเรารักผลลัพธ์ที่ออกมามาก เหมือนจะแต่งง่ายแต่ก็ยากนะ 555 การลอกเลียนไอเดียหรือกระทั่งเอาความชอบของคนอื่นไป ย่อมง่ายกว่าการเค้นความคิด ทำให้ไอเดียตกผลึก หรือหาข้อมูลเองอยู่แล้ว จริงมั้ยจ๊ะ
ความคิดเห็น