คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #32 : Something Good : The End Of The World (Life Is Strange AU)
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
. เป็นฟิค from nowhere อย่างแท้จริง วันหนึ่งเราฟังเพลงที่เอามาใส่ในตอนนี้ (versionนี้เท่านั้นนะ) แล้วก็คิดว่าอยากแต่งฉากที่พายุเข้าเมืองเหมือนในเกม Life is Strange เกมที่เป็นแรงบันดาลใจหลักของเรื่องนี้มาตั้งแต่แรกค่ะ เดิมมันคือฟิคที่เราอยากแต่งเป็นเรื่องยาว (คาแรคเตอร์ที่เราทำเสร็จหมดแล้วอยู่ในตอนที่ 12) แต่งไปแต่งมาก็พบว่าเราอยากแต่งเป็นเรื่องยาวจริงแหละ แต่รู้ดีว่าไปไม่รอดแน่ ฮ่าฮ่า T - T
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตอนนั้น, วิโนนา มาร์สเดน มาเอาการบ้านวิชาเคมีที่เธอขอยืมวอร์เรนในห้องของเขา ที่เจ้าของห้องอนุญาตให้เธอเข้าไปเอามันเองได้ถึงตัวไม่อยู่ เพราะเดิมเธอก็เป็นแขกประจำที่มักจะมาขอยืมหรือดูแผ่นหนังของเขาที่มีอยู่เต็มห้อง (ป้าย ‘ไม่อนุญาตให้ผู้หญิงเข้า’ บนโถงทางเดินถูกทุกคนเมินเฉย เหมือนใบปิดรณรงค์ ‘หยุด! การมีเพศสัมพันธ์ในวัยเรียน’ หรือไม่ก็ ‘เซฟ เซ็กซ์ เพื่ออนาคตที่สดใส!’ ความน่าเชื่อถือของพวกมันยังน้อยกว่าใบปิดชักชวนเข้าร่วมฟังเทศน์ ‘เอเมน! ฮัลเลลูยาห์!’ หรือใบปิดจูงใจของพวกวีแกน ‘การกินเนื้อสัตว์เป็นบาปมหันต์!’ อย่างมหันต์) เรียบร้อยดีก็พร้อมออกจากหอพักชายปลอดคนในยามบ่ายของวันจันทร์ เพื่อขึ้นรถบัสของโรงเรียนไปหาวอร์เรนที่ไดเนอร์ในเมือง
ตอนนั้น, วิลเลียม แฮร์ริส นั่งอยู่คนเดียวที่ม้านั่งตัวยาวหน้าหอพัก เอาแต่ก้มหน้าดูรูปในกล้องที่ราคาแพงกว่าเพชร จนไม่รับรู้ถึงดินฟ้าอากาศที่เริ่มจะไม่ใช่แค่ฟ้าครึ้มเหมือนเป็นเย็นย่ำมากกว่าเพิ่งบ่าย วิโนนาชั่งใจว่าจะเข้าไปทักเขาดีหรือเปล่า เพราะ—เขาเป็นคนที่ใครต่อใครต่างก็ให้คำนิยามว่าเลวร้าย อารมณ์ร้อน เอาแต่ใจ มีปัญหากับการควบคุมอารมณ์ของตัวเอง (เพื่อความยุติธรรม เราก็ต้องบอกว่าเหล่านี้ล้วนมาจากปากคนที่ไม่ใช่เพื่อนของเขาเช่นกัน) แต่ครอบครัวของเขาเป็นผู้อุปถัมภ์รายใหญ่ของสถาบัน ขนาดที่อาจารย์ใหญ่ก็ไม่กล้าหือตราบที่หอพักชายหญิงของสถาบันยังมีชื่อว่าหอพักแฮร์ริส
วิลเลียม แฮร์ริส จึงมีสิทธิ์เป็นเด็กรวยนิสัยเสียตามสูตรทุกประการได้
แต่ตลอดสี่เดือนที่ย้ายจากพอร์ตแลนด์มาอาร์เคเดีย เบย์ หลังได้ทุนการศึกษาเข้าเรียนด้านการถ่ายภาพที่แฟร์ สแควร์ อคาเดมี แม้วิโนนาจะไม่ได้สนิทสนมกับวิลเลียม แต่ความสัมพันธ์ของเธอกับเขาก็คงเรียกว่าผิวเผินไม่ได้อีก พักนี้ดูเหมือนเธอจะได้เจอกับเขาบ่อยมาก และเขาก็ดูจะมีน้ำใจกับเธอมากกว่าที่เธอคาดหวังว่าจะได้รับจากคนที่ถูกนิยามด้วยคำว่า; เลวร้าย
ทั้งอย่างนั้น วิลเลียมก็รับรู้ได้เองเมื่อปุบปับลมเย็นก็พัดแรงจัด ผมสีน้ำตาลของวิโนนาที่มัดเป็นแกละสองข้างพัดหวือ จนต้องหลับตาเพราะโดนผมที่ต้านแรงลมไม่ไหวตีเข้าหน้า ก่อนจะลืมมันขึ้นเมื่อรู้สึกว่าถูกคนมาดึงตัวไป เด็กสาวไม่ทันเข้าใจจนกระทั่งเห็นกระเบื้องสังกะสีที่ภารโรงวางไว้เพื่อจะเอามาซ่อมแซมหลังคา ปลิวไปกระแทกกับอาคารในตำแหน่งที่เธอเพิ่งยืนอยู่เมื่อไม่กี่วินาทีนี้ ก่อนฝนจะลงเม็ดเป็นห่าฝน พร้อมกับที่วิลเลียมจะจูงเธอเข้าไปในตึกโดยไม่จำเป็นต้องมีคำชักชวนใด
วิโนนากับวิลเลียมยืนนิ่งเหมือนหยุดพักที่โถงทางเดิน หอพักชายในตอนนี้มีแค่เธอกับเขา นักเรียนคนอื่นออกไปเรียน หรือไม่ก็ไปทำกิจกรรมของตัวเองในวันแรกของสัปดาห์แทนที่จะจับเจ่าอยู่ในห้อง ป้ายห้ามผู้หญิงเข้าหอแปะอยู่ที่ด้านหนึ่ง (มีคนมือบอนไปเขียนทับมันด้วยคำหยาบคายที่วิโนนาขออนุญาตไม่พูดถึง) เธอพยายามหันมองทางอื่น แทนที่จะเป็นทิศทางนั้น หรือทิศทางของวิลเลียมที่อยู่ตรงหน้า
และคำชวนไปที่ห้องของเขาก็ทำให้วิโนนาต้องประหม่ากว่าเดิม ไม่ใช่เพราะกลัวจะเกิดเรื่องไม่ดีไม่งาม (ใบปิดรณรงค์ให้ใช้ถุงยางที่ใครก็ไม่รู้ทะลึ่งไปเขียนคำทะลึ่งเพิ่มไว้ ดันกระแทกเข้ามาในตาเธออย่างจัง) แต่เพราะวิลเลียมแทบจะไม่เคยให้ใครเข้าห้องของตัวเอง (อย่างน้อยวิโนนาก็ได้ยินมาอย่างนั้น) การที่เหมือนตัวเองได้รับ ‘อภิสิทธิ์’ นั้นต่างหากที่ทำให้เธอกระอักกระอ่วน แต่เขากลับตีความความเงียบและท่าทางของคนตรงหน้าไปอีกทางว่าเป็นการปฏิเสธ
“เธออยากจะไปอยู่ที่ห้องของวอร์เรนก็ตามใจ”
แม้คำพูดจะฟังแปร่งหู แต่วิโนนาคิดว่าสีหน้าของวิลเลียมดูเศร้า เหมือนเขาต้องการตัดพ้อมากกว่าประชด เสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าจากด้านนอกดังมาให้ได้ยินเป็นระยะ การแยกไปอยู่ห้องใครห้องมัน (เธอหมายถึงห้องของวอร์เรน) ในตึกกว้างที่มีแค่พวกเขานั้น อันที่จริงมันเป็นทางเลือกที่น่ากลัวกว่าเป็นไหน
“ถ้าเธอเต็มใจให้ฉันอยู่ด้วยนะ”
และรอยยิ้มบางเบาบนใบหน้าของเขา ก็ทำให้เธอยิ้มออกมาได้ไม่ต่างกัน
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตอนนั้น, วอร์เรน วูดเวิร์ด กำลังกินเบคอนชิ้นสุดท้าย (มื้อเช้ารวบเที่ยงประจำบ่ายนั้นของเขา) ในทู มูนส์ ไดเนอร์ ร้านอาหารที่ถูกออกแบบให้เหมือนรถบัสคันโตในย่านดาวน์ทาวน์ติดทะเล มองเห็นประภาคารที่ถูกปิดตายบนเนินเขามานานได้ เขามาด้วยรถมือสองที่เพิ่งซื้อมาไม่นาน พ่วงแผนการจะขับมันไปดูหนังที่ไดรฟ์-อิน เธียเตอร์นอกเมืองในสัปดาห์หนังวิทยาศาสตร์กับวิโนนา ‘อาร์ไรวอล1’ หนังที่โคตรเจ๋งเป้งสำหรับวอร์เรน เอเคเอ ผู้ก่อตั้ง ‘ไซ-ไฟ มูฟวี คลับ ทุกวันศุกร์‘ แม้จะเป็นก้าวกระโดดข้ามขั้นมากไปหน่อยสำหรับวิโนนาที่ชอบหนังเรื่อง ‘เอ็ดเวิร์ด ซิสเซอร์แฮนด์ส’ ที่สุด แต่เธอเต็มอกเต็มใจเปิดรับหนังใหม่จากการแนะนำของเขาเสมอ และวอร์เรนก็คิดว่ามันคงยอดเยี่ยมหากได้ดูเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่โรงหนังไดรฟ์-อินกับเธอ
แต่แล้วคนที่มองเหม่อออกไปนอกร้าน ก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงกะทันหันของสภาพอากาศ เขาเปิดประตูออกไป ก่อนต้องตกใจกว่าเดิมเมื่อเผชิญกับลมกระโชกแรงจนต้นไม้พากันลู่ไหว ใบปลิว ‘อนุรักษ์หาดอาร์เคเดีย เบย์! ไม่เอาตึก!’ ที่ชาวประมงในเมืองร่วมกันจัดทำเพื่อประท้วง หลังจากแอนโธนี แฮร์ริสมีแผนจะสร้างตึกใหม่แถบนั้นโดยไม่สนทรัพยากรแต่เดิม ปลิวว่อนร่อนไปทั่วถนนสมชื่อของมัน เครื่องขายหนังสือพิมพ์หน้าไดเนอร์ที่เริ่มทรงตัวไม่อยู่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด พริบตาเดียวฝนก็เทกระหน่ำลงมา ผู้คนต่างวิ่งหาที่หลบฝนกันอุตลุด กระทั่งวอร์เรนเองก็ต้องรีบกลับเข้ามาในร้านเช่นกัน
บริกรสาวออกจากหลังเคานท์เตอร์มาที่หน้าเคานท์เตอร์ ยืนกอดอกมองผ่านกระจกใสออกไปด้านนอก ประหลาดใจกับสภาพอากาศที่ไม่เคยพบเจอตลอดชีวิตที่เธออาศัยอยู่ในเมืองนี้
“แบบนี้วิโนนาจะมาได้หรือเปล่านะ”
เบ็ตตี้พูดพึมพำเหมือนแค่เปรย เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างกันยิ้มออกมา ตั้งแต่เขากับวิโนนากลายเป็นเพื่อนสนิทกัน ก็เริ่มตัวติดกันด้วยการไปไหนมาไหนด้วยกัน พวกเขารู้จักกันครั้งแรกในวิชาเคมี (อีกหนึ่งวิชานอกจากวิชาภาพยนตร์ 101 ที่พวกเขาได้เรียนด้วยกัน เพราะเธอเรียนถ่ายภาพ เขาเรียนทำหนัง) วิโนนาไม่ถูกกับวิทย์หรือคณิตเหมือนเขา รสนิยมแตกต่างจากเขา กระทั่งหนังโปรดก็ยังไกลห่างจากเขาลิบลับ แต่เธอใส่ใจในเรื่องที่เขาสนใจจากใจจริง ไม่ใช่แค่เพราะหวังผลประโยชน์ หรือเพื่อจะเอาใจเขา (แม้วอร์เรนจะไม่คิดว่าบนโลกนี้จะมีผู้หญิงคนไหนอยากเอาใจเขาก็เถอะนะ)
แรกเริ่มเขาชอบเบ็ตตี้...ชอบมานาน...ก่อนที่อาของเขาก็จะชอบ
แต่เมื่อได้รู้จักวิโนนามากขึ้น วอร์เรนก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเขารู้สึกกับเธอ—แทนที่เบ็ตตี้ไปแล้ว
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
วิโนนากำลังเช็ดตัวซับผมที่ไม่ได้เปียกมากนักด้วยผ้าขนหนูจากวิลเลียม ขณะที่เจ้าของห้องยืนโทรศัพท์หาลานา, เพื่อนสนิทของเขา; ผู้ไม่เป็นมิตรกับเธอ, หล่อนหลบภัยอย่างปลอดภัยในอาคารเรียน หลังจากปล่อยให้วิโนนาละลาบละล้วงเพราะไม่รู้จะทำหูทวนลมได้อย่างไรจนพอใจ วิลเลียมก็วางสาย เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอยู่นาน ก่อนจะเป็นที่นอนด้านหลังเมื่อได้ยินเสียงของคนที่นั่งอยู่บนนั้นพูดว่า
“เอ่อ...ฉันขอยืมมือถือโทรหา...วอร์เรน...ได้มั้ย?”
วิโนนาถามอย่างเกรงใจ ด้วยรู้ว่ามันไม่ค่อยเข้าท่านักที่ขอยืมมือถือโทรหาคนที่เจ้าของเครื่องไม่ชอบหน้า ถึงจะไม่เคยเห็นวิลเลียมต่อยตีวอร์เรนกับตา (เว้นแต่จากปากคำของมันเดย์) แต่ในวิชาภาพยนตร์ 101 เธอก็พอจะเห็นท่าทางอคติที่วิลเลียมมีต่อวอร์เรนอยู่บ้าง แต่ฝ่ายนั้นกลับไม่ได้มีท่าทีอย่างที่เธอคิดว่าจะเป็น วิลเลียมปลดล็อครหัสก่อนยื่นมือถือให้อย่างง่ายดาย วิโนนารับมาพร้อมเอ่ยขอบคุณจากใจจริง เธอเพิ่งทำโทรศัพท์มือถือพังเมื่อสองวันก่อน และร้านซ่อมในเมืองก็ยังจัดการมันไม่เสร็จ
กดเบอร์มือถือที่จดจำได้ขึ้นใจ เป็นเรื่องตลกระคนชวนหัวที่วอร์เรนเอามือถือเธอไปเมมฯชื่อเขาเป็นเบอร์โทรฯ ไม่น่าเชื่อว่ามันจะมีประโยชน์จริงในตอนที่ไม่มีมือถือติดตัวแบบนี้ วิลเลียมมองวิโนนาที่ยิ้มออกมา ต่างไม่มีฝ่ายใดล่วงรู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรในใจ
“กับวิลเลียมเหรอ?”
ถามย้ำอีกครั้งเหมือนไม่แน่ใจกับคำบอกจากปลายสาย แต่เธอก็ยืนยันอีกครั้งให้เขาแน่ใจอย่างชัดเจน พูดคุยกันอีกแค่ไม่กี่ประโยค วิโนนาก็ขอตัววางสายก่อน แม้จะไม่ได้เอ่ยออกมาเป็นคำพูด แต่วอร์เรนก็รู้ดีว่าเป็นเพราะเธอเกรงใจเจ้าของเครื่อง คนที่หลบพายุฝนด้วยกันในหอพักชาย
เหมือนที่เขารู้ดีว่าวิลเลียมไม่ใช่คนใจร้ายกับวิโนนา อย่างที่เป็นกับคนอื่น หรือก็คือ...กับเขา
แต่จะให้ทำใจไม่คิดอะไร เมื่อรู้ว่าผู้หญิงที่เขาชอบอยู่กับผู้ชายที่ไม่ชอบเขา มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่ดี ทว่าวอร์เรนก็ทำได้เพียงถอนใจออกมา
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สัญญาณโทรศัพท์ขาดหายโดยสมบูรณ์ ไฟฟ้าดับสนิท ฝนฟ้าคะนองต่อเนื่อง พายุซัดกระหน่ำรุนแรงกว่าเดิม วิโนนากับวิลเลียมได้แต่นั่งนิ่งในห้องมืดโดยไม่มีใครพูดอะไร จนเมื่อนัยน์ตาของวิโนนาที่นั่งอยู่บนเตียงบังเอิญสบกับดวงตาของวิลเลียมที่นั่งอยู่บนโซฟาปลายเตียง เด็กสาวก็คิดว่าเธอควรเป็นฝ่ายเริ่มต้นทำลายความเงียบ เพราะไม่อย่างนั้นเขาอาจไม่พูดอะไรกับเธอเลยก็ได้
“ขอถามอะไรหน่อยได้มั้ย” ก่อนรีบพูดต่อให้จบเมื่อเห็นเขาจ้องหน้าเขม็ง “ถ้าตอบได้ก็ตอบ ตอบไม่ได้ก็ไม่ต้องตอบ”
คนตรงหน้ายักไหล่ “ก็ตั้งใจจะทำแบบนั้นอยู่แล้ว” แต่รอยยิ้มที่ปรากฏก็แสดงให้เห็นว่ามันมีความหมายในแง่ดี
“ทำไมเธอถึงเกลียดวอร์เรน?”
วิลเลียมจ้องหน้าวิโนนานานเป็นครู่ นานจนเธอคิดว่าเขาคงเลือกข้อสอง; ตอบไม่ได้ก็ไม่ต้องตอบ แต่ที่สุดก็พูดออกมาว่า
“ไม่ได้เกลียด”
ทว่าเขาตอบเธอแค่นั้น ไม่อธิบายอะไรเพิ่มเติม และสีหน้าก็บ่งบอกว่าไม่ต้องการให้เธอถามเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก แต่แม้จะแค่เท่านั้น วิโนนาก็คิดว่ามันมีค่าเกินพอ เธอดีใจที่ได้รู้ว่าวิลเลียมไม่ได้เกลียดวอร์เรนเป็นการส่วนตัว และมันก็ทำให้เธอได้รู้ว่าเขาไม่ใช่คนที่นิสัยแย่ไปจนถึงกระดูกดำ เขาแค่สร้างเปลือกนอกขึ้นมาห่อหุ้มตัวเอง
สิ่งที่วิลเลียมต้องการ...อาจเป็นความเข้าใจ
และวิโนนาก็หวังว่าเพื่อนของเขาคงให้มันได้ อย่างน้อยก็ในตอนที่ ‘ริเวอร์ คลับ’ จัดงานปาร์ตี้กัน จริงอยู่ว่างานปาร์ตี้ไม่ช่วยให้ใครเข้าอกเข้าใจกันได้อย่างถ่องแท้เหมือนนั่งเปิดอกเปิดใจคุยกัน แต่มันก็ช่วยให้เขาไม่ต้องโดดเดี่ยวในช่วงเวลาหนึ่ง พ็อพพีบอกว่าริเวอร์ คลับ—กลุ่มสำหรับนักเรียนที่มีระดับ วิลเลียมตั้งชื่อมันตามชื่อนักแสดงคนโปรดของเขา ‘ริเวอร์ ฟีนิกซ์’ ดาราวัยรุ่นระดับตำนานที่ตายตั้งแต่อายุยังน้อยเพราะเสพยาเกินขนาด วิโนนามั่นใจว่าวิลเลียมเล่นยา กระทั่งแน่ใจว่าได้ยินมาจากใครสักคนว่าเขาค้ายาด้วย ทว่าเธอเป็นแค่คนนอก ไม่มีสิทธิ์ห้ามปรามหรือขอให้เขายุติ แต่เธอก็หวังว่าเขาจะถอนตัวก่อนถลำลึกได้ทัน การเข้าไปพัวพันกับยาเสพติดไม่ว่าทางใดก็ไม่เกิดผลดีไม่ว่ากับใครทั้งนั้น
ไม่เพียงแค่นั้น วิลเลียมยังมีบางอย่างที่ดำมืดในใจกว่านั้น
สิ่งที่สะดุดตาวิโนนาทันทีที่เข้ามาในห้องของเขาก็คือโปสเตอร์หนังเรื่อง ‘ลอสต์ ไฮเวย์’ ใบใหญ่บนหัวเตียง พื้นสีดำล้วนตัดด้วยสีเหลืองของเส้นถนนเหมือนฉากเปิดปิดเรื่องที่เป็นฉากเด่นในเรื่อง วิลเลียมเคยบอกว่ามันเป็นหนังโปรดของเขาในวิชาภาพยนตร์ 101 ขณะที่หนังโปรดของวอร์เรนคือ ‘เบลด รันเนอร์’ หนังไซไฟที่ทำให้เขาเห็นคุณค่าของชีวิต เข้าใจความหมายของการดำรงอยู่ เรื่องโปรดของวิลเลียมกลับเป็นหนังเซอร์เรียลมืดหม่นพิลึกพิลั่นของเดวิด ลินช์ เพราะเขา...อยากหลบหนีความจริงได้อย่างนั้น
วิโนนาขอยืมแผ่นหนังเรื่องนั้นจากวอร์เรน ที่เจ้าของแผ่นมีน้ำใจอยู่ดูด้วย และช่วยอธิบายเรื่องราวไปจนถึงความหมายของหนังที่เธอไม่เข้าใจเลยในทีแรกให้ฟัง หนังมืดมนหมองหม่น เนื้อหาเล่าถึงคนที่ต้องการหลบหนีความจริงที่เลวร้ายกระทั่งสร้างเรื่องในสมองขึ้นหลอกตัวเอง
ชีวิตจริงของวิลเลียม—คนที่มีพร้อมแทบทุกอย่าง—ต้องย่ำแย่ขนาดไหนถึงทำให้เขาอยากหนีไปอยู่ในจินตนาการ?
ไม่แค่นั้น ผนังอีกด้านก็มีโปสเตอร์หญิงสาวที่ถูกรัดตัวมัดมือในแนวมาโซคิสม์แปะอยู่ เมื่อหันมองอีกฟากที่เป็นตู้เก็บแผ่นหนัง (มันน่าทึ่งที่เขามีแผ่นหนังมากกว่าที่วอร์เรนมีด้วยซ้ำ จนเธออดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมเขาถึงเรียนถ่ายภาพแทนที่จะเป็นภาพยนตร์ และมันน่าทึ่งที่เขาเปิดมันดูได้ ผ่านโปรเจคเตอร์บนเพดานตรงหัวเตียงที่จะสะท้อนภาพไปยังผนังด้านหลังโซฟา) ก็เห็นภาพของหญิงสาวแนวมาโซคิสม์ในกรอบขนาดกลางวางเรียงกันอีกสามรูป วิโนนาไม่ตัดสินรสนิยมหรือความชอบของใคร แต่เธอก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเหล่านั้นทำให้เธอประหลาดใจกว่าที่คิด
วิลเลียมมองตามสายตาของวิโนนาที่มองจ้องพวกหล่อนในภาพอยู่นาน เขาแค่นหัวเราะราวกับต้องการเยาะหยันตัวเองไปด้วย
“ขอโทษด้วยนะ ถ้าเธอจะคิดว่าฉันโรคจิต”
คำพูดของเขาดึงวิโนนาออกจากภวังค์ เธอตอบทันควันว่า “เปล่าหรอก ฉันไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย” และเธอหมายความตามนั้นจากใจจริงผ่านรอยยิ้มจริงใจ อาจเพราะอย่างนั้น วิลเลียมจึงเปลี่ยนเรื่องด้วยความกระดากระคนละอาย ออกจากบทสนทนาอันน่าอึดอัดของคนสองคนที่ถูกขังไว้ในห้องมืดเพราะพายุฝน
“ชื่อเธอเหมือนกับชื่อนักแสดงที่ฉันชอบ”
วิโนนาหัวเราะร่วนกับคำพูดที่ไม่คิดว่าจะได้ยินจากเขา มันอาจเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย แต่มันก็แปลว่าเขาเริ่มเปิดใจให้เธอบ้างแล้ว ในสภาพอากาศแบบนี้ ในสภาวการณ์อย่างนี้ ไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนสองคนจะเปิดใจให้กันได้ ต่อให้พวกเขาจะเป็นเพียงคนแปลกหน้าต่อกันก็ตาม
เพราะก่อนจะรู้จักกัน ทุกคนก็ย่อมเริ่มต้นจากการไม่รู้จักกันมาก่อน, ไม่ใช่เหรอ?
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ลมพัดกรรโชกกราดเกรี้ยวกึกก้อง หอบฝนกระหน่ำรุนแรง ซิดถึงกับผิวปากหวือเมื่อเห็นรถคันใหญ่ลอยไปกระแทกร้านขายวัสดุฝั่งตรงข้าม ต้นไม้ใหญ่หักโค่น ไฟฟ้าใช้การไม่ได้ อาคารบ้านเรือนโดนถล่มจนพังยับเยิน ข้าวของที่ไม่มั่นคงปลิวว่อนไปบนฟ้า เกิดอุบัติภัยขึ้นทุกหนแห่ง
ทุกอย่างทำให้มันเหมือนเป็นวันสิ้นโลก
ทว่าหลังจากพายุที่สร้างความเสียหายให้อาร์เคเดีย เบย์สงบ สิ่งหนึ่งที่ไม่เสียหาย และวอร์เรนก็รู้แน่ว่ามันจะไม่เปลี่ยนไป คือความสัมพันธ์ของเขากับวิโนนา แต่เขาก็หวังว่าสักวันหนึ่งมันจะเปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปมากกว่าเดิมได้
วอร์เรนหยุดความคิดไว้แค่นั้น เขายิ้มออกมา ก่อนออกไปช่วยเหลือผู้คนด้านนอกกับซิด ก็อย่างที่วิโนนาเคยพูด วอร์เรนเป็นผู้ชายที่พยายามช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ และเขาก็ดีใจที่เธอมองเขาเป็นอย่างนั้น
—อย่างน้อยก็จนกว่าวันสิ้นโลกครั้งต่อไปจะมาถึง
“เหมือนเป็นวันสิ้นโลกเลยนะ”
วิลเลียมหันมองออกไปนอกหน้าต่าง วิโนนาเองก็หันมองไปยังที่เดียวกัน—จุดหมายเดียวกัน
“แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ฉันก็ดีใจนะที่มีเธออยู่เคียงข้าง เพราะฉันได้รู้ว่าตัวเองไม่ต้องตายอย่างโดดเดี่ยว”
เด็กสาวยิ้มออกมา เธอเองก็หวังว่าหลังจากวันนี้จะได้รู้จักเขามากขึ้น จะเป็นอีกหนึ่งคนที่ช่วยให้เขาไม่ต้องโดดเดี่ยวได้
หากเป็นวันสิ้นโลกจริง พวกเขาทั้งคู่ก็ดีใจที่มีกันและกันในชีวิตช่วงสุดท้ายบนโลกนี้
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
1 Arrival - หนังไซไฟปี 2016 ของผกก.Denis Villeneuve โปรเจคท์ต่อไปของผกก.คนนี้คือหนังเรื่อง Dune ที่ทิโมตีเล่นเป็นพระเอกค่ะ :D
. เราอิงคาแรคเตอร์ของวิลเลียมกับวอร์เรนมาจากสองตัวละครในเกมคือ Nathan กับ Warren (ที่เราก็รักทั้งคู่) ตอนพล็อตเรื่องนี้ เรายังไม่ได้คิดว่าจะให้วิลเลียมหรือวอร์เรนเป็นพระเอก จนแต่งเรื่องนี้จบเราก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าอยากให้ใครเป็นพระเอก เพราะเรารักทั้งคู่มาก อั้ยย่ะ T v T
ความคิดเห็น