คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : MOONLIGHT DRIVE (PART 2) | Lost In Translation (2013)
INSPIRED BY : Lost In Translation (2013) | Dir. Sofia Coppola
RE-RELEASE DATE : NOVEMBER 15, 2021
--------------------------------------------------------------------------------------
- เผอิญหารูปเรื่องโซโหอยู่ แล้วก็ไปเจอโปสที่เป็นภาพวาดบิลบอร์ด แล้วก็เศร้าเพราะเคยมีนักวาดที่วาดภาพบิลบอร์ดไทม์สแควร์ให้ได้ ตอนนั้นไปจ้างวาดเพราะแต่งฟิคที่ฉากเป็นนิวยอร์กพอดี แล้วก็คิดว่าเห้อ เอาพื้นหลังเปล่ามาลงเรื่องนี้ดีกว่า เพราะยังเศร้าอยู่ U_U อวสานแล้ว ความฝันจะได้มีภาพนางเอกในคาเฟ่ที่ทิฟฟานีส์ เพราะคุณประดิษฐ์นักวาดที่เราอยากได้ภาพมาประกอบเปลี่ยนแนววาดภาพแล้ว Orz แต่สุบสิบ เรื่องนี้มีการพูดถึงหนังเรื่องนงเยาว์นิวยอร์คที่เรารักมาก เรื่องโซโหก็มีแปะโปสหนังเรื่องนี้ในห้องของเอโลอิสด้วย เพราะจะนิวยอร์กหรือลอนดอนก็มีโซโหยังไงล่ะ ฮ่าฮ่า
- เลยจำได้ว่ายังไม่ได้เอาตอนจบเรื่องนี้กลับมาลง เก็บไว้ก็ไม่มีรูปประกอบอยู่ดีล่ะนะ 555 มันน้ำเน่ามากแต่ดีมาก เป็นเรื่องที่เรารักและภูมิใจที่สุดเรื่องหนึ่งที่เคยแต่งมา
- คิดถึงการแต่งฟิคฝรั่งเหมือนกัน แต่พอมาย้อนคิด 2-3 ปีนี้ก็ได้ลองแต่งมาเกือบร้อยเรื่อง สั้นบ้าง ยาวบ้าง จบบ้าง ไม่จบบ้าง แต่ก็น่าจะได้ลองมาทุกแนวที่อยากแต่งให้ฟิคฝรั่งแล้ว การที่ช่วงหนึ่งเคยบ้าเบนิซิโอเพราะเรื่อง Sicario แล้วก็สามารถแต่งฟิคที่รักมากเรื่องหนึ่งนี้ให้เค้าได้ก็ประทับใจตัวเองมากแล้วล่ะนะ พี่คะหนูรักพี่ T v T ตอนนี้ก็ยังเสียดายเวลาดูหนังแล้วอยากแต่งให้คนนั้นคนนี้ (เสียดายสุดคือพอล เดโน ที่กำลังจะมาในเดอะแบทแมน ยังไม่เคยเอามาเป็นพระเอกเล้ย 555) แต่ก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยที่ผ่านมาก็เป็นความทรงจำที่ดี ได้แต่งให้หลายคนที่รักที่ประทับใจมาเกือบหมดแล้ว หุหุ เคลมหลายคนได้มั้ยนะว่าเราแต่งให้เค้าคนแรกของไทย 555 ขำ ก็งี้แหละน้า วัลลาบีอยากเด่นอยากดังด้วยการไหลไปตามกระแสสังคม ไหนจะพยายามทำเหมือนตัวเองชอบคนแรก ชอบนานแล้ว โอ๊ย พยามเกินมันปลอม หลักฐานอะไรก็ไม่มี แถมรู้ไม่จริงสักอย่าง 555 จะเอาอะไรมาเป็น the first นอกจากต้องตามหลัง (ก๊อปการใช้คำ ก๊อปพล็อต ก๊อปความชอบ) คนอื่นเค้าไปจนตาย หุหุ
- สมัยนั้นรักการแต่งฟิคฝรั่งรักโรแมนติกในเมืองใหญ่มาก สมัยนี้ทำยังไงก็แต่งไม่ได้แล้ว พยายามแต่งมาหลายเรื่องแล้ว 555 (โอ๊ย ว่าไป๊ สมัยนั้นหารูปอันยาผมทองอย่างยาก สมัยนี้จะหารูปอันยาผมน้ำตาลสิยาก -_-) อ่านทอล์กข้างล่างอย่างขำ แต่งเรื่องเดียวแค่ 9k คำ แต่ยัดหนังที่เป็นแรงบันดาลใจมาได้หกเรื่อง ไหนจะหนังประปรายในฟิคอีก ว้าว ประทับใจ 555
- The Doors อัลบั้ม Strange Days เป็นอัลบั้มโปรดของเบนิซิโอจริง เราออกโรง Sicario 2 มาแล้วก็บ้าเค้ามากจนไปหาอ่านไล่อ่านบทสัมภาษณ์เค้าเหมือนผีบ้า U_U
Finally forever has come! This is the most romantic thing that I’ve ever wrote so far. Benny(cio) please be my bae lol.
Biggest thanks to Sofia Coppola’s film and screenplay ‘LOST IN TRANSLATION’ for the biggest inspiration.
“We can fall in love in one day. Anything can happen in just one day”
“เราตกหลุมรักกันได้ในวันเดียว ทุกสิ่งเกิดขึ้นได้ในหนึ่งวัน”
– จากภาพยนตร์เรื่อง ‘IF I STAY’ ––
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
– THURSDAY, DAY 11 –
SONG : Thursday (Asobi Seksu) / Raindrops Keep Fallin’ On My Head (B.J. Thomas) / Lovely Day (Bill Withers) / Goodbye Horses (Q Lazzarus)
ไม่ว่าคืนก่อนหน้าเบนจะกลับดึกดื่นจนเปลี่ยนเป็นวันใหม่ หรือห้าทุ่มกว่าอย่างเมื่อคืนวาน เขาก็จะออกไปทำงานตั้งแต่เช้า ทิ้งไว้เพียงไออุ่นบนริมฝีปากของคนรักที่หลงเหลือเพียงลำพังในห้องว่างที่เดียวดายและเมืองที่กว้างใหญ่ทัดเทียมความเหงาของเธอ
แต่อันเดรยาหวังว่าวันนี้จะไม่เหมือนเดิม
เมื่อก้าวพ้นจากลิฟท์ออกสู่ทางเดินชั้นสิบแปด อันเดรยาก็หยุดพิงกำแพงที่มุมหนึ่งเพื่อพักหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ วันนี้เธออยู่ในชุดเดรสแขนกุดสีดำ รองเท้าส้นสูงสีชมพูอ่อน ผมสีน้ำตาลยาวถูกรวบเป็นมวยต่ำไปด้านหลังเผยให้เห็นลำคอระหงและต่างหูเพชรติดหู ใบหน้าแต่งแต้มจัดจ้านกว่าที่เคยเพื่อให้ดูสวยและเป็นผู้ใหญ่ที่สุดเท่าที่จะทำได้ เหตุผลก็คือคนที่เธอจดจำเบอร์ห้องจากคีย์การ์ดที่เห็นเมื่อคืนวานได้ขึ้นใจ หญิงสาวลังเลใจอยู่นานนับตั้งแต่วินาทีที่เบนออกไปจากห้อง หากแม้จะได้บทสรุปที่กลั่นกรองมาเกือบสองชั่วโมงก็ยังต้องคอยรวบรวมความกล้าที่รังแต่จะลดลงไปอย่างน่าขัน
อันเดรยาออกเดินอีกครั้ง พร่ำคำขอบคุณในใจที่โรงแรมนี้ปูพรมบนพื้นจึงไม่ก่อให้เกิดเสียงดังยามส้นรองเท้ากระทบ เธอหยุดยืนหน้าประตูห้อง 1817 สูดลมหายใจเข้าปอดอย่างแรงและใช้ความกล้าทั้งหมดที่มีไปกับการเคาะประตูสองครั้งติดกันอย่างสุภาพ
ประตูห้องแง้มเปิดออกหลังจากนั้นไม่กี่วินาที แต่เป็นช่วงเวลาที่อันเดรยารู้สึกเหมือนนานเป็นชาติ อเลฮานโดรในชุดคลุมอาบน้ำสีขาวก็เยี่ยมหน้าโผล่มาผ่านช่องว่าง สีหน้าดูจะประหลาดใจกับแขกที่ไม่คาดคิด หากก็เปิดอ้าประตูให้กว้างกว่าเดิมก่อนวางแขนพิงและทักทายเด็กสาวกลับไป
“ถ้าวันนี้คุณว่าง ฉันอยากชวนไปเที่ยวด้วยกันค่ะ” อันเดรยาดีใจที่เธอไม่เงอะงะหรือตะกุกตะกักให้ตัวเองต้องอายมากไปกว่าเดิม อเลฮานโดรมองคนตรงหน้าที่ยืนกุมมือแน่น แต่ไม่ทันจะได้พูดอะไรก็มีเสียงดังกุกกักมาจากข้างในห้องเสียก่อน เขาไม่ได้หันมองทว่าเป็นอันเดรยาที่สอดส่ายสายตาข้ามไหล่เข้าไปอย่างถือวิสาสะ
ผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ข้างในนั้น
หล่อนอยู่ในชุดสูทสีเขียวอ่อนเข้าชุดกับกางเกงผ้าสีเดียวกัน ผมบลอนด์ประบ่า ดูสวยสง่าเหมือนนักธุรกิจที่ดูดีมีสไตล์ อายุอานามน่าจะไล่เลี่ยกับเขา อันเดรยารู้สึกว่าใบหน้าเธอร้อนผ่าว ไม่ใช่ด้วยความคิดที่ว่าเมื่อคืนเขากับหล่อนจะทำอะไรกัน แต่ด้วยความละอายเหมือนเธอมาอยู่ผิดที่ผิดทาง ทั้งยังนึกขายหน้าเพราะความมีเสน่ห์ในแบบผู้ใหญ่ของหล่อนจึงได้แต่ยืนเก้อกระดาก ผู้หญิงคนนั้นแทรกตัวผ่านอเลฮานโดรที่เบี่ยงไหล่ให้เพื่อออกมานอกห้อง ยิ้มให้อันเดรยาด้วยรอยยิ้มซุกซนพร้อมกับหลิ่วตาบอกเด็กสาวว่า
“ตามสบายจ้ะแม่หนู ฉันจะไปแล้ว”
เมื่อหันไปจูบที่แก้มของอเลฮานโดรเป็นการบอกลา รองเท้าส้นสูงสีขาวก็ก้าวเดินอย่างคล่องแคล่ว พาร่างระเหิดระหงหายลับเข้าไปในลิฟท์ที่อันเดรยาเพิ่งจากมา
“เอ่อ ใคร...เหรอคะ?” ทั้งที่ไม่ค่อยเข้าใจประโยคภาษาอังกฤษที่ผู้หญิงคนนั้นพูดทิ้งท้ายกับเธอ แต่ริมฝีปากสีสดกลับโพล่งคำถามที่อยากรู้คำตอบมากกว่าออกไป อเลฮานโดรยักไหล่ ตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “แค่คืนเดียว คู่นอน”
“อ่า...ค่ะ” คำตอบของเขาทำให้อันเดรยาได้แต่พยักหน้าตอบรับด้วยความเก้อ ทำตัวไม่ถูก
ความสัมพันธ์ในแบบของผู้ใหญ่ โลกที่เธอยังเข้าไม่ถึง
“ยังอยากชวนผมไปเที่ยวด้วยอยู่มั้ย” อเลฮานโดรถามย้ำคำชวนจากเธออีกครั้ง
อันเดรยารู้สึกเหมือนเลือดฉีดขึ้นใต้ผิวหน้าที่เธอภาวนาว่ามันจะไม่ขึ้นสีจนคนตรงหน้ารับรู้ได้เมื่อเธอพยักหน้าย้ำคำตอบชัดเจน “ถ้าคุณอยากไปนะคะ”
“ขอเวลาผมครึ่งชั่วโมง” อเลฮานโดรผลักบานประตูเปิดอ้าจนสุดเพื่อให้เธอเข้ามารอข้างใน แต่อันเดรยากัดริมฝีปากและรวบรัดกล่าวลาด้วยคำว่า “ฉันจะไปรอที่ล็อบบี้นะคะ” แล้วก็รีบหมุนตัวจากไป เธอสะดุดรองเท้าส้นสูงที่สวมมาอยู่บ่อยครั้งระหว่างทางกลับไปยังลิฟท์ ไม่แคล่วคล่องเหมือนหล่อนเลยสักนิด
อเลฮานโดรมองไล่หลังตามไปด้วยรอยยิ้มกึ่งขบขันกึ่งเอ็นดู เขาปิดประตูห้องพร้อมกับนึกถึงพวงแก้มสีแดงซ่านของเธอ
ไม่ทันที่จะได้ไปพิพิธภัณฑ์ศิลปะโมมาด้วยกันอย่างที่อันเดรยาตั้งใจไว้ ส้นรองเท้าแหลมปรี๊ดของหญิงสาวก็ติดกับตะแกรงฝาท่อบนทางเท้าเสียก่อน จะดึงอย่างไรก็ไม่เป็นผลไม่ว่าจะด้วยความพยายามของเธอหรืออเลฮานโดร สุดท้ายก็ต้องยอมตัดใจและสละรองเท้าอีกข้างลงถังขยะตามไป
อันเดรยาไม่ได้คิดมากที่ต้องเดินเท้าเปล่าจนกว่าจะเจอร้านรองเท้าอย่างที่อเลฮานโดรกังวล เพราะระหว่างที่เดินต่อไปด้วยกัน เธอก็หยิบยกหนังและบทเพลงที่ทำให้นึกถึงนิวยอร์กขึ้นมาพูดเจื้อยแจ้ว ก่อนหยิบหูฟังจากในกระเป๋าสะพายที่ม้วนไว้อย่างดีขึ้นมาเสียบเข้ากับโทรศัพท์ ขออนุญาตเสียบหูฟังข้างหนึ่งในหูของเขาและอีกข้างในหูของเธอ แล้วบทเพลงก็เริ่มบรรเลงพร้อมกับเสียงหัวเราะอย่างตื่นเต้นของเด็กสาว
มันคือเพลง ‘เรนดรอปส์ คีป ฟอลลิง ออน มาย เฮด’ ของบี เจ ธอมัส ไม่เหมือนอเลฮานโดรที่เคยฟังเพลงนี้ตั้งแต่จำความได้ อันเดรยาบอกว่าเธอรู้จักเพลงนี้จากหนังเรื่อง ‘สไปเดอร์แมน’ ของแซม เรมี มันเป็นหนังโปรดของเธอและทำให้เพลงนี้กลายเป็นเพลงโปรดของเธอ
อันเดรยารู้สึกเหมือนเธอเป็นพีเตอร์ พาร์กเกอร์ที่กำลังเริงร่ากับความอิสระ ตึกสี่เหลี่ยมทรงสูงที่เรียงรายและผู้คนรายล้อมที่เคยทำให้อึดอัดกลับกลายเป็นบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความสุข หญิงสาวแน่ใจว่าหากเป็นเบนจะอุ้มเธอไปร้านรองเท้าโดยไม่ขัดเขินต่อคนที่เดินผ่านไปมา แต่แน่นอนว่าเธอไม่ได้คาดหวังมันกับอเลฮานโดร แค่เห็นเขาเดินเคียงไปกับเธอพร้อมรับฟังบทเพลงเดียวกันด้วยรอยยิ้มได้ก็ทำให้อันเดรยารู้สึกดีมากพอ มือเลื่อนไปจับกับเขาโดยอัตโนมัติ ไม่ผิดหากจะบอกว่ามันก็เป็นความตั้งใจของเธอด้วย
อเลฮานโดรกระชับมืออ่อนนุ่มของเด็กสาวในอุ้งมือเขาแน่น ราวกับต้องการย้ำความตั้งใจของเขาเช่นกัน
อันเดรยาเดินเหินได้อย่างกระฉับกระเฉงในรองเท้าส้นเตี้ยสีดำคู่ใหม่ แม้จะทำให้ตัวสบายแต่ใจก็อดเสียดายไม่ได้เพราะเฝ้าคิดแต่ว่าอยากดูเป็นผู้ใหญ่ให้เหมาะสมกับคนที่เดินด้วย ทว่าเป็นอเลฮานโดรเองที่ทำให้ความคิดนั้นหายวับไปในพริบตาแค่เพียงเขาบอกเธอว่า
“แบบนี้เหมาะกับคุณมากกว่า”
อีกทั้งหลังจากต้องเสียเวลาเป็นชั่วโมงไปกับการซื้อรองเท้าใหม่เพราะอุบัติเหตุที่ไม่น่าเกิด อันเดรยาก็ไม่อยากไปโมมาอีกเพราะคิดว่าคงมีเวลาไม่มากพอจะดื่มด่ำกับงานศิลปะมากมายในนั้นได้เต็มอิ่มแม้มันจะอยู่ห่างไปแค่อีกไม่กี่บล็อกก็ตาม เธอพร่ำขอโทษเขาอย่างรู้สึกผิดกับความเอาแต่ใจของตัวเอง แต่อเลฮานโดรก็บอกอย่างไม่คิดมากด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่าไม่เป็นไร
ขณะเดินผ่านน้ำพุหน้าตึกไทม์ แอนด์ ไลฟ์ อันเดรยาก็ร้องออกมาอย่างตื่นเต้นว่ามันเป็นฉากในหนังเรื่อง ‘เดอะ ซีเครต ไลฟ์ ออฟ วอลเทอร์ มิตตี้’ ดวงหน้าสดใสแย้มยิ้มกว้างด้วยดวงตาเป็นประกายที่กลายเป็นการทอดสายตาอาวรณ์เมื่อต้องผ่านเลยมันไป หากก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาของอเลฮานโดรไปได้ เขาชวนเธอซื้อฮอตดอกจากร้านแถวนั้นมานั่งกินด้วยกันที่น้ำพุแทนที่จะเป็นร้านอาหาร อ้างว่า “วันนี้อากาศดี ลมก็ดีด้วย คงน่าเสียดายที่จะให้มันเป็นแค่ทางผ่าน”
เมื่ออเลฮานโดรวางแก้วโค้กที่ดื่มจนหมดพร้อมกระดาษห่อฮอทดอกที่ขยำจนเป็นก้อนกลมบนที่ว่างข้างกาย อันเดรยาก็ฉวยมือเขาไปอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว เธอเลิกเสื้อเชิ้ตกับเสื้อสูทแขนยาวที่เขาสวมอยู่ขึ้นนิดหนึ่งแล้วคล้องสร้อยสีเงินเส้นเล็กกับข้อมือใหญ่ของเขา อเลฮานโดรขมวดคิ้วมองมันก่อนหันมองหน้าเด็กสาวอย่างประหลาดใจ
“ฉันได้มาจากร้านที่ไปซื้อรองเท้าค่ะ ขอบคุณที่ต้องลำบากส่งฉันไปร้านรองเท้าแทนที่จะได้ไปโมมา ขอบคุณที่ทนเดินกับผู้หญิงเท้าเปล่ามาตลอดทาง แล้วก็ขอบคุณที่ชวนฉันมากินฮอทดอกกับโค้กหน้าไทม์ แอนด์ ไลฟ์”
“ผมจะรักษามันอย่างดี”
คำพูดของเขากินใจเธออย่างลึกซึ้ง
หญิงสาวปล่อยตัวปล่อยใจไปกับบรรยากาศที่เป็นใจ พิงศีรษะลงกับไหล่หนาหนักของอเลฮานโดร ทอดสายตามองผู้คนที่ผ่านไปมาสลับกับวิวทิวทัศน์เบื้องหน้า นึกขอบคุณอยู่ในใจที่เขาไม่ผลักไสการกระทำเอาแต่ใจอีกครั้งของเธอ อันเดรยาไม่แน่ใจว่าเธอกำลังทำในสิ่งที่สมควรหรือเปล่า แต่เธอรู้ว่ามันคือสิ่งที่ต้องทำในตอนนี้...ตอนที่ความสุขอัดแน่นจนเก็บกักไว้ไม่อยู่
“บางทีฉันอาจต้องเดินทางไปครึ่งโลก เพื่อตามหาฟิล์มที่หายไปให้เจอ” อันเดรยาพูดราวกับพึมพำแต่ระดับเสียงคงที่ก็แสดงให้เห็นว่าเธออยากบอกมันกับอเลฮานโดร น้ำพุนี้คือที่ที่วอลเทอร์ มิตตี้มานั่งค้นเบาะแสของฟิล์มที่หายไปจากรูปถ่าย อันเดรยาเพิ่งได้ดูมันกับเบนก่อนมานิวยอร์กไม่นาน จึงเรียกความทรงจำได้แจ่มชัดเมื่อมาอยู่ในสถานที่จริงราวกับภาพในหนังฉายอยู่ในหัว
“ทั้งที่ความจริงมันอาจอยู่ใกล้แค่เอื้อม” อเลฮานโดรต่อประโยคด้วยเรื่องราวในหนังเช่นเดียวกัน
เมื่อก้มมองใบหน้าของเด็กสาวที่อิงแอบกับบ่าของเขาก็เห็นรอยยิ้มแผ่กว้างทั่วใบหน้ากระจ่าง รอยยิ้มที่มีชีวิตชีวาของเธอไม่เพียงทำให้ทุกสิ่งรอบข้างดูสดใสตามไปด้วย แต่ยังทำให้เขาหลงใหลและประทับใจได้ไม่ต่างกัน
“There’s one thing I know
The blues they send to meet me won’t defeat me
It won’t be long ‘till happiness steps up to greet me”
(เรื่องเดียวที่ฉันรู้ก็คือ, ความเศร้าหมองไม่อาจเอาชนะฉันได้, ไม่นานความสุขก็จะก้าวมาหาฉันเอง)
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
“คาเฟ่มีคิวจองเต็มหมดแล้ว ต้องขอโทษด้วยนะคะ”
หญิงสาวในชุดเครื่องแบบพนักงานบอกกับอันเดรยาและอเลฮานโดรอย่างสุภาพ ตอนนี้เธอกับเขาอยู่ด้วยกันในร้านทิฟฟานี แอนด์ โค บนฟิฟธ์ แอเวนิว หลังจากที่ฝนลงเม็ดอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยจนเดินชมวิวคุยกันเรื่อยเปื่อยข้างนอกต่อไม่ได้ อันเดรยาจึงเสนอให้ไปหลบฝนในร้านขายเพชรเพราะเคยอ่านเจอในนิตยสารว่ามีคาเฟ่อยู่ที่ชั้นบน เธอเชิญชวนเขาอย่างตื่นเต้นปนทะเล้นว่า “ไปกิน เบรคฟัสท์ แอท ทิฟฟานีส์ กันนะคะ ฉันอยากจะเป็นฮอลลี โกไลท์ลี” เธอหมายถึงชื่อของนางเอกคนสวยในเรื่อง ‘เบรคฟัสท์ แอท ทิฟฟานีส์’ เด็กสาวหมุนตัวจนกระโปรงพลิ้วอย่างอารมณ์ดี
แต่ผลลัพธ์กลับไม่เป็นอย่างที่เธอคาดหวัง คาเฟ่มีผู้คนรอจะเป็นลูกค้าตลอดทั้งวัน ไม่ว่าใครก็คงอยากเป็นนงเยาว์นิวยอร์คด้วยกันทั้งนั้น แม้อันเดรยาจะไม่ค่อยเข้าใจว่าพนักงานสาวผิวขาวพูดอะไรแต่ภาษากายก็เป็นภาษาสากลเสมอ เธอบอกกลับไปว่า “It‘s fine.” แล้วหันมาพูดกับอเลฮานโดรว่า “งั้นเดินเล่นในนี้แทนก็ได้ค่ะ”
ไม่ทันที่อเลฮานโดรจะได้พูดอะไรหรืออันเดรยาจะทันได้เคลื่อนคล้อยไปไหน ผู้ชายคนหนึ่งในชุดสูทก็เดินเข้ามาหา ค้อมหัวให้อเลฮานโดรและพยักหน้าทักทายเธอ ท่ามกลางสีหน้างงงวยของหญิงสาวทั้งสองคนในที่นั้น
“คุณอเลฮานโดร ฟีนิกซ์ เป็นเกียรติมากครับ มาทำอะไรที่นี่ครับ”
“เธออยากไปคาเฟ่ครับ” พยักเพยิดไปยังเด็กสาวข้างกายที่ก้มหัวปะหลกให้ชายอีกคนอย่างขัดเขิน
พนักงานชายมองเธอด้วยรอยยิ้มละไม หันไปสนทนาภาษาอังกฤษยาวเหยียดกับอเลฮานโดรชนิดที่อันเดรยาไม่มีทางเข้าใจ ก่อนผายมือราวกับเชื้อเชิญให้เดินตามไป อเลฮานโดรบอกเด็กสาวด้วยภาษาที่เธอคุ้นเคยว่า “ตามไปสิ” และรุนไหล่คนที่มีสีหน้างุนงงให้เดินตามไปด้วยกัน ความสงสัยของเธอได้รับการคลี่คลายกระจ่างในไม่ช้าเมื่ออเลฮานโดรอธิบายให้ฟังอย่างไม่ปิดบังว่า
“เมียของผมเป็นพรีเซนเตอร์ให้ทิฟฟานีมาหลายปี”
ภาพของดาราหญิงคนดังในป้ายโฆษณาที่อันเดรยาเห็นอยู่ด้านล่างผ่านเข้ามาอย่างเงียบเชียบในความคิด หญิงสาวจำชื่อหล่อนไม่ได้แต่เคยดูหนังที่หล่อนแสดง ดาราหญิงคนดังชาวอเมริกัน ผมสีน้ำตาลเข้ม รูปร่างหน้าตาสวยสมบูรณ์แบบ อายุน่าจะราวสี่สิบตอนกลาง พลันก็รู้สึกโหวงหวิวในอกขึ้นมา ก่อนจะได้ยินเสียงของอเลฮานโดรที่หันมาพูดกับเธอพร้อมรอยยิ้มอบอุ่นว่า
“แต่ตอนนี้คุณคือมิสโกไลท์ลีของผม”
และทำให้อันเดรยายิ้มออกด้วยหัวใจที่พองโต
“แล้วจะย้ายมาอยู่ที่อเมริกากับแฟนหรือเปล่า”
“ฉันก็ไม่รู้ค่ะ” อันเดรยากลืนทาร์ตเลมอน เมอแรงก์ที่เคี้ยวละเอียดลงคอจนหมดก่อนเสริมว่า “ถ้าเบนอยากให้มา ฉันก็จะมา แต่ไม่รู้ว่าจะหางานได้หรือเปล่า”
“มีงานที่อยากทำมั้ย”
“ฉันอยากทำงานในพิพิธภัณฑ์ศิลปะค่ะ แต่ถ้าพูดได้แต่ภาษาสเปนก็คงจะยาก แทนที่จะพูดถึงเรื่องงานที่ฉันอยากทำ ก่อนหน้านั้นก็น่าจะต้องพูดเรื่องภาษาอังกฤษของฉันก่อน คุณก็เห็นแล้ว เมื่อวาน...ตอนเช้า...ที่ห้องอาหาร” อันเดรยาเน้นย้ำ กลอกตาพร้อมหัวเราะเย้าแหย่ตัวเอง อเลฮานโดรยิ้มเมื่อนึกถึงหนังสือเรียนภาษาอังกฤษที่เขาเห็นเธอถือเข้ามาในลิฟท์เมื่อวาน
“แฟนอเมริกันคือครูสอนภาษาอังกฤษที่ดีที่สุดนะ”
“ต้องให้เขาเลิกพูดกับฉันด้วยภาษาสเปนให้ได้ก่อนค่ะ” อันเดรยาหัวเราะ
“คุณกับแฟนคบกันมานานเท่าไหร่แล้ว”
“หกเดือนค่ะ”
“จะแต่งงานกันมั้ย”
“ไม่รู้สิคะ เรายังไม่เคยคุยกันถึงเรื่องนั้นเลย” เธอยกถ้วยชาทิฟฟานี เบลนด์ขึ้นดื่มก่อนย้อนถามกลับไป แม้จะพยายามไม่มองนิ้วนางข้างซ้ายที่สวมแหวนสีเงินวงใหญ่ของเขาแต่สายตาเจ้ากรรมก็อดจะเลื่อนมองไม่ได้ทุกที “แล้วอเลฮานโดรล่ะคะ แต่งงานมากี่ปีแล้ว”
“เข้าปีที่หกแล้ว”
“มีลูกมั้ยคะ”
เขาส่ายหน้า
“แล้ว...ยังรักเธออยู่มั้ยคะ”
อเลฮานโดรเลิกคิ้วนิดหนึ่ง ไม่ใช่เพราะไม่พอใจกับคำถาม คำที่ใกล้เคียงที่สุดน่าจะเป็นคำว่าแปลกใจ “ก็...รักนะ”
อันเดรยาเบาเสียงลงเมื่อถามต่ออย่างระมัดระวังว่า “แต่ก็นอนกับผู้หญิงคนอื่นได้เหรอคะ”
“แค่เรื่องบนเตียง ไม่มากไปกว่านั้น” เขายักไหล่ ตอบคำถามที่ยากเย็นในความคิดของเด็กสาวอย่างง่ายดาย
เธอมองหน้าเขา ริมฝีปากบางเม้มสนิท เอียงคอนิดหนึ่ง กำลังครุ่นคิดในหัวหลังจากทบทวนคำตอบที่ได้รับฟัง เขารักภรรยาคนสวยที่เป็นถึงดาราชื่อดังแต่ก็มีความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนอื่นได้ อันเดรยาไม่ได้ด่วนสรุปหรือเอนเอียงความเห็นไปในทิศทางไหน ไม่ใช่หน้าที่เธอที่จะไปตัดสินว่าเขาทำถูกหรือผิด อันที่จริงมันทำให้เธอถอนหายใจออกมา ครึ่งเขินครึ่งขันขณะบอกเขาว่า “เรื่องแบบนี้คงจะเกินความเข้าใจของฉันไปหน่อย”
อเลฮานโดรยิ้มให้เด็กสาวตรงหน้าด้วยความเอ็นดู
เป็นตอนที่พวกเขาทานของหวานจนเกลี้ยงจานแล้ว อเลฮานโดรกำลังดื่มชาเหมือนที่อันเดรยากำลังดื่มน้ำเปล่าเป็นการปิดท้าย เดสเสิร์ต แอท ทิฟฟานีส์ ที่พนักงานชายคนเดิมกับที่พาพวกเขาเข้ามาใน บลู บ็อกซ์ คาเฟ่ นำกล่องสีฟ้าขนาดเล็กผูกริบบิ้นสีขาววางลงตรงหน้าลูกค้าสาว ทิ้งเธอให้งงงวยเมื่อจากไปพร้อมกับคำว่า “แด่คุณผู้หญิงครับ”
คนที่นั่งตรงข้ามพยักหน้าให้เธอเปิดมันออก แม้จะยังจับต้นชนปลายไม่ถูกแต่เด็กสาวก็หยิบกล่องสีฟ้าอมเขียวที่เป็นสีประจำร้านอัญมณีนี้มาแกะริบบิ้นออก เมื่อเปิดฝากล่องก็เห็นถุงกำมะหยี่สีเดียวกับกล่องอยู่ข้างใน เธอรูดเชือกออกแล้วก็ต้องอ้าปากค้างกับสร้อยข้อมือสีเงินเส้นเล็กแต่งโบว์สีฟ้ามินท์ของทิฟฟานี อันเดรยาจำได้ว่าสร้อยข้อมือที่ราคาถูกที่สุดในร้านนี้น่าจะอยู่ที่ราวสี่แสนเปโซ – หนึ่งร้อยสี่สิบดอลลาร์ แต่เธอมั่นใจว่าสร้อยเส้นนี้จะมีราคามากกว่านั้น เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมองอเลฮานโดรด้วยความอึ้ง งง ลังเล สับสน ทุกความรู้สึกผสมปนเปกันไปหมด
“คุณ...ซื้อให้ฉัน?”
“ตอบแทนที่คุณซื้อให้ผม”
“แต่สร้อยเส้นนั้นมันเทียบกับของทิฟฟานีไม่ได้เลยนะคะ!” เธอรีบแย้ง
“สำหรับผม คุณค่าไม่ได้อยู่ที่มูลค่า”
“ไม่ยอมให้ฉันเอาคืนสินะคะ” อันเดรยาโคลงศีรษะอ่อนใจด้วยรอยยิ้มกว้างจริงใจ “งั้นฉันก็ไม่ปฏิเสธล่ะนะคะ ขอบคุณมากค่ะ”
อเลฮานโดรเท้าคางด้วยแขนข้างที่สวมสร้อยข้อมือสีเงิน มองเด็กสาวที่กำลังกลัดสร้อยกับข้อมือเล็ก
“ผมบอกแล้วว่าคุณคือฮอลลี โกไลท์ลีของผม”
อันเดรยาที่เพิ่งสวมสร้อยข้อมือเสร็จก็ยกแขนข้างนั้นขึ้นเท้าคางให้อยู่ในอิริยาบถเดียวกับคนตรงหน้า เธอกับเขาต่างอมยิ้มมองหน้ากัน
“และคุณก็คือพอล วาร์แจ็กของฉัน”
ความมืดโรยตัวเข้ามาปกคลุมทั่วท้องฟ้ากรุงนิวยอร์กแล้วในตอนที่อเลฮานโดรกับอันเดรยาเดินพูดคุยกันจากถนนสายนั้นไปถนนสายนี้บนเธียเตอร์ ดิสตริกต์ ครั้งหนึ่งที่พวกเขาหลุดมาถึงไทม์ สแควร์ อันเดรยาก็ถึงกับตาค้างนิ่งอึ้งไปชั่วขณะเพราะตะลึงไปกับความยิ่งใหญ่ที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า ความอลังการอย่างในหนังเรื่อง ‘เมโทรโพลิส’ ถึงกับแว้บเข้ามาในหัว เมืองใหญ่โตมโหฬาร ผู้คนมากมายมหึมา แสงสีมหาศาลที่ทำให้ตาพร่า อันเดรยาดีใจที่มีอเลฮานโดรอยู่เคียงข้างเพราะเธอไม่มีทางต้านทานความเหงาในจัตุรัสกว้างใหญ่แห่งนี้ด้วยตัวคนเดียวได้อย่างแน่นอน คงได้แต่ตั้งคำถามในใจไม่หยุดหย่อนว่าจะเป็นยังไงถ้าเบนมาด้วย
หรือไม่เธอก็คงจะเฝ้าคิดว่ามันเป็นบทลงโทษจากพระเจ้าแก่ลูกแกะน้อยตัวนี้ที่บังอาจเหยียบย่างเข้ามาในถิ่นฐานที่ตั้งหอคอยบาเบลอันไม่เคยหลับใหล
แต่อเลฮานโดรทำให้ทุกความสับสนในใจเธอเลือนหายไปได้ในพริบตา
“อย่างกับในหนังเรื่องเบิร์ดแมนเลยนะคะ” อันเดรยาสอดส่ายสายตาไปทั่วเมื่อกลับเข้ามาบนถนนที่ไม่พลุกพล่านเท่าไทม์ สแควร์แล้ว พวกเขาเดินผ่านโรงละครหลากหลาย ป้ายละครเวทีมากมาย วิกเค็ด (เธอหมายมั่นว่าต้องดูให้ได้สักครั้งในชีวิต!) เลส์ มิเซราบล์ (หนังเรื่องโปรดของเธอ!) มามา มียา (แอ็บบา!) แคทส์ (เจ้าตีนแมวแมคคาวิตี้!) และอีกมากมายที่ทำให้อันเดรยาอดตื่นเต้นไม่ได้
“ผมเป็นโปรดิวเซอร์เรื่องนี้ด้วย”
“เหรอคะ! อ่า คุณกับผู้กำกับชื่อเหมือนกันด้วย! อเลฮานโดร กอนซาเลซ อินาร์ริตู” เธอพูดชื่อสกุลเต็มของผู้กำกับหนังเรื่องเบิร์ดแมน “คราวหน้าเวลาดูหนัง ฉันจะเริ่มดูชื่อโปรดิวเซอร์แล้วล่ะค่ะ” เด็กสาวหันไปยิ้มให้คนข้างกายด้วยสายตาชื่นชมเป็นประกาย “มันเป็นหนังที่สุดยอดมากเลย”
“ดูเหมือนคุณจะรู้จักหนังเยอะ”
“ไม่ค่ะ ไม่” อันเดรยารีบโบกมือเป็นพัลวัน “ฉันรู้จักไม่เยอะหรอกค่ะ ส่วนใหญ่เบนจะแนะนำมากกว่า ช่วงที่ผ่านมาเขาเปิดหนังนิวยอร์กให้ฉันดูเยอะเลยค่ะก่อนเราจะมานิวยอร์กกัน พอมาอยู่ในสถานที่จริงก็เลยนึกขึ้นมาได้ อย่างตอนอยู่ที่ไทม์ สแควร์ ฉันยังนึกเลยว่าอีเลคโทรจะออกมาดูดกระแสไฟจนไฟดับทั้งเมืองตอนไหน”
“ไม่คิดถึงฉากที่พาร์กเกอร์กับเกว็นมาเจอกันก่อนหน้านั้นหน่อยเหรอ”
อันเดรยาหัวเราะร่วนออกมา สัพยอกกลับไปอย่างอารมณ์ดี “สงสัยว่าคุณจะโรแมนติกกว่าฉันซะแล้ว”
เมื่อพวกเขาเดินผ่านหน้าโรงละครอีกแห่งหนึ่ง อันเดรยาก็พูดขึ้นมาว่า “คุณจำชื่อละครเวทีที่ไมเคิล คีตันเล่นในเบิร์ดแมนได้ใช่มั้ยคะ What we talk about when we talk about love” ภาษาอังกฤษของเธอติดสำเนียงบ้านเกิดชัดเจน
“แล้วคุณพูดถึงอะไร”
เด็กสาวบุ้ยหน้าที่ถูกชิงถามตัดหน้า เธอหัวเราะคิก เงียบไปครู่หนึ่งก่อนตอบว่า “ถ้าถามฉันตอนนี้ คงเป็น...เรื่องของคนสองคน...มั้งคะ?”
“ผมไม่เคยคิดว่าความรักจะมีแค่คนสองคน” อเลฮานโดรค้านด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งและใบหน้าเรียบเฉย
จนอันเดรยาต้องยู่หน้าค้อนขวั่กเข้าให้อีกรอบ ย้อนถามกลับไปบ้าง “แล้วอเลฮานโดรล่ะคะ”
เขานิ่งคิดสักพักแล้วก็ตอบออกมาว่า “ความรัก”
“ขี้โกงมาก” อันเดรยาหัวเราะกังวาน เธอเหวี่ยงตัวเองไปอยู่หน้าอเลฮานโดร ฝีเท้ายังขยับก้าวต่อไปแม้จะเดินถอยหลังขณะมองหน้าคนตรงหน้าที่ก็ก้าวเดินต่อไปไม่หยุด “เคยมีคนบอกมั้ยคะว่าคุณมีบางอย่างที่ทำให้นึกถึงเจมส์ ดีน”
อเลฮานโดรขมวดคิ้วมองหน้าเด็กสาว กึ่งขบขันกึ่งแปลกใจ “บางอย่าง?”
อันเดรยายื่นสองมือออกไปคว้าสองแขนที่อยู่ข้างตัวเขามาจับ อเลฮานโดรหยุดตัวเองก่อนจะชนเด็กสาวที่หยุดเดินกะทันหันได้ทันแต่ก็ทำให้ระยะห่างของพวกเขาใกล้กันแค่คืบ เด็กสาวจ้องตาเขา รอยยิ้มสดใสปรากฏอยู่บนใบหน้า อเลฮานโดรมองเธอแล้วก็คิดว่ากิริยาท่าทางน่ารักสมวัยแบบนี้เหมาะกับเธอมากกว่าการพยายามทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่ด้วยการแต่งหน้าแต่งตัวอย่างนี้เป็นไหน
เธอตอบคำถามโดยไม่ได้ล่วงรู้ความคิดในใจเขา “ดวงตาของคุณ รอยยิ้มของคุณ ทำให้ฉันอยาก rebel...” (กบฏ)
อเลฮานโดรหัวเราะ ต่อประโยคให้เธอจนจบเป็นชื่อหนังดังเรื่องหนึ่งของเจมส์ ดีน “without a cause” (โดยไม่มีสาเหตุ)
อันเดรยาเขย่งตัวขึ้นโอบคอเขาให้โน้มมาใกล้ กระทั่งไม่ต้องลำบากอีกต่อไปเมื่อคนตัวสูงที่โอบเอวเธอไว้โน้มใบหน้าลงมาชิดจนหน้าผากแตะชนกัน เด็กสาวกระซิบบอกเขาว่า
“ตอนนี้ขอให้เป็นเรื่องของคนสองคนนะคะ”
และท่ามกลางผู้คนขวักไขว่ในเมืองใหญ่ที่เดินผ่านไปมาโดยไม่มีใครสนใจใคร ก็มีคนสองคนที่กำลังโอบกอดและจูบกันราวกับมีเพียงกันและกันในที่แห่งนั้น
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อันเดรยาได้รับสายจากเบนตอนที่เธอนั่งแท็กซี่กลับโรงแรมพร้อมกับอเลฮานโดร คืนนี้ผมคงกลับไปไม่ได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องไปแอลเอด่วน ฝากเก็บข้าวของแล้วมาเจอกันที่สนามบินเจเอฟเคตอนบ่ายโมงนะครับ หญิงสาวรับคำของแฟนหนุ่มอย่างว่าง่าย เอ่ยถามอะไรที่ยังสงสัยอีกนิดหน่อย เบนอวยพรให้เธอนอนหลับฝันดี ขอโทษที่ไม่ได้พาเที่ยวนิวยอร์กอย่างที่หวังไว้ เขายังคงเป็นแฟนผู้แสนดีที่ทำให้คนรักรู้สึกดีได้เสมอจากความห่วงใยที่ถ่ายทอดออกมาจนสัมผัสได้
เธอบอกลาเขาด้วยคำว่า “ฉันก็รักคุณค่ะ” เหมือนที่พูดให้กันเป็นประจำอย่างจริงใจได้ไม่เปลี่ยนแปลง
แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือในคืนนี้เธอไม่ได้อยู่เพียงลำพังคนเดียวในห้องที่เธอใช้ร่วมกับเบน แต่เป็นห้องของอเลฮานโดรที่เมื่อเช้าเธอเองเพิ่งปฏิเสธจะเข้ามา
หลังจากถอดรองเท้าวางไว้ที่ชั้นวางรองเท้า อันเดรยาก็ได้แต่ยืนทื่อในห้องที่เจ้าของเพิ่งเปิดไฟสว่างเพราะไม่รู้ว่าเธอควรทำอะไร อเลฮานโดรเดินผ่านหน้าเด็กสาวไปวางแผ่นเสียงบนเทิร์นเทเบิลแบบมีฝาครอบบนโต๊ะหน้ากระจก เสียงเพลงเริ่มบรรเลงจากเครื่องเล่นในยุคเก่าสำหรับเด็กยุคใหม่อย่างอันเดรยา
“คุณเอาเครื่องเล่นมาจากไหนเหรอคะ” เด็กสาวเอ่ยถามด้วยความสนใจ เธอไม่คิดว่าจะมีเครื่องเล่นแผ่นเสียงในโรงแรม
“ผมเอามาด้วย” เว้นแต่จะเอามาเองอย่างเขา เธอยิ้มออกมา
อเลฮานโดรถอดเสื้อนอกพาดกับเก้าอี้ก่อนลงไปกึ่งนั่งกึ่งนอนพิงกับหัวเตียง แม้จะยังกระดากปนเก้ออยู่บ้างแต่อันเดรยาก็ปล่อยตัวลงนอนเอนหลังพิงกับอกของเขา ผมสีน้ำตาลเข้มยาวสยายระแผ่นอกเพราะหนังยางรัดผมที่คงตกอยู่ตรงไหนสักแห่งบนถนนบรอดเวย์
“เพลงของวงอะไรเหรอคะ” เธอแหงนหน้าถามเขา
“เดอะ ดอร์ส อัลบั้ม สเตรนจ์ เดย์ส”
“ฉันเคยได้ยินชื่อวงนะคะ แต่เพิ่งเคยฟังเพลงของพวกเขา คุณชอบเหรอคะ”
“ครับ” มือขวาของเขาวางพาดเหมือนสวมกอดเธอ อันเดรยารู้สึกผ่อนคลายสบายใจในอ้อมกอดนั้น เธอแตะมือกับท่อนแขนหนาหนัก รับฟังบทเพลงแปลกหูจากแผ่นเสียงที่เล่นอยู่
แม้จะเป็นวงดนตรีรุ่นเก่าแต่ท่วงทำนองกลับฟังแปลกใหม่อย่างที่อันเดรยาไม่คิดว่าเคยได้ยินจากวงดนตรีในยุคสมัยนี้ เมื่อหลายสิบกว่าปีก่อน อเลฮานโดรคนที่ยังหนุ่มแน่นกว่านี้มาก อาจจะอายุเท่าเธอในตอนนี้ คงกำลังรับฟังอัลบั้มนี้ด้วยความรู้สึกว่ามันสดใหม่เหมือนเธอในตอนนี้ ไม่แน่ว่าเขาอาจฟังมันกับผู้หญิงสักคนหนึ่งที่ตอนนี้อาจจะแต่งงานแล้ว มีลูกหน้าตาน่ารัก มีครอบครัวที่อบอุ่น หรือกำลังอยู่ในอ้อมกอดของใครสักคนเหมือนเธอในคืนนี้
สิ่งที่อันเดรยาทำอยู่ในตอนนี้ก็นับว่าแปลกใหม่สำหรับเธอเช่นกัน ขณะที่คนรักวุ่นกับการทำงานแทบจะตลอดทั้งวัน ทิ้งเธอไว้คนเดียวร่วมสิบวันในมหานครที่ไม่คุ้นเคย เธอกลับใช้เวลาตลอดทั้งวันอย่างมีความสุขกับผู้ชายอายุรุ่นราวคราวพ่อของเธอ หากเป็นอันเดรยาคนเก่าคงไม่มีวันกล้าทำแบบนี้ เด็กสาวซิลเวสเตรคนนั้นไม่แม้แต่จะกล้าก้าวขาข้างหนึ่งออกจากกรอบที่ถูกขีดไว้ด้วยซ้ำไป
เธอไม่รู้ว่าอเมริกา นิวยอร์ก เบน โมเนต์ อเลฮานโดร หรือกระทั่งความเหงา ที่เปลี่ยนเธอ แต่อันเดรยาก็อยากขอบคุณทุกสิ่งนั้นที่ทำให้เธอเป็นเธอในตอนนี้
เด็กสาวลุกขึ้นพลิกตัวแล้วก็เริ่มจูบเขาอีกครั้ง อเลฮานโดรประคองแก้มเธอและจูบตอบ ก่อนจะพลิกตัวเด็กสาวให้ลงไปอยู่ด้านล่าง พรมจูบไปที่ใต้คางและทั่วลำคอจนอันเดรยาพรึงเพริด แต่เมื่อรู้สึกถึงมือที่เลื่อนไปทาบบนต้นขาใต้ชุดกระโปรงของเธอ อันเดรยาจึงเหมือนได้สติกลับมา รีบลุกพรวดขึ้นบอกเขาว่า “ขอโทษค่ะ ฉันทำไม่ได้”
อเลฮานโดรหยุดการกระทำของตัวเองในทันที เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นเหมือนเป็นการยืนยันให้เธอแน่ใจพร้อมกับคำว่า “ครับ ไม่เป็นไร”
“ขอโทษนะคะ ฉันทำแบบนั้นกับคนที่ไม่ใช่แฟนไม่ได้” อันเดรยาก้มหน้านิ่งด้วยความรู้สึกผิด อเลฮานโดรลูบผมเธออย่างนุ่มนวลและบอกเธออย่างอ่อนโยนว่า “ผมเข้าใจ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องขอโทษ” ก่อนกลับไปนั่งพิงหัวเตียงอีกครั้ง ดึงตัวเด็กสาวกลับมาพิงอกเขาเหมือนเมื่อก่อนหน้า
อันเดรยาได้เข้าใจแล้วว่าเธอทำอะไรมากไปกว่านั้นกับเขาไม่ได้ เพราะนั่นคือสิ่งที่เธอทำกับคนรัก...กับเบน
และเธอก็ประทับใจที่อเลฮานโดรเป็นสุภาพบุรุษมากพอ
“วันนี้ฉันไม่เห็นคุณหยิบมือถือออกมาเลย” อันเดรยาชวนคุยด้วยคำถามที่ค้างคาในใจมาได้สักพัก
“ผมทิ้งมันไว้ในห้อง” อเลฮานโดรตอบเสียงเรียบขัดกับสายตาของอันเดรยาที่หันมองอย่างประหลาดใจทั้งที่เมื่อวานเธอเห็นเขาง่วนกับมันและบทหนังแทบจะตลอดเวลา ก่อนเสริมต่อว่า “วันนี้ผมยกให้คุณ ไม่ใช่งาน”
“ขอบคุณมากค่ะ” อันเดรยายิ้มกว้างแทนความรู้สึกขอบคุณจากใจจริง “ว่าแต่...ฉันถามได้มั้ยคะว่าบทหนังเรื่องนั้นเป็นแนวไหน”
“หนังรักครับ”
“แล้วมันดีพอจะได้ทำเป็นหนังมั้ยคะ”
“คงต้องรอผมอ่านจบก่อน” อเลฮานโดรยิ้ม
“ฉันอยากเริ่มเขียนอะไรสักอย่าง เผื่อสักวันหนึ่งจะได้เอาให้คุณอ่าน แล้วก็เอาไปทำเป็นหนังบ้าง” เธอพูดกลั้วเสียงหัวเราะเขิน “แต่ฉันคงทำไม่ได้หรอกค่ะ”
“อย่าเพิ่งพูดแบบนั้นจนกว่าจะได้ลองทำ” เขาพูดพร้อมกับเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าอันเดรยาออกให้ เด็กสาวจับมือของเขาแล้วกดริมฝีปากลงไปบนนิ้วของเขา
และเธอได้ลองทำแล้ว หากเธอไม่กล้าชวนเขาออกไปเที่ยวด้วยกัน เธอก็คงจะไม่ได้มีหนึ่งวันที่ดีที่สุดในชีวิตกับเขา
อันเดรยาตะแคงใบหน้าหันมองออกไปด้านนอก ไฟนีออนเจิดจ้านับร้อยดวงจากอาคารสูงเทียมฟ้าสะท้อนเข้ามาในตาผ่านหน้าต่างกระจกใส ภาพที่เคยทำให้เธอเปล่าเปลี่ยวและโดดเดี่ยวจับใจเพราะความสวยของมันที่ควรมีใครสักคนมาร่วมแบ่งปันกลับไม่ทำให้เธอรู้สึกเหมือนที่เคยเป็นอีกต่อไป
เธอรักเบนด้วยความสัตย์จริง มันยังคงเป็นเรื่องที่ ‘จริง’ ในชีวิตของเธอ
แต่ช่วงเวลาเธอที่ได้มีร่วมกับอเลฮานโดรก็ ‘จริง’ ไม่ต่างกัน
อันเดรยาไม่อาจต้านทานความต้องการได้ เธอจูบเขาอีกครั้ง...อีกครั้ง...และอีกครั้ง และอเลฮานโดรก็ตอบสนองจูบของเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่าท่ามกลางความสงัดที่แสนเย้ายวนในค่ำคืนนี้
-------------------------------------------------------------
– FRIDAY, DAY 12 –
SONG : Just Like Honey (The Jesus and Mary Chain)
เมื่ออันเดรยาก้าวออกจากลิฟท์โดยสารโดยมีเบลล์บอยหนุ่มช่วยลากราวที่มีกระเป๋าเดินทางอยู่บนนั้นสามใบตามมา เธอก็มองเห็นอเลฮานโดรนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่งตรงล็อบบี้ ตรงข้ามกันคือผู้ชายอีกคนหนึ่งและเอกสารปึกหนาฉบับนั้นในมือ คงจะเป็นนักเขียนบทหนังรักเรื่องนั้น เด็กสาวยิ้มให้อเลฮานโดรที่บังเอิญหันมาเห็นเธอโดยไม่รอให้เขาตอบรับและตรงไปจัดการธุระกับพนักงานที่หลังเคานท์เตอร์
เธอออกไปจากโรงแรมพร้อมสายตาที่มองสบกับอเลฮานโดรอีกครั้ง
กินเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงกว่าจะคุยกับคนเขียนบทหนังเสร็จตั้งแต่อันเดรยาจากไป อเลฮานโดรเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้ ยกน้ำเปล่าที่วางอยู่บนโต๊ะเตี้ยด้านหน้าขึ้นดื่มจนหมดแก้ว และเมื่อเขาวางแก้วลง ‘เธอ’ ก็กลับมาปรากฏอยู่ตรงหน้าเหมือนภาพฝัน อเลฮานโดรคิดว่าป่านนี้เด็กสาวคงกำลังอยู่ระหว่างเดินทางไปเจเอฟเคเพื่อพบกับคนรักแล้ว เว้นแต่ตอนนี้เธอกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา
“ฉันรอจะบอกลาคุณ ตอนที่คุณอยู่คนเดียวค่ะ”
รอยยิ้มกว้างประดับบนใบหน้าเกลี้ยงเกลาและชุดกระโปรงน่ารักสมวัยเหมือนเด็กสาวคนที่เขาได้เห็นในวันแรก อันเดรยาก้มลงไปประทับริมฝีปากแผ่วเบากับเขา เป็นจุมพิตที่ยาวนานและเต็มไปด้วยความรู้สึกจากใจที่เธอหวังว่าเขาจะรับรู้ได้ ในตอนที่เธอผละจาก น้ำตาก็ไหลอาบแก้มที่ยังคงมีรอยยิ้มค้างไว้
“สักวันฉันจะเขียนบทหนังให้คุณอ่าน”
“ผมจะรอ”
เด็กสาวจากไปได้พักหนึ่งแล้ว อเลฮานโดรเบือนหน้าออกไปด้านนอกกระจกที่มองเห็นได้จากล็อบบี้ ผู้คนมากมายเดินขวักไขว่อยู่ภายนอก รถราสัญจรผ่านไปมาตลอดท้องถนน แล้วเขาก็เห็นรถบัสคันหนึ่งขับผ่านมา ภาพโฆษณาที่ประดับอยู่ข้างรถคือภรรยาของเขา – ที่รออยู่ในแอลเอ – กับผลงานพรีเซนเตอร์เครื่องประดับของทิฟฟานี
อเลฮานโดรยกมือข้างที่สวมสร้อยข้อมือสีเงินขึ้นเท้าคาง ริมฝีปากที่ซ่อนอยู่ภายใต้มีรอยยิ้มเมื่อนึกถึงช่วงเวลาในร้านทิฟฟานีกับเด็กสาวเจ้าของสร้อยข้อมือเส้นนี้
อันเดรยาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถแท็กซี่ที่กำลังขับพาเธอออกนอกเมืองไปยังสนามบินเจเอฟเค สองข้างทางของนิวยอร์กยังคงหนาแน่นไปด้วยตึกระฟ้า การจราจรแออัดยัดเยียด แต่บรรยากาศที่เคยทำให้เธอเหงาจับใจ บัดนี้กลับเปลี่ยนไป
มันก็ยังคงทำให้เธอเหงา แต่เป็นความเหงาที่เป็นสุข
แตะมืออีกข้างบนสร้อยข้อมือที่ได้เป็นของขวัญจากอเลฮานโดร หวนนึกถึงช่วงเวลาเหมือนฝันในเมืองแห่งความฝัน แล้วเธอก็ยิ้มออกมา
...อันเดรยาดีใจที่ได้มานิวยอร์ก
...ดีใจที่ได้มีช่วงเวลาที่ดีกับอเลฮานโดร
...และดีใจที่จะได้กลับไปหาเบน
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ความคิดเห็น