คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : A Place Among The Dream: Inception Fiction (Prologue)
RELEASE DATE : AUGUST 24, 2020
---------------------------------------------------------
- เมื่อวานเพิ่งไปดู Inception ในโรงรอบสองมา แล้วไอเดียฟิคอินเซปชันก็เริ่มตกผลึก แต่ฟังกู! ทีนี้วันนี้ตอนตีห้า ทรูฟิล์มก็เอาเรื่องนี้มาออก ก็เลยเอาวะ ดูอีกโว้ย! นอนดูไปด้วยแต่งไปด้วย รู้ตัวอีกทีก็แต่งดราฟท์แรกจบตอนหนังจบเด๊ะ สาบานว่าเรื่องจริง เกลาก็เสร็จเร็วมาก (แต่คุณภาพก็ยังดีมากนะ มั่นใจ :p) และดีใจมากที่แต่งพล็อตนี้สำเร็จได้ ความคิดมันแพร่ง่ายตายยากจริง ติดใจตอนจบของรอเบิร์ตมานานมากแล้วว่าเค้าควรได้อยู่กับเรื่องโกหกเหรอ แต่พอคุยกับมึงแล้วมึงบอกว่าจบแบบนี้ดีแล้วน่าสงสารออก ก็คือโอ้โห ไอเดียเราที่ paradox กันเองแบบนี้ทำให้พล็อตที่คิดไว้สมบูรณ์แล้ว
- อยากแต่งทั้งเรื่องต่อจากนี้ และเรื่องตอนเข้าไปในความฝันเพื่ออินเซปชันฝังความคิดให้รอเบิร์ตเหมือนในหนัง อุตส่าห์สร้างดรีมทีมมาได้แล้วทั้งที แต่ไม่รู้จะทำได้มั้ย T_T
- คารวะคุณฮานส์ ซิมเมอร์กับเพลง Time ที่เรารักที่สุดในเรื่องอินเซปชันโว้ย! ขอบคุณบทหนังอินเซปชันที่เราหามาอ่านเพื่อให้เรื่องนี้สมบูรณ์ที่สุดด้วยค่ะ
ปล. เคยบ่นว่าหาฟิคอีมส์ smut อ่านไม่ได้ (ที่จริงเจอแล้วเรื่องนึงแต่ก็ไม่ค่อยชอบ) แต่พอแต่งเองก็ไม่มาแม้แค่ mild smut แต่เราก็รักอีมส์แบบนี้มาก อะไรวะงง T v T
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
“ความฝันสมจริงเมื่อเราอยู่ในฝัน เฉพาะตอนตื่นที่เราจะเข้าใจว่ามันไม่ปกติ”
‘ดอม ค็อบบ์’ – อินเซปชัน
✚
งานศพของมอริซ ฟิสเชอร์ในลอสแองเจลิสผ่านพ้นไปได้เกือบเดือนแล้ว เหมือนที่พวกเขาทำการ ‘อินเซปชัน’—ฝังความคิด ลงไปในความฝันของรอเบิร์ต ฟิสเชอร์ได้เรียบร้อยแล้ว ผลงานของนักจารกรรมฝันลุล่วงสำเร็จลงด้วยดี แม้เรื่องราวในฝันจะไม่อาจเรียกได้ว่าด้วยดี แต่พวกเขาทุกคนก็ผ่านพ้นมาได้ ดอม อาร์เธอร์ ไซโตะ ยูซุฟ วอนดา รอเบิร์ต อีมส์ และเธอ...แอริแอดนี ต่างก็ออกมาจากความฝันยาวนานและกลับมาใช้ชีวิตในโลกความจริง
ไซโตะจ้างนักจารกรรมฝันมาฝังความคิดให้ฟิสเชอร์คนลูกยอมสละอาณาจักรที่พ่อของเขาสร้างมา ก่อนที่บริษัทฟิสเชอร์มอร์โรว์จะผูกขาดพลังงานกว่าค่อนโลกและกลายเป็นมหาอำนาจใหม่โดยไม่มีใครคานได้ และพวกเขาทำได้ รอเบิร์ตขายหุ้นทั้งหมดในบริษัทและสร้างเส้นทางใหม่ให้ตัวเองด้วยธุรกิจที่สร้างเองกับมือ แม้จะยังเป็นแค่จุดเริ่มต้น แต่การที่ไม่มีฟิสเชอร์มอร์โรว์อีกต่อไปแล้วก็ยืนยันได้ว่างานของพวกเขาได้ผล
จริงอยู่ว่ามันไม่ใช่ครั้งแรกที่แอริแอดนีเคยเข้าไปในความฝันของใครเพื่อจารกรรมสกัดความคิด แต่เป็นครั้งแรกที่เรื่องราวของเป้าหมายยังคงค้างอยู่กับเธอแม้จะผ่านมาหลายสัปดาห์แล้วก็ตาม สิ่งที่ติดอยู่กับเธอไม่ใช่ความรู้สึกต่อเป้าหมายอย่างรอเบิร์ต ฟิสเชอร์ ทว่าเป็นเรื่องราวที่พวกเขาสร้างขึ้นและฝังมันลงไปในความคิดของรอเบิร์ต
สองพ่อลูกฟิสเชอร์มีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อกันขนาดเคยเป็นข่าวลงหน้าหนังสือพิมพ์ แต่อย่างไรคนที่ได้รับสืบทอดทุกอย่างของมอริซก็ยังคงเป็นลูกชายคนเดียวอย่างรอเบิร์ต กระนั้นสิ่งที่รอเบิร์ตไม่ได้รับจากผู้เป็นพ่อก็คือความรัก ระหว่างอยู่ในความฝัน พวกเขาก็ได้รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกคู่นี้แท้จริงย่ำแย่กว่าที่คิด และสิ่งที่พวกเขาจะทำก็คือฝังความคิดให้รอเบิร์ต ฟิสเชอร์ว่า ‘ฉันจะไม่เดินตามเส้นทางของพ่อ ฉันจะสร้างธุรกิจขึ้นมาด้วยตัวเอง พ่อไม่อยากให้ฉันเป็นเขา’ เพื่อสลายอำนาจของฟิสเชอร์มอร์โรว์ที่จะผงาดมาเป็นหนึ่งเดียว และเรื่องนั้นแอริแอดนีเห็นด้วย เธอไม่เคยชื่นชอบอำนาจนิยมผูกขาดมาแต่ไหนแต่ไร
แต่สิ่งที่ติดอยู่ในใจเธอคือความคิดที่พวกเขาฝังลงไปต่างหาก ความคิดที่แอริแอดนีจำได้ว่ามาจากไอเดียต้นคิดของอีมส์ และเธอกับอีมส์ก็ได้เห็นทุกอย่างในความฝันชั้นที่สามที่รอเบิร์ตเปิดตู้เซฟเข้าไปเจอพ่อในความทรงจำ พร้อมไอเดียที่พวกเขาปลูกฝังลงไปจนงอกเงยตลอดเวลาที่อยู่ในความฝัน
“ฉันผิดหวัง”
คือประโยคสุดท้ายที่มอริซพูดกับลูกชายของเขา รอเบิร์ตเล่าให้อีมส์ที่ปลอมตัวเป็นลุงของเขาฟังในฝันชั้นแรก และอีมส์ก็เอามาบอกพวกเขาเพื่อช่วยกันคิดเรื่องราวที่ ‘เรียบง่ายที่สุด’ ให้มันเป็นเมล็ดพันธุ์ที่จะเพาะในความทรงจำ จนเติบโตมาเป็นความคิดที่รอเบิร์ตเชื่อว่าเป็นของเขาเอง
และแอริแอดนีเชื่อ ไม่ใช่ เธอรู้ว่าพ่อของรอเบิร์ตผิดหวังเพราะความเกลียดชังที่มีต่อลูกชายในสายเลือด แต่ไอเดียก็ถูกบ่มเพาะให้เปลี่ยนแปลงจากสิ่งที่น่าจะเป็น “ฉันผิดหวัง”...ในตัวแก กลายเป็น “ฉันผิดหวังที่แกพยายาม”...จะเป็นอย่างฉัน เพื่อให้รอเบิร์ตสละอาณาจักรที่พ่อสร้าง
แอริแอดนียืนอยู่ข้างอีมส์ มองดูรอเบิร์ตร้องไห้ในช่วงนาทีสุดท้ายของเขากับพ่อ ก่อนพวกเขาจะถูกดึงกลับเข้าสู่ความฝันชั้นบนจนกลับสู่ความเป็นจริงยังโบอิง 747 ที่จะลงจอดบนแผ่นดินอเมริกาในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า และความทรงจำนั้นก็ยังตามติดเธอไปตลอดหลายสัปดาห์ที่อยู่ในแอลเอ แต่เธอควรลืมมันไป รอเบิร์ต ฟิสเชอร์ ไม่เกี่ยวอะไรกับเธออีก พวกเขาทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว
หากเมื่อคืนหนึ่งแอริแอดนีได้บังเอิญเจอเขาที่มาคุยธุรกิจในภัตตาคารที่เบฟเวอร์ลีฮิลส์ เธอก็ได้รู้ว่าไม่เคยลืมเรื่องของเขาได้เลย แน่นอนว่ารอเบิร์ตจำเธอไม่ได้ถึงพวกเขาจะเคยเจอกันในฝันเป็นชั่วโมง แต่เขาก็ดูมีความสุขดี และเธอรู้ว่าความคิดที่พ่ออาจรักและหวังดีกับเขาก็ช่วยทำให้ความเศร้าที่อยู่กับชายคนนี้มาตลอดคลี่คลาย...อาจถึงกับหายไปได้ และมันก็ควรเป็นอย่างนั้นต่อไป
แต่คนเราควรอยู่กับคำโกหกจริงหรือ มันจะดีกว่างั้นหรือหากเราได้มีความสุขกับคำลวงเพียงเพราะความจริงนั้นโหดร้าย
เป็นอย่างที่ดอมได้เคยว่าไว้ ความคิดคือสิ่งที่แพร่ง่ายตายยาก แม้เพียงเมล็ดพันธุ์ที่เล็กที่สุดก็อาจเติบโตมาเป็นตัวตนหรือทำลายตัวตนได้ และแอริแอดนีเป็นอย่างนั้นนับตั้งแต่คืนนั้น เธออาจไม่ถึงกับเฝ้าติดตามรอเบิร์ต ฟิสเชอร์ แต่ก็มีโอกาสได้เจอเขาที่มาลงทุนทำธุรกิจในแอลเอแทนที่จะเป็นซิดนีย์ได้บ่อยพอ...มากจนได้รู้ว่าผู้หญิงที่เขาเริ่มคบหาดูใจไม่นานจากนั้นก็คือวอนดา โวลเคิล เพื่อนร่วมภารกิจอินเซปชันความคิดของรอเบิร์ตกับเธอ วอนดาเป็นสถาปนิกที่สร้างเมืองและเขาวงกตขึ้นมา แต่ไม่ได้อยู่ดูภาพนาทีสุดท้ายของรอเบิร์ตกับพ่อในความฝันชั้นที่สาม เพราะเธอลงไปที่ความฝันชั้นลิมโบกับดอมเพื่อทวงคืนรอเบิร์ตจากมอล ภรรยาของดอมที่ตายไปแล้วและติดอยู่ในความฝัน—กรงขังที่ดอมสร้างขึ้น
วอนดากับดอมทำได้ พวกเขาทำให้รอเบิร์ตกลับมาในความฝันชั้นสามที่ไซโตะเพิ่งตายจนตกไปอยู่ที่ลิมโบได้ เหลือเพียงเธอกับอีมส์ที่ยังตื่นอยู่ในความฝันชั้นนั้น อีมส์เป็นนักปลอมแปลงที่เก่งเรื่องบู๊ เขาถือปืนคอยคุ้มกันให้เธอระหว่างที่เธอไปติดระเบิดทั่วอาคาร—เขาวงกต รอให้ภารกิจเสร็จสิ้นก่อนกดปุ่มระเบิดมันเพื่อปลุกตัวเองกลับไปยังฝันชั้นก่อนหน้า...และก่อนหน้า...และก่อนหน้า จนกลับสู่โลกความจริง แอริแอดนีถูกเรียกมาเพราะพวกเขารู้ว่าฟิสเชอร์จะมีนักสกัดกั้นความฝัน และเธอเป็นนักแม่นปืนที่ดอมวางใจ เว้นแต่ว่าในฝันชั้นที่สามนี้ เธอถูกยิงที่แขนและจับปืนไม่ได้เหมือนอีมส์
แอริแอดนีไม่รู้ว่าวอนดารู้เรื่องในช่วงเวลาสุดท้ายระหว่างรอเบิร์ตกับพ่อที่ความฝันชั้นสามมากแค่ไหน เพราะเมื่อเครื่องบินลงจอด ทุกคนในทีมก็แยกย้ายกันไปตามทางของใครของมัน และใครเล่าจะรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างรอเบิร์ตกับวอนดาจะใช่การฝังความคิดของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือเปล่า แต่วอนดาเป็นคนสวย รอเบิร์ตเป็นคนรวย มันก็เป็นสมการที่ลงตัวกันดี และไม่มีกฎข้อไหนห้ามคนที่เคยจารกรรมความฝันกับอดีตเป้าหมายในการจารกรรมรักกัน
มีบ่อยครั้งที่แอริแอดนีจะเห็นวอนดามองมาตอนที่เดตกับรอเบิร์ตและได้เจอเธอ แต่พวกเธอก็ไม่เคยพูดคุยกันสักครั้ง แอริแอดนีไม่รู้ว่าจะเข้าไปพูดคุยกับคนที่อาจเป็นคุณนายฟิสเชอร์ในอนาคตทำไม เพราะคนที่เธออยากคุยคือรอเบิร์ต ฟิสเชอร์ แม้จะไม่ใช่ในทางเสน่หาอย่างวอนดาแต่ก็คงเรียกไม่ได้ว่าหวังดี ที่จริงแอริแอดนีคิดว่าใครหลายคนจะเรียกมันว่าหวังดีประสงค์ร้าย เธอเขียนถึงเรื่องของรอเบิร์ตระหว่างที่อยู่คนเดียว ร่างเรื่องราว...อาจถึงกับสร้างความฝันที่รู้ว่าอย่างไรก็ทำด้วยตัวเองคนเดียวไม่ได้ แต่ในห้องพักที่โรงแรมของเธอนั้นเต็มไปด้วยหน้ากระดาษที่มีชื่อของรอเบิร์ต ฟิสเชอร์เขียนไว้ และสิ่งสุดท้ายที่เธอเขียนก่อนออกมาจากโรงแรมในคืนนี้เพื่อไปยังร้านอาหารที่เธอรู้ว่ารอเบิร์ตจะมาก็คือ
‘ฉันต้องบอกความจริงกับเขา’
ความจริงที่ว่าพ่อของเขาไม่ได้รักเขา คำว่า “ฉันผิดหวัง” ไม่ได้มีความหมายอย่างนั้น กังหันที่อยู่ในตู้เซฟข้างเตียงของพ่อเขาไม่เคยใช่ความจริง และแอริแอดนีไม่ได้อยากทำแบบนี้เพื่อทรมานเขา หรือเพื่อให้เขากลับไปสร้างอาณาจักรฟิสเชอร์มอร์โรว์ แต่เธอไม่คิดว่าคนเราควรอยู่กับเรื่องโกหกที่สวยหรูมากไปกว่าความจริงที่โหดร้าย
แอริแอดนีเคยอยู่กับคำโกหกสวยหรูมาแล้ว จนเมื่อได้รับรู้ความจริงที่โหดร้ายก็พบว่าสิ่งนี้ต่างหากที่ตัวเองต้องการ ไม่ควรมีใครได้อยู่กับคำโกหก...แม้ว่ามันจะไม่ควรมีการโกหกมาตั้งแต่ต้นก็ตาม และสิ่งที่ตามมาจากนั้นไม่ว่าทางไหนก็จะเป็นการตัดสินใจของรอเบิร์ตเอง แต่เขาควรมีสิทธิ์ได้รู้ความจริง
และเมื่อเธอเห็นรอเบิร์ตขอตัวลุกออกไประหว่างมื้ออาหารใต้แสงเทียนกับวอนดา แอริแอดนีก็ลุกตามไป เธอมองหาโอกาสอยู่ตามลำพังกับเขาเพื่อจะพูดกับเขา และต่อให้วอนดารู้ แม่สาวคนนั้นก็ทำอะไรไม่ได้ ทว่าไม่ใช่กับใครอีกคน...ที่เดินมาขวางก่อนที่เธอจะเข้าถึงตัวรอเบิร์ตที่กำลังจะเข้าไปในห้องน้ำชาย เขาดึงเธอเข้าไปที่มุมหนึ่งพร้อมกับพูดว่า
“อย่าทำแบบนี้ แอริแอดนี”
และใครคนนั้นก็คือ “อีมส์?”
เธอพึมพำชื่อของเขาออกมาด้วยความฉงนใจ แอริแอดนีคิดว่าเขาบินกลับมุมบาซาไปนานแล้ว เพราะเธอไม่ได้เห็นเขาอีกเลยนับตั้งแต่ออกไปจากสนามบิน แต่ไม่คิดว่าจะได้เจอเขาอีกครั้งยังที่แห่งนี้...ในช่วงเวลาแบบนี้ แม้จะไม่ปล่อยให้ความสนเท่ห์ครอบงำนานนัก แต่แอริแอดนีก็ไม่สนใจไต่ถามราวเรื่องใดกับเขาอีก เธอทำท่าจะเบี่ยงตัวเดินไป แต่ข้อมือเธอก็ถูกอีมส์จับไว้แน่นไม่ยอมปล่อย แม้จะไม่ใช่ผู้หญิงบอบบางไร้ฝีมือ ทว่าแอริแอดนีก็ไม่อยากหาเรื่องเขาในตอนนี้ เธอจึงยอมอยู่นิ่ง ปล่อยให้ผู้ชายคนนี้ได้ทำตามต้องการ ได้พูดตามต้องการ โดยที่เธอจะไม่ถาม และแอริแอดนีทำจริงตามนั้น เธอนิ่งเงียบ ไม่ยอมสบตา ปล่อยให้ความอึดอัดก่อตัวและครอบงำระหว่างพวกเขา ถ้าอีมส์อยากพูดก็พูด แต่เธอจะไม่พูดก่อน
“วอนดาบอกฉันเรื่องเธอ เรื่องฟิสเชอร์ และฉันรู้ แอริแอดนี ว่าเธอจะทำอะไร”
แอริแอดนียังคงปิดปากเงียบไม่ยอมสบตากับเขาอยู่อย่างนั้น ไม่แม้แต่จะปริปากพูดอะไรทั้งที่มีคำถามอยากถามเขามากมาย ไม่ว่าจะเรื่องวอนดา หรือเรื่องที่เขารู้ว่าเธอจะทำอะไร อีมส์รู้ว่าเธอจะไม่ยอมถาม แต่เขาก็พูดต่อเพราะรู้ว่าเธอฟัง
“เราทำงานจบแล้ว เรื่องของฟิสเชอร์จบไปแล้ว ไม่ว่าสิ่งที่เธอเห็นในฝันชั้นสามจะเป็นอะไร มันก็จบแล้ว อย่ายึดติดกับมันอีก อย่าปล่อยให้ความคิดนั้นครอบงำ อย่าหมกมุ่นกับมัน”
แต่ด้วยคำพูดนี้เองที่ทำให้เส้นความอดทนของแอริแอดนีขาดผึง เธอหันมองหน้าอีมส์ในที่สุด และยอมเปิดปากพูดกับเขาว่า
“ยึดติด? ครอบงำ? หมกมุ่น? นายก็พูดได้สิ นายเก่งเรื่องการเอาตัวรอดและโยนความผิดไปให้คนอื่นอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”
“แอริแอดนี...”
อีมส์เอ่ยชื่อเธอนิ่มนวลราวจะปลอบโยนให้คนที่มีอารมณ์สงบลง หารู้ไม่ว่ามันก็คือเชื้อเพลิงที่ยิ่งสุมไฟให้แรงกว่าเดิม ความใจเย็นของเขาเป็นได้ทั้งสิ่งที่ทำให้เธอเย็นใจ และเป็นได้ทั้งสิ่งที่ทำให้เธอเดือดดาล ในตอนนี้มันเป็นอย่างหลัง
“เหมือนตอนที่นายนอกใจฉันจนฉันบอกเลิกกับนาย แต่นายก็ฝังความคิดเข้าไปในหัวฉัน หลอกให้ฉันจมอยู่กับเรื่องโกหกว่าความรักของเรามันแสนสุข ทั้งที่ความจริงมันโคตรเศร้าอย่างนั้นเหรอ สิ่งที่นายทำมันยิ่งกว่าโกหกอีก อีมส์ นายทำเหมือนฉันเป็นคนโง่ตาบอดที่นายจะชักจูงไปทางไหนก็ได้ นายแอบเข้าความฝันของฉันไปฝังความคิดในหัวฉัน!”
แต่ก่อนที่อีมส์จะได้ว่าอะไรกับคำพูดที่คนรักเก่าระเบิดออกมา รอเบิร์ตที่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำก็เดินผ่านมายังมุมที่พวกเขาอยู่ เขาหันมองครู่หนึ่งก่อนเดินไปพร้อมรอยยิ้มมุมปากด้วยเข้าใจว่าคนทั้งคู่มาพลอดรักกัน แต่ตอนนี้แอริแอดนีก็โมโหกับเป้าหมายตรงหน้าเกินกว่าจะสนใจเป้าหมายแต่ต้นของเธออีก เธอจึงเลือกอยู่กับอีมส์ แทนที่จะสะบัดหลุดจากเขาไปหารอเบิร์ตอย่างที่ตั้งใจไว้แต่ต้น
“แอริแอดนี ใจเย็นก่อน ไปหาที่สงบคุยกัน เราจะคุยกัน...นะ”
“ไม่มีอะไรต้องคุยแล้ว อีมส์” แอริแอดนีสะบัดข้อมือหลุดจากชายที่อ่อนแรงเมื่อได้เห็นปฏิกิริยาของเธอที่เขาไม่คาดคิด “เราไม่มีอะไรต้องคุยกันอีก ทุกอย่างระหว่างเรามันจบแล้ว และไม่ว่านาย วอนดา หรือใคร ก็มาสั่งให้ฉันทำหรือไม่ทำอะไรไม่ได้ ฟิสเชอร์ควรได้รู้ความจริงเหมือนที่ฉันเคยได้รู้ เพราะฉันทนเห็นใครอยู่กับเรื่องโกหกไม่ได้! ฉันไม่ใช่นาย อีมส์ คนอย่างนายมันมีแต่เรื่องโกหก นายคือนักปลอมแปลง และนายทำได้ทุกอย่างแม้กระทั่งปลอมแปลงความคิดของฉันเพื่อตัวเอง! ฉันจะทำให้ได้ อีมส์ นายหยุดฉันไม่ได้”
เธอเอาสองมือผลักไหล่เขาและเดินออกไปจากที่แห่งนั้น...จากเขา โดยไม่หันไปมองอีก แอริแอดนีปณิธานไว้ว่าจะไม่มองย้อนไปยังอดีตที่เคยเป็นทั้งเรื่องจริงและเรื่องโกหกอีกต่อไป
แม้ว่าความรู้สึกของเธอที่เคยมีต่ออีมส์เมื่อครั้งยังรักกัน ก็จะยังคงเป็นความจริงที่ไม่อาจโกหกได้ก็ตาม
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ความคิดเห็น