ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ` Decadence Avenue .

    ลำดับตอนที่ #18 : Going Backwards To Recover That Which Was Left Behind

    • อัปเดตล่าสุด 17 ม.ค. 64


    Going Backwards To Recover That Which Was Left Behind
    RE-RELEASE DATE :
    JANUARY 13, 2021
    ---------------------------------------------------------------------------------
    ดัดแปลงมาจากฟิคชื่อเดียวกันที่แต่งมาจากหนังเรื่อง The Invisible Man ฮ่ะ

    - ออกตัวก่อนว่ารักเรื่องนี้ต้นฉบับมากและพอใจกับทุกอย่างจนไม่เคยคิดจะเอามาดัดแปลง แต่พอย้อนไปอ่านแล้วก็คิดว่าเราจะทอดทิ้งเรื่องที่เราสามารถเอามารวมในคอลเลคชัน 'อยากโดนพี่เจสซี่ตบตี' ได้อย่างรึยส์ เลยตัดสินใจหยิบมาเพิ่มเติมเนื้อหาที่ขาดหายไปจนมันสมบูรณ์ ดังนั้นจึงจะขอเรียกมันว่า extended version ยี้ฮ่อว์ ~
    - และเราพอใจกับผลงานที่ออกมาในฉบับนี้มาก แต่ก็ยังยืนยันว่าชอบทุกอย่างในต้นฉบับมากกว่า (ดั๊นแต่งเรื่องนี้ตั้งแต่ก่อนจะรู้ว่าพี่จู๊ดลอว์เล่นหนังเรื่อง The Nest ที่เค้ารับบทผัวด่าเมียอีกฮ่ะ T v T) แต่ก็ไม่ใช่ไม่ชอบฉบับนี้ เพราะกูทุ่มเทมาก นั่งเกลาอยู่เป็นสิบวันทั้งที่เนื้อหาก็เหมือนเดิม มันมัวเกลาอะไรวะงง...
    -
    เรื่องนี้มีการใช้ความรุนแรง และจบที่นางเอกกลับไปอยู่กับผู้ชายที่ทำร้ายตัวเองโดยที่คนทำร้ายไม่ได้รับผลกรรมอะไรเลย เผอิญไม่ได้แต่งแนวสะท้อนสังคม ตัวเราเองก็ไม่ใช่คนดีเด่อะไร (แต่ก็ไม่เคยทำนิสัยเสียในชีวิตจริงอย่างการก๊อปฟิคคนอื่นนะ :3) แต่ก็ไม่ได้คิดตื้นเขินหรือมองโลกแค่ด้านเดียว ไม่ใช่พวกร้อนวิชาหรือแยกแยะไม่เป็น และไม่คิดว่ายูโทเปียจะเกิดขึ้นได้แค่จากการนั่งสำเร็จความใคร่ทางศีลธรรมอยู่หน้าจอคอม เราดูข่าวทุกวัน เห็นข่าวทำร้ายร่างกายก็เห็นใจคนที่เป็นเหยื่อเสมอ แต่ชีวิตจริงไม่ใช่ทุกคนจะเป็นนางเอกเรื่อง The Invisible Man ได้ ขอบคุณค่ะ /พับไมค์
    .
    https://i.imgur.com/sHKJO5L.png

    BGM : Ever Had A Little Faith? Belle And Sebastian | Insert Song From The Young Pope E10
    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    เขาควบคุมทุกอย่างเบ็ดเสร็จ รวมถึงตัวฉัน เขาควบคุมรูปลักษณ์ การแต่งกาย อาหารการกินของฉัน

    ากนั้นเขาก็ควบคุมฉันว่าจะออกจากบ้านได้เมื่อไหร่ ฉันต้องพูดยังไง จนในที่สุดก็เป็นสิ่งที่ฉันคิด

    — ซีซิเลีย, ดิ อินวิซิเบิล แมน (2020)


    “...เขาทำร้ายฉันค่ะ”

    คุณจะบอกว่า...” สายสืบหญิงผิวขาวที่นั่งอีกฝั่งของโต๊ะในห้องสืบสวนตรงข้ามกับหญิงลูกครึ่งเอเชียเอ่ยขึ้น เพื่อถามย้ำคำพูดก่อนหน้าของเธอว่า “เขาเคยใช้กำลังกับคุณ เคยแตะต้องตัวคุณโดยที่คุณไม่ต้องการ หรือไม่ก็เคยทำร้ายคุณด้วยคำพูดจนทำให้คุณ...”

    “เขาทำร้ายฉัน!”

    เธอขึ้นเสียงขัดด้วยริมฝีปากสีซีดที่แห้งแตกบนใบหน้าที่อิดโรยโทรมหมอง สายสืบมองเห็นคราบเลือดที่ร่องปากคู่นั้นเป็นหย่อม พลันก็คิดขึ้นมาว่าถ้าเธอออกแรงขยับปากมากกว่านี้ เลือดที่กรังอยู่ก็คงไหลออกมาได้เลย แต่หล่อนหารู้ไม่ว่าผู้หญิงตรงหน้าฉุนโกรธที่หล่อนใช้คำในรูปอดีต ทั้งที่ทุกอย่างบนตัวเธอฟ้องอยู่ทนโท่ว่ามันเกิดขึ้นในปัจจุบัน และมากที่สุดคือความคับแค้นขุ่นข้องใจ เพราะหล่อนไม่เชื่อเธอ

    ไม่มีใครเชื่อเธอ!

    ใช่! เขาทำร้ายฉันด้วยคำพูด และเขาก็ลงไม้ลงมือกับฉันด้วย! เขาทำแบบนั้นกับฉันมาตลอดจนถึงเมื่อวันก่อน! คุณตำรวจดูรอยช้ำพวกนี้สิคะ!”

    เธอถลกเสื้อยืดแขนสั้นขึ้นจนเห็นต้นแขนขาวเป็นปื้นจากรอยช้ำสีเขียว บางจุดก็กลายเป็นสีม่วงคล้ำไปแล้ว แต่ความเจ็บทั้งภายนอกหรือภายในก็ยังไม่จางหาย “อยากดูมากกว่านี้มั้ยคะ ที่เอว ที่หลัง ในจุดที่พวกคุณไม่เห็น! เขาทำร้ายฉันตรงนั้น! เพราะเขาไม่อยากให้ใครเห็น! เพราะเขารู้ว่าต่อให้ฉันจะเล่าเรื่องจริงให้ฟัง พวกคุณก็จะไม่เชื่อ!

    เอาลงเถอะค่ะ” หล่อนขัดเสียงของเธอที่ดังขึ้นจนเกือบเป็นการตะโกน “ฉันต้องขอแสดงความเสียใจด้วย ไม่ว่ามันจะเป็นเพราะ...” จากนั้นก็เงียบเว้นระยะไปครู่ นัยน์ตาคมกริบไม่ไหวสั่นมองจ้องกับดวงตาที่เหมือนจะร้องไห้ เพื่อจะต่อประโยคให้จบว่า “อะไร”

    และเธอเข้าใจความหมายของหล่อนได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง

    คุณจะบอกว่าฉันทำเองเหรอคะ! คุณคิดว่าฉันบ้าจนทำร้ายร่างกายตัวเองเหรอคะ!”

    “คุณไม่ได้กินยามานานเท่าไหร่แล้วคะ”

    มันไม่ใช่เพราะยา! ฉันหายดีแล้ว ฉันไม่จำเป็นต้อง...”

    งั้นคุณจะบอกว่า...” สายสืบยั้งคำพูดของคนที่ควรเป็นแค่พยานหรือกระทั่งผู้ต้องสงสัย ไม่ใช่ให้การปรักปรำใครคนอื่นที่ไม่ได้อยู่บนโลกแล้ว “เจสซี่ ลูอิส ฟื้นจากความตายมาทำร้ายคุณเหรอคะ”

    เขายังไม่ตาย!” ราเวนนาขึ้นเสียงอีกครั้งอย่างหมดความอดทนเมื่อได้ยินชื่อที่เธออุตส่าห์จงใจไม่เอ่ย “สามีของฉันยังไม่ตาย! เขาจัดฉากการตายของตัวเองขึ้น! เพราะเขาต้องการทำร้ายฉัน! ทำร้ายคนให้ที่พักพิงฉัน! เพราะฉันทิ้งเขา! ฉันทิ้งเขาเพราะเขาทำร้ายฉัน! เพราะฉันทนอยู่กับเขาต่อไปไม่ได้แล้ว! แต่เขาทำให้ฉันได้รู้ว่าจะอยู่หรือไปมันก็ค่าเท่ากัน ยังไงฉันก็หนีเขาไม่พ้น! เขาไม่มีวันทิ้งฉัน เขาไม่มีวันให้ฉันไปมีความสุขโดยไม่มีเขา!”

    ราเวนนา เอ่อ คุณลูอิสคะ เขาตายแล้ว สามีของคุณตายแล้ว ภาพศพของเขาก็มียืนยัน จะให้ฉันเอาแฟ้มภาพมาให้คุณดูตอนนี้เลยก็ยังได้ แล้วถ้าเกิด...ย้ำนะคะว่าถ้าเกิดเขายังไม่ตาย ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนล่ะคะ”

    “เขาอยู่ที่ไหนงั้นเหรอคะ”

    ญิงสาวทวนคำถามที่ได้รับ หลังเฝ้าส่ายหน้าตั้งแต่ได้ยินนามสกุลของสามีที่เธอไม่เคยได้หย่า จนถึงทุกประโยคต่อจากนั้นกับการตายที่เธอรู้ว่าไม่เคยเกิดขึ้นจริง ก่อนจะเอนตัวเข้าไปกลางโต๊ะ พยักหน้าให้สายสืบหญิงโน้มมาใกล้ คล้ายบอกเป็นนัยว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่อาจพูดออกมาด้วยเสียงอันดังได้ แม้แค่โทนเสียงปกติก็ไม่ถูกต้อง เหมือนกลัวจะมีใครอื่นได้ยินในห้องที่มีเพียงพวกเธอสองคน

    เพราะราเวนนารู้ว่าเธอไม่เคยอยู่ลำพัง

    เธอตอบด้วยเสียงเบาราวกระซิบ หากก็แน่ใจว่ารับรู้ถึงลมหายใจผ่าวร้อนที่ราดรดบนต้นคอได้ทั้งที่ก็ไม่เห็นใคร

    ในห้องนี้กับเราไงคะ เขาล่องหนอยู่ไงคะ”

    ---------------------------------------------------------


    ราเวนนา ลูอิส รู้แล้วว่าเธออยู่ไม่ได้อีกต่อไป มีเพียงทางเลือกเดียวให้เธอเท่านั้น

    ธอต้องหนี หนีไปจากบ้านหลังนี้ หนีไปให้พ้นจากชีวิตของสามีเธอ เจสซี่ ลูอิส

    ราเวนนาได้พบกับเขาในอาฟเตอร์ปาร์ตี้หลังงานประกาศรางวัลนวัตกรรมที่ราเวนนาในอิตาลี เมืองที่เป็นชื่อของเธอ บ้านเกิดของเธอ ไปจนถึงที่ทำงานของเธอมาตลอดยี่สิบเจ็ดปี เรื่องราวแรกรู้จักของเธอกับเจสซี่นั้นชวนเคลิ้มฝันไม่ต่างจากเทพนิยายที่ราเวนนาชอบอ่านตอนเด็ก ยิ่งกว่าหนังรักที่เธอในวัยปัจจุบันชอบดู เขาทำให้โรมัน ฮอลิเดย์ หนังรักเรื่องโปรดของเธอจืดชืดไปได้สนิท หากในหนังจบลงด้วยการที่เรื่องราวของเจ้าหญิงกับชายนักหนังสือพิมพ์ไม่ได้สานต่อไปมากกว่านั้น แต่หนังของราเวนนา เรื่องราวของเจ้าชายกับหญิงสามัญชนยังคงดำเนินต่อไป เป็นฮอลิเดย์ที่ไม่ได้อยู่แค่ในโรมัน...หรือราเวนนา...อีก

    “ผมตกหลุมรักคุณตั้งแต่แรกพบ”

    หาใช่ชายรูปหล่อปากหวานที่มีดีแค่ลมปากจากคำพูดที่คว้าใจเธอได้หมดจดยังระเบียงโรงแรมที่จัดงาน แต่เจสซี่ยืนยันคำพูดนั้นผ่านทุกการกระทำให้ราเวนนารับรู้ทั้งด้วยตาและด้วยใจ เธอจึงไม่คิดแม้เพียงนิดเมื่อเขาขอเธอแต่งงานในอีกสองเดือนถัดมา พาเธอย้ายไปอยู่กับเขายังบ้านหลังงามราคาแพงลิ่วที่ซันเซ็ตบูเลอวาร์ดในลอสแองเจลิส

    รกรักทุกอย่างก็เหมือนโรยด้วยกลีบกุหลาบ ราเวนนาเคยคบหากับชายชาติเดียวกันมาบ้าง แต่ไม่มีใครเลยจะดีเท่าชายอเมริกันที่แก่กว่าเธอแปดปีอย่างเจสซี่ เขาเทคแคร์ดูแลเธออย่างดียิ่งกว่าที่ใครเคยทำให้เธอ มอบคำรักและความรักให้เธอทุกวันไม่ขาด ปรนเปรอปรนนิบัติเธอเหมือนเป็นเจ้าหญิงของเขา ทำให้ราเวนนาคิดว่าชีวิตทุกวันของเธอช่างเหมือนฝันที่เป็นจริง

    ณะที่ราเวนนาเป็นสถาปนิกอายุน้อยซึ่งยังคอยให้ผลงานเป็นที่ประจักษ์ เจสซี่ก็เป็นนักวิทยาศาสตร์ หนึ่งในผู้นำด้านทัศนศาสตร์ของโลก ชื่อเสียงของเขาอาจไม่กระฉ่อน แต่ผลงานชื่อก้องในแวดวงก็ยืนยันได้ว่าความเก่งฉกาจของเขาไม่น่ากังขา ไม่แค่รอบรู้เรื่องงาน เขายังฉลาดเรื่องการมองลึกเข้าไปถึงจิตใจมนุษย์ ทว่าแท้จริงเขาอาจไม่ได้มองเลยไปไกลกว่าจิตใจที่ดำมืดของตัวเองเลย ตราบที่เขายังหลับหูหลับตาเชื่อในความคิดของตัวเอง มากกว่าความจริงที่ได้ฟังกับหูหรือได้เห็นอยู่กับตา

    ราเวนนาหมายถึงเรื่องของเธอ

    ใครหลายคนต่างมองว่าเธอเป็นเจ้าหญิง เรื่องรักโรแมนติกอย่างในโรมัน ฮอลิเดย์เกิดขึ้นได้จริงไม่ใช่แค่ในแผ่นฟิล์ม กระทั่งราเวนนาได้รู้ว่าเธอไม่ใช่นางซินที่ไหน และแท้จริงชีวิตของเธอก็อาจเปรียบได้กับหนังเรื่องซันเซ็ต บูเลอวาร์ดยิ่งกว่าเป็นไหน เรื่องราวของนักเขียนบทไม่ดังผู้ยอมทนอยู่กับอดีตดาราหญิงค้างฟ้าเอาแต่ใจเพราะเงินทอง มันไม่ได้ตรงต้องกับเรื่องราวของเธอก็จริง แต่บทดาราหญิงที่หมกมุ่นกับตัวเองมากจนครอบงำคนรักนั้นอาจไม่ต่างจากเจสซี่เลย เจ้าชายที่ทำให้ราเวนนาเป็นเจ้าหญิงได้ หากก็เป็นได้เพียงเจ้าหญิงที่ถูกขังให้อยู่แต่ในหอคอยงาช้าง เมื่อผมของราเวนนาไม่ได้ยาวสลวยมากพอจะหย่อนให้ใครปีนขึ้นมาพาเธอออกไปได้

    ไม่มีเจ้าชายอีกองค์ที่จะมาช่วยเธอ

    มีแค่เจ้าชาย...ที่แท้จริงเป็นเพียงปีศาจร้าย...อย่างเจสซี่เท่านั้น


    ราเวนนาไม่เคยลืมเลยว่าทุกอย่างเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่

    ช่วงนั้นเจสซี่กำลังยุ่งกับแผนงานชิ้นใหม่ เหมือนที่งานออกแบบของราเวนนาก็กำลังเป็นไปด้วยดี คืนนั้นบริษัทจึงจัดงานเลี้ยงฉลองความสำเร็จที่ปิดงานใหญ่ได้เรียบร้อยราบรื่น ราเวนนาเพลินกับงานจนไม่แม้แต่จะนึกถึงมือถือซึ่งสั่นไม่หยุดในกระเป๋าที่เธอวางทิ้งไว้บนโต๊ะทำงาน หญิงสาวคว้ากระเป๋าขับรถออกจากงานก็ตอนตีสี่ที่แต่ละคนทยอยกลับกันแล้ว ไม่เมาเพราะแทบไม่ได้ดื่ม นอกจากค็อกเทลสองแก้วที่ฤทธิ์แอลกอฮอล์สร่างไปนานแล้ว

    ไฟในบ้านกรุกระจกยังเปิดอยู่เมื่อรถสีเงินที่เจสซี่ซื้อให้เลี้ยวเข้าไปในตัวบ้าน ราเวนนาคิดว่าเขาคงกำลังติดพันกับงาน จึงกะจะแวะไปหาเพื่อทักทายเขาก่อนเข้านอน หรือไม่ก็อาจชักชวนเขาให้วางมือจากงานแล้วเข้านอนด้วยกัน เว้นแต่สามีของเธอจะไม่ได้ติดพันอยู่ในห้องทำงาน ราเวนนาเจอเขานั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารในห้องรับแขกที่ควบรวมเข้ากับครัว วอดก้าขวดใหญ่ที่พร่องไปเกือบหมดวางอยู่ตรงหน้า เหมือนแก้วคริสตัลที่เขายกขึ้นจ่อปากจนของเหลวสีใสเกลี้ยงหายไปในพริบตา

    เจสซี่ก็ยังไม่นอนเหรอ” ราเวนนาทักทายสามีด้วยรอยยิ้ม เข้าใจว่าจะได้รอยยิ้มและคำทักทายอ่อนโยนกลับมาเหมือนทุกคราว แต่เธอช่างโง่เขลาที่ไม่รับรู้ถึงบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในดวงตาคู่นั้น เจสซี่ไม่ได้ตอบรับอย่างที่เธอคิด เขาวางแก้วลงก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า

    “ฉันโทรหาเธอเป็นร้อยสาย”

    อ๊ะ ขอโทษด้วยค่ะ! ราเวนนาร้องออกมา ความรู้สึกผิดผุดวาบขึ้นมา “ฉันมัวแต่วุ่นกับงานปาร์ตี้จนลืมมือถือไปสนิท เวลาคุยเรื่องงานทีไรฉันมักจะติดพัน...”

    หรือเธอติดพันอยู่กับผู้ชายคนอื่นกันแน่”

    คะ?” ถามย้ำอย่างไม่เชื่อหูตัวเองทั้งที่ก็ได้ยินชัดเจนเต็มสองหู รอยยิ้มเจื่อนจางแม้จะยังไม่จางหายจนสนิท เพราะมันอาจเป็นแค่เรื่องตลก เธอพร้อมมองข้ามและทำเหมือนคำพูดของเขาไม่เคยเกิดขึ้นได้

    ฉันถามว่า...” ทว่าเจสซี่ไม่ได้ช่วยยืนยันความคิดของเธอแต่อย่างใด เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบขณะลุกจากเก้าอี้เพื่อเดินมาหาเธอ “หรือเพราะเธอ...ติดพันอยู่...กับผู้ชายคนอื่นกันแน่” ทั้งยังเน้นย้ำแน่นหนักที่แต่ละถ้อยคำ ราวกับกลัวหญิงสาวตรงหน้าจะไม่เข้าใจถ้อยความของมัน

    แต่หนนี้ราเวนนาเข้าใจได้แจ่มแจ้ง

    เจสซี่แค่เข้าใจผิด เธอแก้ไขได้ เรื่องนี้เป็นความผิดของเธอ การทำให้สามีเป็นกังวลย่อมไม่ใช่เรื่องที่ถูกที่ควร ถึงจะบอกเขาแล้วว่าคืนนี้มีปาร์ตี้และเธอคงอยู่จนดึกดื่น แต่ราเวนนาก็ไม่ยอมโทรรายงานความเป็นไปกับเขาแค่สักสายเดียว มันเป็นความผิดที่ไม่ควรเกิดขึ้น ทั้งที่เขาไม่เคยทำให้เธอต้องเป็นห่วง และเขาก็พร้อมจะเป็นห่วงเธอเสมอ

    ขอโทษค่ะ เจสซี่ ฉันผิดเอง ฉันไม่ควรจะ...”

    “ใช่ เธอผิด”

    ากเมื่อเขาหยุดคำพูดเธอพร้อมกับฝีก้าวที่หยุดลงตรงหน้าก็ทำให้ราเวนนาสะอึกไปได้ เธอรู้แน่นอนว่าตัวเองผิด แต่การถูกตอกย้ำด้วยใบหน้าและน้ำเสียงเย็นชาก็ยิ่งทำให้ความรู้สึกผิดเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี ราวกับตนได้กระทำความผิดร้ายแรงมหันต์ แต่ใช่ มันก็อาจจริง

    ขอโทษค่ะ ครั้งหน้าจะไม่มีเรื่องแบบนี้อีก”

    “ใช่ เพราะมันจะไม่มีครั้งหน้า”

    “คะ?

    เธอจะลาออก”

    เจสซี่...” ทั้งที่ตกใจไม่น้อยแต่ราเวนนาก็ยังใช้ไม้อ่อนด้วยการพยายามกล่อมเขา ด้วยเห็นแอลกอฮอล์ที่อยู่บนโต๊ะ ด้วยรู้ว่าเขาแค่เมาจนขาดการยั้งคิด ด้วยเพราะเขารู้มาตลอดว่าเธอรักงานนี้มากแค่ไหน เป็นเจสซี่เองที่หางานนี้ให้เธอ และเขาก็เข้าใจดีว่างานล่าสุดนี้จะเป็นใบเบิกทางให้เธอ เธอแค่ต้องให้เขาใจเย็นกว่านี้ เมื่อไรที่เขาสร่าง เรื่องพวกนี้ก็จะเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น ราเวนนาวางมือลงบนอกเขาดั่งเป็นการโน้มน้าวไปด้วย

    เราเข้านอนกันก่อนดีกว่า แล้วค่อยตื่นมาคุยกันใหม่นะคะ”

    โทรไปบอกหัวหน้าตอนนี้เลยว่าเธอจะลาออก”

    ญิงสาวถอนใจออกมา ด้วยรู้ว่าการคุยกับคนเมามีแต่จะวกวนเวียนเหมือนพายเรือในอ่าง จึงส่ายหน้าเพื่อบอกว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะ

    เจสซี่ ตอนนี้คุณเมาจนพูดไม่รู้เรื่อง ฉันว่าเราควรจะ...”

    แต่ราเวนนาพูดไม่ทันจบ เมื่อฉับพลันทันใดใบหน้าขาวก็หันไปอีกทางจากหลังมือใหญ่ที่ฟาดลงมาบนแก้มอย่างแรง มากพอจะทำให้ร่างเธอซวนเซไปได้ หญิงสาวทรงตัวไม่อยู่ แต่มืออีกข้างของเขาฉวยต้นแขนเธอไว้ได้ทันก่อนร่างผอมบางจะร่วงลงไป ราเวนนาหันไปมองหน้าเจสซี่อย่างไม่อยากเชื่อ

    ไม่อยากเชื่อว่าสามีผู้แสนดีที่ไม่เคยกระทำรุนแรงต่อเธอเพิ่งทำอะไรลงไป!

    ไม่ใช่แค่นั้น มือของเขาที่จับเธอ แท้จริงหาใช่เพื่อช่วย หากเพื่อย้ำเจตนาก่อนหน้าให้ราเวนนาได้ตระหนักเข้าใจไปถึงข้างใน เขาบีบต้นแขนแรงมากจนเธอต้องร้องออกมา พยายามแกะมันออกแม้จะรู้ว่าไร้ผล เพราะเจสซี่มีเรี่ยวแรงกว่าเธอมากมายอย่างที่เธอไม่มีทางเทียบได้ มันแรงมากจนต้องเกิดปื้นที่ไม่ช้าก็จะกลายเป็นรอยคล้ำดำเขียว หรืออาจข้ามขั้นตอนนั้นไปได้เลยหากเขาเลือกจะบีบจนกระดูกใต้เนื้อหนังแตกคามือ และราเวนนารู้ว่าถ้าตั้งใจจริงก็ไม่มีอะไรที่คนอย่างเจสซี่ทำไม่ได้

    “เจสซี่! ปล่อยนะ! ฉันเจ็บนะ!”

    ผิคาดเมื่อเขาทำตามที่เธอร้องขอแต่โดยดี ถึงราเวนนาจะรู้ว่าเขายังมีความปราณีอยู่ เพราะตอนนั้นเธอคิดว่าเขาไม่ใช่คนชอบใช้ความรุนแรงแต่เดิม เจสซี่ปล่อยมือจากไหล่เธอ ให้เธอได้ยืนพยุงตัวเองขณะลูบต้นแขนที่เจ็บแปลบ ลูบใบหน้าที่ปวดปลาบ ขณะที่เขาก็ได้แต่พยักหน้าย้ำๆซ้ำๆคล้ายกำลังตกลงใจกับตัวเอง เหมือนตอบรับความคิดในหัวของตนทั้งที่ก็ยังมองหน้าสบตาเธอไม่ขาดช่วง

    เธอเจ็บ ใช่ เธอเจ็บ” เขาพึมพำแผ่วผิว ราเวนนาคงไม่ได้ยินถ้าอยู่ห่างจากเขาอีกแค่หนึ่งมิลลิเมตร “แต่เธอก็ทำฉันเจ็บมากนะ ราเวนนา เธอทำหัวใจของฉันเจ็บมาก”

    ากนั้นเจสซี่ก็ผลักร่างบอบบางให้ล้มลงไปนั่งกองกับพื้น ก่อนคุกเข่าลงตรงหน้าคนที่พยายามกระถดร่างถอยหนีเมื่อเข้าใจได้ว่าเขาจะทำอะไรกับเธอต่อไป ดวงตารวดร้าวดำมืดอย่างที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมา เจสซี่ไม่เคยเป็นอย่างนี้ ไม่แม้แต่จะทำร้ายเธอด้วยคำพูด

    ว่าชายที่อยู่ตรงหน้าเธอในยามนี้ ไม่ใช่เจสซี่ ลูอิสคนเดิมกับที่เธอเคยรู้จัก

    หากเป็นเจสซี่ ลูอิส ‘คนใหม่’ ที่เธอกำลังจะได้รู้จัก

    เจสซี่ อย่าค่ะ ฉันขอร้อง ไม่ว่าอะไรที่คุณจะทำ ฉันขอโทษ...” น้ำตาของราเวนนาไหลออกมาเมื่อเธอวิงวอนด้วยน้ำเสียงเครือสั่น หวังว่าสติของเขาจะกลับคืนมาเพื่อหยุดอะไรก็ตามที่มากกว่าแค่ตบหน้าหรือบีบแขน ราเวนนารู้ว่าหากเขายังกระทำต่อไป มันจะมากกว่านั้น เจสซี่จะต้องทำมากกว่านั้นอย่างแน่นอน

    เธอทำร้ายฉัน เธอทำร้ายจิตใจของฉัน”

    เจสซี่ได้ยินคำอ้อนวอนของเธอ แต่เขาไม่แยแส ไม่แม้แต่จะสนใจ บัดนี้เขาอยู่ในโลกของตนเอง รับฟังเพียงเสียงในหัวที่คำพูดของราเวนนาไม่อาจผ่านเข้าไปได้

    “รู้มั้ยว่าฉันเจ็บมากแค่ไหน”

    หากความเจ็บปวดของเขาตีค่าออกมาเป็นการกระทำ ราเวนนาก็คงรู้ได้ว่าเท่าไหนจากมือเท้าที่กระหน่ำมาบนร่างเธอไม่หยุด ถึงจะพยายามคู้ตัวหดหนีก็ปกป้องตัวเองไม่ได้เลย จากคนที่พร่ำพูดทั้งน้ำตาว่าปวดร้าวกับการกระทำเยี่ยงผู้หญิงไร้ราคาของเธอเพียงไร ไม่แม้แต่จะอุทธรณ์อะไรได้กับการกระทำอันบ้าคลั่งชั่วร้ายของสามีเธอ ผู้ที่ไม่ได้รับรู้หรือสนใจเลยว่าเธอเองก็เจ็บมากแค่ไหนทั้งร่างกายและจิตใจ


    .


    นับตั้งแต่ราเวนนาได้รู้จักกับอีกตัวตนของสามีเธอ ชายชั่วร้ายที่เคยได้แต่ล่องหนอยู่ในตัวเขาก็จะมาเยี่ยมหาเธอทุกคราวที่มีโอกาส แม้แค่การสะกิดเพียงเล็กน้อย เจสซี่ไม่ปิดบังตัวตนที่แท้จริงอีกต่อไปเมื่อเผยมันออกมาแล้ว บทบาทชายแสนดีคือฉากหน้ายามไปไหนมาไหนด้วยกันหรือมีคนอื่นอยู่ด้วย แต่เมื่อไรที่อยู่กันตามลำพัง ราเวนนาก็จะได้พบกับชายวิปริตที่ถูกฉีกกระชากใบหน้านั้นออก

    หนึ่งปีนั้นมากเกินพอที่ต้องทนอยู่กับความหวาดกลัว กับการถูกทารุณโดยคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี ไม่มีเวลาไหนที่เธอไม่กลัวเขา กระทั่งตอนอยู่กับคนอื่น ราเวนนาก็ระแวงหวาดหวั่นว่าจะพูดอะไรผิดหูเจสซี่หรือไม่ กลับบ้านมาจะถูกเขาลงโทษอย่างไร แม้ว่าเขาจะเป็นชายที่เธอรักและรู้ว่าเขาก็รักเธอ เพราะทุกคราวที่ทำร้ายเธอ เขาจะพร่ำพูดว่ารักเธอมากแค่ไหน แต่มีประโยชน์อะไรที่จะทนอยู่กับความรักบิดเบี้ยวของชายอารมณ์ปรวนแปร ผู้ที่จะเรียกมนุษย์ชั่วร้ายออกมาทำร้ายเธออย่างหนักเมื่อเธอบอกว่าเขาควรไปหาจิตแพทย์

    ราเวนนาเองก็เริ่มมีอาการวิตกจริต เธอไม่ได้ทำงานออกแบบที่รักอีก เจสซี่เป็นคนไปลาออกให้เองเนื่องเพราะรอยฟกช้ำทั่วตัวเธอจากฝีมือเขาในวันนั้น ไม่แค่นั้น เธอยังหมดสิทธิ์ในการออกจากบ้านหากไม่มีเจสซี่ไปด้วย ที่เดียวของเธอคือบ้านหลังนี้ แม้มันจะเป็นดั่งเคหาสน์ มีทุกอย่างพร้อมพรัก หรือแม้เธอจะไม่ใช่สาวสังคมผู้จะขาดใจเมื่อไม่ได้ออกไปพบปะผู้คน แต่การไม่มีอิสระเลยต่างหากที่ทำให้ราเวนนาฟั่นเฟือน ฟางเส้นสุดท้ายคือกล้องวงจรปิดที่เจสซี่เอามาติดไว้ทุกมุมบ้าน หลังจากเจอเธอพยายามแอบหนีออกไปครั้งหนึ่ง ทุกอย่างนั้นมากเกินไปจนราเวนนาต้องเริ่มใช้ยากล่อมประสาท

    และฟางก็ขาดผึงเมื่อมาถึงจุดที่ราเวนนาแน่ใจว่าเธออยู่ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว

    ช่วงนั้นเจสซี่กำลังหมกมุ่นกับการทำบางอย่าง โครงการลับอะไรสักอย่างที่เขาดูจะภูมิอกภูมิใจนักหนา หากเป็นไปด้วยดี เขาจะอารมณ์ดีเมื่อมาหาเธอ เป็นเจสซี่คนแรกคนเดิมกับที่เธอเคยรัก แต่หากผิดพลาดหรือไม่เป็นอย่างใจ เขาจะมาหาเธอด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวเพื่อเอาทุกความโกรธมาลงที่เธอ อย่างหนัก อย่างเกรี้ยวกราด อย่างรุนแรง หนล่าสุดนั้นกระดูกซี่โครงของเธอหักทิ่มปอด เจสซี่พาเธอส่งโรงพยาบาลและสามารถหาทุกข้ออ้างบนโลกมาเฉไฉปัดการทำร้ายให้พ้นตัวไปได้ เขาทำเรื่องพวกนี้ได้ดีเยี่ยมเสมอ วาทศิลป์ของเขาเป็นเลิศ เขารู้ว่าจะพูดเกลี้ยกล่อมผู้คนอย่างไร แต่ตอนนั้นเองที่ราเวนนาได้รู้ว่าการเฉียดใกล้กับความตายที่สุดเป็นยังไง สีหน้าท่าทางห่วงใยจากใจจริงของเจสซี่ตอนฟื้นจากการผ่าตัดไม่คุ้มกับสิ่งที่เธอต้องเผชิญ เพราะเมื่อไรที่หายดี เขาก็จะทำกับเธออย่างนี้อีก มันจะไม่มีวันหยุด มันจะไม่มีวันจบสิ้น ความเจ็บปวดจากการถูกทำร้ายนั้นแทบเกินทนไหว แต่การรู้ว่าอาจต้องตายได้นั้นเกินทานทน

    ทั้งที่ทุกอย่างไม่ใช่ความผิดของเธอเลย

    าเวนนาจึงคิดได้ว่าเธอควรจะทำในสิ่งที่ถูก

    ญิงสาวหนีออกจากบ้านที่เคยเป็นรังรักของเธอกับเจสซี่ได้ในที่สุด คืนวันเกิดของเธอที่เขาเตรียมงานฉลองให้อย่างวิเศษนั้น เธอก็เตรียมการให้เขาอย่างพิเศษด้วยยานอนหลับในไวน์ มากพอจะทำให้เขาไม่ตื่นระหว่างที่เธอหลบหนี ราเวนนาตระเตรียมของจำเป็นไว้แล้ว แม้จะไม่ได้มีครบครันโดยเฉพาะพาสปอร์ตของเธอที่เขาเอาไปเก็บในที่ที่เธอไม่รู้ แต่มันก็ยังไม่จำเป็นเท่ากับการที่เธอต้องหนีให้พ้นจากเขาก่อน ข้าวของนอกกายไว้ค่อยจัดการทีหลังได้ พอเจสซี่ตื่นขึ้นในตอนเช้า ภรรยาผู้อ่อนแอก็จะหายไปอย่างไร้ร่องรอย เขาจะตามหาเธอไม่เจอ และไม่กี่เดือนจากนั้น เธอก็จะกลับอิตาลีพร้อมใบหย่า

    เขาจะทำร้ายเธอไม่ได้อีก


    ดาเรียกับชาร์ลส์ สามีภรรยาที่เป็นเพื่อนสนิทกับราเวนนาจากที่ทำงานเก่าก่อนเจสซี่จะไปลาออกให้ ยินดีให้เธอมาอยู่ด้วยระหว่างรอให้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง ทีแรกพวกเขาก็ไม่อยากเชื่อว่าเจสซี่จะทำอะไรพรรค์นี้กับคนเป็นภรรยาได้ ภาพลักษณ์ของเจสซี่ ลูอิสในสายตาพวกเขา—และทุกคน คือชายรูปหล่อแสนดีผู้สมบูรณ์แบบ ทว่าหลักฐานที่ฟ้องอยู่บนตัวเธอก็ไม่อาจปฏิเสธได้ ดาเรียบอกให้ไปแจ้งความ แต่ราเวนนาแย้งว่าเธอไม่ได้ต้องการให้มันเป็นเรื่องใหญ่โต เธอแค่ต้องการไปให้พ้นจากเขาเท่านั้น พวกเขาจึงไม่ก้าวก่ายอะไรอีกเมื่อมันเป็นการตัดสินใจของเธอเอง

    เจสซี่รู้จักครอบครัวดูลเซต์แค่ผิวเผิน จึงไม่มีทางรู้ได้ว่าพวกเขาคือคนให้ที่พักพิงกับเธอ ราเวนนาจะปลอดภัยในบ้านใหม่ที่เป็นเหมือนหลุมหลบภัยของเธอ ความกลัวและหวาดระแวงย่อมไม่จางหายในเร็ววัน ไม่ต่างจากแผลผ่าตัดบนร่างกาย แต่เวลาจะช่วยเยียวยาทุกสิ่งได้ ราเวนนารู้ว่ามันจะหายไม่สนิท หากเธอก็หวังแค่ให้มันดีขึ้นเพื่อจะได้เข้มแข็งอีกครั้ง แล้วเมื่อการฟ้องหย่าเสร็จสิ้น เธอก็จะตัดขาดกับเจสซี่ตลอดกาล หญิงผู้ไร้พันธะจะกลับอิตาลีไปเริ่มต้นชีวิตใหม่กับงานที่รัก แม้จะไม่ร่ำรวยเหมือนตอนอยู่กับเขา แต่เธอจะได้มีความสุขกับอิสระที่ปรารถนาอีกคราว

    ราเวนนาระแวดระวังมากจนไม่เคยออกจากบ้านโดยไม่ปกปิดอำพรางตัว แต่ในคืนหนึ่งที่มีเพียงเธออยู่เฝ้าบ้าน หญิงสาวได้ยินเสียงเคาะประตูบ้านจึงไปส่องตาแมวดู หากเมื่อไม่เห็นใครก็เลยเผอเรอเปิดประตูออกไปเช็คดู ครั้นไม่เห็นแม้เงาก็เข้าใจว่าคงแค่หูฝาดไปเอง ถึงกริ่งโทรศัพท์บ้านที่ดังตามมาในไม่กี่นาทีโดยไม่มีเสียงจากปลายสายจะทำให้เธอหวาดหวั่นได้ตลอดคืน หากเมื่อเล่าเรื่องนี้ให้คู่สามีภรรยาฟัง คนทั้งคู่ก็ยืนยันหนักแน่นว่าบ้านหลังนี้ไม่มีเรื่องลึกลับอะไรทั้งนั้น

    อนนั้นราเวนนาไม่ได้ฉุกคิดหรือนึกถึงสามีของเธอเลย กระทั่งความคิดเรื่องเขาก่อเกิดในวันถัดมาเมื่อมีจดหมายมาที่บ้านดูลเซต์ หนึ่งเดือนที่เธอหนีจากเจสซี่มาได้ ทั้งที่ไม่น่าจะมีใครบนโลกนี้รู้ว่าเธออยู่ที่บ้านหลังนี้ แต่จดหมายฉบับนี้ถูกส่งมาถึงเธอ จ่าหน้าถึงเธอ ความกลัวเกาะกุมราเวนนาจับใจเพียงคิดว่าเจสซี่รู้ความลับของเธอแล้ว หญิงสาวแกะซองจดหมายออกด้วยมือที่สั่นเทา หวั่นใจว่าจะมาจากสามีของเธอ ทว่าข้างในนั้นมีแค่กระดาษแผ่นเดียวจากสำนักงานกฎหมาย

    แจ้งข่าวการตายของเจสซี่ ลูอิส...ฆ่าตัวตาย

    ราเวนนายกมือขึ้นปิดปากโดยไม่รู้ตัว ไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดชายมากทิฐิอย่างเขาจึงฆ่าตัวตาย เพราะงานของเขาไม่สำเร็จ หรือเพราะการจากไปของเธอ หากราเวนนาก็ไม่แน่ใจว่าอยากรู้คำตอบนั้น เพราะถ้าเป็นอย่างหลัง เธอก็ไม่อยากแบกรับความผิดกับการตายของชายที่ทำร้ายเธอ ทว่าก็รู้สึกหลายหลากปะปนกันไปจนออกมาเป็นน้ำตาที่รินไหล ทั้งเศร้าใจกับการตายของชายที่เคยรักจนหมดใจ ทั้งดีใจที่รู้ว่าเขาจะทำร้ายเธอไม่ได้อีกต่อไป ทั้งโล่งใจที่รู้ว่าความกลัวของเธอได้จากไปตลอดกาลแล้ว

    และเธอจะเริ่มต้นใหม่ได้อีกครั้งโดยปราศจากความกลัวอีก

    ---------------------------------------------------------------------------


    ราเวนนาได้รับมรดกทั้งหมดของเจสซี่ ลูอิส รวมถึงบ้านอันเคยเป็นเรือนหอของเธอกับเขา ที่เธอกลับมาเพื่อเอาข้าวของจำเป็นที่ไม่เคยได้เอาไป ทั้งมือถือ กระเป๋าเงิน และพาสปอร์ต เจสซี่เก็บทั้งหมดนั้นไว้ในห้องทำงานที่ไม่เคยให้เธอเข้าไป มันน่าขำอย่างกับเรื่องตลกร้าย เมื่อรหัสผ่านเข้าห้องทำงานที่เขาเขียนไว้ในสมุดบันทึกที่เธอเจอในห้องนอนคือวันเกิดของเธอ เขาเขียนไว้ว่า วันสำคัญของคนสำคัญที่สุด จนทำให้ราเวนนาอดคิดไม่ได้ว่าคำว่าสำคัญของเขานั้นมีความหมายเช่นไรกันแน่ ไม่แค่นั้น การได้กลับมาเยือนบ้านหลังนี้ยังทำให้เธอผวาหวาดหวั่น ความกลัวที่หายไปนานเนิ่นหวนคืน เมื่อจดจำได้ว่าเขาเคยทำอะไรกับเธอในบ้านนี้ ตรงไหน อย่างไร เธอจดจำได้ทุกอย่าง ตรงนั้นที่เขาเคยจูบเธอด้วยความรัก ตรงนั้นที่เขาเคยจับหัวเธอโขกกำแพง ตรงนั้นที่เขาเคยต่อยหน้าเธอจนตาบวมเป่ง ราเวนนาคิดว่าลืมไปได้แล้ว ทว่าแท้จริงมันยังฝังลึกอยู่ในสมองไม่ไปไหน หรืออาจไม่มีวันจากไปเลย แต่เธอรู้ว่ามันจะดีขึ้นได้ แค่ต้องให้เวลากับมัน เพราะการเยียวยาไม่ใช่สิ่งที่จะหายได้ในเร็ววัน

    ราเวนนาเจอทุกอย่างที่ต้องการในลิ้นชักโต๊ะทำงานของเขา ทว่าคนที่อยากรีบไปรีบกลับก็อดไม่ได้ที่จะเดินสำรวจห้องที่เพิ่งเคยเข้ามาครั้งแรก เพราะมันจะเป็นครั้งสุดท้ายด้วยเช่นกัน ไม่มีอะไรในห้องทำงานสีขาวโล่งสะอาดตานี้มากนัก แต่หนึ่งในนั้นคือหุ่นโชว์ที่อาจเคยเป็นหุ่นลองชุดอะไรสักอย่าง ราเวนนาไม่รู้แน่ชัดว่าอดีตสามีของเธอทำงานอะไรเนื่องด้วยมันไม่ใช่สายงานของเธอ และเขาก็ไม่ได้บอกเล่าให้เธอฟังมากนักเช่นกัน แต่เธอเคยได้ยินเขาพูดประโยคจำพวกล่องหน ไร้เงา แสงหักเห หรืออะไรทำนองนั้น หากก็ไม่คิดว่าต้องสนใจอีก เธอไม่ได้ต้องการอะไรจากเขาทั้งบ้านหรือแก้วแหวนเงินทอง เรื่องของเขามันจบไปแล้ว ที่เธอต้องการคือการได้ออกไปจากบ้านนี้ จากเมืองนี้ จากประเทศนี้

    และเมื่อนั้นเจสซี่ ลูอิส ก็จะกลายเป็นเพียงความหลังครั้งหนึ่ง เป็นความทรงจำทั้งดีและร้ายที่จะทำให้เธอแกร่งขึ้น


    เธอยังพักอยู่ที่บ้านของดาเรียกับชาร์ลส์ ที่เต็มใจให้เธออยู่ด้วยจนกว่าจะจัดการทุกอย่างเรียบร้อย แต่ไม่นานจากนั้นราเวนนาก็ได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของบางอย่างในบ้านที่นอกเหนือจากเธอ ดาเรีย และชาร์ลส์ ประตูมีเสียงเคาะแต่เปิดออกไปไม่เจอใคร โทรศัพท์บ้านดังแต่พอรับก็ไม่มีเสียงที่ปลายสาย ไฟเปิดปิดเอง ประตูหน้าต่างที่แน่ใจว่าปิดแล้วถูกเปิดอ้า ข้าวของย้ายที่ ผ้าห่มกองอยู่ปลายเตียงตอนตื่นนอน ทีวีเปิดปิดอัตโนมัติ แม้ไม่ได้เชื่อหรือกลัวเรื่องลี้ลับมากนัก ราเวนนาก็ยังคิดว่ามันน่าขนลุก หากก็เอาไปพูดเป็นเรื่องขำขันกับเจ้าของบ้านที่ไม่เคยพบเจอเหตุการณ์พวกนี้ว่าบ้านอาจมีผี

    กระทั่งได้รู้ด้วยวิธีการที่โหดร้ายที่สุดว่ามันไม่ใช่ผี

    มันเป็นคืนที่ดาเรียกับชาร์ลส์บอกว่าจะกลับบ้านดึก ราเวนนาที่นอนอ่านหนังสืออยู่คนเดียวบนโซฟาห้องรับแขกพับปิดหนังสือนิยายวิทยาศาสตร์ที่อ่านอยู่ เมื่อได้รับสัญญาณบอกว่ามีข้อความเข้ามาในมือถือ มันมาจากเบอร์ที่เธอไม่รู้จัก เธอกดอ่านมัน

    ผมก็ยังตกหลุมรักคุณเหมือนเมื่อแรกพบ

    ราเวนนาตกใจจนมือถือร่วงหลุดจากมือ มันคือประโยคที่เคยทำให้ใจเธอไหวหวั่น...จากเจสซี่ เหตุใดเธอจะจดจำคำหวานที่อดีตสามีชอบพูดในยามอารมณ์ดีไม่ได้ บัดนี้ประโยคนั้นก็ยังทำให้ใจเธอไหวสั่นได้ แม้ว่าจะด้วยอีกเหตุผลหนึ่งก็ตาม หญิงสาวลุกขึ้นเหลียวซ้ายแลขวาด้วยความกลัว แต่ก็ไม่เห็นวี่แววสิ่งมีชีวิตอื่นในบ้านนอกจากเธอเอง ราเวนนาก้มหยิบมือถือขึ้นมาเพื่อจะโทรออกไปตามเบอร์นั้น เธอโทรติด ทว่าไม่ได้มีแค่เสียงสัญญาณรอสายที่ได้ยินแนบหู หากยังได้ยินเสียงเรียกเข้าแว่วมาแต่ไกล

    มันดังอยู่ในบ้านหลังนี้

    แม้จะกลัวจับใจแต่ความอยากรู้ก็มีมากกว่า ราเวนนาเดินไปตามที่มาของเสียง มันดังที่สุดเมื่อมาถึงห้องใต้หลังคา เธอหยิบไม้ที่วางอยู่กับผนังมาสอยเปิดหลังคาเพื่อจะขึ้นไปดูให้รู้แน่ เพดานห้องใต้หลังคาเปิดออกพร้อมกับบันไดที่ตกลงมา หากเมื่อจับขั้นบันไดและปีนขึ้นไปได้แค่ไม่กี่ขั้น ร่างของเธอก็ถูกกระชากลงมากระแทกพื้นอย่างแรง มันเจ็บมากจนเธอต้องร้องโอดโอย  แต่พอพยายามจะลุกก็ล้มลงไปอีกครั้งจากบางอย่างที่มาจับไหล่ทั้งสองข้างแล้วผลักเธอลงไป ราเวนนาปัดป่ายมือไปยังอากาศว่างเปล่าตรงหน้า เพื่อจะพบว่ามันไม่ว่างเปล่า หญิงสาวรู้สึกเหมือนได้สัมผัสผ้าหนังถึงจะคิดว่าไม่ใช่เสียทีเดียวก็ตาม

    แต่อย่างหนึ่งที่ราเวนนาแน่ใจได้คือมันเป็นรูปทรงของ...มนุษย์

    มันไม่ได้ปัดมือเธอที่ตบตีหรือพยายามดันออก เพราะราเวนนารู้สึกแต่เพียงแรงกดที่ลำคอ มันง่วนกับการทำร้ายเธอแทนที่จะปัดป้องเธอ และมันเป็นสัมผัสของมืออย่างแน่นอน เหตุใดหญิงสาวจะไม่รู้ว่าความรู้สึกยามมือกดลงไปบนคอนั้นเป็นเช่นไร ในเมื่อมันไม่ใช่สิ่งที่เธอเพิ่งเคยประสบ เจสซี่เคยทำกับเธอมานับไม่ถ้วนเมื่อครั้งยังมีชีวิต

    ราเวนนาจดจำได้หมดจดถึงวิธีกอบกุมของเขา วิธีลงน้ำหนักของเขา ไม่ใช่แค่ตอนทำร้ายเธอ แต่ยังรวมถึงตอนมีเซ็กซ์กัน และมันไม่เคยใช่ความสุขของคนถูกกระทำที่ไม่ได้เต็มใจยินยอม การบีบคอรุนแรงขณะร่วมรักไม่ทำให้เธอสนุกหรือถึงจุดสุดยอดได้อย่างที่เขาว่า มันมีแต่ความทรมานไม่ต่างจากการทำร้ายเอาตาย ตอนที่ราเวนนาคิดว่าตัวเองกำลังจะตายอีกครั้ง สมองคล้ายจะขาดอากาศไปหล่อเลี้ยง ก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์รถดังมาจากหน้าบ้าน ดาเรียกับชาร์ลส์คงกลับมาแล้ว ทันใดนั้นเองมือคู่นั้นก็คลายออกจากคอเธอ ราเวนนาได้ยินเสียงกระซิบข้างหูเธอที่นอนร้องไห้พร้อมกับพยายามสูดรับอากาศว่า

    “เธอทำฉันเจ็บปวดมากนะ ราเวนนา”

    มันคือเสียงของเจสซี่ ลูอิส

    เขายังไม่ตาย! เจสซี่ยังไม่ตาย! ราเวนนาโง่เง่าจนไม่ทันได้ฉุกคิดว่าชายมากทิฐิอย่างเขาย่อมไม่มีทางฆ่าตัวตาย หากเป็นเพราะงานวิจัยเขาก็จะสู้จนยิบตา หากเป็นเพราะเธอ เขาก็จะต้องฉุดเธอลงหุบเหวให้ได้ก่อน บัดนี้ทุกอย่างหวนคืนกลับมาในความคิดของหญิงผู้โง่เขลาแล้วว่าเจสซี่ทำงานวิจัยโครงการลับนั้นเสร็จได้ งานที่เธอนึกออกในวินาทีนั้นเองว่าเขาเคยหลุดปากบอกเธอครั้งหนึ่ง แต่ราเวนนาไม่ได้ใส่ใจเพราะคิดว่าไม่เกี่ยวอะไรกับตัวเอง ทว่าแท้จริงเธอคือเหยื่อทดลองรายแรกของเขา

    ‘มนุษย์ล่องหน’

    และเขาย่อมตามหาเธอเจอ เหมือนที่เขาเจอทุกอย่างในหัวของเธอได้แม้ไม่ปริปาก ราเวนนาไม่เคยฉลาดพอจะเดินนำหน้าเขาได้จนจบ เพราะเมื่อไรที่เธอนำไปหนึ่งก้าว ไม่นานจากนั้นก็จะถูกเขากระชากจนถอยร่นลงมาสองก้าว ไม่มีทางที่เธอจะฉลาดกว่าเขา ไม่มีอะไรที่เธอจะเหนือกว่าเขา และหญิงโง่รู้ว่าตอนนี้เขาก็กำลังทำอย่างนั้น ป่าวประกาศว่าเขาฉลาดและเหนือกว่าให้เธอได้รู้...ก่อนที่ทั้งโลกจะได้รู้

    ไม่มีใครเชื่อว่ามนุษย์ล่องหนมีจริง ไม่มีใครเชื่อว่าสามีเธอยังอยู่ แต่เจสซี่ยังอยู่ และต้องการให้ภรรยาที่เขาแค้นเคืองรู้ว่าเขายังอยู่


    นับจากคืนนั้น ชายผู้ล่องหนในความหมายตรงตัวทุกประการก็จะเข้ามาทำร้ายเธอถึงในห้องนอน เจสซี่จะไม่กระทำรุนแรงมากพอให้เธอแหกปากกรีดร้องเพื่อปลุกเจ้าของบ้านได้ แต่ถ้าเธอทำ เขาก็จะปิดปากอุดจมูกเธอจนแทบหายใจไม่ออก และราเวนนาก็จะได้รำลึกบทเรียนแต่หนหลังว่าเธอต้องปิดปากเงียบเท่านั้น เจสซี่จะทำร้ายเธอในจุดใต้ร่มผ้าที่หากไม่เผยก็เห็นได้ไม่ชัดเจน ทว่าทุกความเจ็บปวดก็ยังชัดเจนไม่ต่างจากตอนที่เขามีรูปร่างเป็นตัวเป็นตน

    กระทั่งมาถึงจุดที่ราเวนนาทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอเอาไปเล่าให้ดาเรียกับชาร์ลส์ฟังโดยไม่สนแล้วว่าเจสซี่จะรู้หรือไม่ เพราะการเก็บไว้กับตัวรังแต่จะทำให้เธอบ้า แต่เบ้าตาที่ลึกโหล ใบหน้าซูบซีดเหมือนคนอดนอน และท่าทางสะโหลสะเหล ก็ทำให้ดาเรียยากจะเชื่อคำพูดที่ดูไร้เหตุผลรองรับพวกนั้น

    เธอควรกลับไปกินยากล่อมประสาทก่อนที่เธอจะประสาทกิน”

    เรียแนะด้วยความเห็นใจ เข้าใจว่าเพื่อนสนิทคงยังทำใจไม่ได้เมื่อได้กลับไปเยือนบ้านที่เคยอยู่กับสามีเก่า รอยฟกช้ำเหล่านั้นอาจเป็นผลข้างเคียงจากความรู้สึกที่ยังตัดไม่ขาด ราเวนนาทำร้ายตัวเองเพราะหลอนจากเหตุการณ์ที่เคยเผชิญในตอนที่เจสซี่ยังอยู่ หล่อนว่าเธอควรไปหาหมอ

    “ก่อนที่ทุกอย่างจะแย่ลงไปกว่านี้”

    แต่ดาเรียคิดผิด เพราะไม่กี่วันถัดมา เอกสารฉบับสุดท้ายก็ถูกส่งมาถึงราเวนนา แค่เซ็นมันส่งให้ทนาย เธอก็จะกลับอิตาลีได้โดยไม่มีอะไรติดค้างกับเจสซี่ ลูอิสอีก ไม่เพียงข่าวดีจะมาเยือนในตอนบ่าย ค่ำนั้นเจสซี่ก็ไม่ได้มาเยี่ยมเยียนกรายหาเธอด้วยเช่นกัน ทั้งที่ราเวนนาตั้งใจไว้ว่าหากเขามา เธอจะตะโกนกรีดเสียงใส่ว่าจากนี้เขาจะทำอะไรเธอไม่ได้อีกแล้ว มันเป็นความกล้าลมๆแล้งๆที่เธอไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าตัวเองกล้าพอจะทำหรือเปล่า แต่อย่างไรมันก็จบแล้ว

    เช้าวันถัดมาในคืนแรกที่ราเวนนานอนหลับได้สนิท นับตั้งแต่เจสซี่ในคราบมนุษย์ล่องหนทำให้เธอรับรู้ถึงการมีอยู่ หญิงสาวก็ตื่นขึ้นมาอย่างกระปรี้กระเปร่าตั้งแต่ตีห้า ทำอาหารเช้าตระเตรียมให้สองสามีภรรยา ทว่าเจ็ดโมงแล้วพวกเขาก็ยังไม่ออกมา จึงลุกจากโต๊ะที่นั่งรอจนอาหารเย็นชืดไปเคาะประตูเรียก ครั้นรออยู่นานหลายนาทีก็ยังไม่มีการตอบรับ จึงตัดสินใจทำตัวเสียมารยาทด้วยการหมุนลูกบิดที่ไม่ได้ล็อกเข้าไป คนทั้งคู่ไม่เคยนอนโดยไม่ล็อกห้อง ทุกอย่างนั้นผิดปกติวิสัยมากเสียจนราเวนนานึกงนงาย

    ทบไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาจากคอ เมื่อเห็นสองร่างที่นอนจับมือกันบนเตียงในห้องมืดที่ม่านทึบปิดสนิท มองผาดเผินก็ดูเหมือนพวกเขากำลังหลับอยู่ แต่เพราะแสงสว่างภายนอกจากประตูห้องที่เปิดอ้า ผู้มาเยือนจึงมองเห็นหน้ากากออกซิเจนครอบอยู่บนใบหน้าของคนทั้งคู่ ก่อนจะเห็นสายโยงยางจากหน้ากากไปยังถังแก๊สที่อยู่ข้างเตียง

    วกเขาตายด้วยการรมแก๊ส

    ผิดแล้ว พวกเขา ‘ถูกฆ่า’ ด้วยการรมแก๊ส

    ราเวนนาทรุดร่างจากขาที่อ่อนกำลังจนหมดแรงยืน เกิดเสียงเล็ดลอดออกมาจากคอได้ในที่สุดเมื่อเธอร้องไห้ออกมา อาทิตย์หน้าจะถึงวันครบรอบแต่งงานปีที่ห้าของดาเรียกับชาร์ลส์ พวกเขานัดแนะกับเธอว่าจะไปฉลองที่อิตาลีโดยให้เธอช่วยพาเที่ยว ไม่มีทางที่คนทั้งคู่จะจบชีวิตตัวเองทั้งที่วางแผนการไว้หมดแล้ว แต่แล้วทันใดก็มีเสียงดนตรีดังขึ้นแทรกไปกับเสียงร่ำไห้ มันอาจมาจากมือถือของใครสักคนในนั้น ดาเรีย ชาร์ลส์ หรือมนุษย์ล่องหน ราเวนนาไม่รู้ แต่เธอรู้ว่ามันเป็นเพลงอะไร

    เอฟเวอร์ แฮด อะ ลิตเติล เฟธ ของ เบลล์ แอนด์ เซบาสเตียน

    เธอจดจำได้ตั้งแต่ดนตรีแรก รำลึกได้ทุกถ้อยความในบทเพลง เพราะมันเป็นเพลงที่เจสซี่รัก ไม่มีเหตุผลอะไรที่เธอจะไม่รักมันตามเขา แต่ท่อนหนึ่งของเพลงที่เคยทำให้เธอมีความสุขทุกครั้งที่ได้ฟัง บัดนี้ไม่ใช่เลย ไม่อีกต่อไป

    เมื่อยามเช้ามาเยือน ความหวังก็พุ่งทะยานในหัวใจเธอ เธอรู้สึกละอาย เมื่อยามเช้ามาถึง,

    ทิ้งความสงสัยไปเสีย หากเธอสงบ ก็รับฟังเสียงที่เงียบสงัด

    นื้อเพลงท่อนที่บรรเลงอยู่ขับร้องอย่างนั้น แต่หาได้มีเพียงเสียงดนตรีจากมือถือ หากยังคลอประสานด้วยเสียงไพเราะของสามีเธอ ไม่นานจากนั้นราเวนนาก็รู้สึกถึงสัมผัสหนักๆบนแผ่นหลังของเธอที่ได้แต่ก้มหน้าร้องไห้ ราวกับมีใครโอบกอดจากด้านหลัง

    เธอเคยมีศรัทธาสักเล็กน้อยมั้ย” (เอฟเวอร์ แฮด อะ ลิตเติล เฟธ)

    เสียงที่พูดอยู่ข้างหูเธอ และสัมผัสเหมือนริมฝีปากที่พร่างพรมบนแก้มชุ่มน้ำตาของเธอ เป็นของเจสซี่ ลูอิส


    ไม่มีใครเชื่อราเวนนา

    การตายของดาเรียกับชาร์ลส์ที่ในตอนแรกเธอคือผู้ต้องสงสัยหลัก ได้ถูกสรุปในที่สุดจากหลักฐานทั้งหมดว่าเป็นการฆ่าตัวตาย หนึ่งในนั้นก็คืออีเมลลาตายที่พวกเขาส่งให้ครอบครัว เพื่อน รวมถึงราเวนนา หญิงสาวกวาดสายตาอ่านทุกถ้อยคำในอีเมลอย่างตั้งใจทั้งที่วิสัยมัวพร่าจากน้ำตา ทุกข้อความในนั้นคือเรื่องโกหกทั้งเพ พวกเขาไม่ได้มีปัญหาทั้งการเงินการงาน ไม่ได้ท้อแท้หรือหมดหวังกับชีวิต เรื่องราวทุกอย่างนั้นไม่สอดคล้องกับชีวิตของสองสามีภรรยาที่ราเวนนาได้เห็นและรับรู้มาตลอด รูปแบบการเขียนเช่นนั้นเป็นของใคร ทำไมราเวนนาจะไม่รู้ เหตุใดเธอจะจดจำวิธีการเขียนของสามีตัวเองไม่ได้ หากก็ไม่มีทางที่ใครจะเคลือบแคงสงสัย เมื่อไม่มีความเชื่อมโยงใดระหว่างคนตายทั้งสาม แต่ราเวนนารู้ว่าเจสซี่ตั้งใจทำให้เธอดูออก กระทั่งข้อความสุดท้ายในนั้นก็ราวกับเขาเจาะจงส่งให้เธอแต่เพียงผู้เดียว

    ‘เราจะกลับไปยังบ้านที่จากมา ไม่มีที่ใดดีไปกว่านี้แล้ว’

    ราเวนนาพ้นจากการเป็นผู้ต้องสงสัยโดยสมบูรณ์ แต่พอเธอเผยบาดแผลจากการถูกทำร้าย บอกว่าเป็นฝีมือของสามีเธอ ชายที่ประสบความสำเร็จกับการทำให้ตัวเองล่องหนได้ ตำรวจก็ได้แต่เห็นอกเห็นใจกระทั่งสังเวชเธอที่ดูจะวิตกจริตเพราะความตายของสามี และจากความเครียดที่สองสามีภรรยานำมาแบ่งปัน จนถึงกับทำร้ายตัวเอง

    เจสซี่ทำได้ เขาไม่เพียงทำให้ตัวเองล่องหน แต่ยังทำให้เธอเป็นเหมือนมนุษย์ล่องหนไม่ต่าง

    ราเวนนาไม่เหลือใครที่จะปกป้องเธอได้อีก และเธอก็ไม่อาจปกป้องใครได้ทั้งยังนำพาความตายมาสู่พวกเขา

    -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


    รถแท็กซี่หยุดจอดที่ซันเซ็ตบูเลอวาร์ด หน้าประตูรั้วเหล็กที่ถนนทอดนำไปสู่บ้านหรูหรา กว้างขวาง โอ่อ่า เคหาสน์ที่งดงามที่สุดเท่าที่ราเวนนาหรือใครจะเคยเห็น วิมานที่เธอเคยคิดว่าจะได้อยู่อย่างมีความสุขกับชายที่รัก กระทั่งต้องหนีออกไปเมื่อมันกลายเป็นคุกคุมขัง แต่เธอก็ยังไม่อาจพบความสุขข้างนอกได้

    บัดนี้ราเวนนารู้แล้วว่าเธอไม่มีวันหนีพ้น ไม่ว่าจะความทุกข์ ความสุข หรืออะไรก็ตามที่เจสซี่มอบให้ เขาทำให้มั่นใจว่าเธอจะรู้ว่ามีเพียงเขาที่มอบทุกอย่างให้เธอได้

    ราเวนนาลากกระเป๋าเดินทางที่มีเพียงใบเดียวไปตามทางเดินในสวน ก่อนไม่ช้าจะมองเห็นร่างที่ยืนอยู่หน้าประตูบ้านกระจกดั่งกำลังรอเธอ ร่างที่มีเลือดเนื้อ มีผิวหนัง ร่างที่มองเห็นได้อีกครั้งของเขา—ของเจสซี่ ลูอิส ในชุดตัวเดียวกับเมื่อแรกพบเธอในงานปาร์ตี้ที่ราเวนนา ผุดรอยยิ้มงดงามบนใบหน้าหล่อเหลาที่ทำให้ราเวนนาถลำลึกและตกหลุมรักจนมอบทั้งใจให้อย่างง่ายดาย โดยไม่ศึกษาเขาให้มากกว่านั้น ไม่ทำความรู้จักเขาให้ถ่องแท้กว่านี้ แต่ก็ไม่มีทางย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว ไม่ว่าจะการตายของครอบครัวดูลเซต์ ความวิปริตที่ไม่อาจเยียวยาของเจสซี่ หรือความคิดจิตใจของเธอที่มีต่อเขา

    น้ำตาของราเวนนาไหลออกมาพร้อมกับที่เจสซี่อ้าแขนออกมา หญิงสาวปล่อยมือจากหูกระเป๋าโดยไม่ไยดีมันอีกเพื่อจะโผเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของสามีเธอ มือคู่นั้นที่โอบกอดเธอด้วยความรักใคร่ ก็คือมือคู่เดียวกับที่ทำร้ายเธออย่างแสนสาหัส ร่างกายที่เคยทรมานเธอจนเกือบตาย ก็คือร่างกายที่เคยทำให้เธอสำลักความสุขแทบกระอักตาย แต่หากราเวนนากลับมาอยู่กับเขา ก็อาจช่วยไถ่บาปที่เธอทำต่อดาเรียกับชาร์ลส์ให้ทุเลาเบาบางลงได้ จากนี้จะไม่มีใครต้องตายเพราะความโง่เง่าของเธออีก คนที่เจ็บจะมีแค่เธอ

    ละราเวนนาจะรักเจสซี่ได้อีกครั้ง เพราะเธอเข้าใจแล้วว่าไม่มีใครรักเธอได้อย่างเขา คนที่ทุ่มเทเพื่อเธอขนาดนั้นแม้มันจะหมายถึงการแก้แค้นหรือทำร้าย เพราะอย่างไรเธอก็จะมีตัวตนกับเขาเสมอ

    ที่เดียวที่เหมาะสมกับเธอ ที่เดียวที่คู่ควรกับเธอที่สุด ที่เดียวที่ราเวนนาจะมีตัวตนเสมอ ต่อให้เธอจะล่องหนในสายตาคนทั้งโลก

    ยินดีต้อนรับกลับบ้าน”

    ก็คือในอ้อมกอดของเจสซี่ ลูอิส


    “คุณถูกผู้ชายคนนี้ครอบงำด้วยความรุนแรง เขาทำให้คุณเข้าใจว่าความรุนแรงคือความรัก”

    — คำให้การของเอ็น (มินะโตะ คะนะเอะ เขียน, สำนวนแปลคุณหนึ่งฤทัย ปราดเปรียว)

    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    .
    - ระบุปีในประโยคจาก The Invicible Man เพราะเคยมีหนังชื่อเดียวกันนี้มาก่อน / เพลง Ever Had A Little Faith คือเพลงที่เราฟังบ่อยเป็นอันดับหนึ่งในspotifyประจำปี2020 ก็ฟังเพื่อแต่งเรื่องนี้เนี้ยแหละ แต่ไม่คิดว่าจะมาเป็นอันดับหนึ่งได้ lol / และเพราะเพลงนี้เรารู้จักจากตอนประกอบเรื่อง The Young Pope เลยให้นางเอกเป็นคนอิตาลี แถวบ้านเรียก dedicated (ทุ้ยส์!) / บทบรรยายหนึ่งที่เพิ่มมาแล้วเราชอบมากคือตอนพูดถึงหนังเรื่องโรมันฮอลิเดย์กับซันเซ็ตบูเลอวาร์ด โอ้โหดีมาก ต้องอวยตัวเองจริง T_T
    - อันนี้นอกเรื่องแต่เม้าท์หน่อย กูหยิบเรื่องคำให้การของNมาอ่านด้วยความบังเอิญในช่วงที่เกลาฟิคนี้ แล้วก็ไม่คิดว่าเรื่องนี้จะมีแก่นที่การใช้ความรุนแรงพอดี เลยได้ประโยคมาปิดท้ายอย่างงดงามแบบนี้ด้วย เย่! \(T_T)/
    -
    ถ้าจำกันได้ (มึงจำไม่ได้หรอก) กูได้เคยบอกไปว่าฟิคที่รักที่สุดก็คือเรื่อง Circular และตอนนี้ก็ยังคงเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลง ดังนั้นในเมื่อเราสามารถแต่งเรื่องนี้เป็น extended ver. ได้ยอดเยี่ยมแบบนี้ (ชมตัวเอง) กูก็เลยคิดว่าจะทิ้งเรื่องนั้นได้ยังไง อยากเอามาบรรยายเพิ่มเหมือนที่ทำกับเรื่องนี้ และรู้ว่าถ้าไม่แปลงเป็นฟิคชาติอื่นก็จะไม่ได้ทำแน่ชาตินี้ ถึงจะรักทุกอย่างในต้นฉบับมากก็ตาม ดังนั้นใช่ค่ะ ถ้ามึงได้อ่านถึงตรงนี้ รบกวนส่งชื่อกับเมจมาด้วยโดยด่วน พระเอกไทกะค่ะบทนี้ยืนหนึ่งเท่านั้น ส่วนแฟนเก่าเลือกได้ค่ะ โฮคุโตะหรืออุมิจังหรืออาเบะจังก็ได้ โคจิจัง เจสสี้จังก็ได้นะ 555 กูแต่งได้หมดค่ะ เชื่อกู กูแต่งเองแปลงเองกูรู้! (ได้แล้วต้ะ :3)
                
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×