คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Beautiful Obstacles: EP1 - Later
RE-RELEASE DATE : OCTOBER 3, 2020
---------------------------------------------------------
ได้รับลิขสิทธิ์ถูกต้องทุกประการเป็นไฟล์เวิร์ดของแท้ครบทุกตอน (ที่แต่งไม่จบ) ไม่ต้องแอบขโมยใครมาพิมพ์เอง เพราะเป็นเพื่อนกันจริงจ้ะ
- เป็นหนึ่งในเรื่องที่กูชอบมากกกกกกมานานหลายปี มากจนมึงงงว่ากูจะชอบอะไรขนาดนั้น แต่ถามว่าในหมู่ฟิคทั้งหมดที่ตัวเองได้เล่นและไม่ได้แต่งเอง กูอยากเอาเรื่องไหนมาแปลงสุด คำตอบก็คือเรื่องนี้แหละ แม้กระทั่งตอนที่กูหันมาแต่งฝรั่งแล้ว ใจกูก็ยังรักเรื่องนี้เสมอ T v T
- ฟังที่มาก่อนเฮ้ย! ตอนแรกคิดว่าเรื่องนี้เอามาแปลงไม่ได้หรอก มันโทนญี่ปุ่นนะโว้ย แต่กูจำได้ว่าขอเรื่องนี้ตอนที่มีข่าวว่ายัวร์เนมไลฟ์แอคชันได้ผู้กำกับ...ที่เป็นฝรั่งแล้ว (พากย์ไทยเรื่องนี้กูเองค่ะ ไฟล์ก็ยังอยู่ เอาไปเทียบได้คำต่อคำ ไม่ได้โม้จ้า ไม่ชอบตอแหล :3 แปลผิดแปลห่วยใดใดก็ด่าลับหลังได้อย่าด่าต่อหน้า อาย มันตั้งสามปีแล้ว สมัยนั้นเราก็...นะ T/T แต่เอ่อ งี้กูก็ควรได้เล่นกับคามิคิอีกสักเรื่องปะ มึงว่ามั้ย) แล้วก็คิดว่าไม่แน่นะเว้ย เราก็เอาเรื่องนามิดะอันนี้มาอะแดปต์ได้นะ เฮ้ย แต่เพิ่งเจอข่าวใหม่ เค้าว่ายัวร์เนมจะเป็นเรื่องที่เกิดในชนบทของชิคาโกว่ะ :p
- เพลงประกอบในตอนนี้ที่คุณยูใช้ก็คือเพลง Pray ของ Fujiki Naohito เพลงบรรเลงกีตาร์ที่ไพเราะมาก เพราะเพลงเค้าชั้นสูง (หมายถึงอายุพี่นาโอฮิโตะด้วย) แต่กูก็คิดว่าเพลง Atmosphere ให้โทนที่ดีมากไม่ต่างกัน เห้อ แย่มาก เลือกเพลงเก่ง
- ตัวละครเอามาจากเรื่อง The City Awakes ที่เคยแต่งแต่ล่มไปแล้ว เพราะแนวนั้นกูจะเอาไปลงฟิคมิสเตอร์โรบอทสักวันในอนาคต (ถุย อิอิ) ก็เลยดึงตัวละครมาแล้วกันในเมื่อจะเซ็ตให้เป็นเรื่องในนิวยอร์ก ไม่ต้องลำบากมึงหาให้กูใหม่ด้วย (เพราะมึงอิดออดเหลือเกินตอนรู้ว่ากูแปลงจริง อิอิ) เซฟรูปเอลล่าไว้เยอะเลย น่ารักง่ะ แล้วก็อยากใช้อันยาสักร้อยเรื่อง กั่กๆๆ แต่เอ็ดการ์พี่ชายนางเอก กับเจมส์ที่เป็นบทพี่จุนเก่า (ทำใจนานมากเพราะบทนี้เหมาะกับพี่จุนสุดแล้วมึงเอ๊ย T_T) ไม่มีในซิตีอะเวคส์ อิอิ
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
✚
พระอาทิตย์กำลังจะตก
แสงเรืองรองสีส้มอ่อนจากตะวันดวงโตที่เคลื่อนคล้อยและกำลังจะลับหายไปกับเส้นขอบฟ้า ฉายอยู่ในดวงตาของหญิงสาวที่จับจ้องมองดูภาพเบื้องหน้าอยู่บนม้านั่งริมแม่น้ำสายเล็กในมหานครกว้างใหญ่ หากก็ไม่ได้ถูกประมวลผลอยู่ในความทรงจำที่กำลังหมุนเวียนเปลี่ยนไปด้วยเรื่องราวมากมาย จนฟันเฟืองเครื่องจักรใดก็ยากจะประมวลผลตามได้ทัน
และภาพความทรงจำทั้งหมดทั้งมวลนั้น ก็ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องราวของเธอกับแม่ที่ใช้ชีวิตร่วมกันมาตลอดยี่สิบห้าปี ตั้งแต่เกิดในมิชิแกน กระทั่งย้ายมานิวยอร์กตอนเธออายุได้แปดขวบและอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่มานับแต่นั้น ไม่ว่าจะเป็นความทรงจำที่ดีหรือร้าย ทุกข์หรือสุข คนที่ได้อยู่ร่วมกับเธอในทุกความทรงจำก็คือแม่ แทบไม่มีเรื่องราวของพ่อที่ทิ้งไปตั้งแต่เธอสองขวบ ความรู้สึกถึงพ่อผู้ให้กำเนิดไม่ใช่ความเกลียดชัง เธอเข้าใจเหตุผลที่คนเราจะจากไปหากหมดใจ กระนั้นความผูกพันก็ไม่มี
เพราะอย่างนั้นจึงไม่อยากเชื่อว่าคนเดียวบนโลกที่รักและเข้าใจเธอจะจากไป ทิ้งเธอให้เผชิญกับโลกใบนี้เพียงลำพัง ด้วยไม่เคยนึกภาพชีวิตที่ไม่มีแม่ การสูญเสียที่ไม่ได้ทำใจมาก่อนจึงเกินรับไหว มือเล็กที่กำไว้บนเข่าถูกหยาดหยดน้ำตาร่วงหล่นลงมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า มีเพียงเสียงสะอื้นของเธอทั่วบริเวณที่ร้างผู้คน โดดเดี่ยวเหมือนเธอ เดียวดายเฉกเช่นใจเธอ ก่อนภาพตรงหน้าจะถูกบดบังด้วยม่านน้ำตาจนไม่อาจมองเห็นอะไรได้อีก
หากลินด์ซีย์ โบว์แมน ก็ปณิธานกับตัวเองว่าจะร้องไห้เป็นครั้งสุดท้าย และจะยืนหยัดด้วยตัวเองพร้อมกับความเข้มแข็งให้ได้...นับจากนี้ไป
ตอนที่หนึ่ง
กระทั่งในตอนที่เขาเอ่ยปากบอกเรื่องสำคัญที่สุดออกไป เธอก็ยังคงทำหน้านิ่งไม่ปรากฏความรู้สึกใด เพียงแค่พยักหน้าอย่างเชื่องช้าราวกับหุ่นยนต์ที่ไร้ชีวิตจนทำให้เขาหวั่นใจ มีเพียงประโยคเดียวที่ออกมาจากริมฝีปากสีซีดคู่นั้น
“อย่างนั้นเหรอคะ”
ทำให้เอ็ดการ์ โบว์แมนเก้อไปชั่วขณะ ด้วยไม่คาดคิดถึงปฏิกิริยาตอบกลับเช่นนี้จากคนตรงหน้า แม้จะไม่ได้คาดหวังมากมายขนาดที่ว่าเธอจะตื่นเต้นประหลาดใจหรือถึงกับตื่นเต้นดีใจ แต่ทีท่าเช่นนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดหรือคาดว่าจะได้พบเจอ ทั้งสองฝ่ายเงียบกันไปจนคล้ายกับมีความน่าอึดอัดมาคั่นกลาง ก่อร่างเป็นกระจกใสแผ่นบางแต่ก็ยากจะทลาย ใต้ต้นไม้สูงใหญ่ที่เริ่มมีสีเขียวหลังแห้งโกร๋นไปในฤดูหนาวที่หนาวเหน็บ เอ็ดการ์ได้ยินเสียงหวีดหวิวจากสายลมพัดผ่านอย่างชัดเจน เหมือนที่จากนั้นก็ได้ยินถ้อยคำจากริมฝีปากที่ขยับแต่น้อยอีกครั้ง ถึงจะพูดเพียงแผ่วแต่ก็ชัดเต็มหูเมื่อเธอยืนอยู่ตรงหน้า
“คุณเป็นพี่ชายของฉันอย่างนั้นเหรอคะ”
เอ็ดการ์พยักหน้า
ใบไม้ปลิดปลิวจากต้นเมื่อลมหอบใหญ่พัดมา สัมผัสเข้าให้กับใบหน้าที่ซีดขาวเหมือนคนป่วยของลินด์ซีย์ โบว์แมน ผู้ยังคงรักษานามสกุลเดิมของพ่อไว้ ถึงจะเป็นคำขอและความปรารถนาของแม่ที่เธอไม่เข้าใจหากก็ยินดีจะทำตามใจคนที่รักที่สุดในชีวิต เป็นเอ็ดการ์เองต่างหากที่คิดว่าเข้าใจ อาจเพราะแม่ของเธอรู้ว่าอย่างไรเวลานี้ก็จะมาถึง เขากับเกรตเชนบังเอิญได้พบกันอีกครั้งเมื่อห้าเดือนก่อนราวกับคนบนฟ้าตั้งใจจับวาง ตอนที่หล่อนรู้ข่าวเรื่องมะเร็งที่รักษาไม่ได้
และในตอนนั้นเอง ที่ความงดงามของธรรมชาติทำให้เอ็ดการ์ได้เห็นรอยยิ้มจากน้องสาวที่เขาคิดว่าเธออาจไร้ความรู้สึกไปแล้ว แม้รอยยิ้มของเธอจะไม่ได้กระจ่างเหมือนผู้เป็นแม่ ไม่ได้สว่างสดใสเฉกเช่นดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าในเวลานี้ แต่ก็เหมือนดอกไม้ที่เบ่งบานอยู่ริมทางซึ่งทำให้เขารู้สึกดีทุกครั้งเมื่อได้พบเห็น
เขายิ้ม
เป็นเรื่องราวเมื่อหนึ่งอาทิตย์ก่อนหน้า ในสุสานวันฝังศพเกรตเชน ฮอว์ลีย์ที่แสนเงียบเหงา...ทว่าก็มีความงดงามยืนอยู่เบื้องหน้ากันและกัน
ห้องเช่าที่เอ็ดการ์อาศัยมากว่าห้าปีตั้งอยู่อย่างเงียบเชียบในย่านไทรเบกาที่ผู้คนไม่พลุกพล่าน ด้วยจำนวนห้องที่มีเพียงหลักหน่วย ทำให้ถึงแม้ว่าจะมีผู้เช่าอยู่ทุกห้องก็หาได้มีผู้คนมากมาย จัดว่าสงบเงียบและเป็นส่วนตัวค่อนข้างมาก
วันแรกที่ลินด์ซีย์ขนกระเป๋าก้าวเข้าไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย สิ่งหนึ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้เลยคือเรื่องที่เธอ ‘ตกหลุมรัก’ มันแทบจะในทันที
“ห้องรกไปหน่อยนะ”
เอ็ดการ์เอ่ยเมื่อเดินนำน้องสาวเข้ามาในห้อง ปล่อยให้เธอใช้สายตาสำรวจอาณาบริเวณขณะที่ตัวเองรีบไปรินน้ำใส่แก้ว ลินด์ซีย์ปล่อยมือจากหูกระเป๋าเดินทางที่ไม่ยอมให้พี่ชายได้ถือแม้เขาจะออกปากขอช่วย จากนั้นก็ถอดกระเป๋าเป้ที่สะพายออกวางไว้ข้างโซฟาก่อนนั่งตามลงไป ผงกหัวเป็นเชิงขอบคุณเมื่อเขายกน้ำมาให้ รับแก้วมาถือด้วยมือทั้งสองข้าง หากก็ยังไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาแม้สักคำเดียว เอ็ดการ์พยายามจะเข้าใจกับสิ่งที่อาจเป็นลักษณะนิสัยเฉพาะตัวของเด็กสาวผู้เงียบขรึม แต่กระนั้นมันก็ออกจะทำให้เขารู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง เมื่อคิดว่าจากนี้พวกเขาจะต้องอาศัยอยู่ร่วมบ้านกัน
เขาทำตามคำขอร้องแกมวิงวอนของเกรตเชนที่เคยเลี้ยงมาในตอนเด็ก ยึดคำพูดของหล่อนที่ว่าอย่างไรเขากับลินด์ซีย์ก็มีพ่อคนเดียวกัน เป็นพี่น้องกัน และหล่อนก็ไม่มีอะไรเหลือให้ลูกสาวมากนัก ผิดกับเอ็ดการ์ที่มีมากมายจนเกินพอ หนึ่งในนั้นก็คือห้องเช่าพื้นที่เหลือเฟือพอจะให้ใครอีกคนมาอยู่อาศัยด้วยได้ โดยไม่ได้มองว่าน้องสาวที่ไม่ได้พบหน้ากันนานมากจนจำเขาไม่ได้จะเป็นภาระแต่อย่างใด และเขาก็ขอบคุณที่เธอยินดีจะมาอาศัยอยู่ด้วยแทนที่จะถือทิฐิทั้งที่ก็เอาตัวไม่รอด
เพราะตั้งแต่วินาทีที่ได้พบหน้า เอ็ดการ์ก็รู้สึกได้ทันทีว่าลินด์ซีย์คือน้องสาวของเขา คนที่เขาอยากปกป้องดูแลในฐานะพี่ชาย และอย่างที่เกรตเชนได้เคยว่าไว้
“เมื่อไหร่ที่ฉันจากไป เด็กคนนั้นก็จะคิดว่าตัวเองเหลือตัวคนเดียวบนโลก”
แต่ไม่ใช่ เพราะเธอยังมีเขา เขาอยากดูแลเธอเหมือนที่เกรตเชนเคยดูแลเขามาด้วยความรักทั้งที่ก็ไม่ได้มีสายเลือดเดียวกัน
“ลินด์ซีย์”
เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นหลังจากได้แต่จดจ้องกับแก้วน้ำในมือ อาจเพราะประหม่า อึดอัด วางตัวไม่ถูก หรือยังไม่แน่ใจกับอะไรก็ช่าง เอ็ดการ์จึงพยายามทำลายกำแพงน้ำแข็งที่กั้นขวางระหว่างพวกเขา ด้วยคำถามที่อบอุ่นที่สุดที่เขานึกออกในตอนนั้นว่า
“มีอะไรอยากคุยมั้ย”
ลินด์ซีย์สบตากับพี่ชายนิ่ง หากเอ็ดการ์ก็เห็นว่ามีวูบหนึ่งที่ใบหน้าของเธอวูบสั่นเหมือนดวงตาที่วูบไหว ทว่าก็ไม่อาจล่วงรู้ความคิดที่ลึกลงไปเช่นว่า เธอมีเรื่องที่อยากพูดและอยากถามเขามากมายแค่ไหน คนที่จากนี้จะมาเป็นพี่ชายของเธอ จะมาอาศัยอยู่ร่วมบ้านเดียวกัน คนที่เคยได้รับการเลี้ยงดูจากแม่เธอ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดลินด์ซีย์ถึงได้เลือกที่จะสั่นหัวออกไปเช่นนี้
เอ็ดการ์จึงพยักหน้ารับคำตอบของเธอโดยปกปิดความผิดหวังไว้ข้างใน แม้จะเข้าใจว่าคงยากที่จะให้คนที่เพิ่งกลับมาเจอและทำความรู้จักอีกครั้งเปิดใจให้ตั้งแต่แรกเริ่ม สิ่งที่ลินด์ซีย์ต้องการคือเวลา เพื่อจะเปิดรับเขา...เพื่อจะเปิดใจให้เขา ถึงในยามนี้จะมีเพียงความเงียบที่ก่อตัวระหว่างคนสองคนก็ตาม
เธอกับเขาอยู่ห่างกันแค่ไม่กี่เซนติเมตร แต่ราวกับอยู่ห่างไกลกันคนละโลกเหลือเกิน
.
เธอก้าวฝีเท้าผลักบานประตูร้านอาหารกึ่งบาร์ที่ตกแต่งด้วยอิฐบล็อกตรงหัวมุมถนนในย่านโซโหเข้าไป เพื่อจะพบกับแสงไฟสีส้มสลัวของร้านไพพ์ดรีมในยามบ่ายแก่ใกล้ค่ำ เป็นบรรยากาศชวนโรแมนติกเสียจนไม่น่าแปลกใจถ้าจะพบเห็นคู่รักมากมายในช่วงเวลานี้ ไหนจะกลุ่มคนวัยทำงานที่มานั่งดื่มกันหลังจากวันที่เหนื่อยล้า แต่แล้วก็สะดุดตาเข้ากับหนึ่งในนั้น จนต้องเบี่ยงฝีเท้าที่มีเป้าหมายเป็นหลังร้าน มุ่งไปยังโต๊ะตัวในสุดที่ห่างไกลจากผู้คนที่สุดแทน
“สเตน”
น้ำเสียงไม่มั่นใจดังขึ้นเมื่อฝีเท้าหยุดลง ชายหนุ่มในชุดสูทท่าทางภูมิฐานเงยหน้าจากจานสเต็กบนโต๊ะขึ้นมอง เมื่อนั้นเองใบหน้าไม่แน่ใจจนถึงเมื่อครู่ของเรเวน แอตวูดก็ปรากฏรอยยิ้มกว้าง
“สเตน วอลเดอร์มาร์จริงด้วย!” หญิงสาวร้องชื่อสกุลเต็มของเขาออกมาอย่างกระตือรือร้น “ไม่เห็นรู้เลยว่ามานิวยอร์ก!”
ทันใดใบหน้าเจ้าของชื่อก็ปรากฏรอยยิ้มกว้างไม่ต่างกัน “ฉันก็ไม่คิดเลยว่าจะบังเอิญได้เจอเธอ! ไม่เจอกันแค่ครึ่งปี ดูโตเป็นสาวขึ้นเยอะเลยนะ”
“ฉันเด็กกว่านายแค่ห้าปีเองนะ!” สาวเจ้ารวนคำที่ก็เรียกเสียงหัวเราะจากเธอได้เช่นกัน
ก่อนนัยน์ตาสีน้ำตาลจะเปลี่ยนไปเป็นผู้ชายที่นั่งตรงข้ามกับคนรู้จัก แม้จะไม่ได้ผูกไทเต็มยศเหมือนสเตน แต่เรเวนก็ดูออกจากสูทและเชิร์ตที่ปลดกระดุมให้สบายตัว หรือจากท่าทีและใบหน้าที่เชิดขึ้นอย่างยโสกึ่งผยองว่าเขาก็คงร่ำรวยไม่ต่าง ถึงครอบครัวแอตวูดจะเป็นญาติกับครอบครัววอลเดอร์มาร์ก็ใช่จะมีเงินทองเหมือนพวกเขา แต่เรเวนก็ไม่ได้ฉลาดหรืออยากใช้ชีวิตบนกองเงินกองทอง จึงเป็นเหตุผลที่เธอเลือกทำงานที่รักแม้จะได้เงินไม่มาก ไม่เหมือนนักธุรกิจอย่างสเตน...หรืออาจนับรวมผู้ชายที่นั่งร่วมโต๊ะกับเขาด้วย แม้เรเวนจะทักทายเขาอย่างสดใสและเป็นมิตรมากที่สุดตามแบบฉบับของเธอ เขาก็เพียงมองหน้าแต่หาได้มีคำพูดตอบรับหรือแค่รอยยิ้มมุมปากใต้หนวดเครา
“เจมส์ ฟิตซ์เจอรัลด์ เพื่อนฉันเอง แล้วก็เรเวน แอตวูด ญาติฉัน” สเตนรีบกล่าวแนะนำตัวแทนเจ้าของความเย่อหยิ่งเพื่อไม่ให้ลูกพี่ลูกน้องต้องรู้สึกไม่ดี “มันก็เป็นพวกยิ้มยากแบบนี้แหละ อย่าไปใส่ใจ” จงใจพูดเสียงดังโดยไม่ปิดบังความขบขันในที กระนั้นฟิตซ์เจอรัลด์ก็ไม่ได้ว่าอะไร นอกจากยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มขณะเอนตัวพิงพนักเบาะยาว
เขาไม่เป็นมิตรกับเรเวนจนเธอรู้สึกได้อย่างชัดเจน ผู้หญิงธรรมดาอย่างเธออาจไม่ดีพอที่ชายผู้ร่ำรวยและเพอร์เฟคต์อย่างเขาจะลดตัวมาคุยด้วย แต่ก็หาได้เคืองขุ่น เพียงยอมรับและเข้าใจโดยดี ก่อนบอกสเตนที่ชวนให้นั่งร่วมโต๊ะด้วยกันว่า “ฉันเป็นนักร้องในร้าน คงมานั่งคุยด้วยไม่ได้ แต่เอาไว้เราค่อยนัดเจอกันนะ” สเตนตอบรับ บอกว่าจะอยู่ที่นิวยอร์กต่ออีกพักใหญ่
เช่นนั้นแล้ว เรเวนก็เอ่ยปากขอตัวจากสเตน...หรือกระทั่งชายผู้ไม่เป็นมิตร หากเมื่อมองหน้าเจมส์ ฟิตซ์เจอรัลด์อีกครั้ง ก็มีเพียงนัยน์ตาคมกริบราวกับเหยี่ยวที่จับจ้องมองเธออยู่อย่างนั้น
“ไม่เป็นมิตรกับใครเหมือนเดิมเลยนะ”
สเตนแซวเมื่อเรเวนหายไปหลังร้านแล้ว แต่อีกฝ่ายก็เพียงยักไหล่อย่างไม่แยแส หากเมื่อสเตนกำลังจะก้มไปจัดการเนื้อในจานต่อ เสียงริงโทนไอโฟนก็ดังมาจากกระเป๋าเสื้อสูท เขาหยิบออกมาดูชื่อคนโทรเข้า ก่อนชูมันให้เจมส์เห็นด้วยรอยยิ้มกว้างมากจนถึงกับน่าหมั่นไส้
“โทษทีนะ ดรีโทรมา”
สีหน้าเบื่อหน่ายของเจมส์ราวกับจะสื่อว่าอยากทำอะไรก็ทำ สเตนกดรับสายจากคู่หมั้นด้วยน้ำเสียงเหมือนโลกทั้งใบเปี่ยมด้วยความสุข ขณะที่เจมส์ยกแก้วเบียร์จรดกับขอบปากเพื่อกลั้นรอยยิ้มเยาะที่แทบหยุดไม่อยู่ ขณะมองออกไปยังวิวภายนอกที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คนยามเย็นผ่านหน้าต่างกระจก
‘คืนนี้สี่ทุ่มเจอกัน’
เป็นข้อความจากคู่หมั้นของชายที่นั่งตรงข้ามซึ่งส่งมาหาเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน ขณะฟังสเตนตัดพ้อโอดครวญหญิงคนรักที่คืนนี้ออกมาเจอไม่ได้เพราะติดธุระ...ธุระของเธอที่จะจบในห้องนอนของเขา เจมส์ก็กลั้นความสมเพชไว้ไม่ไหว เขาอยากหัวเราะลั่นร้านให้กับคนที่ฉลาดเป็นกรดในเรื่องการทำงาน ทว่าไม่แม้แต่จะระแคะระคายถึงเรื่องพรรค์นี้แม้แต่นิดเดียว ว่าคู่หมั้นกำลังเล่นชู้กับเพื่อนสนิทสามปีของตัวเอง
.
ขณะเดินเท้าไปยังสถานีรถไฟที่อยู่ห่างจากร้านไปราวสิบห้านาทีหลังเลิกงานตอนเกือบตีหนึ่ง เรเวนก็ยืดแขนขึ้นจนสุดเป็นการบิดขี้เกียจพลางหาวหวอดออกมา
“วันนี้เหมือนจะรู้สึกเหนื่อยกว่าทุกวันยังไงก็ไม่รู้”
“กำลังจะทักเลยว่าทำไมถึงปฏิบัติการไม่ราบรื่น” คนข้างกายที่สะพายเคสกีต้าร์เดินมาด้วยกันหยอกกระเซ้าด้วยชื่อเพลง ‘สมูธ ออเปอเรเตอร์’ ของชาเดที่เจ้าตัวขับร้องในวันนี้ เรียกให้คนถูกแซวต้องมุ่ยหน้าใส่จนเขาหลุดขำขณะถามต่อว่า “มีอะไรอย่างนั้นเหรอ”
“ก็คนที่ฉันเล่าให้ฟังไง ผู้ชายที่นั่งกับสเตน”
ไพล่นึกถึงสายตาเย็นชาของฟิตซ์เจอรัลด์ที่ส่งมาระหว่างเธอร้องเพลงบนเวที โดยเฉพาะเมื่อเธอขับขานเพลง ‘เดอะ สวีตเตสต์ ทาบู’ ของชาเด จนต้องรีบสะบัดหัวไล่ภาพในความทรงจำออกไปอย่างเร็ว ความคิดว่าเพื่อนของสเตนอาจเต็มไปด้วยคนเย่อหยิ่งเย็นชาอย่างนี้ ทำให้เรเวนนึกขอบคุณอยู่ครามครันที่เลือกเดินทางนี้...กับผู้ชายคนนี้...แทนที่จะเดินไปยังเส้นทางเดียวกับสเตนที่พ่อแม่เคยหวังว่าเธอจะเป็นได้
ไม่รู้เลยว่าท่าทีของเธอทำให้ไรลีย์ ฮีต ดึงแขนของคนที่มัวคิดไปเรื่อยจนเดินนำเขาไปหลายก้าวตอนไหนไม่รู้ได้รู้สึกตัว และหันมองคนที่จับแขนหยุดเธอไว้ด้วยความงุนงง
“มีอะไร”
“ฉันกำลังนึกหน้าของผู้ชายคนนั้นที่เรเวนสนใจอยู่ไง”
เหมือนจะรู้สึกได้ถึงความขุ่นเคืองในน้ำเสียง จนหญิงสาวต้องรีบเดินไปหา ปล่อยมือที่ไรลีย์จับไว้ออกเพื่อจะเอามันโอบรอบคอเขา มองหน้าสบตาขณะพูดประโยคต่อมาด้วยเสียงดังฟังชัดว่า
“ตอนนี้แค่มีไรลีย์ก็พอแล้วล่ะ”
และเมื่อปากสีแดงคู่นั้นประทับกับริมฝีปากสีซีดของเขา คำพูดตัดพ้อก่อนหน้าก็ถูกลืมเลือนไปจนสิ้น เหมือนกับใบหน้าเย่อหยิ่งที่เลือนหายไปจากความคิดของเรเวนจนหมด เหลือเพียงทุกความอ่อนโยนของผู้ชายตรงหน้า คนที่เป็นหนึ่งเดียวของเธอมาตั้งแต่ห้าปีก่อน...จนถึงตอนนี้
.
เอ็ดการ์เพิ่งพิมพ์งานวิจารณ์หนังให้กับเว็บไซต์จบเมื่อเข็มนาฬิกาบนฝาผนังหยุดที่เลขหนึ่งทั้งคู่ เขาพับปิดแล็ปท็อป ลุกขึ้นจากโซฟาตัวเดียวกับที่ลินด์ซีย์นั่งเงียบเมื่อเช้า ความเงียบสงัดนั้นไม่แตกต่างเลยไม่ว่าเธอจะอยู่หรือไม่อยู่ แต่เอ็ดการ์ก็อุ่นใจที่ได้รู้ว่าที่พักซึ่งมักจะเงียบเหงาแห่งนี้ไม่ได้มีเพียงเขาคนเดียวอีกต่อไป และเขาเชื่อว่าไม่ช้าความเงียบงันอันน่าอึดอัดนั้นก็จะหายไปได้เอง
เมื่อขึ้นบันไดไปยังห้องนอนบนชั้นสองก็เห็นว่าประตูห้องนอนของน้องสาวเปิดแง้มอยู่ เอ็ดการ์ไม่รู้ว่าเธอตั้งใจหรือเผลอหลับไปโดยไม่ได้ปิดมัน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหยุดฝีเท้า มองผ่านช่องว่างที่พอให้ได้เห็นด้านหลังของคนที่นอนหันหลังคุดคู้ วันนี้คงเป็นวันที่ประหลาดเอาการสำหรับเธอ ยังที่ที่จะกลายเป็นบ้านใหม่ของเธอ...กับคนที่จะกลายเป็นพี่ชายของเธอ
แม้ยังไม่อาจเป็นคนที่เธอเปิดใจให้ แต่เขาก็รอวันที่จะได้เป็นพี่ชายที่ดีของเธอ
เอ็ดการ์หวังไว้อย่างนั้น...สักวันหนึ่ง
ความคิดเห็น