คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : Across The Universe | Sin City (2005)
RE-RELEASE DATE : JULY 9, 2021
--------------------------------------------------------------------------------------------------
- เผอิญย้อนไปอ่านฟิคเก่าเรื่องนี้มา แล้วก็รำลึกได้ว่าเป็นเรื่องที่เราตั้งใจจะเอามาลงใหม่หลายรอบมาก แต่ก็คิดตลอดว่ามันยังไงไม่รู้เลยไม่เคยได้เอามาลงใหม่สักที แต่ทีนี้ไปย้อนดูเทรเลอร์1917มาแล้วเป็นหงึกๆหงักๆ เลยจับจอร์จ อันยา ดีนชาร์ลส์ สามคนที่เรารักมากรักที่สุดเดอะเบสต์กลับมาลงฟิคด้วยกันอีกดีกว่าว้อยยย!!!!
- ถึงจะนานมากแล้วแต่เราก็ยังจำที่มาที่ไปได้ เพราะการที่เราริเริ่มความคิดเองโดยไม่ได้ก๊อปจากฟิคใคร เราย่อมจำจุดเริ่มต้นได้ มันเริ่มจากตอนนั้นเพื่อนยูแนะนำเราที่ในตอนนั้นยังไม่ได้บ้าหนังว่า มึงดู Sin City สิ พอดูก็เฮ้ย! พล็อตมาว่ะ! แล้วเมืองคนบาปมันต้องเวกัสก็เลยเป็นเวกัส แต่พอคิดพล็อต เราก็ได้แรงบันดาลใจมาจากโรโบคอป(1987)ด้วย แล้วก็อยากได้เมืองเสื่อมโทรมเหมือนเรื่องนั้นอย่างดีทรอยต์ (ก็อตแธมก็ได้ บทดีนชาร์ลส์ถึงเป็นลูกอธิบดีไงเพราะเราน่าจะดูแบทแมนมาด้วยมั้ง 555) มันจะมีพล็อตหลัก3อัน พล็อตที่2เป็นเรื่องฝั่งตำรวจ (นางเอกตำรวจดี พระเอกตำรวจเลว) ส่วนพล็อตที่3ก็เรื่องราวในคาสิโน แต่ที่เราเอาลงนี้ แต่งepilogueจบแค่พล็อตเดียวคือพล็อตคนรวยจ้า ว่าแต่ สามคนที่เราจับมาลงนี้...เป็น...นักแสดงอังกฤษหมดเลยไม่ใช่...หรือไง...นะ ฮ่าฮ่า แต่เอาเถอะ ช่วงนั้นเราอ่านงานมูราคามิ แล้วได้รับอิทธิพลนิยมชมชอบเพลงบีเทิลส์อะไรแนวนั้นมามาก 555 ก็ถือว่าโอเคที่พระเอกอีกคนเป็นคนอังกฤษล่ะนะ
- มันจะมีการบรรยายหลายอย่างที่เวิ่นเว้อ เรียกว่าดัดจริตเลยก็ได้ เพราะตอนนั้นคิดว่าการยัดคำสวยคือการแต่งฟิคที่ดี (สรุปคือไม่ได้แต่ง มัวแต่หาคำสวยมาใส่ อันนี้เรื่องจริง) แต่ก็ไม่แก้อะไรมากอยู่ดี อยากเก็บภาษาสมัยนั้นไว้เป็นอนุสรณ์ เพราะมาอ่านตอนนี้มันก็ไม่ได้แย่นะ (แค่มันดีกว่านี้ได้) และมันก็เก่งมากแล้วสำหรับเราในตอนนั้นที่แต่งฟิคปีละ5หน้าจ้าาาา แต่พูดก็พูดเถอะ เพิ่งจำได้ว่าเรื่องนี้แต่งไว้ตั้งแต่ปี2014 ก็รู้นะว่าแต่งทิ้งไว้นานมากแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะนานขนาดนี้ ว้าวส้า!
Limitless undying love which shines around me like a million suns
It calls me on and on across the universe.
(รักนิรันดร์ทอดทอแสงโชติช่วง ห้อมล้อมกายดุจนับล้านดวงตะวัน
พร่ำเพรียกเวียนวนร้องเรียกหาฉัน ข้ามผ่านห้วงจักรวาลโพ้นไกล)
นับตั้งแต่วินาทีที่เรียวขายาวภายใต้รองเท้าบู๊ตสีดำราคาไม่กี่เปโซ เคยเหยียบย่ำลงบนผืนทรายของเม็กซิโกที่เธออยู่อาศัยมาตลอดสิบเก้าปี กระทั่งได้ถือครองสัญชาติใหม่ในฐานะพลเมืองอเมริกันเต็มตัวแทนกรีนการ์ดที่ต้องถือครองมานานกว่าห้าปีนั้น เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกว่าท้องฟ้ายามเช้าในวันนี้ดูปลอดโปร่งแจ่มใสเป็นที่สุด
‘ไปอยู่ที่อเมริกากับฉัน’
หาใช่อุปมาอุปไมย เช่นที่เด็กหนุ่มอเมริกันผู้ดึงเธอออกมาจากขุมนรกที่ลึกสุดหยั่งได้ให้คำมั่นสัญญาไว้
คุณลุงกุสตินที่บุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนหนึ่งเดียวของครอบครัวโมรีโนเห็นหน้าค่าตามาแต่อ้อนแต่ออก ขอให้บิดาเธอช่วยเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ เพื่อจะได้นำเงินก้อนนั้นมาเป็นทุนเปิดบริษัทนำเข้าอะไหล่รถยนต์จากเอเชียในราคาถูก อ้างแก่ครอบครัวเธอว่าธุรกิจด้านนี้กำลังเฟื่องฟู ไม่เกินสองปีก็คงได้กำไรเป็นกอบเป็นกำมาทบหนี้ผ่อนดอกได้จนหมด ครอบครัวของเธอจะไม่เดือดร้อนอย่างแน่นอน บิดาของเธอกระดิกปากกาเซ็นชื่อลงในใบสัญญาเงินกู้อย่างง่ายดาย ไม่แม้แต่จะอ่านข้อความในใบสัญญายาวเหยียดนับสิบแผ่นให้ถ้วนถี่เช่นทุกครั้งคราวที่ต้องลงนามทำธุรกรรมอื่นใดเสียด้วยซ้ำเพราะท่านไว้ใจ แต่มันหาได้เป็นเช่นนั้นไม่
ไม่เพียงแต่ผู้ที่เด็กน้อยนับถือประหนึ่งบุคคลในครอบครัวอย่างสนิทใจ หรือคนที่คบหากับพ่อเธอมานานกว่าสามสิบปีจนพ่อเทียบเทียมเป็นเพื่อนตาย จะปิดบริษัทหนีและหายเข้ากลีบเมฆไปในสองปีนับจากวันนั้น ทิ้งหนี้สินมหาศาลไว้ให้ผู้ค้ำประกันต้องชดใช้ทั้งที่ไม่ได้ก่อ อีกทั้งที่ที่ไอ้สารเลวไปกู้ยืมเงินมาก็คือบริษัทเงินกู้นอกระบบ ซึ่งแม้อัตราดอกเบี้ยจะเกินกว่ากฎหมายกำหนดไปโข แต่กฎหมายก็ไม่อาจจัดการนอกกฎหมายได้
เงินทุกบาททุกสตางค์ที่ได้มาจากธุรกิจการค้าของครอบครัวที่ตกทอดมาตั้งแต่รุ่นปู่ และทรัพย์สินมูลค่ามหาศาลที่เธอเคยคิดว่าต่อให้ผลาญมันอย่างฟุ่มเฟือยเช่นไรก็ไม่มีวันหมด กลับเป็นดั่งภาพลวงตาที่สูญสลายหายไปในพริบตา หนึ่งปีที่ครอบครัวของเธอต้องใช้หนี้แทนคนทรยศจนหมดสิ้น ไม่เหลืออะไรเลยกระทั่งถูกฟ้องเป็นบุคคลล้มละลาย ไม่มีไอ้อีหน้าไหนที่ครอบครัวของเธอเคยมีพระคุณด้วยยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือแม้แต่ตัวเดียว วิมานบนดินของครอบครัวโมรีโนในรูปคฤหาสน์พันล้าน กลายเป็นเพียงห้องเช่าหลังซอมซ่อที่แค่ใช้คุ้มกะลาหัวได้ก็บุญโข แม้โชคชะตาของเทพธิดาตัวน้อยที่เคยอาศัยอยู่แต่ในแดนสวรรค์มาตลอดสิบหกปีจะต้องร่วงหล่นลงมาสู่อเวจีอย่างน่าอดสูเพียงไร แต่ตราบใดที่ยังมีพ่อและแม่ผู้เป็นดั่งเทพยดาในชีวิตของเธอ เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
กระทั่งคืนนั้น เด็กสาววัยสิบเจ็ดกลับมาที่บ้านพร้อมอาหารเหลือจากร้านที่เธอทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟเหมือนเช่นทุกวัน แต่สิ่งที่ผิดแผกไปในวันนี้คือไม่มีวี่แววของพ่อหรือแม้แต่เงาของแม่มายืนรอเธอที่หน้าห้องเช่า หากเมื่อผลักบานประตูไม้เข้าไปในห้องที่ไม่ได้ลงกลอนประตู เธอก็เข้าใจได้ในทันที ร่างซูบผอมของหญิงชายวัยกลางคนทั้งคู่นอนจับมือเคียงกัน มองผาดเผินละม้ายคล้ายแค่นอนหลับไป แต่ฟองสีขาวที่ฟอดเต็มปากและขวดน้ำยาล้างห้องน้ำที่ตกอยู่ใกล้กันกับร่างที่ซีดขาวและเย็นเฉียบนั้น อธิบายได้หมดทุกสิ่ง
‘พ่อกับแม่ขอโทษที่ต้องทิ้งลูกไว้คนเดียว เราเหนื่อยและแก่เกินไปที่จะใช้ชีวิตแล้ว แต่ลูกต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปนะ พ่อกับแม่จะคอยดูแลลูกจากบนฟ้าเสมอ เรารักลูกมากนะ’
แม้หลังจากนั้นเธอจะต้องเผชิญกับความโหดร้ายทุกข์ทนของชีวิตมากมายเพียงใด แต่ทุกครั้งที่นึกถึงข้อความที่บุพการีเขียนทิ้งไว้ให้ก่อนฆ่าตัวตาย เด็กสาวก็ปณิธานกับตัวเองว่าเธอจะมีชีวิตต่อไป
จนเบลก คอนนอลลีได้ก้าวเข้ามาแปรเปลี่ยนชีวิตของเธอไปตลอดกาลด้วยการฉุดเธอออกมาจากขุมนรกลึกสุดหยั่ง แม้นมันจะเป็นเรื่องที่ช่างง่ายดายเสียจนเธออยากหัวร่อด้วยความสะใจระคนสมเพช ให้ชีวิตที่กลับมาพลิกผันอีกครั้งของตนในดินแดนสวรรค์แห่งใหม่ที่มีนามว่าลาสเวกัส ไม่ว่าเธอจะต้องการอะไร แค่เพียงเอ่ยปาก ลูกชายหนึ่งเดียวของอธิบดีกรมตำรวจก็จะขวนขวายไขว่คว้าทุกสิ่งมาให้
แต่ไม่ใช่ ‘เขา’ สิ่งเดียวที่เบลก คอนนอลลีไม่อาจปล่อยให้ฟรีดา โมรีโนไขว่คว้าได้
เพราะเธอจะต้องอยู่บนสรวงสวรรค์ของเขาแต่เพียงผู้เดียว
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
ร่างผอมบางของหญิงสาวในชุดเดรสสีดำยาวกรอมเท้าที่นั่งพิงกับหัวเตียงไหวสั่นจากแรงสะอื้น แม้จะไม่มีของเหลวใดที่ดวงตาแดงก่ำและบวมช้ำคู่นั้นจะขับออกมาได้อีก แต่เธอก็ไม่อาจควบคุมตัวเองให้หยุดหอบสะอื้นจนตัวโยนได้ ราวกับกายาต้องการจะรีดเร้นเค้นเลือดทุกหยาดหยดให้ออกมาด้วย จนเจ้าของร่างกลายเป็นเพียงซากศพแห้งเหี่ยวไปเสีย แม้ตลอดวันคืนที่เนิ่นนานราวชั่วกัลป์ ฟรีดาจะไม่ได้กินดื่มหรือทำอะไรเลย นอกจากขังตัวเองไว้ในห้องนอนและเอาแต่ขับน้ำตาออกมา แต่เธอก็ไม่มีอาการเจ็บปวดทางกายแม้แค่เศษเสี้ยว ไม่นึกหิว ไม่อยากนอน ไม่ต้องการทำอะไรทั้งนั้น เธออยากแต่จะร้องไห้ ร่ำไห้ให้ทุกความรู้สึกทุกความทรงจำที่ฝังลึกอยู่ข้างในถูกรีดเร้นออกไปจนหมด
แต่ไม่เลย ฟรีดายังคงจดจำทุกรายละเอียดที่เธอต้องการจะลบลืมได้ขึ้นใจ ตราบที่เธอยังมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ เธอก็ไม่มีวันลืมได้เลย
ก่อนนัยน์ตาสีดำของหญิงสาวจะเบือนทอดออกไปยังนอกหน้าต่างกระจกบานใหญ่ที่ไม่ได้รวบม่านปิด ท้องฟ้าในเช้าวันใหม่นี้แจ่มใสและปลอดโปร่งเป็นที่สุด งดงามเกินไปจนฟรีดาอยากกรีดร้องออกมาให้สุดเสียง หากฉับพลัน ก็รู้สึกปวดหน่วงขึ้นมาในอกข้างซ้าย จนต้องยกสองมือขึ้นกุมกำที่อกเหนือตำแหน่งหัวใจที่เต้นตุบ แล้วร่างเปราะก็ทรุดลงไปงอก่องอขิงกับเตียง เป็นครั้งแรกที่ฟรีดารู้สึกเจ็บหัวใจที่ไม่ใช่แค่นิยามเปรียบเปรยเช่นชั่วกาลที่แล้วมา
มันจะเทียบเท่ากับที่เขาต้องทนแบกรับมาตลอดไหมนะ
ทั้งอย่างนั้น เธอก็หอบตัวลงมาจากเตียงทั้งที่ยังกำอกซ้ายไว้แน่น ทุลักทุเลพาร่างไปยังเครื่องเล่นแผ่นเสียงที่วางอยู่บนโต๊ะไม้ไม่ไกลจากเตียง วางหัวเข็มที่หยุดทำหน้าที่ของมันมานานเนิ่นแล้วลงบนแผ่นไวนิลอีกครั้ง น้ำเสียงละเมียดของจอห์น เลนนอน และท่วงทำนองเวิ้งว้างทว่าไพเราะจับใจจากวงเดอะ บีเทิลส์ ดังช่วยเห่กล่อมจิตใจเธอทันทีที่ดนตรีเริ่มต้นบรรเลงขับขาน
‘ผมรักเพลงนี้’
‘อะครอส เดอะ ยูนิเวิร์ส’ เคยเป็นเพียงแค่บทเพลงหนึ่งที่ฟรีดาซึ่งเป็นนักร้องในเลานจ์ของโรงแรมห้าดาวในเวกัส ขับร้องกล่อมเกลาผู้ฟังมานับครั้งไม่ถ้วนอย่างไร้ชีวิตจิตใจ แต่หลังจากที่เธอได้รับฟังประโยคนี้จากริมฝีปากคู่นั้น มันก็ได้กลายเป็นบทเพลงที่ฟรีดารับฟังด้วยทั้งหัวใจ และขานขับด้วยทั้งจิตวิญญาณของคนที่กลับมามีความรักได้อีกครั้งนับตั้งแต่สูญเสียบิดามารดาไป
ความเจ็บปวดในอกพลันหายวับไป ฟรีดาทิ้งตัวลงกับพื้นไม้ เธอทอดสายตาไปที่ท้องฟ้าอีกครั้ง และเมื่อกะพริบตาก็มองเห็นประภาคารตั้งตระหง่านอย่างโดดเดี่ยวอยู่ริมทะเลสีน้ำเงิน ลมทะเลหอบโชยกลิ่นไอเค็มของน้ำทะเลมาเตะจมูก ร่างของเธอนอนอยู่บนผืนทรายนุ่มละเอียด
‘ผมอยากจะกลับไปนอนมองทะเลที่ลิเวอร์พูลบ้านเกิดของผมอีกครั้ง’
ไม่มีสิ่งใดที่ผิดแผกไปจากภาพถ่ายขาวดำใบนั้น นอกจากความมีชีวิตชีวาที่เธอ‘สามารถ’สัมผัสได้
‘ผมจะรอนะ’
ศีรษะเล็กถูกประคองเข้าไปในอ้อมแขนแข็งแรงแต่มากล้นด้วยความอ่อนโยน ฟรีดากระเถิบตัวขึ้นนิดหนึ่งจนมองสบกับใบหน้าที่งดงามที่สุดในโลกของเธอได้ถนัดตา ริมฝีปากคลี่ยิ้มส่งให้กับเขา ที่ซึ่งชายหนุ่มจากอีกฟากฝั่งก็ยกยิ้มอ่อนบางทว่าเปี่ยมล้นด้วยความจริงใจกลับคืนมาให้
ใบหน้าของเขาราวกับเป็นจุดโฟกัสเด่นชัดในภาพเขียนที่จิตรกรบนฟากฟ้าลงสีท้องฟ้าในวันโปร่งด้วยสีน้ำมันเป็นฉากหลัง เธอจรดจารึกทุกสิ่งนั้นลงไปในสายตา สมอง หัวใจ ทุกอณูในร่างกายไม่ว่างเว้น ฟรีดาแตะหน้าผากลงกับหน้าผากของเขา ปิดตาหลับลงอย่างวางใจ
ยินน้ำเสียงทุ้มนุ่มเอื้อนเอ่ยเนื้อร้องบทหนึ่งที่งดงามราวถ้อยกวีจากบทเพลงโปรดของเขา ก็ดั่งน้ำทิพย์เยียวยาจิตวิญญาณดวงหนึ่งที่แตกสลายให้ฟื้นคืน
‘Nothing’s gonna change my world’
(ไม่มีสิ่งใดจะมาเปลี่ยนแปลงโลกของฉันได้)
ข้ามผ่านห้วงจักรวาลแสนไกล...ผ่านอุปสรรคขวากหนามนานัปการ...เพื่อจะมาพบกันบนโลกอีกใบหนึ่ง
ตราบที่ท้องฟ้าไม่มีวันมอดมลาย ตราบนั้นก็ไม่มีสิ่งใดที่จะเปลี่ยนแปลงโลกของฟรีดาที่ปราศจากลาคีธ นิวแมนได้
- ที่จริงมันเป็นตอนจบที่แต่งเป็นบทนำ แต่ไม่เคยได้แต่งตอนต้นเพราะบอกแล้วว่าสมัยนั้นปีนึงแต่งได้แค่5หน้า (อันนี้3หน้า 555)
- พล็อตก็มีว่า - เบลกกับฟรีดาอยู่ด้วยกันมาห้าปี ฟรีดาทำงานเป็นนักร้องในเลาจน์ ส่วนเบลกทำธุรกิจสีดำ ไม่เคยโดนจับหรือมีปัญหากับตำรวจ เพราะพ่อเป็นอธิการบดีที่เป็นตำรวจเลว ลาคีธเป็นบอดี้การ์ดที่เบลกให้ไปคุ้มกันฟรีดา / ฟรีดาไม่มีอิสระเลยตอนอยู่กับเบลก เพราะเบลกรักมากหวงมาก (แต่ยอมให้เป็นนักร้องในเลาจน์อยู่นะ) แต่ฟรีดาไม่เคยรักเบลก มองเป็นแค่ผู้มีพระคุณ / ฟรีดาจะได้ไปไหนมาไหนกับลาคีธบ่อยจนพอได้รู้จักกันมากขึ้นก็ชอบกัน / ตอนท้ายเบลกรู้ก็ฆ่าลาคีธเพราะกลัวเสียฟรีดาไป / ที่บรรยายเรื่องเจ็บหัวใจก็คือ ลูกน้องของบ้านนี้จะถูกฝังระเบิดไว้ใกล้หัวใจเพื่อป้องกันการทรยศ ฟังดูเวอร์จังวะ แต่เราเอามาจากโรโบคอป ในเมื่อผลิตหุ่นยนต์อย่างโรโบคอปได้ เรื่องแค่นี้ทำไมจะทำไม่ได้ล่ะวะ 555 / จบแบบให้คิดเองว่า ฟรีดาตรอมใจตายตามไปแล้วได้เจอกับลาคีธในโลกหลังความตาย หรือเป็นแค่จินตนาการก็แล้วแต่จะนึก ตามนั้นแหละ
ความคิดเห็น