คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : I - To The Wonder
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คำถาม: ทำไมเอดีนา พรีกเกอร์ต้องย้ายจากมินนีแอโพลิสในมินนีโซตา มาอยู่ที่แคลิฟอร์เนียในเมืองคาบสมุทรที่ชื่อว่า ‘พาโลส เวอร์เดส’
คำตอบ: เพราะแฟนใหม่ของบิลลี พรีกเกอร์เป็นหมอศัลยกรรมตกแต่งความงามที่มีสำมะโนครัวอยู่ในเมืองนั้น แกลดิส แอนเดอร์สันมาสัมมนาเรื่องการแพทย์อะไรสักอย่างที่มินนีโซตา เจอพ่อเธอที่ไปทำงานตกแต่งภายในในโรงแรมหรูที่บริษัทจัดให้พัก ตกหลุมรักกันทันทีในคืนนั้น (แกลดิสจะเล่าเรื่องนี้อย่างภาคภูมิใจทุกครั้งด้วยรอยยิ้มกว้าง) จนแม้การประชุมจะจบไปนานแล้ว หล่อนก็ยังอยู่ในมินนีแอโพลิสต่ออีกเป็นเดือนเพื่อใช้เวลาร่วมกับบิลลี และเมื่องานตกแต่งโรงแรมนี้แล้วเสร็จ พวกเขาก็เดินทางไปลอส แองเจลิสด้วยกันสองสัปดาห์ เพื่อจะกลับมาหาเธอที่บ้านพร้อมแหวนเงินที่นิ้วนางข้างซ้าย—และการย้ายไปอยู่ที่พาโลส เวอร์เดส
แม้เอดีนาผู้ไม่เป็นมิตรกับการเปลี่ยนแปลงมากนักจะไม่ได้อยากย้ายไปไหน เธอชื่นชมแกลดิสแต่ก็ไม่ได้รักหล่อนอย่างที่พ่อคลั่งไคล้ หากก็ไม่มีทางเลือกอื่นให้กับลูกสาวคนเดียวของบ้าน ใช่ว่าเธอรักมินนีแอโพลิสมากมายอะไร มันแค่...เป็นเมืองที่เธอผูกพันเพราะอยู่มาตั้งแต่เกิด ‘ลินเดน ฮิลล์ส’ เป็นชุมชนเมืองขนาดกลางที่มีเสน่ห์และเอกลักษณ์เฉพาะตัว สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้เรียงรายให้ร่มเงา สวนสาธารณะเขียวชอุ่มร่มรื่นให้พักผ่อนหย่อนใจกระจายอยู่ทั่ว และเธอชอบบ้านที่พ่อเพิ่งซื้ออยู่ได้แค่ห้าปีหลังหย่ากับแม่ มันน่ารักมาก เป็นบ้านหลังใหญ่ในแบบวินเทจผสมมอเดิร์น ทั้งเพราะการปลูกสร้างเก่าก่อนและการปรับปรุงตกแต่งภายในใหม่ของพ่อ นอกจากนั้นมันยังอยู่ใกล้กับทะเลสาบแฮร์เรียตที่เธอมักจะปั่นจักรยานไปนั่งอ่าน เขียน หรือไม่ก็แค่เหม่อใจอยู่ข้างผืนน้ำราบเรียบที่แสนงดงามนั้น
ไม่หรอก ไม่จริงเลย เอดีนาไม่ได้แค่ชอบหรือผูกพัน—เธอ ‘รัก’ มัน รักลินเดน ฮิลล์ส เมืองนี้ไม่ใช่แค่บ้านแต่เป็นวิมาน อาณาจักรที่ทำให้เธอปลอดภัย...จากโลก...จากสังคมชื่อโรงเรียนที่เพื่อนฝูงขับเธอเป็นคนนอก
และพาโลส เวอร์เดสก็หมายถึงการปรับตัวครั้งใหม่ ไม่ใช่แค่ครอบครัวหรือบ้านที่ไม่ได้มีเพียงเธอกับพ่ออีกต่อไป แต่การต้องออกจากหลุมหลบภัยเก่า เธอก็คาดหวังว่ามันจะเป็นที่หลบภัยแห่งใหม่ได้ และเมื่อไม่มีทะเลสาบสงบนิ่งให้เธอโยนความทุกข์ใจทิ้งใส่มันได้อีก เอดีนาก็อยากคิดว่าทะเลจะเป็นแหล่งเยียวยาหรือกระทั่งบำบัดแห่งใหม่ด้วยเช่นกัน
แม้เธอจะรู้ว่ามันอาจไม่ง่ายเลย เพราะทะเลนั้นแสนแปรปรวน
เป็นวันแรกที่เอดีนากับพ่อย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านใหม่ของครอบครัวแอนเดอร์สันเต็มตัว แกลดิสเป็นหมอศัลยกรรม—และคำนั้นก็ใช้แทนคำว่า ‘ลมหายใจ’ ของผู้คนในแอลเอ จึงไม่แปลกหากหล่อนจะมีลูกค้าเป็นจำนวนมาก (เอดีนาคิดว่าแกลดิสผู้มีใบหน้าในวัยกลางคนอย่างนางเอกหนังก็คงทำศัลยกรรมด้วย แต่จะสำคัญตรงไหนในเมื่อหล่อนได้เป็นเจ้าของใบหน้าที่สวยที่สุดที่เธอเคยเห็น) และนำเงินเป็นกอบเป็นกำที่ได้จากพวกเขามาซื้อบ้านติดทะเล...ที่ก็เป็นบ้านที่สวยที่สุดที่เธอเคยเห็นอีกเช่นกัน
และคำว่าติดทะเล เอดีนาก็หมายความตามนั้นทุกพยางค์ ไม่แค่มองเห็นวิวทะเลได้จากระเบียง เฉลียง หรือห้องทางทิศตะวันออก แต่เดินลงเนินไปแค่ไม่กี่สิบก้าวก็โผนลงทะเลได้ บ้านสองชั้นที่กว้างขวางโอ่อ่าหลังนี้ไม่มีอะไรวินเทจเหมือนบ้านเก่าของพ่อลูกพรีกเกอร์ในมินนีแอโพลิส ทุกอย่างเป็นแบบสมัยใหม่ ดูเรียบหรูสบายตา ให้บรรยากาศริมทะเล อาจเพราะกระดานเซิร์ฟ ทำให้เธอนึกถึงบ้านพักตากอากาศ หรือไม่ก็บ้านที่จะพบเห็นได้ในนิตยสาร เฮาส์ บิวตีฟูล พื้นที่เหลือเฟือจนห้องหับเยอะตามไปด้วย เฟอร์นิเจอร์ ข้าวของเครื่องใช้ รวมทั้งของตกแต่ง แค่ประเมินด้วยตาก็รู้ว่าเป็นของดีราคาแพง ไม่มีอะไรในบ้านนี้ที่ทำให้เธอไม่ชอบ แต่สิ่งที่จำเป็นที่สุดก็คือเอดีนาต้อง ‘รัก’ ที่อยู่ใหม่นี้ให้ได้ต่างหาก
เป็นบ่ายนั้นเองที่เธอได้เจอลูกชายคนเดียวของแกลดิสเป็นครั้งแรก
—‘พวกเขา’ ได้เจอกันเป็นครั้งแรก
เด็กหนุ่มที่เพิ่งเปิดประตูหน้าบ้านเข้ามา วางกระเป๋าที่หอบหิ้วมาด้วยลงบนพื้นทันทีเมื่อเห็นวงสนทนาขนาดย่อมของหนึ่งชายสองหญิงในห้องรับแขก เขาเดินเร็วจนแทบจะเป็นการวิ่งเข้าไปกอดแกลดิส จากนั้นก็จับมือทักทายบิลลีที่คงรู้จักมักคุ้นกันมาก่อนแล้ว แล้วจึงหันมาหาเธอที่นั่งอยู่คนเดียวบนโซฟาอีกตัว
“ไฮ เอดีนา ผมจิม ดีใจที่ในที่สุดก็ได้เจอนะ”
เด็กสาวเด้งตัวขึ้นจากโซฟาที่คลุมด้วยผ้าริ้วเทาสลับขาว เธอสูงไม่เท่าชายหนุ่มตรงหน้าจึงต้องแหงนเงยขึ้นนิดหน่อย เอดีนาคลายมือที่เผลอกำเป็นหมัดเพราะประหม่าจนถึงเมื่อครู่นี้ออก แล้วเอามันไปจับกับมือของเขาที่รอท่าอยู่ เอดีนาไม่คุ้นเคยกับมือของผู้ชายคนไหนนอกจากพ่อ มันให้ความรู้สึกแปลก ใหม่ หนัก แต่อุ่น เธอพยายามจะไม่นึกถึงเรื่องพวกนั้น ขณะแนะนำตัวกลับไปให้เป็นธรรมชาติที่สุด
“จิมมีเพิ่งกลับจากไปเข้าค่ายวิทยาศาสตร์ที่แซน ดีเอโกจ้ะ” แกลดิสโพล่งขึ้นมา จิมหันไปยิ้มให้แม่ทั้งที่มือยังจับกับเอดีนาไม่ปล่อย
“เขาเก่งวิทย์มากเลยนะ ได้ทั้งเหรียญ ทั้งถ้วย ทั้งทุน ที่จริงเขาเรียนเก่งทุกวิชาเลยล่ะ” หล่อนยังคงร่ายต่อไปอย่างภูมิอกภูมิใจในตัวลูกชายอัจฉริยะ—เหมือนหล่อน ผิดกับเอดีนาที่ไม่ได้เก่งเหมือนพ่อของเธอ เธอนึกไม่ออกว่าตนมีอะไรที่พ่อจะหยิบยกไปอวดพ่อแม่คนอื่นได้ จิมหัวเราะเขิน มือยังคงจับกับเธอแน่น จนเอดีนานึกสงสัยว่าเขารู้ตัวหรือเปล่า หากก็ใช่ว่าไม่ชอบ มันแค่...ให้ความรู้สึกดี แล้วคำตอบของเธอก็ได้รับการคลี่คลายเมื่อจิมหันมาทางเธออีกครั้ง เขายิ้มให้เธอด้วยรอยยิ้มเก้อติดประหม่า ทว่าจริงใจ พร้อมมือที่บีบกับเธอด้วยน้ำหนักพอเหมาะที่ทำให้เธอวางใจ
“ยินดีต้อนรับสู่พีวี”—‘พาโลส เวอร์เดส’
จิมกับเอดีนาอายุเท่ากัน ใช้นามสกุลพรีกเกอร์เหมือนกัน มีผู้ปกครองคนเดียวกัน อาศัยอยู่ร่วมบ้านกัน ไปกลับโรงเรียนด้วยกัน และเป็นพี่น้องที่มีความปรารถนาดีให้กัน
—ทว่าพวกเขาไม่ได้เหมือนกันทุกอย่าง
ขณะที่จิมเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดี เรียนเก่ง ร่าเริงแจ่มใส เป็นที่รักของทุกคน ป๊อปปูลาร์โดยไม่ต้องพยายาม เอดีนาที่เป็นนักเรียนใหม่และพี่น้องคนใหม่ของจิมก็แตกต่างจากเขาลิบลับในความคิดและสายตาของทุกคน แม้จิมจะพยายามช่วยเธอปรับตัวเข้ากับชีวิตในโรงเรียนใหม่ เอดีนาก็เข้ากับใครไม่ได้...โดยไม่ต้องพยายามเช่นกัน เธอไม่ใช่คนไม่เป็นมิตร ไม่ได้ทำหน้าบูดบึ้งหรือทำตัวขวางโลก เธอยิ้มได้เสมอ แต่การสานสัมพันธ์ต้องใช้คุณสมบัติที่มากกว่านั้น
อย่างน้อยเธอก็มีจิมเป็นเพื่อน
ทุกเย็น เอดีนาจะออกไปนั่งบนหาดทราย เหม่อมองท้องฟ้ากับผืนน้ำจนตะวันตกดิน จิมค้นพบช่วงเวลาส่วนตัวนี้ของเธอในเย็นวันหนึ่งหลังกลับจากไปเที่ยวกับพวกของเฮเตอร์ ผมสีน้ำตาลเข้มที่ปลิวพลิ้วไปตามแรงลมกลายเป็นสีสว่างเมื่อต้องแดด เธอจะนั่งกอดเข่า ขัดสมาธิ หรือไม่ก็ชันแขนทั้งสองไปข้างหลัง จิมพบว่าเขาหลงใหลภาพด้านหลังของเธอที่มองเห็นได้จากห้องนอนทิศตะวันออกของเขา เขาจะมองดูทัศนียภาพตรงหน้าเหมือนเป็นฉากในหนังภาพสวยยากจะเข้าใจในทีแรกอย่าง เดอะ ทรี ออฟ ไลฟ์ ที่เขาดูซ้ำได้ไม่เบื่อแม้จนกระทั่งเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่แล้ว เมื่อหมดช่วงเวลาอันเป็นดั่งกิจวัตรศักดิ์สิทธิ์—ทั้งของเธอและเขา เอดีนาก็จะกลับขึ้นมาบนบ้าน เนื้อตัวเปื้อนทรายขาว เหนียวลมทะเลเหนอะหนะ ยิ้มกว้างให้จิมที่รอโบกมือทักทายเธออยู่บนระเบียงห้องนอนของเขา
❥
“เสียงคลื่นยังทำให้ฉันนอนไม่ค่อยหลับ”
เอดีนาพูดกับจิมที่นอนอยู่ข้างเธอบนเตียง เขานอนหลังตรงมองเพดาน มือวางทาบกันบนท้อง ส่วนเธอนอนตะแคงหันไปทางเขา เอาหัวหนุนแขนที่อยู่บนหมอน ไม่ใช่ครั้งแรกที่จิมได้เห็นห้องนอนของเอดีนา แต่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เข้ามา ห้องอยู่ทางทิศตะวันตกจึงมองออกไปไม่เห็นทะเล กระนั้นก็ยังได้ยินเสียงคลื่นที่ไม่เคยหลับใหลได้ชัดเจนราวกับมันบรรเลงอยู่ตรงหน้า ห้องของเธอดูจะให้ความรู้สึกอบอุ่นทั้งในยามที่แดดส่อง หรือเฉพาะตอนที่เปิดแค่ไฟหิ่งห้อยสีส้มบนกำแพงหัวเตียงอย่างเวลานี้ จิมชอบชั้นหนังสือไม้ติดผนังที่อัดแน่นไปด้วยหนังสือ เอดีนาตกแต่งห้องของเธอจนไม่เหมือนพื้นที่ใดในบ้านนี้ ดูแปลกตาทั้งพรมทอลวดลายละลายตา ชิงช้ารังนกหวายที่มุมห้อง ของประดับห้อยตกแต่งที่ทำจากวัสดุธรรมชาติจำพวกกิ่งไม้ ขนนก หรือกระทั่งตาข่ายดักฝัน เอดีนาหัวเราะตอนที่เขาพูดว่าไม่รู้เลยว่าเธอจะเป็นสาวโบโฮ ฉันไม่ได้เป็น...ฉันแค่พยายามจะหาสิ่งที่ใช่กับฉัน
“แต่ก็ไม่มากเท่าเสียงพ่อแม่ทะเลาะกันอยู่ดี” เหมือนเธอพึมพำกับตัวเองมากกว่าพูดกับเขา
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือเพราะอะไร ที่บิลลีกับแกลดิสหลงใหลการทะเลาะกัน—แทนที่กันและกัน ทุกคืนที่เป็นแบบนั้น จิมจะตัดปัญหาด้วยการเอาหูฟังครอบหูพร้อมเปิดเพลงให้ดังจนกลบได้มิด เอดีนาบอกว่าเธอเองก็ไม่ต่าง เพียงแต่ของเธอเป็นหูฟังอินเอียร์ มันเป็นคืนแรกที่จิมตัดสินใจมาเคาะห้องพี่น้องร่วมชะตากรรมด้วยคิดว่าเธออาจอยากคุยกับใครสักคน...เหมือนเขา เจ้าของห้องเชื้อเชิญแขกให้เข้ามาอย่างง่ายดาย จิมประหม่าในทีแรก แต่เธอดูจะยินดีต้อนรับเขาอย่างเต็มใจ “ถ้าเธอไม่ว่าอะไร” จิมพูดเมื่อก้าวเข้ามาก่อนปิดประตูตามหลัง รอยยิ้มกึ่งขบขันของเอดีนาทำให้แก้มของเขาพลันอุ่นขึ้นกว่าที่อุณหภูมิห้องทำได้
“โตขึ้นนายอยากเป็นอะไร นักวิทยาศาสตร์ คนป๊อปปูลาร์ หรือผู้ชายที่สมบูรณ์แบบไปทุกอย่าง”
เอดีนาเปลี่ยนเรื่อง เมื่อพบว่าการคุยกันเรื่องปัญหาของพ่อกับแม่จะทำให้คืนต้องมนตร์เสื่อมมนตร์สะกด และเธอไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น เธออยากให้มันเป็นคืนที่พวกเขาได้เปิดใจพูดคุยกัน มากกว่าแค่บทสนทนาผิวเผินธรรมดาอย่างที่เคย
“ฉันอยากเป็นผู้กำกับหนัง”
จิมหันมามองเธอที่รอฟังคำตอบของเขา รอยยิ้มที่สว่างไสวกว่าไฟสีนวลปรากฏบนใบหน้า
“ไม่ได้ชอบวิทย์ แค่ดันทำได้ดี รู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นเรื่องที่แม่คาดหวัง ไม่ได้คิดว่าจะต้องป๊อปปูลาร์ แค่กลัวจะไม่มีใครรัก กลัวต้องอยู่คนเดียว แล้วก็ไม่ได้อยากสมบูรณ์แบบ แค่อยากใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองจะไม่เสียดายภายหลัง จนกลายเป็นว่าต้องเป็นทุกอย่างนั้น เป็นอะไรก็ได้ในนั้น...ยกเว้นเป็นผู้กำกับ”
เอดีนามองหน้าเขานิ่ง เกินคาดคิดกับคำตอบตรงไปตรงมาจากปากคู่นั้น เหมือนการสารภาพความในใจที่ขัดแย้งกับตัวตนที่ทุกคน—กระทั่งเธอ—ได้เห็นภายนอก จิมรู้ว่าเธอคิดอะไร แต่ก็ตัดสินใจจะไม่พูดอะไรถึงเรื่องพวกนั้นอีก...อย่างน้อยก็ในคืนนี้ เขาพลิกตัว เปลี่ยนมาเป็นท่านอนตะแคงเหมือนเธอ เอามือรองหนุนหัว ถามกลับไปว่า
“แล้วเธอล่ะ เป็นนักเขียน?”
จิมรู้ เพราะเคยถามมันในตอนที่สังเกตเห็นว่าเธอมักจะไปไหนมาไหนพร้อมสมุด ปากกา และความคิดที่เธอขีดเขียนออกมาบนหน้ากระดาษ เอดีนายิ้มแล้วก็พยักหน้า
“ฉันอยากเป็นนักเขียนที่นิยายได้ทำเป็นหนัง เรื่องที่ฉันกำลังเขียนอยู่ตอนนี้ เป็นเรื่องของเด็กสาวที่มีอิสระจะทำได้ทุกอย่าง แต่ไม่มีความฝัน กับเด็กหนุ่มที่มีความฝันมากมาย แต่ไม่มีอิสระที่จะทำมันได้สักอย่าง”
“ฉันขอเป็นคนแรกที่ได้ทำมันเป็นหนังได้มั้ย”
เอดีนางันไปกับถ้อยประโยคนั้น เป็นครั้งแรกที่รู้สึกถึงความเชื่อมโยงระหว่างเธอกับเขาอย่างแรงกล้า น้ำตาไหลออกจากหน่วยตาไปบนจมูกจนถึงแก้มอีกข้าง เอดีนาเพิ่งได้รู้ว่าตนไม่ใช่คนเดียวในบ้านที่มีปัญหากับการแสดงความรู้สึกข้างใน เธอไม่ได้อยากเป็นคนนอกคอกอย่างที่ผู้คนในโรงเรียนวางบทให้—ตั้งแต่ครั้งอยู่มินนีแอโพลิส แต่เธอก็เล่นนอกบทไม่ได้เพราะไม่มีใครยอมรับ ส่วนจิมที่ดูเหมือนเด็กหนุ่มผู้สมบูรณ์แบบกลับมีความฝันที่ไล่ตามไม่ได้ เพราะต้องเดินไปตามเส้นทางที่ถูกกำหนดให้
จิมเอามือที่หนุนหัวออกเพื่อเอานิ้วโป้งมาเช็ดน้ำตาให้เธอ
“ฉันดีใจมากตอนที่ได้เจอเธอครั้งแรก ได้เห็นว่าพี่น้องใหม่เป็นคนยังไง แต่ก็เสียใจที่เธอต้องมาอยู่ในครอบครัวนี้กับแม่ที่เอาแต่ใจของฉัน ต้องอยู่ในโรงเรียนที่ทุกคนไม่ยอมรับเธอ แล้วก็ต้องมาติดแหง็กอยู่ในพาโลส เวอร์เดสที่เป็นเหมือนกรงขัง”
“ฉันรักบ้านในมินนีแอโพลิสที่ฉันจากมา”
เอดีนาก็เอามือทั้งสองข้างออกจากหัวที่รองไว้เพื่อเอาข้างหนึ่งมาจับมือเขา มันอุ่น ไม่เปลี่ยนไปจากครั้งแรกที่พวกเขาได้เจอกัน แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือมันไม่ได้ให้ความรู้สึกแปลกหน้าอีกต่อไป
“แต่ตอนนี้ฉันรักพาโลส เวอร์เดสเพราะมีนาย นายเปลี่ยนมันให้ฉัน และฉันหวังว่าจะได้เปลี่ยนมันให้นาย”
เธอกับเขาได้แต่มองหน้ากันเงียบนิ่งหลังจบประโยคนั้น จ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีเขียวของกันและกันราวกับจะค้นหาความหมายที่อยู่ข้างใน เป็นชั่วขณะที่ยาวนานเหมือนชั่วนิรันดร์ เอดีนายังไม่ปล่อยมือของจิมที่อยู่บนแก้มเธอ—และมันเป็นการกระทำที่เธอรู้ตัว เหมือนจิมที่ขยับมันไล้แผ่วเบา ก่อนเสียงทุ่มเถียงของแกลดิสกับบิลลีที่หายไปพักใหญ่จะดังขึ้นมาถึงบนชั้นสองอีกครั้ง เรียกช่วงเวลาที่เดินช้าไปครู่หนึ่งให้กลับมาเป็นจังหวะเดิม
เว้นแต่จังหวะของจิมจะเปลี่ยนไป...เมื่อเขาโน้มตัวเข้าไปจูบเธอ
และเอดีนาตอบรับ...ราวกับเธอก็กำลังรอคอยอยู่เช่นกัน
เรื่องราวที่ดำเนินไปต่อจากนั้น ไม่ใช่เพราะบรรยากาศพาไป ไม่ใช่เพราะความอยากรู้อยากลองของเอดีนาที่ไม่เคยมีเซ็กซ์ ไม่ใช่เพราะอยากประชดพ่อแม่ที่เอาแต่ทะเลาะกัน ไม่ใช่เพราะต้องการใครก็ได้แค่เพื่อให้ผ่านพ้นคืนเหงานี้ไป แต่ทุกอย่างเกิดขึ้นจากความตั้งใจ...จากความรู้สึกจริงแท้...ที่พบว่าแท้จริงก็ไม่ได้ต่างกันเลย
เธอกับเขาต่างก็เป็นคนสิ้นหวัง โดดเดี่ยว ว่างเปล่า ที่ต้องใช้ชีวิตในคุกคุมขังบนคาบสมุทร อยู่กับความคาดหวัง—ทั้งของตัวเองและของคนอื่น
แต่คืนนั้นในอ้อมกอดของกันและกัน จิมกับเอดีนาก็ได้รู้ว่าบนทางไปสู่ดินแดนที่นมและน้ำผึ้งลอยล่อง[1] พวกเขาไม่จำเป็นต้องเดินเพียงลำพังอีกต่อไป
.
‘และพระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า เราเห็นคนของเราถูกจองจำ และเราได้ยินพวกเขาร่ำไห้
เราเข้าใจความทุกข์ระทมของพวกเขา และเรามาเพื่อปลดปล่อยพวกเขาจากเงื้อมมือของคนชั่วร้าย
และนำคนของเราออกจากสถานที่วิปโยคนั้น ไปยังแผ่นดินแห่งพระสัญญา[1]’
– เดอะ แฮนด์เมดส์ เทล, ซีซันสาม ตอนที่สิบสาม
[1] Land flowing with milk and honey มีความหมายเดียวกับ Promised Land (แผ่นดินแห่งพระสัญญา) ในพระคัมภีร์พันธสัญญาฉบับเดิม
Published Date : AUG 14, 2019 (Mayday)
- เพลงที่เราเอามาประกอบในตอนนี้เป็นเพลงinsertในเรื่อง The Handmaid's Tale ที่เรารักมากกกทั้งเพลงทั้งซีรีส์ ก็เลยตั้งใจจะลงหลังจากได้ดูตอนจบseason 3 ที่เราเพิ่งดูจบไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน สนุกมากกก ซึ้งมากกก ประทับใจมากกก สมกับเป็นตอนfinale ดีมากจนเราได้ประโยคตอนจบเรื่องมาใส่ปิดท้ายเรื่องเพิ่มด้วยแล้วกัน คิดดู T_T
- ตอนแรกเราคิดจะเริ่มตั้งแต่การปรับตัวของนางเอกในพาโลส เวอร์เดส แต่เราใจร้อนอยากแต่งเรื่องความสัมพันธ์ของเอดีนากับจิมหลังจากรักกันแล้วมากกว่า สุดท้ายก็อดไม่ได้ อยากแต่งเรื่องของคนสองคนที่จะช่วยเยียวยากันและกันได้ล่ะนะ T_T เป็น