คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : Sunrise Boulevard (EP1 : Grace Kelly) | Song To Song (2017)
INSPIRED BY : SONG TO SONG (2017) | Dir. Terrence Malick
RE-RELEASE DATE : MAY 10, 2021
---------------------------------------------------------------------------------------
- ดัดแปลงมาจากฟิคเก่าที่ชื่อ Sunset At Highland ทั้งสองคำนี้สื่อถึงแอลเอจริง และที่จริงเราก็ชอบชื่อเก่ามากแล้วแต่ยังไงก็อยากได้ชื่อใหม่ เลยตั้งเป็น Sunrise Boulevard ให้พ้องกับหนังเรื่อง Sunset Blvd ที่ก็เป็นชื่อถนนในแอลเอ แม้เราจะชอบคำว่าซันเซ็ตมากกว่าซันไรส์ก็ตาม ฮ่วย... (ที่ชื่อบทความเราก็ตั้งมาจากชื่อหนังเรื่องนี้แหละ)
- ต้นฉบับฟิคนี้ที่เราเคยเอาลงคือเอนสีที และเราก็โอเคกับมันมากอยู่แล้ว แต่อยากได้ฟิคให้ฟินน์ไม่ไหว พอเอามาแปลงเป็นฟินน์ก็โอ๊ยดีมากจริง เหมาะมากจริง พล็อตคงเดิมหมด แต่มีบางอย่างที่เราเปลี่ยนแล้วทำให้มันยิ่งดีกว่าเดิม ทั้งการmentionถึงหนังที่เปลี่ยนจากเกรตส์แกตส์บี้ เป็นRear Window เพื่อให้คล้องกับชื่อตอนเกรซ เคลลี (และอุ๊ย คล้องกับชื่อนางเอกในหนังว่าลิซ่า) เพลงที่ใส่ในเรื่องก็เปลี่ยนจากเพลงอินดี้มาเป็นเพลงยุคคุณตาคุณยายที่ดีกว่าเดิมมากกกกก (เพราะฟินน์ฟังติสต์กว่ากูไปหลายขุมค่ะ) ต้องอวยตัวเองจริง สรรหาจัง อิอิ
- เป็นหนึ่งในเรื่องที่ทำให้กลับมาเริ่มแต่งฟิคจริงจังมาถึงทุกวันนี้ได้ แน่นอนว่าก็จะอวยตัวเองว่ามันดีจัง ย้อนอ่านกี่ทีก็ยังคิดว่ามันดีเพราะมันดีจริงจะปฏิเสธทำไม งง @_@ ถึงพล็อตจะเชยไปหน่อย แต่พอคิดว่าแต่งเมื่อสี่ปีก่อนมันก็ดีแล้วสำหรับเราตอนนั้น ช่วงนั้นเพิ่งอินกับหนังเรื่อง Song To Song เลยจับแนวและโทนเรื่องมาแต่ง แต่ตอนนี้อยากแต่งเรื่องแนวนี้ให้ออกมาเป็นโทนนี้ก็ทำไม่ได้แล้ว 55555
- บทห้าวเป้งของแชรอนในร้านอาหาร อิงมาจากประสบการณ์จริง...พอประมาณ เราเคยฝึกงานที่ร้านอาหารเกาหลีในไทย โดนไอ้แก่สองผัวเมียเกาหลีกดขี่และหลอกด่าอยู่บ่อยครั้ง จนพออีกหนึ่งสัปดาห์จะฝึกงานจบครบสามเดือน เราก็หมดความอดทนเลยด่ามันกลับแล้วก็อำลาตลอดกาล ก็ไม่ได้เปรี้ยวหรอกแต่ก็ไม่ได้มีดีแค่ปากแจ๋ว แล้วก็ไม่ต้องพึ่งลูกหาบหรือพรรคพวกเพราะคนเดียวก็เฟี้ยวได้ทั้งในเน็ตและชีวิตจริง ขอบคุณค่ะอิ_อิ
- รีบร้อนเอาลงเพราะอินกับฟินน์สุด แต่จากนี้ก็ไม่เหลือฟิคมาแปลงให้เค้าแล้ว เหลือแต่แต่งใหม่อย่างเดียวที่ก็ไม่รู้ชาติไหนจะมี T w T แต่เอาเถอะ ตอนนี้เราก็พอใจแล้ว ตอนหารูปมาทำก็ว้าวก็กรี๊ดไปหมด รูปทั้งหมดที่เอามาทำก็หล่อมากวัวตายควายล้มหล่อจนไม่รู้จะอวยอะไรเพราะอวยจนเหนื่อยแต่หล่อฉิบจนจะบ้าตาย ขอบคุณค่ะ สวัสดี
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บ่ายนั้น ไมล์สกำลังคร่ำเคร่งกับเอกสารที่เลขานุการนำมาให้เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน หล่อนกำชับเสียงแข็งว่า “ด่วนมากนะคะท่านประธาน ต้องนำไปให้เอจีภายในหกโมงเย็นวันนี้”
เลขาสาวหมายถึงบริษัททำภาพยนตร์ของนักแสดงชื่อดัง แอนดรูว์ การ์เนอร์ กับโปรเจคต์หนังเรื่องใหม่ที่ทางนั้นนำมาเสนอต่อ ‘แฟร์ไชลด์ คอมพานี’ บริษัทลูกของค่ายหนังยักษ์ใหญ่ที่อำนวยการผลิตและซื้อขายหนังอินดี้ หนังสารคดี หนังนอกกระแส ทั้งจากในและนอกประเทศ ที่ไมล์ส แฟร์ไชลด์ในวัยเพียงยี่สิบสามนั่งแท่นประธานคนปัจจุบันมาได้กว่าแปดเดือนแล้ว แม้ประธานหนุ่มอายุน้อยชวนให้ครหา จะพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นว่าปริญญาโทด้านบริหารจากมอโคลัมเบียของเขาไม่ได้เสียเปล่า วิสัยทัศน์ในการเลือกซื้อหรืออำนวยการผลิตหนังก็กว้างไกล คลุกคลีกับโรงหนังและร้านวิดีโอมาตั้งแต่เด็ก วิจารณ์หนังลงนิตยสารดังตั้งแต่ยังเรียนมหาวิทยาลัย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหากไม่มีเส้นสายก็ยากจะได้มีโอกาสอย่างเขา พ่อเป็นนายตำรวจใหญ่ที่อาจได้ขึ้นเป็นอธิการบดี แม่ที่หย่าจากและเสียไปเมื่อสี่ปีก่อนเป็นดาราดังค้างฟ้า ลูกพี่ลูกน้องเป็นคนใหญ่คนโตในวงการเพลง ลุงเป็นผู้มีอิทธิพลกว้างขวางในฮอลลีวูด เขาจึงคว้าตำแหน่งใหญ่ตัดหน้าผู้เข้าชิงหลายคน หลังประธานบริษัทภาพยนตร์ที่กำลังเติบโตและไปได้สวยในตลาดโลกเกษียณอายุ
ไมล์สกำลังจะจรดปากกาลงบนสัญญาตอนที่เขายกหูรับโทรศัพท์สายตรงจากริเวอร์ส แต่ฟังปลายสายพูดได้แค่ไม่กี่คำก็พรวดพราดลุกจากเก้าอี้ สลัดคราบประธานแฟร์ไชลด์ กลายเป็นเด็กชายไมล์สที่ใช้หัวใจเหนือสมองไปเสียแล้ว
จอร์แดนสะดุ้งโหยง เมื่อเห็นเจ้านายวิ่งผลุนผลันผ่านโต๊ะทำงานเธอที่อยู่หน้าห้องของเขาลงลิฟต์ไปชั้นล่าง ลงท่านประธานลนขนาดนี้แถมไปไม่ลาก็ย่อมไม่พ้นเรื่องของผู้หญิงคนนั้น หล่อนถอนหายใจ พลางนึกหาข้ออ้างและคำแก้ตัวให้คนของเอจีในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้
กว่าหนึ่งชั่วโมงครึ่งที่ไมล์สบึ่งมัสแตงสีแดงฝ่าการจราจรคับคั่งจากเวสต์ฮอลลีวูดมาถึงสถานีตำรวจแอลเอนิวตัน พร้อมแอร์รถเย็นเจี๊ยบ อัลบั้ม ‘ไอ, จอนาธาน’ ที่เขาชอบ และเข็มไมล์ที่เหยียบด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่กฎหมายแอลเอกำหนด แต่ความกระวนกระวายก็ไม่ลดลงเลยแม้จะถึงที่หมายแล้ว
เมื่อเห็นคนที่กำลังหอบหายใจอยู่ข้างโต๊ะทำงานของเขา จ่าโจนส์ก็เข้าไปตบไหล่ทักทาย ยื่นแก้วน้ำเย็นให้เพื่อนสนิทเมื่อครั้งร่ำเรียนปริญญาตรีที่นิวยอร์กได้ดื่มให้เย็นลงทั้งกายและใจ ไมล์สเป็นแบบนี้เสมอเมื่อเป็นเรื่องของแม่สาวคนนั้น ไม่ว่าจะเป็นครั้งแรก ครั้งที่สอง ครั้งที่สาม หรือครั้งที่สี่นี้ก็ตามที
“คราวนี้ต่อยเจ้านายจนมือแตกเลยนะ ไม่แตกยังไงไหว หุ่นอย่างกับดเวย์น จอห์นสัน ไม่โดนต่อยกลับก็บุญ ไม่งั้นป่านนี้ได้นอนหยอดน้ำข้าวต้มไปแล้ว” ริเวอร์สพูดติดตลกกลั้วเสียงหัวเราะขัน ผิดกับคนเดินด้วยที่กังวลเสียจนพูดไม่ออก “ฉันว่านายบอกให้แม่สาวเกรซ เคลลีของนายลดความเฮี้ยวลงบ้างก็ดีนะ เข้าออกโรงพักเป็นว่าเล่นแบบนี้ กระหม่อมอดเป็นห่วงเจ้าชายไม่ได้พะย่ะค่ะ” จ่าหยอกด้วยการเปรียบเปรยสถานะของเพื่อนรักและหญิงใจร้อน กับเจ้าชายและสาวสวยสามัญชนที่จับพลัดจับผลูได้เป็นเจ้าหญิงแห่งโมนาโก ไมล์สได้แต่ปล่อยให้เพื่อนสนิทเย้าด้วยไม่อยู่ในอารมณ์จะตอบโต้
“ตื่นได้แล้ว! มีคนมารับแล้ว!”
สาวผมดำที่กำลังนอนหลับสนิทบนเตียงแข็งเป๊กในห้องขังสะดุ้งตื่น เธอกระเด้งตัวขึ้นนั่ง ขยี้เปลือกตาจนอายแชโดว์สีน้ำตาลเลอะ แล้วลดมือลงปิดปากที่หาวหวอดฟอดใหญ่ เธออาจไม่ทันสังเกตเจ้าชายของเธอ หรือไม่ก็แค่แสร้งทำเป็นไม่เห็นเขา ในตอนที่ยกสองมือขึ้นประกบพร้อมเอ่ยขอบคุณริเวอร์สขณะเดินออกจากห้องขัง แม่สาวคนก่อเรื่องลอยลิ่วสบายใจเฉิบ ส่วนคนมารับเครียดขึ้งอย่างกับก่อความผิดเสียเอง โดนพิษรักเล่นงานก็แบบนี้ ริเวอร์สคิดแล้วก็หัวเราะกับตัวเอง
พ้นห้องขังแล้ว จะแกล้งทำเมินก็ไม่ได้เมื่อคนตัวสูงสาวเท้ามาอยู่ข้างกายแล้ว หญิงสาวจึงยิ้มแล้วหันไปขอบคุณ ไมล์สตอบด้วยการฉวยข้อมือทั้งสองข้างขึ้น มองเห็นคราบเลือดกรังที่ข้อนิ้วครบทั้งสิบ โกรธก็โกรธ ห่วงก็ห่วง แต่พอเห็นฝ่ายนั้นทำหน้าเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไรก็เผลอปล่อยเสียงตวาดออกมาจนได้
“ทะเลาะกับเจ้านายอีกแล้วเหรอ มันครั้งที่เท่าไหร่แล้ว! เธอจะอดทนทำงานกับใครไม่ได้เลยรึไง แชรอน!”
สาวเอเชียนามฝรั่งจ๋าอย่างแชรอนก็พลอยโมโห หลงนึกว่าเขาจะเป็นห่วงเป็นใยถามไถ่ว่าเจ็บมากมั้ย แถมยังน้อยใจที่โดนต่อว่าทั้งที่เขาเคยบอกว่าชื่นชมความกล้าของเธอ จึงขึ้นเสียงกลับไปอย่างมีอารมณ์
“ก็มันเอาเปรียบฉัน! ถ้าจะมีใครผิด คนนั้นก็ไม่ใช่ฉัน! ไมล์สไม่รู้อะไรก็อย่าพูดเลยดีกว่า!”
ว่าแล้วก็สะบัดแขนออกจากการเกาะกุม แชรอนไม่ชอบให้ใครมาสั่งสอนหรือวิพากษ์วิจารณ์การใช้ชีวิตของเธอ แม้จะรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นไม่ถูกต้อง หรือแม้จะรู้ว่าไมล์สต้องผ่านอะไรมามากมายกว่าเธอหลายเท่า แต่ความอดทนของคนเราต่างกัน อย่างเช่นแชรอนไม่รอคนผิดนัดแม้แค่หนึ่งนาที แต่เธอรอไมล์สที่ติดประชุมยืดเยื้อได้ทั้งวันโดยไม่เบื่อหน่าย ไมล์สรักเพลงคลาสสิคร็อกกับอินดี้จนถึงขั้นเทิดทูน แต่ก็สนุกไปกับเพลงยุคคุณตาคุณยายยังหนุ่มยังสาวที่แชรอนชอบฟังได้
พวกเขามองข้ามข้อเสียและปรับตัวเข้าหากันได้
พาลจนไม่อยากคุยด้วยอีก ทันทีที่ออกมาจากสถานีตำรวจ แชรอนจึงห้อคอนเวิร์สออกวิ่งอย่างไม่ลังเล ไม่หันมองข้างหลังหรือโฟกัสทางข้างหน้าให้เสียจังหวะ แต่เธอไม่ใช่คนวิ่งเร็ว ตรงกันข้าม เธอวิ่งได้ที่โหล่ไม่ก็รองโหล่เสมอในวิชาพละ ไมล์สอาจไม่ใช่นักวิ่งลมกรดแต่ก็เร็วเกินพอสำหรับนักวิ่งอันดับรั้งท้าย จึงตามทันจนคว้าแขนเธอไว้ได้ ทว่าด้วยอารามตกใจ แชรอนก็เลยพุ่งคะมำไปข้างหน้า เธอหวีดร้องเสียงหลง เหตุการณ์เกิดขึ้นรวดเร็วจนมือของไมล์สหลุดออกจากแขนเล็กและเขาคว้าจับมันไม่ทัน
คนที่ล้มลงไปบนพื้นชันขาเข้าเพราะแสบที่หัวเข่า เห็นเลือดไหลเป็นวงใหญ่พอประมาณที่หัวเข่าข้างซ้าย เธอมองมันอยู่ครู่ น้ำตาเอ่อคลอ ก่อนจะปล่อยโฮออกมา กระทั่งตัวเองก็ไม่แน่ใจว่าเพราะเจ็บแผลที่เข่า หรือเพราะเจ็บใจที่หนีเขาไม่เคยพ้นกันแน่ ไมล์สที่มานั่งยองๆอยู่ตรงหน้าหัวเราะ หากก็ไม่เคยเป็นไปด้วยเจตนาเยาะเย้ย แต่เป็นไปด้วยความเอ็นดูเหมือนทุกคราว
“ขอโทษนะ ไม่ได้ตั้งใจ ใครใช้ให้หนีล่ะ อย่างกับว่าเธอเคยหนีฉันพ้น”
ทำเอาแชรอนร้องไห้หนักและดังขึ้น กำมือทุบไปที่หน้าอกของเขา ก่อนจะซบหน้าลงกับขายาวที่โผล่พ้นกางเกงยีนส์ขาสั้นของตัวเอง ไมล์สอมยิ้มกับกิริยาเหมือนเด็กทั้งที่ก็ไม่ใช่เด็กแล้ว ล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าสีน้ำเงินจากกระเป๋าด้านหลังกางเกงสแล็คสีดำมากดซับเลือดที่เข่าให้อย่างเบามือ แต่ของเหลวเหนียวข้นสีแดงก็ไหลซึมจากหนังที่เปิดอ้าไม่หยุด แถมเมื่อเห็นคนเจ็บทำหน้านิ่วทุกครั้งที่แตะผ้าลงไปบนแผล ไมล์สจึงตัดสินใจรัดพันมันปิดแผลแทน
“ไปทำแผลที่โรงพยาบาลดีกว่า”
แต่เมื่อเข้าประคองคนที่ล้มให้ค่อยลุกขึ้น จึงเพิ่งรู้ในตอนนั้นเองว่าฝ่ามือทั้งสองข้างของเธอก็มีเลือดไหลจากแผลถลอกและหนังเปิดบางส่วนในตอนที่ยันตัวเองไม่ให้ล้มแต่ไม่เป็นผล ไมล์สไม่รีรอที่จะใช้แขนเสื้อกดซับเลือดที่แห้งกรังไปบ้างแล้ว แชรอนไม่อิดออดหรือเกี่ยงงอนห้ามเขา แม้จะรู้ว่าแค่เชิร์ตขาวของเขาก็แพงกว่าเสื้อผ้าทั้งตัวของเธอหลายสิบเท่า ก่อนไมล์สจะเปลี่ยนจากจับมือมาเป็นโอบไหล่ประคองเธอที่เดินกะเผลกเพราะลงน้ำหนักที่ขาซ้ายได้ไม่เต็มที่ พาไปยังรถของเขาที่จอดอยู่หน้าสถานี
อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าอย่างนึกขัน ไม่ทันพ้นวัน เจ้าหญิงเกรซของเขาก็มีแผลทั่วตัวเสียแล้ว
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
“ฉันชอบไมล์สตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเจอกันเมื่อเจ็ดเดือนก่อนเลยนะ”
เจ็ดเดือนก่อน แชรอนทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟที่ร้านอาหารเกาหลีในโคเรียทาวน์ เป็นจริงอย่างที่ว่า เธอชอบเขาตั้งแต่แรกพบ ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ใบหน้าเหลี่ยมเห็นโหนกแก้มเป็นสัน ผิวขาวมากรับกับผมหยิกยาวถึงบ่าสีดำสนิท เจ้าของใบหน้านิ่งและบุคลิกนิ่งขรึมในชุดสูท บางขณะก็จะเคาะนิ้วฮึมฮัมตามดนตรีแจ๊ซฟังสบายที่เปิดคลอในร้าน ทุกอย่างล้วนดึงดูด
ตั้งแต่นั้น เธอก็เห็นเขามาเป็นลูกค้าทุกมื้อกลางวัน
แชรอนเก็บเขาไปฝัน แต่ไม่เพ้อเจ้อถึงเรื่องราวเพ้อฝันระหว่างเด็กเสิร์ฟสาวกับนักธุรกิจหนุ่มอายุน้อยที่ดูเด็กกว่าเธอหลายปีแต่ประสบความสำเร็จกว่าเธอหลายขุม แน่ล่ะ หญิงสาวจากเซาธ์แอลเอคงมีวาสนาได้เป็นเจ้าหญิงให้เจ้าชายที่เหมือนหลุดมาจากเบฟเวอร์ลีฮิลส์หรอก แค่ได้เห็นหน้าเขาก็ทำให้เธอมีแรงใจทำงานในแต่ละวันแล้ว แชรอนคิดแค่นั้น
แต่แล้ววันหนึ่งความคิดของเธอก็เปลี่ยนแปลง วันนั้นตาเฒ่าเจ้าของร้านใช้ให้แชรอนขนขยะจากในครัวออกมาทิ้งหน้าร้าน เธอจึงใช้โอกาสนั้นอู้งานด้วยการยืดเส้นยืดสาย ทอดสายตาไปเรื่อยให้หายเครียดจากบรรยากาศอุดอู้ข้างใน ก่นด่าเจ้านายจอมกดขี่และงานที่ห่วยแตกกับตัวเองอย่างไม่เกรงกลัวว่าชายชราจะมาได้ยิน เพราะภาษาอังกฤษของตาแก่ชาวเกาหลีแทบไม่กระดิก กระทั่งได้ยินเสียงหัวเราะคิก เรียกให้แชรอนต้องหันขวับ
ผู้ชายที่เธอเพิ่งเห็นเขานั่งกินข้าวอยู่ข้างในกำลังยืนสูบบุหรี่อยู่ไม่ไกลจากเธอ เป็นครั้งแรกที่แชรอนได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าที่เธอเฝ้าหลงใหล งงงวยจนต้องหันไปดูข้างหลังให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้ยิ้มให้ใครอื่น หากเมื่อหันกลับมา เขาก็ปล่อยให้เธอต้องเก้อด้วยการมองตรงไปข้างหน้าเสียแล้ว ปกติเขาเปิดปากพูดแค่ตอนสั่งอาหารหรือเรียกคิดเงิน ใบหน้าเรียบเฉยแทบไม่แสดงอารมณ์ ดังนั้นเมื่อได้เห็นเขาหัวเราะพร้อมรอยยิ้มกว้างที่ทำให้วันธรรมดาวันหนึ่งของโลกใบนี้สดใสขึ้นเป็นกอง โลกของแชรอนก็กลายเป็นของเขา
แม้จะผิดหวังอยู่บ้างที่แต่ละวันหลังจากนั้นยังคงดำเนินไปเหมือนเดิม เขาเป็นลูกค้า เธอเป็นสาวเสิร์ฟ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่แชรอนก็พอใจมากแล้วที่ได้เห็นเขาในทุกวันที่มาทำงาน
ทว่าในสี่สัปดาห์ถัดมา แชรอนก็เกิดมีปากเสียงกับเจ้าของร้าน ลามไปเป็นต่อยหน้าตาแก่จนถูกรวบเข้าห้องขัง เธอไม่เสียใจเลยที่หลุดพ้นจากร้านเส็งเคร็งนั้นได้ แถมยังตื่นเต้นที่ได้เข้าห้องขังที่เคยเห็นแต่ในหนังในละครเป็นครั้งแรก ไม่รู้เลยว่าไมล์สที่ถามหาเธอกับพนักงานคนอื่นในร้านและได้ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้น จะรีบซิ่งรถมาที่สถานีตำรวจ จนถูกกล้องตรวจจับความเร็วถ่ายรูป ส่งใบสั่งไปถึงคอนโดชั้นหกในเบฟเวอร์ลีฮิลส์
ทั้งที่คนนอกอย่างเขากังวลแทบคลั่ง แต่คนในห้องขังกลับนอนหลับสนิทราวปราศจากความกังวล ไมล์สหัวเราะออกมาด้วยความโล่งใจจนแชรอนสะดุ้งตื่น เธอต้องกะพริบตาถี่ซ้ำไปมาเพื่อให้แน่ใจว่าตาไม่ได้ฝาดเมื่อเห็นว่าใครอยู่ตรงหน้า ก่อนจะถูกรวบตัวเข้าไปกอดเต็มแรง
แรกพบ ไมล์สนึกถูกชะตาสาวเสิร์ฟในร้านอาหารที่กล้าแสดงอารมณ์หลากหลายออกมาในขณะที่เขาทำไม่ได้ ครั้งที่สองเขาได้เห็นรอยยิ้มของเธอ ครั้งที่สามหัวใจเขาเต้นรัว และที่หน้าร้านวันนั้น...เขาก็หลงรักเธอหมดใจ
ไมล์สนั่งรอคนที่เพิ่งทำแผลเสร็จอยู่ที่ม้านั่งในสวนสาธารณะข้างโรงพยาบาล แม้ผ้าก็อซสีขาวจะทั้งแปะทั้งพันอยู่ที่มือทั้งสองข้างกับหัวเข่าข้างซ้าย คนเจ็บก็ยังดึงดันให้เขามานั่งเล่นในสวน พอถึงม้านั่งก็บังคับให้เขานั่งรอ ส่วนตัวเองก็วิ่งกะเผลกไปที่รถเข็นขายไอศครีมซึ่งอยู่ไม่ไกล ไม่ช้าแชรอนก็กลับมาพร้อมไอศครีมสองโคนในมือ ยื่นโคนไอศครีมลูกสีเขียวส่งให้เขาขณะหย่อนตัวลงนั่งข้าง แม้จะไม่อยู่ในอารมณ์อยากกินไอศครีม แต่ไมล์สก็ไม่เคยปฏิเสธเมื่อมาจากเธอ น้ำใจของเธอที่ไม่เคยปล่อยให้เขาเป็นผู้ให้แต่ฝ่ายเดียวทำให้เขาประทับใจเสมอ
ไมล์สร่ำรวยชนิดที่ว่าต่อให้ดำรงชีวิตแค่ด้วยเงินจากหุ้นที่ถืออยู่ก็สบายไปทั้งชาติ แต่แชรอนไม่ใช่ เธออยู่ในอีกโลกหนึ่งที่ไม่มีอะไรเหมือนของเขาเลย พ่อแม่ในแอริโซนาเสียไปนานแล้ว น้องสาวของแม่ที่รับมาอาศัยอยู่ด้วยในแอลเอก็เป็นมลพิษจนต้องหนีออกมาเช่าแฟลตซอมซ่ออยู่คนเดียวในเซาธ์แอลเอ รายได้น้อยนิดไม่แน่ไม่นอนขึ้นอยู่กับว่าตอนนั้นเธอทำงานอะไร แชรอนไม่เคยเรียกร้องเงินทองหรือของราคาแพงจากเขา แต่ก็ไม่ปฏิเสธความหวังดีเมื่อเขาจ่ายเงินเลี้ยงมื้ออาหารสุดหรูหรือซื้อของราคาแพงลิบลิ่วให้ต้องเสียหน้า ในสายตาใครต่อใครอาจเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย แต่สำหรับไมล์สแล้วยิ่งใหญ่
ตั้งแต่เรียนจบจากนิวยอร์กกระทั่งย้ายกลับมาทำงานในแอลเอบ้านเกิดเมื่อแปดเดือนก่อน ไมล์สก็ไม่เคยได้มีเวลาสุนทรีย์ หรือดื่มด่ำกับการทัศนาวิวทิวทัศน์ของแอลเอเลยนอกจากบนหน้าต่างคอนโดและห้องทำงาน เขาคิดถึงพิพิธภัณฑ์ศิลปะยูเอสซีฟิชเชอร์ที่สุด ตอนเรียนไฮสกูลเขามักไปขลุกกับมันทั้งวันจนสนิทกับอัลเฟรด ภัณฑารักษ์ชราใจดีที่เสียไปก่อนเขาจะย้ายไปเรียนมหาวิทยาลัยที่นิวยอร์ก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเล็กน้อยอย่างการนั่งละเลียดไอศครีม รับลมอุ่นสบายในสวน ฟังเสียงหัวเราะสดใสของครอบครัวที่มาปิคนิคกัน หรือออกเดตกับใครสักคนโดยไม่ต้องคิดถึงเรื่องงานหรือกังวลเรื่องภาพลักษณ์ เรื่องง่ายดายของใครหลายคนกลับยากเย็นจนไม่เคยอยู่ในหัวเขาเลยสักนิด
ทุกอย่างเปลี่ยนไปหลังจากที่เขาได้รู้จักแชรอน เธอทำให้ความสุขเล็กน้อยกลายเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่และแปลกใหม่เหลือเกินสำหรับเขา
นั่งกินไอศครีมเงียบๆ เหม่อมองวิวยามบ่ายของเมืองที่มองเห็นได้จากตรงนี้ กระทั่งเสียงเจื้อยแจ้วของคนในความคิดจะเรียกเขาออกจากภวังค์
“เคยฟังเพลงพ็อพซิเคิลส์ แอนด์ ไอซิเคิลส์ ของวงเดอะเมอร์เมดส์มั้ย ไม่ พนันเลยว่าไม่ ไมล์สไม่รู้จักหรอก!”
ไมล์สหัวเราะกับคำถามเองตอบเอง หากก็ยอมรับว่าเขาไม่เคยได้ยินแม้กระทั่งชื่อวงอย่างที่เธอว่า เพื่อที่จากนั้นแชรอนก็จะเริ่มต้นขับร้องบทเพลงที่เขาไม่เคยได้ยิน
‘Bright stars and guitars and drive-ins on Friday night
These are a few of the things we love
(May be) silly but still he is just what I dream about
Yes, he’s the boy that I love’
‘ดวงดาราจรัส กีตาร์ และโรงหนังไดร์ฟอินในคืนวันศุกร์
พวกมันคือหนึ่งในหลายสิ่งที่พวกเรารัก
มันอาจเฉิ่มเบ๊อะนะ แต่เขาก็ยังเป็นสิ่งที่ฉันฝันใฝ่
ใช่แล้วล่ะ เขาคือเด็กหนุ่มที่ฉันรัก’
ไมล์สปัดเศษโคนไอศกรีมบนมือที่เพิ่งกินหมดขณะปล่อยให้แชรอนร้องอย่างเริงร่า และเขาก็รับฟังมันอย่างตั้งใจเหมือนทุกคราว หากเมื่อเธอหยุดร้อง ไมล์สที่ระหว่างนั้นก็ได้แต่มองดูคราบไอศครีมเลอะขอบปากสีชมพูกับแขนเสื้อสีแดงที่ถูกพับขึ้นจนถึงข้อศอกเพื่อปกปิดรอยเลือด ก็จับแขนเล็กของเธอไว้แล้วโน้มใบหน้าไปลิ้มเลียไอศครีมสีส้มจากริมฝีปากเธอ
ความเปรี้ยวจากไอศครีมรสส้มและความหวานจากริมฝีปากของเธอยังแจ่มชัดในความรู้สึก เมื่อหันไปมองเสี้ยวหน้าของคนที่ก้มหน้าไปกินมันต่อก็เห็นว่าเธอกำลังยิ้ม...ไม่ต่างอะไรกับเขา
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
‘I tried to be like Grace Kelly but all her looks were too sad.’
(ฉันพยายามจะเป็นเช่นเกรซ เคลลี แต่ทุกสีหน้าของหล่อนล้วนเศร้าสร้อยเกินไป)
การพบกันครั้งแรกของแซมกับแอนน์-มารีย์เกิดขึ้นเมื่อสามปีก่อน
แซมได้รับเชิญเข้าร่วมงานปาร์ตี้ส่วนตัวที่มาลิบูของศิลปินหญิงที่เขาเป็นผู้สนับสนุนด้านการเงินรายใหญ่ให้ หลังความสำเร็จสูงสุดในอัลบั้มที่สามจนคว้ารางวัลศิลปินหญิงเดี่ยวแห่งปีมาครองได้ในหลายเวทีรวมถึงเวทีที่ใหญ่ที่สุดในแวดวงดนตรี ห้องเช่ารูหนูในซานฟรานซิสโกที่กลายมาเป็นคฤหาสน์สุดหรูของหล่อนก็คลาคล่ำไปด้วยศิลปิน โปรดิวเซอร์ คนจากบริษัททำเพลง และชายหญิงมากมายที่เขาไม่รู้จัก แซมคลื่นเหียนกับหญิงสาวที่พากันดาหน้ามาหาเขาในชุดบิกินีตัวจิ๋ว ยั่วเย้าอย่างจงใจ เขาแสร้งหัวเราะไปกับมุกตลกของพวกหล่อนและขอตัวออกมาอย่างสุภาพขณะแลกเปลี่ยนบทสนทนาตามมารยาทอีกเล็กน้อย
ง่ายเกินไป
ปลีกตัวมานั่งจิบมาร์ตินีเงียบๆบนระเบียงที่ยื่นออกมาจากชั้นสอง จับจ้องมองดูผู้คนด้านล่างที่กำลังโยกย้ายไปกับเสียงเพลงจังหวะอีดีเอ็ม และร้อนแรงขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปและแอลกอฮอล์เข้าปากไปแล้วหลายแก้ว งานปาร์ตี้ของพวกเซเลบริตี้เป็นแบบนี้เสมอ เหล้า ยา ข้อเสนอสกปรก และเซ็กซ์ แซมคลุกคลีกับมันมาตลอดสามปี เคยถลำลึกลงไปกับทุกสิ่งมัวเมานั้นแล้ว แต่ความสุขจากพวกมันล้วนแค่ชั่วครั้งชั่วคราว ยิ่งจมดิ่งลงไปเท่าไหร่กลับยิ่งรู้สึกกลวงเปล่า และเมื่อโหวงเหวงก็ต้องคอยเติมเต็ม เหมือนที่เขาเคยเป็น...และยังคงเป็นอยู่ แต่เขาจะต้องการสิ่งใดมากเท่าไหร่ก็ไม่เคยเป็นปัญหา คนอย่างแซม เดวิสได้ทุกสิ่งมาอย่างง่ายดายตั้งแต่เกิด และมันก็จะเป็นแบบนั้นตลอดไป
ยกมาร์ตินีขึ้นจิบจนหมดแก้ว ขณะคิดว่าเดี๋ยวจะลงไปร่วมปาร์ตี้ข้างล่างและคว้าหญิงสาวที่ง่ายดายสักคนไปนอนด้วยในคืนนี้ สายตาของแซมก็สะดุดเข้ากับหญิงสาวคนหนึ่งที่เพิ่งเข้ามาในงาน สาวผิวคล้ำ สวมเสื้อยืดสีขาว กางเกงยีนส์ขายาว และรองเท้าส้นสูงสีแดง ผมสีน้ำตาลเข้มรวบเป็นหางม้าสูง สวยน่ามองตั้งแต่หัวจรดเท้า
เขาเป็นคนทำให้ทุกอย่างง่ายดายสำหรับเธอ
แซมเคยเห็นชื่อแอนน์-มารีย์ ลอร์ดผ่านตามาก่อน เขาชอบเนื้อเพลงที่เธอเขียน แต่ดนตรีที่เธอแต่งนั้นสะเปะสะปะเหมือนยังหาแนวทางตัวเองไม่เจอ แซมบอกเรื่องนี้กับเธอตอนพวกเขาออกเดตกันเป็นวันที่สิบห้า สาวลูกครึ่งอเมริกาใต้ที่พูดภาษาทางฝั่งแม่ไม่ได้เลยยิ้มรับคำวิจารณ์ของแฟนหนุ่ม
“งั้นฉันจะเขียนเนื้อเพลงให้แซมแต่งทำนอง”
แซมหัวเราะ แม้เขาจะทำมันได้ แต่เขาก็ชอบที่จะสนับสนุนด้วยเม็ดเงินมากกว่าลงแรงเอง แซมเลิกเสื้อกล้ามสีดำที่เธอเพิ่งสวมขึ้นจูบหน้าท้องของเธอ
ชีวิตของแซมเริ่มเปลี่ยนแปลง เขายังคงเสพติดการดื่ม แต่เล่นยาน้อยลง ยอมรับข้อเสนอสกปรกหากจำเป็นเท่านั้น และเซ็กซ์ของเขาเกิดจากความรักไม่ใช่เพียงความใคร่เหมือนที่เคยเป็นมา เรื่องราวความรักตลอดสามปีของพวกเขาราวกับภาพที่พบเห็นได้ทั่วไป จากในมิวสิควิดีโอวงอินดี้ จากภาพยนตร์แนวอินดี้ หรือจากคู่รักมากมายที่พบเห็นได้ในงานเทศกาลดนตรี
อิสระ เพ้อฝัน ดาษดื่น และงี่เง่า
แซมไม่รู้ว่ามันเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เขาไม่ตื่นเต้นที่ได้เจอหน้าแอนน์-มารีย์ เบื่อหน่ายเวลานั่งทำเพลงกับเธอ ไม่รู้สึกอะไรเลยเมื่อกอดเธอ จูบกับเรื่องบนเตียงกลายเป็นแค่ความใคร่ และนิวยอร์กกำลังทำให้เขาปวดหัว
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เพลงของเดอะเมอร์เมดส์ยังเล่นคลอผ่านลำโพงหน้ารถ
ไมล์สหาชื่อศิลปินในสปอทิฟายแล้วให้ยี่สิบกว่าเพลงของพวกเธอเล่นวนไป แชรอนยิ้มกว้างไม่หุบยามร้องคลอไปตามเพลงที่เธอรู้จัก ก่อนคนที่ใช้พลังงานจนหมดก๊อกจะผล็อยหลับไปตรงที่นั่งข้างคนขับในที่สุด เมื่อเขาโน้มตัวไปเกลี่ยผมสีดำที่ตกลงมาปรกหน้าให้ แชรอนก็ลืมตาขึ้น ไมล์สผละออกมา หญิงสาวยืดตัวขึ้นมองว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน แล้วเธอก็ยิ้มออกมา แชรอนรักบ้านของเขาเสมอ
แต่ก่อนไมล์สพักอยู่ที่คอนโดในเบฟเวอร์ลีฮิลส์ เขาชอบมองดูวิวจากบนตึกสูงเพราะมันทำให้เขานึกถึงตอนอยู่นิวยอร์ก การได้นึกถึงช่วงเวลาที่ดีกับเพื่อนที่ดีในนิวยอร์กทำให้เขาเหงาน้อยลงกว่าที่ควรเป็น กระทั่งแชรอนบอกว่าเธอชอบบ้านมากกว่าเพราะมันทำให้เธอรู้สึกอบอุ่น ไมล์สก็ย้ายมาอยู่ที่บ้านหลังเล็กน่ารักของแมคเคนซีย์ พรินซ์ในฮอลลีวูดฮิลส์ แม่ของเขาเกษียนจากวงการบันเทิงและใช้ชีวิตบั้นปลายในบ้านหลังนี้กับเฟรนช์บูลด็อกสีดำที่ตรอมใจตายหลังเจ้านายของมันเสียไปได้หนึ่งอาทิตย์ บ้านหลังนี้เคยเป็นสิ่งเดียวในแอลเอที่เขารักมากกว่านิวยอร์กจนแม่เสียไป และแชรอนก็ทำให้เขากลับมารักมันได้อีกครั้ง แม้หญิงคนรักจะปฏิเสธเมื่อเขาชวนมาอยู่ด้วย แต่แค่เธอมาค้างกับเขาได้เป็นครั้งคราวก็ทำให้ไมล์สมีความสุขมากพอแล้ว
ไม่เหงาเหมือนเคย และไม่โดดเดี่ยวอย่างที่เป็นมา
เมื่อเดินออกมาจากห้องน้ำที่อยู่ในห้องนอนเจ้าของบ้าน ไมล์สก็กำลังถอดเสื้อเปื้อนเลือดออกเพื่อเปลี่ยนเป็นเสื้อยืดสีขาวแทน แชรอนทำเป็นไม่สนใจแล้วรีบเดินไปยังตู้เก็บหนังตรงมุมหนึ่งของห้อง เธอแสร้งว่าง่วนกับการเลือกแผ่นหนังแม้ในหัวจะยังสลัดภาพติดตาไม่หลุดจนเกือบจะหยิบเรื่องแมจิค ไมค์มาดู อย่าเข้าใจผิด แมจิค ไมค์เป็นหนังโปรดของเธอ แต่ไม่ใช่หนังแบบที่เธอจะเลือกมาดูกับไมล์ส
ฉากต้นของเรื่องเรียร์ วินโดว์ที่เกรซ เคลลีแสดงเริ่มขึ้นหลังจากแชรอนใส่แผ่นลงในเครื่องเล่นบลูเรย์ ทว่าในตอนนั้นเองที่ไมล์สลุกขึ้นดึงคนที่นั่งดูอยู่ปลายเตียงจากข้างหลังให้ล้มตัวลงใต้เขา แล้วก้มลงจูบเธอ
แชรอนรักและชื่นชอบการดูหนังอย่างแท้จริง เธอไม่ชอบให้ใครมาขัดจังหวะเวลาจดจ่อกับการดูหนัง ขนาดเวลาดูหนังในโรงภาพยนตร์ เธอยังเลือกที่นั่งใกล้จอเพื่อจะได้อยู่ไกลจากผู้คน ไมล์สก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น แต่ถ้าเขาต้องการเธอก็ไม่ขัด เพราะเธอให้เขาได้แค่นั้น
ไมล์สพาเธอไปที่คอนโดของเขาเพื่อฉลองที่แชรอนได้งานใหม่ ข้าวผัดฝีมือไมล์ส ไข่ดาวฝีมือแชรอน แอลกอฮอล์สำหรับไมล์ส รูตเบียร์สำหรับแชรอน เพิ่มบรรยากาศด้วยเพลย์ลิสต์เพลงเก่าเก๋ากึ้กในสปอทิฟายของแชรอนที่ไมล์สยอมตามใจเจ้าของงาน
ทั้งคู่กำลังจับมือกันเต้นตอนที่แฟรงก์ ซินาตร้าขับขานบทเพลงสเตรนเจอร์ส อิน เดอะ ไนต์ ผ่านลำโพงที่ต่อจากไอพ็อด ให้ชายหญิงสองคนที่ไม่ใช่คนแปลกหน้าต่อกันอีกในค่ำคืนนี้...หรือคืนใดนับจากนี้ ไมล์สรู้จักเพลงนี้เพราะเขาเคยดูหนังเรื่องไฮ โซไซตี้ ผิดกับแชรอนที่รู้จักเพลงนี้แต่ไม่เคยดูหนังคลาสสิคค้างฟ้าเรื่องนี้อย่างเขา
‘Something in your eyes was so inviting
Something in your smile was so exciting
Something in my heart told me I must have you’
“บางอย่างในดวงตาเธอ เชิญชวนฉัน
บางอย่างในรอยยิ้มเธอ นั้นแสนยวนใจ
บางอย่างในดวงใจฉัน ฟ้องว่าฉันต้องได้เธอ”
ไมล์สทำตามที่บทเพลงว่า พวกเขาจูบ กอด สัมผัสกันและกัน เขาดันตัวเธอลงไปบนโซฟาด้วยอารมณ์ที่เตลิดพลุ่งพล่าน แต่ในตอนที่ริมฝีปากลากไล้ลงบนคอขาว แชรอนก็พูดขึ้นว่า
“ถ้านายอยากทำก็ทำ แต่นายจะไม่ได้เจอหน้าฉันอีกเลย”
แน่นอนว่าไมล์สไม่ได้ทำ
คืนนั้นไมล์สให้เธอนอนในห้องนอนของเขา ส่วนเขานอนเบิกตาโพลงครุ่นคิดถึงคำพูดของเธอทั้งคืนบนโซฟาตัวเดิมในห้องรับแขก หลังพูดคำนั้นแชรอนก็ร้องไห้ออกมาขณะพร่ำขอโทษเขาไม่หยุด ไมล์สเองก็พร่ำบอกเธอว่าไม่เป็นไร เขาช่วยจัดเสื้อผ้าที่หลุดลุ่ยและผมเผ้าให้เธอแค่เพราะอยากสัมผัสเธอให้มากกว่าเดิม
หลังจากคืนนั้น แม้พวกเขาจะนอนบนเตียงเดียวกัน หากก็ไม่เคยมีอะไรมากไปกว่าจูบ แต่ไมล์สยอมให้เป็นแบบนี้ ดีกว่าได้เธอครั้งเดียวแล้วต้องเสียเธอไปตลอดกาล
แชรอนมองดูแสงสีส้มจากหลอดไฟบนเพดานด้านหลังไมล์ส ตาเธอกำลังพร่า
ความคิดเห็น