ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ` Arrival of the Birds .

    ลำดับตอนที่ #3 : Short Story : Hope Is Not A Dangerous Thing

    • อัปเดตล่าสุด 28 มิ.ย. 63


    Hope Is Not A Dangerous Thing
    RELEASE DATE :
    JUNE 28, 2020

    https://i.imgur.com/VDjpPMf.png

    Song : Variation 15 – Hans Zimmer, Benjamin Wallfisch, Edward Elgar | Dunkirk Soundtrack

    ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    เราแต่งเรื่องนี้ทิ้งไว้ตั้งแต่ต้นเดือน แต่เพิ่งได้เอามาเกลาลงก็ตอนนี้ มัวไปทำอะไรมากมายก็ไม่รู้ งง...
    มัน
    มาจากเราได้แปลเรื่อง Grey's Anatomy (ss5 ep19 แพลตฟอร์มถูกลิขสิทธิ์ไหนมีเรื่องนี้ก็อันนั้นแหละ อย่าหาว่าขายเลย แต่ขายจริง T v T)
    และ
    มีฉากที่ตัวละครหนึ่ง(โอเวน)ที่เคยเป็นหมอทหารในอิรักยังหลอนกับสงคราม เลยละเมอบีบคอแฟน(คริสตินา)
    เราทำไปก็โอ๊ย ไม่ไหวแล้ว พล็อตนี้มันดีมากกกก อินโว้ยยยยย ขออนุญาตยืมพล็อตมาแต่งเถอะ

    ปล. เรื่อง
    นี้ไม่มีความเกี่ยวพันอันใดกับ Arrival of the Birds แต่เพราะแก่นหลักคือสงครามเหมือนกันและเราก็รักตัวละครจากเรื่องนี้มาก เลยเอามาแต่งลงเรื่องนี้จ้า

    มันเป็นฝันร้ายสำหรับวิลเลียม เชลตัน

    แม้สงครามนรกที่เขาได้เข้าร่วมจะจบลงในที่สุดหลังจากยืดเยื้อมานานกว่าสี่ปี หรือสามปีสำหรับวิลเลียมที่รอดมาได้กระทั่งสมรภูมิโหดหินอย่างในซอมม์ ร่างกายของเขาแทบจะเรียกได้ว่าปกติ อาจมีบาดแผลที่ยังทิ้งรอยแผลเป็นไว้ หากก็ยังมีแขนขาครบถ้วน อวัยวะทุกชิ้นยังใช้การได้ดีไม่มีบกพร่อง ไม่ต้องล้มหมอนนอนเสื่อหรือทุกข์ทรมานจากโรคร้ายที่คร่าเพื่อนร่วมรบไป พลทหารเชลตันเป็นหนึ่งในผู้โชคดีที่รอดมาได้อย่างสมบูรณ์ดีจากมหาสงครามครั้งนี้

    วิลเลียมชวนเบลก เบรนเดล เพื่อนตายที่รู้จักกันในสนามรบให้มาเที่ยวบ้านเขา กลับมาพบหน้าแมรี แม่ที่รัก และกลับมาร่วมเรียงเคียงหมอนกับเจนแอนน์ เชลตัน ภรรยาที่เขารักสุดจิตสุดใจ คนที่เขาตั้งตารอจะได้พบหน้าทุกวันคืน ไม่ใช่แค่ดูภาพถ่ายเธอทุกคืนก่อนนอน หวังว่าจะได้รอดชีวิตกลับไปหาอีกครั้ง เป็นตอนที่เขากำลังพูดคุยกับเพื่อนทหารในเตนต์ขณะได้รับข่าวว่าฝ่ายมหาอำนาจกลางยอมจำนนแล้ว ทุกคนต่างโห่ร้องฉลองชัยกับสุดยอดข่าวดีที่ได้รับฟัง ความรู้สึกตื่นเต้นดีใจท่วมท้นเต็มอก

    สงครามจบสิ้นแล้ว

    ทว่ามันจบแล้วแน่หรือ


    วิลเลียมไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็นอนหลับไปข้างเจนแอนน์เหมือนทุกคืนที่ผ่านมา กระทั่งรู้สึกถึงแรงที่มาดึงตัวเขา อาจเรียกได้ว่าฉุดกระชากจนเขาหลุดจากภวังค์ ตามติดมาด้วยเสียงโหวกเหวกโวยวายที่ประสาทสัมผัสของเขายังแยกไม่ออกในทันที

    “วิลเลียม หยุด!” เป็นเสียงของเบลกที่กอดรัดตัวเขาไว้ราวกับต้องการหยุดเขา ไม่ต่างอะไรกับคำพูดของแม่เขาที่เหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน “วิล หยุด!”

    เกิดอะไรขึ้น” คนที่เพิ่งรู้ตัวถามขึ้นด้วยความงุนงนกึ่งสับสน มองหน้าแม่สลับกับเพื่อน แล้วจึงเพิ่งรู้ตัวว่าไม่มีใครอีกคนอยู่ด้วย ทั้งที่เธอควรต้องอยู่ในห้องนี้ที่สุด เมื่อมันเป็นห้องนอนของเขากับเธอ

    เจนแอนน์...เจนแอนน์ล่ะ” เขาถามเบลก “เจนแอนน์ล่ะครับแม่” ตามด้วยแมรีเมื่อไม่ได้รับคำตอบ หากก็ไม่มีใครยอมเปิดปากตอบคำถามนั้น ทว่าเมื่อมองตามสายตาของแม่ที่สั่นริกก็รู้คำตอบได้ในทันที ไม่รอช้า เขารีบรุดไปยังทิศทางของห้องน้ำที่อยู่ตรงข้ามกับห้องนอน แต่เมื่อหมุนลูกบิดก็พบว่ามันล็อก วิลเลียมเคาะประตูพลางร้องเรียกชื่อคนรักไปด้วย ทว่าก็ไม่มีเสียงตอบรับหรือแม้วี่แวว เขาหยุดครู่หนึ่ง แนบหูกับประตูเพื่อฟังเสียงข้างในนั้น มันแผ่วเบา แต่เมื่อตั้งใจเงี่ยฟังมันก็ชัดเจน

    เธอกำลังร้องไห้

    “เจนแอนน์! เจนแอนน์! เปิดประตูที เจนแอนน์! เกิดอะไรขึ้น!”

    เขาหมุนลูกบิด เคาะประตูบานไม้ซ้ำไปมา ตะโกนถามด้วยความกังวล กระทั่งความอดทนแปรเปลี่ยนเป็นความร้อนรนเมื่อเขารัวตบประตูดังปัง แต่ก็ดูเหมือนจะทำให้เสียงร้องไห้ข้างในนั้นดังตามไปด้วยจนวิลเลียมอดรนแทบไม่อยู่ ก่อนจะถูกเบลกรวบตัวเข้าไปอีกครั้งเพื่อให้หยุดการกระทำนั้น

    “วิลเลียม! หยุด!”

    และมือของเขายอมหยุด แต่ความกังวลที่รุมสุมพร้อมกับความกลัวจากความไม่รู้นั้นยากจะหยุดได้

    เบลก ทำไม! ทำไมเจนแอนน์ไปอยู่ในนั้น! เธอร้องไห้ทำไม มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมเธอไม่ยอมเปิดให้ฉันเข้าไป!”

    แต่เบลกกลับรีบหลุบตาเพื่อหลบตาที่มองมา วิลเลียมจึงสะบัดตัวหลุดจากการจับกุมเพื่อจับไหล่เบลกเขย่าแทนพร้อมกับถามว่า

    “เบลก! ตอบมา! มันเกิดอะไรขึ้น! เบลก! มองหน้าฉัน!”

    “วิลเลียม นายจำไม่ได้เลยเหรอ”

    “จำอะไร! ฉันทำอะไร! เบลก! ตอบฉันสิ!”

    ว่าคนที่มาแตะไหล่วิลเลียมเหมือนต้องการให้เขาหยุดมือที่กำลังเขย่าตัวเบลกอย่างบ้าคลั่งก็คือแมรี ชายหนุ่มยอมปล่อยมือจากเพื่อน หันมองหน้าแม่ของเขา และก่อนที่เขาจะได้ถามคำถามเดียวกัน หล่อนก็ชิงตอบเองว่า

    “ลูกบีบคอเจนแอนน์”

    ครับ?” เขาหอบหายใจแรง มองหน้าแม่สลับกับเบลกด้วยความไม่เข้าใจ รอให้คนทั้งคู่พูดว่ามันก็แค่เรื่องล้อเล่น ไม่ใช่ความจริง แต่เบลกพยักหน้าหนักแน่น ยืนยันทุกถ้อยความที่แม่ของเขาเพิ่งพูดไป

    ลูกแค่ละเมอ แต่...” หากคำพูดของแมรีที่พยายามปลอบประโลมก็ถูกเจ้าตัวพูดแทรกขึ้นมาว่า “ผม...ผมบีบคอเจนแอนน์เหรอ”

    “วิลเลียม นายไม่รู้ตัว นายไม่...”

    แต่ถึงตอนนั้น วิลเลียมก็ไม่รับฟังคำพูดของเบลกหรือใครอีกต่อไป เขาหมุนตัวกลับไปยังบานประตูด้วยความกังวลร้อนรนเต็มปรี่

    เจนแอนน์! ผม...ผมไม่รู้ตัวเลย! ผมขอโทษ! ไม่ว่าผมจะทำอะไรลงไป ผมขอโทษ!”

    ไปถึงจุดที่เขาทนไม่ไหวอีกต่อไป วิลเลียมทรุดตัวลงกับพื้นแล้วก็ร้องไห้ออกมา ขณะที่ก็เอ่ยถ้อยคำขอโทษเพื่อหวังจะได้รับการอภัยออกมาไม่หยุดหย่อนว่า

    ผมขอโทษ รู้ใช่มั้ยว่าผมไม่มีวันจะทำร้ายคุณ ผมรักคุณ...เจนแอนน์...ผมขอโทษ...”


    เจนแอนน์หยุดน้ำตาที่รินไหลลงมาไม่หยุดไม่ได้ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในวินาทีอันใกล้ หรือกระทั่งโมงยามอันไกล อาจยาวนานเกินกว่าที่เธอจะคาดคิด เพราะเป็นครั้งแรกที่เธอกลัววิลเลียม เชลตัน สามีของเธอเอง ทั้งที่เขาเป็นคนสุดท้ายบนโลกใบนี้ที่จะทำให้เธอกลัวได้ แต่เรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้นก็ยืนยันความคิดของเธอได้เป็นอย่างดีว่าไม่ใช่เลย

    เธอกลัวมือหนาหนักและสากด้านของเขาบนคอเธอ รับรู้ได้จากน้ำหนักที่กดลงไปว่าเจตนาของเขาคือเอาตาย ในห้วงวินาทีนั้นเองที่เจนแอนน์ได้เฉียดใกล้กับความตายที่สุด...ด้วยน้ำมือของคนที่เธอรักที่สุด มันทรมาน และสายตาเหม่อลอยของวิลเลียมที่มองลงมาก็ทำให้เธอยิ่งเจ็บปวด มือผอมของเธอผลักหรือดันเขาออกไปไม่ได้ ดังนั้นมันจึงทำได้เพียงปาดป่ายไปกวาดสิ่งของบนโต๊ะข้างเตียงให้ตกแตก เพราะอย่างนั้นเบลกกับแมรีถึงมาช่วยเธอ...มาหยุดเขาได้ทันท่วงที เจนแอนน์ไม่พูดอะไร ได้เพียงวิ่งไปยังห้องน้ำที่ใกล้ที่สุด ลงกลอนขังตัวเองไว้ในนั้น ทรุดตัวลงกับพื้นแล้วร้องไห้ออกมา

    วามเจ็บที่คอยังคงมีอยู่ มันยังฝังอยู่แนบแน่นเหมือนร่องรอยจากนิ้วทั้งสิบของเขาที่ปรากฏเป็นรอยแดงอยู่บนคอขาวของเธอ ความรู้สึกผวาหวาดหวั่นก็ยังคงไม่จางหาย เป็นครั้งแรกที่เจนแอนน์หวาดกลัวคนที่รักจับใจ คนที่เธอสวดภาวนาอยู่ทุกคืนวันว่าขอให้เขามีชีวิตรอดกลับมาไม่ว่าจะในสภาพใดก็ตาม คนที่เธอได้แต่เขียนจดหมายไปหา เพราะเขาไม่เคยจะกลับมาบ้านอีกเลย จดหมายที่เขาเขียนตอบมาตลอดสามปีมีเพียงแปดฉบับ เป็นแค่จดหมายสั้นกุด ผมสบายดี ไม่ต้องเป็นห่วง แต่เจนแอนน์ก็เอามันมาอ่านซ้ำอยู่ทุกวันคืน

    และในตอนที่วิทยุประกาศว่าสงครามจบแล้ว พวกเราเป็นฝ่ายชนะ จะไม่มีการรบราฆ่าฟันอีกต่อไป เจนแอนน์กับแมรีก็สวมกอดกันร้องไห้อยู่นานนับชั่วโมง เพราะได้รู้ว่าวิลเลียมจะหวนคืนกลับมายังบ้านของเขาในที่สุด และเขากลับมา แทบจะเป็นวิลเลียมคนเดียวกันกับในวันที่จากพวกเธอไป

    ทว่าแท้จริงมันอาจไม่ได้เป็นเช่นนั้น

    ทุกคืนเธอกับเขาจะนอนกอดกันจนหลับไป เหมือนต้องการเติมเต็มช่วงเวลาที่ขาดหายไป ทว่าไม่ใช่เพียงแค่นั้นสำหรับเจนแอนน์ แต่เพราะเธอกลัวว่าเขาจะหายไป กลัวว่าทุกสิ่งนี้จะเป็นเพียงฝัน เมื่อตื่นขึ้นมาก็จะพบกับความว่างเปล่าอีกครั้ง แต่ไม่อีกแล้ว วิลเลียมนอนอยู่ข้างเธอทุกคืน ตื่นมาพบหน้ากันทุกเช้า ทุกอย่างนั้นคือสิ่งที่เจนแอนน์ได้รับหลังจากไม่มีสงครามอีกต่อไป ทุกครั้งที่ได้อยู่กับวิลเลียมมีแต่ความอุ่นใจว่าจะไม่มีสิ่งใดมาทำอะไรเธอได้อีก เขาคือทุกความปลอดภัยของเธอ ทุกความเชื่อมั่น ทุกหลักประกัน ทุกสิ่งที่เธอมอบทั้งใจให้ด้วยความไว้วางใจ และเจนแอนน์รู้ว่ามันจะเป็นเช่นนั้นเรื่อยไป กระทั่งมั่นใจว่ามันจะเป็นตลอดไป...แต่เธอคิดผิด

    สิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้ทำให้กำแพงที่แน่นหนานั้นพังทลายลงได้

    เธอไม่ได้โกรธเขา ไม่มีความคิดนั้นผุดขึ้นมาในหัวแม้เพียงเสี้ยววินาทีต่อให้ชีวิตของเธอจะถูกปลิดปลงด้วยมือของเขาจริง แต่เธอหวาดกลัวเขา ความรู้สึกนั้นจริงแท้แน่นอน มันไม่ควรเกิดขึ้น มันคือสิ่งที่จะเกิดขึ้นไม่ได้ แต่เมื่อความคิดนั้นผุดขึ้นมา เจนแอนน์ก็ไม่อาจระงับได้

    เธอตัวสั่น น้ำตาเธอไหล มองผ่านเรื่องที่ถูกเขาบีบคอไปเป็นเรื่องราวของวิลเลียม สามปีในสนามรบของเขาที่เธอไม่เคยรู้...และคงไม่มีวันได้รู้ เพราะวิลเลียมไม่เคยปริปาก และเจนแอนน์ก็ไม่คิดจะฝืนใจเขาเพื่อเอ่ยถามในสิ่งที่เขาคงไม่อยากพูดถึง แต่จากสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้ เจนแอนน์ก็รับรู้ได้ว่าเขาผ่านสิ่งที่โหดร้ายมาแล้ว อาจถึงขั้นเลวร้าย และเธอแน่ใจว่าการบีบคอใครสักคนก็คือหนึ่งในนั้น

    มันคือสงคราม และสงครามก็คือการต่อสู้ หากอีกฝ่ายไม่ตายก็อาจเป็นเราเองที่ต้องตาย วิลเลียมรอดมาได้ แต่เขาได้นำพาความทรงจำและความรู้สึกเหล่านั้นกลับมาด้วย แม้จะพยายามลืมเลือนด้วยการไม่พูดถึง แต่มันก็ยังเกาะติดอยู่กับเขา ฝังแน่นอยู่ในความทรงจำไม่ไปไหน และเสียงของวิลเลียมที่ได้ยินจากข้างนอกแทรกไปกับเสียงสะอื้นไห้ของเธอ ก็ทำให้เจนแอนน์รับรู้ว่าสิ่งที่เธอคิดนั้นถูกต้อง เขาไม่รู้ตัวเลย แต่มันซ่อนอยู่ในจิตใต้สำนึกของเขา รอวันที่จะออกมา ไม่แค่ทำร้ายคนรอบตัวเขา...แต่ยังทำร้ายเขา

    วิเลียมผ่านเรื่องเลวร้ายที่สุดเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะพบเจอมาได้แล้ว การเข่นฆ่าเพื่อเอาชีวิตรอด ทุกอย่างนั้นไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ควรต้องพบเจอ แต่มันจบแล้ว และเขาควรจะได้กลับมาใช้ชีวิตธรรมดาอีกครั้งโดยไม่ต้องกังวลหรือพะวักพะวงกับเรื่องพวกนั้นอีก แต่ไม่เลย ถึงตัวของเขาจะพ้นมาแล้ว แต่ความคิดจิตใจของเขาก็ยังคงอยู่ในสนามรบ

    และมันเป็นฝันร้ายสำหรับเจนแอนน์ เชลตัน


    เจนแอนน์ยอมออกมาจากห้องน้ำในที่สุดหลังจากน้ำตาหยุดไหลแล้ว เธอไม่อยากทำให้ทุกคนต้องกังวลด้วยการขังตัวเองเหมือนเป็นเด็ก เธอโตแล้วและเธอต้องรับมือในแบบผู้ใหญ่ วิลเลียมถลันเข้ามาหาเธอแทบจะในทันที แต่เจนแอนน์กระถดตัวหนีทันใดโดยสัญชาตญาณและไปซ่อนตัวข้างหลังเบลกที่อยู่ใกล้เธอที่สุด เธอหลุบตาลง และมือคู่นั้นของวิลเลียมที่มองเห็นได้ก็ทำให้เธอหวั่นจนน้ำตาที่คิดว่าเหือดหายไปแล้วกลับมาอีกครั้ง และวิลเลียมก็เข้าใจเหตุผลได้โดยไม่ต้องพึ่งพาคำอธิบายใด

    “เจนแอนน์ ผมขอโทษ...”

    เสียงของเขาที่เธอได้ยินนั้นสั่นและแตกพร่า เมื่อเงยมองใบหน้าขาวซีดของผู้เป็นสามีก็เห็นว่าบัดนี้มันแทบจะไม่มีสีแล้ว น้ำตาไหลอาบแก้มของเขาไม่ต่างอะไรกับเธอ การต้องเห็นเขาร้องไห้คือหนึ่งในสิ่งสุดท้ายที่เธออยากเห็นจากเขา

    “ผมจะไม่มีวันทำร้ายคุณ”

    ใช่ วิลเลียมไม่มีวันจะทำร้ายเธอไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหน และเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่มาจากความตั้งใจของเขา คนที่ทำร้ายเธอไม่ใช่วิลเลียม เชลตัน มันไม่ใช่เขา...ไม่มีทางเป็นเขา เขาคือคนสุดท้ายบนโลกนี้ที่จะทำร้ายเธอ แต่มันคือร่างกายของเขา เพราะอย่างนั้น เจนแอนน์ถึงเข้าไปกอดเขาไม่ได้ แม้แค่จะจับมือหรือแตะต้องตัวเขาก็เป็นเรื่องยากเกินทน และสิ่งที่เธอพูดออกมาได้ทั้งน้ำตาก็มีเพียง

    “วิลเลียม...ฉันขอโทษ...แต่ฉันกลัวคุณ”

    ก่อนเธอจะทรุดตัวลงปิดหน้ากับฝ่ามือ เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของเธอกรีดแทงเข้าไปในใจของวิลเลียม แต่เขารู้ว่าเจนแอนน์ต่างหากที่ต้องเจ็บปวดทั้งใจและกาย



    วอลต์ คินนีย์ เคยเป็นเสนารักษ์ประจำกองร้อยที่แปด หน่วยเดียวกับเบลกและวิลเลียม คินนีย์เป็นรุ่นพี่ที่ดีของพวกเขา และบ้านของเขาก็อยู่ไม่ไกลจากบ้านวิลเลียม เบลกจึงคิดว่าควรไปขอคำแนะนำจากแพทย์ทหารผู้นี้ และวิลเลียมก็ยินดีทำตามนั้นโดยไม่อิดออดหรือรีรอเวลาให้ผ่านไปอย่างสูญเปล่า

    นายไปรบมานานเท่าไหร่นะ สองปีครึ่งหรือว่าสาม”

    สามปีครับ” วิลเลียมตอบวอลต์ ตอนนี้พวกเขาทั้งสามคนนั่งอยู่ในห้องรับแขกของบ้านคินนีย์

    สามปี...บางคนก็โชคดีที่ผ่านมาได้โดยไม่พบเจออะไรร้ายแรงอีก อย่างฉันก็ยังมีสะดุ้งตื่นบ้างเวลาได้ยินเสียง ภาพในสนามรบเองก็ยังเก็บมาฝันร้ายอยู่ แต่กับนาย วิลเลียม มันมากกว่านั้น จิตใต้สำนึกของนายยังอยู่ในสนามรบ นายยังสะเทือนใจกับมัน ต่อให้นายจะไม่พูดถึงหรืออยากลืมมันให้หมดก็ตาม”

    วิลเลียมนั่งนิ่งราวกับกำลังขบคิดถึงคำพูดที่เพิ่งได้ฟัง ขณะที่วอลต์เอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้ไม้ ทำตัวตามสบายแล้ว ส่วนเบลกเองรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ทั่วท้อง มองหน้าเพื่อนสนิทด้วยความกังวล

    มันเป็นครั้งแรก...” ที่สุดวิลเลียมก็พูดออกมา “และเป็นครั้งเดียวที่ผมเคยฆ่าพวกเยอรมัน...ฆ่าใครสักคนด้วยการบีบคอ”

    วอลต์กับเบลกมองหน้าวิลเลียมนิ่ง รับฟังและรอคอยคำพูดต่อไปของเพื่อนร่วมรบอย่างตั้งใจ

    มันไม่เหมือนการยิงคนหรือใช้ดาบปลายปืนแทง ตอนที่ผมเหนี่ยวไกฆ่าคนเป็นครั้งแรก ผมสั่นมาก กลัวมาก ก่อนจะมารบ ผมไม่เคยคิดอยากใช้ความรุนแรง แต่พอความตายมาอยู่ตรงหน้า สัญชาตญาณการเอาชีวิตรอดมันก็บีบให้ผมต้องทำ ถ้าไม่ทำ ผมก็ต้องตาย และผมอยากกลับไปเจอหน้าคนที่ผมรัก ผมต้องรอดไปเจอหน้าพวกเขาอีกครั้งให้ได้ ทุกครั้งที่ลั่นไกฆ่าคน ผมจะคิดอย่างนั้น แต่พอมาถึงการบีบคอ...”

    แล้ววิลเลียมก็เงียบ เขาสูดหายใจเข้าออก ริมฝีปากขยับอยู่หลายครั้งหลายหนหากก็ยังไม่มีคำใดเล็ดลอดออกมา ทว่าวอลต์กับเบลกก็ไม่ขัด เพียงรอเวลาจนกว่าวิลเลียมพร้อมจะพูดต่อได้เอง

    การบีบคอคน มันคนละเรื่องกันเลย” ครู่ใหญ่กว่าที่วิลเลียมจะพูดต่อได้ เสียงของเขาแหบและเบาลงไป “ผมต้องใช้สองมือกดลงไปที่คอ เห็นคนที่อยู่ข้างใต้พยายามปัดป่ายเพื่อจะผลักผมออก เอามือผมออก ดิ้นรนยังไงก็ได้เพื่อจะได้มีชีวิตอยู่ต่อไป และผมอาจโล่งใจตอนที่เห็นว่าเขาหมดลมไปแล้ว แต่หลังจากที่สติกลับมา ผมจะมองดูมือของตัวเอง แล้วก็คิดว่ามือคู่นี้เองที่เพิ่งฆ่าคนไป และนับจากวันนั้น ผมก็ไม่คิดจะเอามันไปบีบคอใครอีก จะไม่ทำร้ายใครอย่างนั้นอีก แต่ที่สุดผมก็ทำมัน...”

    วิลเลียมนิ่งเงียบไปอีกครั้ง ไม่นานจากนั้นก็เงยหน้าขึ้นสบตาวอลต์ แววตาหนักแน่นแท้จริงวูบไหว วอลต์มองเห็นความกลัวอยู่ข้างในนั้น

    กับผู้หญิงที่ผมไม่มีวันทำร้ายไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น คนที่ผมสัญญาจะปกป้องด้วยชีวิต แต่ผมกลับทำร้ายเธอ ทำให้เธอต้องเจ็บ สู้ให้ผมกลับมาแบบพิการมือไม้ขาดยังดีซะกว่า ถ้ารู้ว่ามันจะเอาไปทำร้ายภรรยาผมได้

    ที่สุดวิลเลียมก็ร้องไห้ออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่อีกต่อไป

    เบลกเอามือวางบนหลังเพื่อน ตบมันเบาๆเพื่อปลอบใจคนที่ก้มหน้าลงไปร้องไห้แล้ว ขณะที่วอลต์กอดอกมองดูภาพของนายทหารรุ่นน้องที่รอดกลับมาได้พร้อมมือไม้ครบถ้วนอย่างนึกเห็นใจ


    ฉันไม่รู้ต้องรักษาอาการของนายยังไง” อดีตแพทย์สนามของพวกเขาให้คำตอบอย่างนั้น “ถ้านายแขนขาด ขาขาด ถูกยิงกระสุนทะลุ หรือถูกแทงทิ่มปอด เรื่องนั้นฉันรักษานายตอนนี้ได้เลย แต่อาการของนายนะ วิลเลียม” วอลต์ส่ายหน้า ทว่าสีหน้าเปี่ยมด้วยความเห็นใจ

    เพราะผมไม่ได้บาดเจ็บ” วิลเลียมพยักหน้ายอมรับแต่โดยดี พูดออกเสียงเพื่อย้ำในสิ่งที่เขาเป็น

    ไม่ใช่ วิลเลียม นายบาดเจ็บ ถึงไม่ใช่แผลทางกาย แต่นายก็บาดเจ็บ มันเป็นบาดแผลจากสงคราม และแผลของนายก็ร้ายแรงไม่ต่างจากทหารคนอื่นที่ได้แผลทางกายกลับมา นายต้องได้รับการรักษา ได้รับการเยียวยา และฉันจะพยายามหาทางรักษานาย แต่จนถึงตอนนี้ ฉันอยากให้นายรู้ว่านายก็คือทหารผ่านศึกที่ได้รับบาดเจ็บคนหนึ่ง และภรรยาของนายก็เป็นผู้รับผลจากสิ่งที่นายต้องเจอ นายเสียใจได้ นายโกรธแค้นได้ และนายยังแก้ไขเรื่องผิดพลาดที่ทำลงไปได้ ฉันรู้ว่านายจะทำได้”

    “และเจนแอนน์ก็จะทำได้”

    เบลกที่แม้จะเพิ่งมาอยู่กับเขาได้ไม่นาน หากก็มากพอจะเห็นคุณงามความดีของภรรยาเพื่อนรักได้ก็ให้คำยืนยันมั่นเหมาะเช่นนั้น



    การเปลี่ยนแปลงในบ้านจำต้องเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เจนแอนน์ย้ายไปนอนที่ห้องของเบลกแทนเพราะยังหวาดกลัวการนอนร่วมเตียงกับสามีของเธอเอง กลัวเตียงตัวนี้ที่เขาเคยบีบคอเธอ กระทั่งการแตะต้องกันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะเธอจะตัวสั่นเทิ้มทุกครั้ง และวิลเลียมก็ทรมานใจที่ต้องเห็นคนรักเป็นอย่างนั้น หรือแค่การพูดคุยกันก็ยังเป็นเรื่องยากเย็น มันอาจเกินรับไหวสำหรับเจนแอนน์เสียด้วยซ้ำไป เพราะแทบทุกคราวที่เห็นเขา เธอก็จะน้ำตารื้น และบางครั้งก็มากถึงขนาดร้องไห้ออกมา น้ำตาที่เขาเข้าไปซับไม่ได้ นอกจากมองดูเธอเช็ดมันเอง หรือไม่ก็เข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของแม่เขา...แทนที่จะเป็นเขา

    สงครามของวิลเลียม เชลตันยังไม่จบ

    แต่ศึกนี้เขาไม่รู้ต้องเอาชนะยังไง ต้องใช้วิธีไหน ถึงจะได้เจนแอนน์กลับมาร่วมเตียงอีกครั้ง และแน่ใจได้ว่าเขาจะไม่ทำร้ายเธออีกไม่ว่าทางไหน บ่อยครั้งที่วิลเลียมยังต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกด้วยความผวา แม้จะไม่ได้บีบคอใครอีก ทว่าความกลัวก็ยังคงมีอยู่ มันไม่ได้หายไปแค่เพราะมันไม่เกิดขึ้น บาดแผลของเขาไม่ได้ทำงานอย่างนั้น

    เป็นหนึ่งสัปดาห์ที่วิลเลียมทรมานทั้งกายใจไม่ต่างอะไรกับตอนอยู่ในสนามรบ เพียงแต่ในที่แห่งนี้เขาไม่ได้มีศัตรู ทว่าหญิงที่รักมองเขาเป็นเหมือนศัตรูผู้น่าหวาดหวั่น สั่นกลัวเหมือนทหารบางคนในวินาทีก่อนที่เขาจะลั่นไกปลิดชีพจนตายดับ มันจะแตกต่างกันเช่นไรกับการได้กลับไปอยู่ในสนามรบอีกครั้ง ได้เห็นเจนแอนน์ยิ้มแย้มแค่ในภาพถ่าย เพราะเธอตัวจริงที่อยู่ตรงหน้าจะมีเพียงใบหน้าเศร้า และบ่อยครั้งก็อาบน้ำตา

    มื้ออาหารค่ำที่น่าเศร้าจบลงไปอีกคืน หลังจากที่วิลเลียมนั่งมองเจนแอนน์ล้างจานกับแม่ของเขา บอกลาเขาอย่างหวั่นเกรง มองดูภาพเธอถูกแทนที่ด้วยบานประตูห้องนอนของเบลก เขาก็จะเข้าห้องนอนของตัวเอง เป็นตอนที่เบลกกำลังนอนอ่านหนังสือนิยายอยู่บนโซฟาปลายเตียง ขณะที่เขากำลังเขียนบันทึกลงในไดอารีเหมือนที่ทำเป็นประจำ เมื่อมีเสียงเคาะประตูห้องนอน เจ้าของห้องตะโกนตอบไปด้วยความเข้าใจว่าเป็นแมรี

    “ครับ เข้ามาได้”

    จึงประหลาดใจกระทั่งตกใจเมื่อพบว่าคนที่เปิดเข้ามาคือเจนแอนน์ ทั้งเบลกกับวิลเลียมเด้งตัวขึ้น และเบลกก็ทักทายหญิงสาวที่หยุดยืนอยู่หน้าประตูว่า

    “สวัสดีตอนดึกครับ เจนแอนน์”

    เจนแอนน์หันไปผงกศีรษะเป็นการทักทายกลับ และเอ่ยกับเขาว่า “ขอฉันคุยกับวิลเลียมเป็นการส่วนตัวได้มั้ย”

    ครับ ได้ แน่นอน” เบลกตอบรับ รีบออกไปจากห้องพร้อมกับหนังสือนิยายโดยไม่ลืมจะปิดประตูตามหลัง

    บัดนี้เหลือแค่เธอกับเขาในห้องนอนที่เป็นของพวกเขา เกิดความเงียบขึ้นเมื่อเบลกจากไป วิลเลียมหายใจไม่ทั่วท้อง ที่จริงเขาแทบจะหายใจไม่ออกเมื่อได้จับจ้องมองดูภรรยาที่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตู เธอเองก็กำลังพยายามหายใจอยู่เช่นกัน ก่อนฝีเท้าของเธอจะขยับมาหยุดที่ข้างเตียงของเขา แม้ระยะห่างระหว่างพวกเขาจะกลับมาใกล้กันอีกครั้ง ทว่ามันก็ยังไกลห่างกว่าที่ควรเป็น แต่ในยามนี้วิลเลียมก็ไม่หวังอะไรมากไปกว่านี้ เพราะเท่านี้ก็มากเกินกว่าที่เขาจะนึกหวังได้แล้ว

    แล้วในวินาทีหนึ่งนั้นเอง เจนแอนน์ก็เงยใบหน้าที่เอาแต่ก้มมองพื้นมาสบกับเขา และเริ่มพูดขึ้นว่า

    ฉันจะรอจนกว่าจะถึงวันที่ฉันจะจับมือคุณได้อีกครั้ง กอดคุณได้อีกครั้ง จูบคุณได้อีกครั้ง และกลับมานอนข้างคุณได้อีกครั้ง โดยไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก”

    ดูท่าว่าต้องใช้ความพยายามอย่างมากสำหรับเจนแอนน์ที่จะพูดมันออกมา เพราะพอพูดจบ น้ำตาของเธอก็ไหลลงมา น้ำตาที่วิลเลียมได้เห็นจนชินตา หากก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะปรารถนาจะทำความคุ้นชินกับมัน...หรือให้เธอต้องคุ้นเคยกับมันเลย

    ฉันรอคุณมาได้สามปีแล้ว รอนานกว่านั้นอีกหน่อยก็ไม่เห็นจะเป็นไร”

    เธอว่าต่อด้วยประโยคนั้น ประโยคที่ทำให้วิลเลียมหมองเศร้าไม่ต่าง หากก็อดทนที่จะไม่ร้องไห้ออกมา ด้วยไม่อยากให้เจนแอนน์เห็นน้ำตาของเขาที่เธอเองก็ช่วยเช็ดไม่ได้ ได้เพียงกล้ำกลืนมันลงไปด้วยความพยายามอย่างที่สุด และหลังจากความเงียบชั่วครู่ยาม ทว่าเนิ่นนานเหลือเกินในความรู้สึกของคนทั้งคู่ วิลเลียมก็พูดออกมาว่า

    “ผมคิดถึงคุณ เจนแอนน์ ผมคิดถึงทุกเวลาที่ได้อยู่กับคุณ”

    เจนแอนน์มองหน้าสบตากับสามีของเธอ นัยน์ตางดงามคู่นั้นยังวูบสั่นด้วยความกลัว แต่วิลเลียมไม่โทษเธอเพราะเธอมีสิทธิ์ทุกประการที่จะรู้สึกเช่นนั้น จากนั้นหญิงสาวก็วางมือซ้ายลงบนเตียง เตียงที่เธอยังคงหวั่น วิลเลียมมองตามแล้วก็เห็นว่ามือที่บอบบางของเธอสั่น แค่ปลายนิ้วก้อยของพวกเขาเฉียดกัน ร่างของคนที่ยืนอยู่ข้างเตียงก็สะดุ้งจนตัวโยน หากมือของเธอก็ยังไม่ได้จากไปไหน ยังคงสัมผัสแผ่วผิวกับปลายนิ้วของเขา และวิลเลียมก็ยินดีจะหยุดแค่นั้น ไม่เรียกร้องอะไรมากไปกว่านั้น เพราะมันต้องใช้เวลา

    เวลาที่นับจากนี้ วิลเลียมกับเจนแอนน์จะใช้มันเพื่อปรับตัวเข้าหากัน เพื่อที่เขาจะกลับมาเป็นสามีที่แสนดีคนเดิมของเธอ พวกเขาหวังเหลือเกินว่าวันนั้นจะมาถึง แล้วสักวันวิลเลียมก็จะกอบกุมมือคู่นั้นได้อีกครั้ง และประทับจูบลงไปที่มือของเธอเพื่อแทนคำสัญญาว่าเขาจะไม่มีวันทำร้ายเธออีก

    “ผมรักคุณ เจนแอนน์”

    ร่างที่ไหวสั่นจากการร้องไห้ทำให้ปลายนิ้วเธอกระตุกและเฉียดเข้าใกล้วิลเลียมมากกว่าเดิม แต่เธอก็พยายามจะข้ามผ่านความกลัวนั้นไปให้ได้...ทีละเล็กทีละน้อย

    ฉันไม่เคยหยุดรักคุณค่ะ วิลเลียม ต่อให้มันจะหมายถึงทั้งชีวิต ฉันก็จะรอ”

    น้ำตาที่วิลเลียมกลั้นไว้ไหลลงมาอาบแก้มอย่างเงียบงัน คนสองคนต่างมองหน้าสบตากันด้วยความหวัง แม้จะเรียกไม่ได้ว่าเต็มเปี่ยม ทว่าตราบใดที่มีหวัง มันก็อาจเป็นจริงได้ในสักวันหนึ่ง

    เหมือนที่พวกเขาเฝ้าหวังว่าจะได้กลับมาพบกันอีกครั้งหลังจากสงครามจบลง

    เพราะเจนแอนน์กับวิลเลียมรู้ดี ว่าความหวังไม่ใช่เรื่องอันตรายอย่างที่ใครได้ว่าไว้

    ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    - คำว่า Hope Is A Dangerous Thing คืออีกหนึ่งคำที่ผู้การแมคเคนซีย์ได้พูดไว้ใน1917 มันดีมากจนเราคิดว่าต้องเอาคำนี้มาปิดท้ายแล้วครัฟพี่น้องครัฟ
    - พอ
    เอามาเกลา เราตัดคำแก้คำไปเยอะมากอยู่เกือบพันคำได้ จนเราคิดว่าแล้วตอนแต่งครั้งแรกเราพิมพ์อะไรลงไปฟะ ทำไมมีแต่น้ำ งงมาก -_-
    - หนัง
    เรื่องแรกที่เราได้ดูตอนโรงหนังกลับมาเปิดก็คือเรื่อง1917 (รอบที่สิบในโรงจ้ะแม่ ทุบสถิติเราเอง ฮี่ฮี่) และมันก็แน่นอนว่าไฟเรามาเมื่อได้กลับไปโรงหนังโว้ย 555 ดูไปเราก็คิดถึงแมคไคย์ในบทพลทหารสกอฟิลด์ เพราะเท่าที่เคยแต่งมาก็ชอบเค้าในบทคนดีศรีอังกฤษแบบนี้ที่สุดแล้ว เพลงประกอบทั้งสามที่เราเอามาใส่ในเรื่องนี้ ทุกเพลงก็คือscoreที่เรารักมากที่สุดด้วย อวยจ้า
    - เรา
    เคยเขียนในฟิคสักเรื่องว่าชอบฉากchokingมาก เป็นบ้าเป็นบอ ก็คือจริง (แต่ให้พูดก็คือชอบในทางsexualนะ ไม่ใช่ในทางviolence...)
    -
    แต่คิดดูเถอะคุณ Grey's Anatomy มีเป็นสองสามร้อยตอน เป็นสิบซีซัน แต่เราได้แปลตอนนี้พอดี แสดงว่ามันต้องมีความหมาย และเราเชื่อเรื่องความบังเอิญเสมอ
    - ขอ
    อนุญาตสปอยล์เรื่องราวใน Grey's Anatomy นี้ (เฉพาะถึงตอนที่เราได้แปล -_-) สุดท้ายคริสตินาก็เลิกกับโอเวน เพราะกลัวว่าตอนนอนอาจถูกบีบคอจนตาย โอเวนก็เลยไปเข้าบำบัดทั้งเข้าเครื่องสแกนและไปหาหมอทางจิต (เราชอบฉากหนึ่งที่มีหมออีกคนบอกว่า PTSD ก็เป็นอาการบาดเจ็บทางกายภาพ และมีการทดสอบเอาผลการเปลี่ยนแปลงของสมองให้คนไข้ PTSD ดู เพื่อจะได้เข้าใจถึงกายภาพของอาการป่วยทางจิต) แต่สำหรับเรื่องนี้ในยุค WWI การแพทย์ยังไม่เจริญถึงขั้นนั้นแน่นอน

    ทิ้งท้ายด้วยประโยคหนึ่งในเกรย์สอนาโตมีที่เราประทับใจมาก คือตอนที่เพื่อนคริสตินาบอกให้เลิกคบกับโอเวน แต่คริสตินาบอกว่า
    "งั้นถ้าเขาหัวใจวาย เป็นสโตรก หรือเสียขาไป เธอจะทิ้งเขาเหรอ
    การทิ้งเขาเพราะเรื่องนี้(มีปัญหาทางจิต) มันรับได้มากกว่าเหรอ
    เขามีบาดแผล เป็นบาดแผลจากสงคราม แม้ไม่ใช่แผลที่มีร่องรอย"
                
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×