ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ` Only The Ocean .

    ลำดับตอนที่ #1 : I - To The Wonder

    • อัปเดตล่าสุด 30 ก.ย. 62


    https://i.imgur.com/AVqwg8e.png
    BGM : I’m Clean Now – Grouper | The Handmaid’s Tale Insert Song

    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    คำถาม: ทำไมเอดีนา พรีกเกอร์ต้องย้ายจากมินนีแอโพลิสในมินนีโซตา มาอยู่ที่แคลิฟอร์เนียในเมืองคาบสมุทรที่ชื่อว่า พาโลส เวอร์เดส

    คำตอบ: เพราะแฟนใหม่ของบิลลี พรีกเกอร์เป็นหมอศัลยกรรมตกแต่งความงามที่มีสำมะโนครัวอยู่ในเมืองนั้น แกลดิส แอนเดอร์สันมาสัมมนาเรื่องการแพทย์อะไรสักอย่างที่มินนีโซตา เจอพ่อเธอที่ไปทำงานตกแต่งภายในในโรงแรมหรูที่บริษัทจัดให้พัก ตกหลุมรักกันทันทีในคืนนั้น (แกลดิสจะเล่าเรื่องนี้อย่างภาคภูมิใจทุกครั้งด้วยรอยยิ้มกว้าง) จนแม้การประชุมจะจบไปนานแล้ว หล่อนก็ยังอยู่ในมินนีแอโพลิสต่ออีกเป็นเดือนเพื่อใช้เวลาร่วมกับบิลลี และเมื่องานตกแต่งโรงแรมนี้แล้วเสร็จ พวกเขาก็เดินทางไปลอส แองเจลิสด้วยกันสองสัปดาห์ เพื่อจะกลับมาหาเธอที่บ้านพร้อมแหวนเงินที่นิ้วนางข้างซ้ายและการย้ายไปอยู่ที่พาโลส เวอร์เดส

    แม้เอดีนาผู้ไม่เป็นมิตรกับการเปลี่ยนแปลงมากนักจะไม่ได้อยากย้ายไปไหน เธอชื่นชมแกลดิสแต่ก็ไม่ได้รักหล่อนอย่างที่พ่อคลั่งไคล้ หากก็ไม่มีทางเลือกอื่นให้กับลูกสาวคนเดียวของบ้าน ใช่ว่าเธอรักมินนีแอโพลิสมากมายอะไร มันแค่...เป็นเมืองที่เธอผูกพันเพราะอยู่มาตั้งแต่เกิด ลินเดน ฮิลล์ส เป็นชุมชนเมืองขนาดกลางที่มีเสน่ห์และเอกลักษณ์เฉพาะตัว สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้เรียงรายให้ร่มเงา สวนสาธารณะเขียวชอุ่มร่มรื่นให้พักผ่อนหย่อนใจกระจายอยู่ทั่ว และเธอชอบบ้านที่พ่อเพิ่งซื้ออยู่ได้แค่ห้าปีหลังหย่ากับแม่ มันน่ารักมาก เป็นบ้านหลังใหญ่ในแบบวินเทจผสมมอเดิร์น ทั้งเพราะการปลูกสร้างเก่าก่อนและการปรับปรุงตกแต่งภายในใหม่ของพ่อ นอกจากนั้นมันยังอยู่ใกล้กับทะเลสาบแฮร์เรียตที่เธอมักจะปั่นจักรยานไปนั่งอ่าน เขียน หรือไม่ก็แค่เหม่อใจอยู่ข้างผืนน้ำราบเรียบที่แสนงดงามนั้น

    ไม่หรอก ไม่จริงเลย เอดีนาไม่ได้แค่ชอบหรือผูกพัน—เธอรัก มัน รักลินเดน ฮิลล์ส เมืองนี้ไม่ใช่แค่บ้านแต่เป็นวิมาน อาณาจักรที่ทำให้เธอปลอดภัย...จากโลก...จากสังคมชื่อโรงเรียนที่เพื่อนฝูงขับเธอเป็นคนนอก

    และพาโลส เวอร์เดสก็หมายถึงการปรับตัวครั้งใหม่ ไม่ใช่แค่ครอบครัวหรือบ้านที่ไม่ได้มีเพียงเธอกับพ่ออีกต่อไป แต่การต้องออกจากหลุมหลบภัยเก่า เธอก็คาดหวังว่ามันจะเป็นที่หลบภัยแห่งใหม่ได้ และเมื่อไม่มีทะเลสาบสงบนิ่งให้เธอโยนความทุกข์ใจทิ้งใส่มันได้อีก เอดีนาก็อยากคิดว่าทะเลจะเป็นแหล่งเยียวยาหรือกระทั่งบำบัดแห่งใหม่ด้วยเช่นกัน

    แม้เธอจะรู้ว่ามันอาจไม่ง่ายเลย เพราะทะเลนั้นแสนแปรปรวน


    เป็นวันแรกที่เอดีนากับพ่อย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านใหม่ของครอบครัวแอนเดอร์สันเต็มตัว แกลดิสเป็นหมอศัลยกรรม—และคำนั้นก็ใช้แทนคำว่า ลมหายใจ ของผู้คนในแอลเอ จึงไม่แปลกหากหล่อนจะมีลูกค้าเป็นจำนวนมาก (เอดีนาคิดว่าแกลดิสผู้มีใบหน้าในวัยกลางคนอย่างนางเอกหนังก็คงทำศัลยกรรมด้วย แต่จะสำคัญตรงไหนในเมื่อหล่อนได้เป็นเจ้าของใบหน้าที่สวยที่สุดที่เธอเคยเห็น) และนำเงินเป็นกอบเป็นกำที่ได้จากพวกเขามาซื้อบ้านติดทะเล...ที่ก็เป็นบ้านที่สวยที่สุดที่เธอเคยเห็นอีกเช่นกัน

    และคำว่าติดทะเล เอดีนาก็หมายความตามนั้นทุกพยางค์ ไม่แค่มองเห็นวิวทะเลได้จากระเบียง เฉลียง หรือห้องทางทิศตะวันออก แต่เดินลงเนินไปแค่ไม่กี่สิบก้าวก็โผนลงทะเลได้ บ้านสองชั้นที่กว้างขวางโอ่อ่าหลังนี้ไม่มีอะไรวินเทจเหมือนบ้านเก่าของพ่อลูกพรีกเกอร์ในมินนีแอโพลิส ทุกอย่างเป็นแบบสมัยใหม่ ดูเรียบหรูสบายตา ให้บรรยากาศริมทะเล อาจเพราะกระดานเซิร์ฟ ทำให้เธอนึกถึงบ้านพักตากอากาศ หรือไม่ก็บ้านที่จะพบเห็นได้ในนิตยสาร เฮาส์ บิวตีฟูล พื้นที่เหลือเฟือจนห้องหับเยอะตามไปด้วย เฟอร์นิเจอร์ ข้าวของเครื่องใช้ รวมทั้งของตกแต่ง แค่ประเมินด้วยตาก็รู้ว่าเป็นของดีราคาแพง ไม่มีอะไรในบ้านนี้ที่ทำให้เธอไม่ชอบ แต่สิ่งที่จำเป็นที่สุดก็คือเอดีนาต้อง รัก ที่อยู่ใหม่นี้ให้ได้ต่างหาก

    ป็นบ่ายนั้นเองที่เธอได้เจอลูกชายคนเดียวของแกลดิสเป็นครั้งแรก

    พวกเขา ได้เจอกันเป็นครั้งแรก

    เด็กหนุ่มที่เพิ่งเปิดประตูหน้าบ้านเข้ามา วางกระเป๋าที่หอบหิ้วมาด้วยลงบนพื้นทันทีเมื่อเห็นวงสนทนาขนาดย่อมของหนึ่งชายสองหญิงในห้องรับแขก เขาเดินเร็วจนแทบจะเป็นการวิ่งเข้าไปกอดแกลดิส จากนั้นก็จับมือทักทายบิลลีที่คงรู้จักมักคุ้นกันมาก่อนแล้ว แล้วจึงหันมาหาเธอที่นั่งอยู่คนเดียวบนโซฟาอีกตัว

    ไฮ เอดีนา ผมจิม ดีใจที่ในที่สุดก็ได้เจอนะ”

    เด็กสาวเด้งตัวขึ้นจากโซฟาที่คลุมด้วยผ้าริ้วเทาสลับขาว เธอสูงไม่เท่าชายหนุ่มตรงหน้าจึงต้องแหงนเงยขึ้นนิดหน่อย เอดีนาคลายมือที่เผลอกำเป็นหมัดเพราะประหม่าจนถึงเมื่อครู่นี้ออก แล้วเอามันไปจับกับมือของเขาที่รอท่าอยู่ เอดีนาไม่คุ้นเคยกับมือของผู้ชายคนไหนนอกจากพ่อ มันให้ความรู้สึกแปลก ใหม่ หนัก แต่อุ่น เธอพยายามจะไม่นึกถึงเรื่องพวกนั้น ขณะแนะนำตัวกลับไปให้เป็นธรรมชาติที่สุด

    จิมมีเพิ่งกลับจากไปเข้าค่ายวิทยาศาสตร์ที่แซน ดีเอโกจ้ะ” แกลดิสโพล่งขึ้นมา จิมหันไปยิ้มให้แม่ทั้งที่มือยังจับกับเอดีนาไม่ปล่อย

    “เขาเก่งวิทย์มากเลยนะ ได้ทั้งเหรียญ ทั้งถ้วย ทั้งทุน ที่จริงเขาเรียนเก่งทุกวิชาเลยล่ะ” หล่อนยังคงร่ายต่อไปอย่างภูมิอกภูมิใจในตัวลูกชายอัจฉริยะเหมือนหล่อน ผิดกับเอดีนาที่ไม่ได้เก่งเหมือนพ่อของเธอ เธอนึกไม่ออกว่าตนมีอะไรที่พ่อจะหยิบยกไปอวดพ่อแม่คนอื่นได้ จิมหัวเราะเขิน มือยังคงจับกับเธอแน่น จนเอดีนานึกสงสัยว่าเขารู้ตัวหรือเปล่า หากก็ใช่ว่าไม่ชอบ มันแค่...ให้ความรู้สึกดี แล้วคำตอบของเธอก็ได้รับการคลี่คลายเมื่อจิมหันมาทางเธออีกครั้ง เขายิ้มให้เธอด้วยรอยยิ้มเก้อติดประหม่า ทว่าจริงใจ พร้อมมือที่บีบกับเธอด้วยน้ำหนักพอเหมาะที่ทำให้เธอวางใจ

    “ยินดีต้อนรับสู่พีวีพาโลส เวอร์เดส


    จิกับเอดีนาอายุเท่ากัน ใช้นามสกุลพรีกเกอร์เหมือนกัน มีผู้ปกครองคนเดียวกัน อาศัยอยู่ร่วมบ้านกัน ไปกลับโรงเรียนด้วยกัน และเป็นพี่น้องที่มีความปรารถนาดีให้กัน

    ทว่าพวกเขาไม่ได้เหมือนกันทุกอย่าง

    ขณะที่จิมเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดี เรียนเก่ง ร่าเริงแจ่มใส เป็นที่รักของทุกคน ป๊อปปูลาร์โดยไม่ต้องพยายาม เอดีนาที่เป็นนักเรียนใหม่และพี่น้องคนใหม่ของจิมก็แตกต่างจากเขาลิบลับในความคิดและสายตาของทุกคน แม้จิมจะพยายามช่วยเธอปรับตัวเข้ากับชีวิตในโรงเรียนใหม่ เอดีนาก็เข้ากับใครไม่ได้...โดยไม่ต้องพยายามเช่นกัน เธอไม่ใช่คนไม่เป็นมิตร ไม่ได้ทำหน้าบูดบึ้งหรือทำตัวขวางโลก เธอยิ้มได้เสมอ แต่การสานสัมพันธ์ต้องใช้คุณสมบัติที่มากกว่านั้น

    ย่างน้อยเธอก็มีจิมเป็นเพื่อน

    ทุกเย็น เอดีนาจะออกไปนั่งบนหาดทราย เหม่อมองท้องฟ้ากับผืนน้ำจนตะวันตกดิน จิมค้นพบช่วงเวลาส่วนตัวนี้ของเธอในเย็นวันหนึ่งหลังกลับจากไปเที่ยวกับพวกของเฮเตอร์ ผมสีน้ำตาลเข้มที่ปลิวพลิ้วไปตามแรงลมกลายเป็นสีสว่างเมื่อต้องแดด เธอจะนั่งกอดเข่า ขัดสมาธิ หรือไม่ก็ชันแขนทั้งสองไปข้างหลัง จิมพบว่าเขาหลงใหลภาพด้านหลังของเธอที่มองเห็นได้จากห้องนอนทิศตะวันออกของเขา เขาจะมองดูทัศนียภาพตรงหน้าเหมือนเป็นฉากในหนังภาพสวยยากจะเข้าใจในทีแรกอย่าง เดอะ ทรี ออฟ ไลฟ์ ที่เขาดูซ้ำได้ไม่เบื่อแม้จนกระทั่งเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่แล้ว เมื่อหมดช่วงเวลาอันเป็นดั่งกิจวัตรศักดิ์สิทธิ์ทั้งของเธอและเขา เอดีนาก็จะกลับขึ้นมาบนบ้าน เนื้อตัวเปื้อนทรายขาว เหนียวลมทะเลเหนอะหนะ ยิ้มกว้างให้จิมที่รอโบกมือทักทายเธออยู่บนระเบียงห้องนอนของเขา



    เสียงคลื่นยังทำให้ฉันนอนไม่ค่อยหลับ”

    เอดีนาพูดกับจิมที่นอนอยู่ข้างเธอบนเตียง เขานอนหลังตรงมองเพดาน มือวางทาบกันบนท้อง ส่วนเธอนอนตะแคงหันไปทางเขา เอาหัวหนุนแขนที่อยู่บนหมอน ไม่ใช่ครั้งแรกที่จิมได้เห็นห้องนอนของเอดีนา แต่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เข้ามา ห้องอยู่ทางทิศตะวันตกจึงมองออกไปไม่เห็นทะเล กระนั้นก็ยังได้ยินเสียงคลื่นที่ไม่เคยหลับใหลได้ชัดเจนราวกับมันบรรเลงอยู่ตรงหน้า ห้องของเธอดูจะให้ความรู้สึกอบอุ่นทั้งในยามที่แดดส่อง หรือเฉพาะตอนที่เปิดแค่ไฟหิ่งห้อยสีส้มบนกำแพงหัวเตียงอย่างเวลานี้ จิมชอบชั้นหนังสือไม้ติดผนังที่อัดแน่นไปด้วยหนังสือ เอดีนาตกแต่งห้องของเธอจนไม่เหมือนพื้นที่ใดในบ้านนี้ ดูแปลกตาทั้งพรมทอลวดลายละลายตา ชิงช้ารังนกหวายที่มุมห้อง ของประดับห้อยตกแต่งที่ทำจากวัสดุธรรมชาติจำพวกกิ่งไม้ ขนนก หรือกระทั่งตาข่ายดักฝัน เอดีนาหัวเราะตอนที่เขาพูดว่าไม่รู้เลยว่าเธอจะเป็นสาวโบโฮ ฉันไม่ได้เป็น...ฉันแค่พยายามจะหาสิ่งที่ใช่กับฉัน

    แต่ก็ไม่มากเท่าเสียงพ่อแม่ทะเลาะกันอยู่ดี” เหมือนเธอพึมพำกับตัวเองมากกว่าพูดกับเขา

    ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือเพราะอะไร ที่บิลลีกับแกลดิสหลงใหลการทะเลาะกันแทนที่กันและกัน ทุกคืนที่เป็นแบบนั้น จิมจะตัดปัญหาด้วยการเอาหูฟังครอบหูพร้อมเปิดเพลงให้ดังจนกลบได้มิด เอดีนาบอกว่าเธอเองก็ไม่ต่าง เพียงแต่ของเธอเป็นหูฟังอินเอียร์ มันเป็นคืนแรกที่จิมตัดสินใจมาเคาะห้องพี่น้องร่วมชะตากรรมด้วยคิดว่าเธออาจอยากคุยกับใครสักคน...เหมือนเขา เจ้าของห้องเชื้อเชิญแขกให้เข้ามาอย่างง่ายดาย จิมประหม่าในทีแรก แต่เธอดูจะยินดีต้อนรับเขาอย่างเต็มใจ “ถ้าเธอไม่ว่าอะไร” จิมพูดเมื่อก้าวเข้ามาก่อนปิดประตูตามหลัง รอยยิ้มกึ่งขบขันของเอดีนาทำให้แก้มของเขาพลันอุ่นขึ้นกว่าที่อุณหภูมิห้องทำได้

    “โตขึ้นนายอยากเป็นอะไร นักวิทยาศาสตร์ คนป๊อปปูลาร์ หรือผู้ชายที่สมบูรณ์แบบไปทุกอย่าง

    เอดีนาเปลี่ยนเรื่อง เมื่อพบว่าการคุยกันเรื่องปัญหาของพ่อกับแม่จะทำให้คืนต้องมนตร์เสื่อมมนตร์สะกด และเธอไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น เธออยากให้มันเป็นคืนที่พวกเขาได้เปิดใจพูดคุยกัน มากกว่าแค่บทสนทนาผิวเผินธรรมดาอย่างที่เคย

    “ฉันอยากเป็นผู้กำกับหนัง”

    จิมหันมามองเธอที่รอฟังคำตอบของเขา รอยยิ้มที่สว่างไสวกว่าไฟสีนวลปรากฏบนใบหน้า

    “ไม่ได้ชอบวิทย์ แค่ดันทำได้ดี รู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นเรื่องที่แม่คาดหวัง ไม่ได้คิดว่าจะต้องป๊อปปูลาร์ แค่กลัวจะไม่มีใครรัก กลัวต้องอยู่คนเดียว แล้วก็ไม่ได้อยากสมบูรณ์แบบ แค่อยากใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองจะไม่เสียดายภายหลัง จนกลายเป็นว่าต้องเป็นทุกอย่างนั้น เป็นอะไรก็ได้ในนั้น...ยกเว้นเป็นผู้กำกับ”

    เอดีนามองหน้าเขานิ่ง เกินคาดคิดกับคำตอบตรงไปตรงมาจากปากคู่นั้น เหมือนการสารภาพความในใจที่ขัดแย้งกับตัวตนที่ทุกคนกระทั่งเธอได้เห็นภายนอก จิมรู้ว่าเธอคิดอะไร แต่ก็ตัดสินใจจะไม่พูดอะไรถึงเรื่องพวกนั้นอีก...อย่างน้อยก็ในคืนนี้ เขาพลิกตัว เปลี่ยนมาเป็นท่านอนตะแคงเหมือนเธอ เอามือรองหนุนหัว ถามกลับไปว่า

    “แล้วเธอล่ะ เป็นนักเขียน?

    จิมรู้ เพราะเคยถามมันในตอนที่สังเกตเห็นว่าเธอมักจะไปไหนมาไหนพร้อมสมุด ปากกา และความคิดที่เธอขีดเขียนออกมาบนหน้ากระดาษ เอดีนายิ้มแล้วก็พยักหน้า

    ฉันอยากเป็นนักเขียนที่นิยายได้ทำเป็นหนัง เรื่องที่ฉันกำลังเขียนอยู่ตอนนี้ เป็นเรื่องของเด็กสาวที่มีอิสระจะทำได้ทุกอย่าง แต่ไม่มีความฝัน กับเด็กหนุ่มที่มีความฝันมากมาย แต่ไม่มีอิสระที่จะทำมันได้สักอย่าง

    “ฉันขอเป็นคนแรกที่ได้ทำมันเป็นหนังได้มั้ย”

    เอดีนางันไปกับถ้อยประโยคนั้น เป็นครั้งแรกที่รู้สึกถึงความเชื่อมโยงระหว่างเธอกับเขาอย่างแรงกล้า น้ำตาไหลออกจากหน่วยตาไปบนจมูกจนถึงแก้มอีกข้าง เอดีนาเพิ่งได้รู้ว่าตนไม่ใช่คนเดียวในบ้านที่มีปัญหากับการแสดงความรู้สึกข้างใน เธอไม่ได้อยากเป็นคนนอกคอกอย่างที่ผู้คนในโรงเรียนวางบทให้ตั้งแต่ครั้งอยู่มินนีแอโพลิส แต่เธอก็เล่นนอกบทไม่ได้เพราะไม่มีใครยอมรับ ส่วนจิมที่ดูเหมือนเด็กหนุ่มผู้สมบูรณ์แบบกลับมีความฝันที่ไล่ตามไม่ได้ เพราะต้องเดินไปตามเส้นทางที่ถูกกำหนดให้

    จิมเอามือที่หนุนหัวออกเพื่อเอานิ้วโป้งมาเช็ดน้ำตาให้เธอ

    ฉันดีใจมากตอนที่ได้เจอเธอครั้งแรก ได้เห็นว่าพี่น้องใหม่เป็นคนยังไง แต่ก็เสียใจที่เธอต้องมาอยู่ในครอบครัวนี้กับแม่ที่เอาแต่ใจของฉัน ต้องอยู่ในโรงเรียนที่ทุกคนไม่ยอมรับเธอ แล้วก็ต้องมาติดแหง็กอยู่ในพาโลส เวอร์เดสที่เป็นเหมือนกรงขัง”

    ฉันรักบ้านในมินนีแอโพลิสที่ฉันจากมา”

    เอดีนาก็เอามือทั้งสองข้างออกจากหัวที่รองไว้เพื่อเอาข้างหนึ่งมาจับมือเขา มันอุ่น ไม่เปลี่ยนไปจากครั้งแรกที่พวกเขาได้เจอกัน แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือมันไม่ได้ให้ความรู้สึกแปลกหน้าอีกต่อไป

    แต่ตอนนี้ฉันรักพาโลส เวอร์เดสเพราะมีนาย นายเปลี่ยนมันให้ฉัน และฉันหวังว่าจะได้เปลี่ยนมันให้นาย”

    เธอกับเขาได้แต่มองหน้ากันเงียบนิ่งหลังจบประโยคนั้น จ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีเขียวของกันและกันราวกับจะค้นหาความหมายที่อยู่ข้างใน เป็นชั่วขณะที่ยาวนานเหมือนชั่วนิรันดร์ เอดีนายังไม่ปล่อยมือของจิมที่อยู่บนแก้มเธอและมันเป็นการกระทำที่เธอรู้ตัว เหมือนจิมที่ขยับมันไล้แผ่วเบา ก่อนเสียงทุ่มเถียงของแกลดิสกับบิลลีที่หายไปพักใหญ่จะดังขึ้นมาถึงบนชั้นสองอีกครั้ง เรียกช่วงเวลาที่เดินช้าไปครู่หนึ่งให้กลับมาเป็นจังหวะเดิม

    ว้นแต่จังหวะของจิมจะเปลี่ยนไป...เมื่อเขาโน้มตัวเข้าไปจูบเธอ

    ละเอดีนาตอบรับ...ราวกับเธอก็กำลังรอคอยอยู่เช่นกัน


    รื่องราวที่ดำเนินไปต่อจากนั้น ไม่ใช่เพราะบรรยากาศพาไป ไม่ใช่เพราะความอยากรู้อยากลองของเอดีนาที่ไม่เคยมีเซ็กซ์ ไม่ใช่เพราะอยากประชดพ่อแม่ที่เอาแต่ทะเลาะกัน ไม่ใช่เพราะต้องการใครก็ได้แค่เพื่อให้ผ่านพ้นคืนเหงานี้ไป แต่ทุกอย่างเกิดขึ้นจากความตั้งใจ...จากความรู้สึกจริงแท้...ที่พบว่าแท้จริงก็ไม่ได้ต่างกันเลย

    ธอกับเขาต่างก็เป็นคนสิ้นหวัง โดดเดี่ยว ว่างเปล่า ที่ต้องใช้ชีวิตในคุกคุมขังบนคาบสมุทร อยู่กับความคาดหวัง—ทั้งของตัวเองและของคนอื่น

    ต่คืนนั้นในอ้อมกอดของกันและกัน จิมกับเอดีนาก็ได้รู้ว่าบนทางไปสู่ดินแดนที่นมและน้ำผึ้งลอยล่อง[1] พวกเขาไม่จำเป็นต้องเดินเพียงลำพังอีกต่อไป


    .


    และพระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า เราเห็นคนของเราถูกจองจำ และเราได้ยินพวกเขาร่ำไห้
    เราเข้าใจความทุกข์ระทมของพวกเขา และเรามาเพื่อปลดปล่อยพวกเขาจากเงื้อมมือของคนชั่วร้า
    และนำคนของเราออกจากสถานที่วิปโยคนั้น ไปยังแผ่นดินแห่งพระสัญญา[1]

    เดอะ แฮนด์เมดส์ เทล, ซีซันสาม ตอนที่สิบสาม

    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    [1] Land flowing with milk and honey มีความหมายเดียวกับ Promised Land (แผ่นดินแห่งพระสัญญา) ในพระคัมภีร์พันธสัญญาฉบับเดิม
    ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    Published Date : AUG 14, 2019 (Mayday)
    -
    เพลงที่เราเอามาประกอบในตอนนี้เป็นเพลงinsertในเรื่อง The Handmaid's Tale ที่เรารักมากกกทั้งเพลงทั้งซีรีส์ ก็เลยตั้งใจจะลงหลังจากได้ดูตอนจบseason 3 ที่เราเพิ่งดูจบไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน สนุกมากกก ซึ้งมากกก ประทับใจมากกก สมกับเป็นตอนfinale ดีมากจนเราได้ประโยคตอนจบเรื่องมาใส่ปิดท้ายเรื่องเพิ่มด้วยแล้วกัน คิดดู T_T
    -
    ตอน
    แรกเราคิดจะเริ่มตั้งแต่การปรับตัวของนางเอกในพาโลส เวอร์เดส แต่เราใจร้อนอยากแต่งเรื่องความสัมพันธ์ของเอดีนากับจิมหลังจากรักกันแล้วมากกว่า สุดท้ายก็อดไม่ได้ อยากแต่งเรื่องของคนสองคนที่จะช่วยเยียวยากันและกันได้ล่ะนะ T_T เป็นเรื่องที่ตอนแต่งเราสนุกมาก แม้แต่การหาข้อมูลก็เพลินมาก โทนเรื่องก็ออกมาเป็นแบบที่เราชอบมาก วะ มันดีไปหมด! แต่งเองชมเองเป็นฮ่ะ T v T)b
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×