คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : III - Let's Pretend We're On The Moon
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
“จิมมี! เอดีนา! แต่งตัวเสร็จหรือยัง!”
แกลดิสตะโกนถามขึ้นไปบนชั้นสองจากในห้องนั่งเล่น คืนนี้พาโลส เวอร์เดสจัดงานเลี้ยงประจำครึ่งปีหลังในตีมแฟนซีที่คันทรี คลับ ผู้เป็นแม่แต่งเป็นเอลฟ์จากมัชฌิมโลกในหนังมหากาพย์เรื่องดัง ชุดยาวกรอมเท้าสีขาวสะอาดจนสะท้อนแสงได้ วิกผมยาวถึงเอวบิดเกลียวอ่อนเป็นสีทองสว่างเหมือนดวงอาทิตย์รุ่งอรุณ พ่วงด้วยรัดเกล้าสีเงินกับการแต่งหน้าบางเบา ก็ทำให้หล่อนดูราวกับเป็นสิ่งมีชีวิตที่งามสง่าจากต่างพิภพโดยแท้จริง แกลดิสรักงานปาร์ตี้เสมอ ดังนั้นก็ย่อมเป็นหล่อนที่หาชุดยาวกรอมเท้าสีเงินมาให้บิลลีแต่งคู่กัน แต่เพราะวิกผมยาวสีทองไม่เข้ากับผู้เป็นสามีเลยแม้แต่น้อย เอลฟ์หญิงจึงต้องยอมควงคู่เอลฟ์ชายไปร่วมงานโดยไม่สวมวิก
หล่อนตื่นเต้นกับงานปาร์ตี้มากจนไม่ได้ทะเลาะกับบิลลีในช่วงสองสามอาทิตย์มานี้—ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นเรื่องดีกับทุกคน
พวกเขาไม่รู้ว่าลูกของตนจะแต่งอะไร ทั้งจิมและเอดีนาต่างอุบเงียบไม่ยอมแพร่งพรายเมื่อถูกถาม เพราะอย่างนั้น พอแกลดิสได้เห็นคนทั้งคู่ที่เดินลงบันไดมา หล่อนจึงอ้าปากค้าง หนึ่งคือด้วยความอึ้ง อีกหนึ่งคือด้วยความประหลาดใจ ที่นำพาไปสู่ความรู้สึกที่คล้ายจะ...ไม่พอใจ
“แต่งอะไรน่ะจิม!”
ก่อนร้องทักลูกชายในชุดผ้าคลุมกำมะหยี่ตัวยาวสีดำสนิท ผมสีน้ำตาลธรรมชาติกลายเป็นวิกสีทองยาวระอกที่ถูกม้วนเป็นเกลียวตรงปลาย ทาหัวตาไปถึงหัวคิ้วด้วยอายแชโดว์สีแดง ดูไม่เหมือนจิมคนที่เธอ—หรือใคร—เคยเห็นอยู่ทุกวัน กระทั่งเอดีนาที่ช่วยเขาแต่งหน้าแต่งตัวก็รู้สึกอย่างนั้น ส่วนเธอที่เดินตามหลังมาสวมชุดแจ็คเก็ตกับกางเกงหนังรัดรูปสีดำเป็นมันขลับ ใบหน้าที่แต่งเข้มดูแปลกตาโดยเฉพาะลิปสติกสีน้ำตาลแดงบนริมฝีปาก หากก็มีสีหน้ายิ้มแย้มและตื่นเต้นกับงานเลี้ยงไม่ต่างกัน จิมรักงานปาร์ตี้เหมือนแม่ของเขา จนเอดีนาพลอยตั้งตารอไปด้วยหลังจากที่เขาสาธยายความเลิศหรูของมันให้ฟัง แล้วก็เป็นจิมเองที่ออกไอเดียแต่งชุดคู่ของพวกเขา เราน่าจะลองแต่งอะไรที่‘ไม่ใช่เรา’ดูนะ
“แอนตีไครสต์กับพาร์ทเนอร์ของเขาครับ”
จิมตอบอย่างเริงรื่น ผิดกับแกลดิสที่ใบหน้าสะสวยกลายเป็นเคร่งเครียด ขณะเดินไปหาจิมที่ก็กำลังเดินมาหา
“เปลี่ยนได้มั้ย แม่ว่ามันไม่เหมาะสมเลยนะ”
แกลดิสจับชุดและผมของลูกชายไปทั่วอย่างจะสำรวจหาสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควร แม้หล่อนจะแสดงออกมาทางสีหน้าและคำพูดไปหมดแล้วก็ตามว่าแค่ที่เห็นนี้ หล่อนก็ตัดสินได้แล้วว่ามัน ‘ไม่ถูกต้อง’ ก่อนมองข้ามไหล่เขาไปเป็นเอดีนาที่เดินตามหลังมา
“เอดีนาเป็นคนคิดเหรอ แม่ไม่คิดว่าลูกจะอยากแต่งอะไรอย่างนี้นะ แอนตีไครสต์อะไรกัน”
คำถามที่เหมือนจะกล่าวโทษทำให้เด็กสาวพลันหน้าเจื่อนไปทันที หากก็มุ่งไปหาพ่อโดยพยายามไม่แสดงสีหน้าหรืออาการอื่นใดที่ฟ้องว่ารู้สึกแย่กับคำพูดนั้นออกมา เอดีนาไม่ได้โกรธ เธอเข้าใจหากแกลดิสจะอยากมองเห็นแต่ข้อดีของจิม...เหมือนที่เธอเข้าใจความรู้สึกของเด็กหนุ่มที่ต้องแบกรับความสมบูรณ์แบบต่อหน้าผู้เป็นแม่
“ไม่ใช่ครับแม่! ไอเดียผมเอง!” ทว่าจิมรีบค้านขณะหันมองใบหน้าด้านข้างของพาร์ทเนอร์ที่เดินผ่านพวกเขาไป เขาออกปากชวนแม่คุยอย่างกระตือรือร้น “ผมอยากแต่งเอง ก็เลยชวนเอดีนามาแต่งด้วย แม่ดูสิ! ชุดกับวิกผมของผมเป็นยังไงบ้าง สวยมากเลย แม่ว่ามั้ย แม่เองก็สวยมากเลยครับ”
และจิมก็จะทำให้แม่ของเขารู้สึกดีขึ้นได้เสมอ
“ขอโทษถ้าพวกหนูแต่งอะไรไม่เหมาะสมนะคะ หนูกับจิม เราแค่...” เอดีนาที่มาหยุดตรงหน้าพ่อของเธอแล้ว พูดกับเขาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาที่ก็หยุดแค่นั้น ใบหน้าสลดด้วยความรู้สึกผิด หัวใจหดฟีบ แต่บิลลีจับไหล่เล็กทั้งสองข้างที่ลู่ลงของลูกสาวไว้ เอ่ยปากบอกเธอด้วยถ้อยคำที่ทำให้หัวใจของเด็กสาวกลับมาพองโตได้อีกครั้งว่า
“พ่อไม่เห็นว่าจะมีอะไรไม่เหมาะสม และพ่อก็ดีใจมากที่เห็นพวกลูกสนิทกัน ที่สำคัญที่สุดก็คือ...เอดีนาของพ่อน่ารักมาก”
เอดีนายิ้มกว้างออกมาด้วยความรู้สึกขอบคุณจากใจจริง และจิมที่มองดูภาพของคนทั้งคู่ทั้งที่หูยังรับฟังคำพูดจากแม่...ก็ยิ้มออกมาได้เช่นกัน
❥
เอดีนาเคยนั่งรถผ่านเฟรนด์ลี ฮิลล์ส คันทรี คลับอยู่หลายครั้ง แต่ไม่เคยเหยียบย่างเข้ามาสักครั้งแม้จะย้ายมาอยู่ที่พีวีได้กว่าสี่เดือนแล้ว ด้วยไม่ใช่คนชอบเที่ยว ทั้งยังเข้าสังคมไม่เก่ง จึงไม่แปลกหากเด็กสาวจะแทบไม่ได้ไปไหนมาไหน—หากจิมไม่พาไป—นอกจากบ้าน ชายหาด หรือโรงเรียน งานเลี้ยงจัดขึ้นในอาคารสองชั้นที่กว้างมาก กระนั้นแขกเหรื่อมากมายในงานก็เติมห้องจัดเลี้ยงจนมันเต็มได้ ชายหญิงที่เอดีนาคุ้นหน้าบ้างไม่คุ้นหน้าบ้างอยู่ในชุดแฟนซีหลากหลาย พูดคุย ดื่มกิน เต้นรำ เพลิดเพลินกับงานในแบบของตน
ตอนที่รถของจิมกับเอดีนามาถึง บิลลีกับแกลดิสที่ขับมาถึงงานก่อนแค่ในเวลาไม่กี่นาทีก็จับกลุ่มสนทนากับคนอื่นอย่างออกรสกันแล้ว ส่วนเอดีนาผู้ยังรู้สึกประหม่าทุกครั้งที่อยู่ท่ามกลางคนหมู่มาก ก็ยืนจิบเครื่องดื่มสีสวยที่มุมหนึ่งโดยมีจิมชวนคุยอยู่ข้างกายไม่ห่าง บ่อยครั้งที่พวกผู้ใหญ่ซึ่งคุ้นหน้าคุ้นตาลูกชายผู้สมบูรณ์แบบของแกลดิสเข้ามาทักทาย จิมก็จะตอบรับอย่างอัธยาศัยดีและมีมารยาท ทั้งยังไม่ลืมแนะนำเอดีนาให้พวกเขารู้จัก แม้เด็กสาวจะคิดว่าเขาไม่ควรต้องแนะนำเธอว่าเป็น “ผู้หญิงคนสวย” หรือ “ผู้หญิงคนพิเศษ” ‘ของเขา’ อย่างนั้นเลย แต่ทุกคนที่ได้ฟังก็จะยิ้ม พูดเสริมคำของเขาอย่างเห็นคล้อยตามไปด้วย และเอดีนาก็จะได้แต่เอ่ยขอบคุณและยิ้มอย่างเขินอายกลับไปให้
“รู้ใช่มั้ยว่านายไม่จำเป็นต้องพูดอะไรแบบนั้นตอนแนะนำตัวฉัน” เอดีนาบอกเขาเมื่อกลับมามีกันแค่สองคนอีกครั้ง
“แล้วเธอรู้ใช่มั้ยว่าฉันอยากให้พวกเขารู้จักเธอแบบนั้น” จิมวางแก้วเครื่องดื่มที่หมดแล้วลงบนโต๊ะด้านหลัง จากนั้นก็เอามือข้างที่เพิ่งว่างนั้นมาวางบนแก้มที่ปัดเป็นสีน้ำตาลอมส้มของพาร์ทเนอร์
“คนสวยและคนพิเศษของฉัน”
แม้มือของเขาจะเย็น แต่เอดีนารู้สึกว่าแก้มของเธอกำลังร้อน
“จิม! จิมๆๆๆ!”
เสียงเล็กเสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับการปรากฎตัวของเจ้าของเสียง เอดีนารีบสะบัดหน้าเบือนออกจากมือของจิมและทำเป็นยกน้ำขึ้นจิบ ส่วนเด็กหนุ่มก็ตกใจไปด้วยจนเอามือทั้งสองข้างไปวางไว้ที่เอว ขณะทักทายคนที่เพิ่งเดินเข้ามาหาว่า
“ไง เฮเตอร์”
เจ้าของชื่อยิ้มให้จิมก่อนจะเป็นเอดีนาที่หันมาสบตาพอดี แต่ทั้งสามชีวิตในที่นั้นต่างก็รู้ดีว่ามันจะไม่มีบทสนทนาใดมากไปกว่านั้นระหว่างผู้หญิงสองคนนี้ หาใช่เพราะไม่ถูกกันหรือไม่ชอบหน้ากัน แต่แค่พวกเธอไม่ใช่คนที่จะสานต่อบทสนทนาประเภทเดียวกันได้ เอดีนามองดูหญิงสาวผมสีน้ำตาลเข้มในชุดแฟนซีเลียนแบบสิงห์นักบิดสุดเซ็กซี่ ถุงน่องตาข่ายใต้กางเกงขาสั้นกุด เสื้อตัวจิ๋วจนเห็นโนมเนื้อหนั่นที่แทบล้นทะลัก
เอดีนาไม่มีอะไรเหมือนเฮเตอร์แม้แต่น้อย...ไม่ว่าจะภายนอกหรือภายใน
“แต่งตัวอะไรน่ะจิม แปลกพิลึก” หล่อนว่าพร้อมกับหัวเราะออกมา “แล้วผมยาวนี่มันอะไรเนี่ย!” พลางเอามือจับที่วิกผมสีทองของเขา เอดีนาไม่ได้หึงหวงจิมกับการกระทำพวกนั้น ในเมื่อทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่ก่อนเธอจะมีตัวตนในชีวิตของเขา แต่เด็กสาวรู้ว่าหากยืนอยู่ตรงนี้ต่อไป ไม่เพียงมันจะทำให้เธออึดอัด แต่ก็จะทำให้จิมต้องลำบากใจด้วยกับการต้องพยายามเป็นคนกลางเพื่อพูดคุยทั้งกับเธอและเพื่อนของเขา
“ฉันขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” จึงโพล่งขึ้นมาก่อนเดินจากไป เฮเตอร์ยิ้มรับ ส่วนจิมตอบรับ
แน่นอนว่าแม้จะเข้าห้องน้ำเรียบร้อยแล้ว เอดีนาก็ไม่มีความตั้งใจที่จะกลับไปหาจิมกับเฮเตอร์อีก เธอเดินฝ่าฝูงชนออกจากประตูบานกระจกไปเป็นสนามหญ้าข้างนอก พ้นจากความอึกทึกในงานเลี้ยงมาเป็นความเงียบสงัด เพื่อหย่อนตัวลงนั่งที่ขั้นบันไดเตี้ย ตรงหน้าคือแม่น้ำที่คั่นอยู่รายรอบสนามตีกอล์ฟ ลมเย็นตีโกรกเข้ากับใบหน้าและร่างกายที่ทำให้หนาวได้มากกว่าแอร์คอนดิชันเนอร์ในนั้น ทว่านอกเหนือจากนั้น มันก็เป็นความสงบเงียบในแบบที่เด็กสาวรักและคุ้นเคยเป็นอย่างดี
แต่แล้วคนที่ทอดสายตามองเหม่อไปยังความมืดเบื้องหน้า ก็จะหันไปเป็นข้างตัวเมื่อรู้สึกว่ามีคนมานั่งข้าง เธอยิ้มให้เขา
“พ่อออกมาทำอะไร”
“พ่อเห็นลูกนั่งอยู่ก็เลยออกมาหา ทำไม งานเลี้ยงไม่สนุกเหรอ”
“เปล่าค่ะ” เอดีนาส่ายหน้าดิก “หนูแค่ออกมานั่งรับลมแป๊บเดียว อีกเดี๋ยวก็จะกลับเข้างานแล้วค่ะ”
“เอ่อ พ่อคะ...” ก่อนเอดีนาจะเริ่มพูดต่อท่ามกลางความเงียบครู่หนึ่ง “หนูเคยอ่านเจอว่าวาฬจะว่ายไปเม็กซิโกเพื่อคลอดลูก แล้วพวกมันก็จะว่ายกลับมาพร้อมลูก หนูไปเจอมาว่ามันมีทริปครึ่งวันที่เรานั่งเรือไปดูพวกมันทำแบบนั้นได้น่ะค่ะ พ่ออยากไปดูมั้ยคะ”
“ฟังดูน่าสนใจนะ” บิลลีหันมาพยักหน้า และทันใดเอดีนาก็รู้สึกว่าหัวใจของเธอพองฟู “แต่มันตั้งครึ่งวัน ลูกจะเบื่อแย่เลยล่ะ แถมยังอาจเมาเรือจนดูไม่สนุกก็ได้”
ถึงจะผิดหวังกับคำตอบของเขาจนหัวใจเหี่ยวฟีบ เอดีนาก็ยังฝืนยิ้มต่อไปได้ขณะตอบรับว่า “นั่นสินะคะ พอมาคิดดูมันก็จริง”
“พ่อเข้างานก่อนนะ ลูกก็รีบตามกลับไปสนุกล่ะ”
เด็กสาวหันมองตรงหน้าอีกครั้งเมื่อพ่อของเธอไปแล้ว มันจะไม่น่าเบื่อ มันจะสนุก ถ้าเขาไปดูมันกับเธอ—กับลูกสาวที่อยากใช้เวลาร่วมกับพ่อ
และเอดีนารู้ว่าถ้าชวนจิม เขาจะตอบตกลง แน่นอนว่าเขาจะทำแบบนั้น ต่อให้มันจะเป็นเรื่องที่เขาไม่อยากทำก็ตาม
เพราะเขาคือจิม...ผู้ชายที่คิดถึงคนอื่นก่อนตัวเองเสมอ
“คิดไว้ไม่ผิดว่าถ้าไม่เจอเธอในงาน ก็ต้องมานั่งอยู่ริมน้ำแบบนี้”
เอดีนาหันไปหัวเราะให้คนที่กำลังนึกถึงซึ่งมานั่งแทนที่พ่อของเธอ หากก็อดโต้กลับไปไม่ได้ “เปล่าสักหน่อย!”
“งานไม่สนุกเหรอ” จิมถามด้วยสีหน้ากังวล “หรือเพราะฉันอยู่กับเพื่อนมากเกินไปจนเธอรู้สึกเหมือนว่าฉัน...ทิ้งเธอ”
“ไม่ใช่!” เอดีนาแย้งทันควัน เผลอขึ้นเสียงดังจนทำให้จิมพลอยสะดุ้งไปด้วย ก่อนรีบเสริมว่า “ไม่ใช่เลย! ฉันแค่อยากมานั่งรับลม เดี๋ยวก็จะกลับไปในงานแล้ว”
“เข้าใจแล้ว” จิมตอบเสียงแผ่ว “แต่ถ้าฉันทำอะไรให้เธอรู้สึกแย่ก็บอกนะ”
“นายไม่เคยทำแบบนั้น” เอดีนาบอกเขาโดยไม่มองหน้า แต่เธอก็รับรู้ว่าจิมกำลังยิ้มเมื่อบอกเธอว่า “ขอบคุณ”
เธอกับเขาได้แต่นั่งนิ่งรับลมเย็นท่ามกลางความเงียบด้วยกันครู่หนึ่ง แม้จะไม่พูดอะไรกัน แต่เอดีนาก็รู้สึกดีได้ทุกครั้งที่จิมอยู่เคียงข้าง...แค่การมีอยู่ของเขาก็เพียงพอ
“กลับเข้าไปในงานด้วยกันมั้ย”
เอดีนาถามขึ้นเมื่อรู้สึกว่าควรแก่เวลาแล้ว จิมตอบรับด้วยรอยยิ้มและมือที่ยื่นออกไปเพื่อจะได้ลุกขึ้นยืนด้วยกัน
สองมือที่กระชับกันแน่นเหมือนจะบอกว่าพวกเขาพร้อมก้าวเดินไปด้วยกัน—ไม่ว่าทางข้างหน้าจะเป็นอะไรก็ตาม
ตอนที่เธอกับเขากลับเข้าไปในงาน วงดนตรีบนเวทีก็เพิ่งเริ่มต้นบรรเลงบทเพลงใหม่พอดี เป็นท่วงทำนองในจังหวะนุ่มละมุน จิมปล่อยมือที่จับกับเอดีนาโดยไม่บอกกล่าว เพื่อในวินาทีถัดมาเขาจะได้ยื่นมือข้างเดิมออกไปในท่าหงายฝ่ามือ เอ่ยถามหญิงสาวตรงหน้าว่า “ให้เกียรติเต้นรำกับผมสักเพลงได้มั้ย พาร์ทเนอร์”
เอดีนาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาก่อนตอบว่า “ด้วยความยินดีค่ะ พาร์ทเนอร์” และจับมือกับเขาที่พาเธอเดินไปยังฟลอร์เต้นรำที่มีผู้คนจับจองอยู่ก่อนแล้วจำนวนหนึ่ง จิมนำเธอเต้นรำไปตามบทเพลงที่เอดีนารู้เมื่อนักร้องเริ่มร้องท่อนแรกว่ามันคือเพลง ‘เดอะ วันเดอร์ ออฟ ยู’ ของเอลวิส เพรสลีย์ เพราะมันเป็นหนึ่งในบทเพลงโปรดของเธอ
When no one else can understand me
When everything I do is wrong
You give me hope and consolation
You give me strength to carry on
(เมื่อไม่มีใครเข้าใจฉัน
เมื่อทุกอย่างที่ฉันทำล้วนผิด
เธอก็ให้ความหวังและปลอบใจฉัน
เธอมอบพลังให้ฉันได้ก้าวต่อไป)
And you're always there to lend a hand
In everything I do
That’s the wonder
The wonder of you
(และเธออยู่ตรงนั้นเสมอเพื่อคอยช่วยเหลือ
ในทุกสิ่งที่ฉันทำ
นั่นคือความอัศจรรย์
ความมหัศจรรย์ของเธอ)
And when you smile the world is brighter
You touch my hand and I’m a king
Your kiss to me is worth a fortune
Your love for me is everything
(และยามเธอยิ้ม โลกก็ยิ่งสดใส
เมื่อเธอจับมือ ฉันก็กลายเป็นราชา
จูบของเธอนั้นแสนล้ำค่า
รักจากเธอคือทุกสิ่งของฉัน)
หากเมื่อศิลปินขับร้องไปถึงท่อนนั้น จิมก็หยุดเต้นรำกะทันหันแล้วบอกเธอว่า
“ออกไปจากที่นี่กันดีกว่า”
และแม้จะประหลาดใจว่าเหตุใดเขาถึงตัดสินใจปุบปับอย่างนั้น เอดีนาก็ยินดีตามเขาไปแต่โดยดี
❥
“รู้มั้ยว่าที่ฉันต้องรีบพาเธอออกมาจากงาน เพราะกลัวว่าจะเผลอจูบเธอต่อหน้าทุกคน”
จิมสารภาพในตอนที่เธอกับเขากำลังนอนจับมือมองดูดาวบนฟ้ามืด คืนนี้ไม่มีพระจันทร์ ดวงดาวมากมายจึงเรียงรายอยู่เต็มท้องฟ้าของพีวี เด็กหนุ่มหอบผ้าปูสีเหลืองจากในห้องรับแขกมาปูด้วย เพื่อจะได้นอนเคียงกันคุยกันที่ชายหาดหลังบ้านอย่างนี้
“ในเมื่อไม่มีคนแล้ว งั้นเราก็น่าจะทำมันตอนนี้เลยนะ”
เอดีนาใช้แขนหยัดตัวขึ้น ไม่รีรอที่จะทำตามปากว่าด้วยการก้มลงไปจูบคนที่นอนอยู่อย่างไม่ทันให้เขาได้ตั้งตัว แต่ทุกคราวที่เอดีนาเป็นฝ่ายเริ่ม จิมก็จะตอบรับริมฝีปากอ่อนนุ่มของเธอ ตอบสนองเธอด้วยอารมณ์ความรู้สึกเต็มเปี่ยม จิมจูบเธอได้ทุกแบบแม้อย่างเร็วรี่จนแค่แตะชน แต่มันไม่เคยเป็นแบบนั้นสำหรับเอดีนา ทุกครั้งที่จูบ...มันจะเป็นความตั้งใจเสมอ
และหลายครั้งที่จูบระหว่างพวกเขาจะเร้าอารมณ์จนไปจบลงที่เตียง เอดีนาไม่เคยคัดค้านถ้าเป็นในห้องนอนของเธอหรือเขา หากเมื่อจิมเป็นฝ่ายพลิกเธอให้ลงไปอยู่ข้างล่าง มือไม้ปาดป่ายไม่สุขเมื่อมันรูดซิปเสื้อแจ็คเก็ตหนังสีดำของเธอ เอดีนาที่แม้จะพรึงเพริดไปกับริมฝีปากบนคอก็รู้ว่ามันจะไม่ใช่แค่นั้น จึงต้องรีบคว้าจับแขนของเขาเหมือนปราม
“เราทำเรื่องนั้นกันที่นี่ไม่ได้ นายรู้ใช่มั้ย”
จิมเงยหน้าขึ้นจากลำคอขาว พร่างเสียงหัวเราะขณะเปลี่ยนที่หมายมาเป็นใบหน้าแดงเรื่อ จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนที่ราดรด “แล้วเธอรู้มั้ย ว่าฉันเคยอ่านเจอในนิตยสารที่แม่ซื้อมาว่า เซ็กซ์ริมหาดมันดี...มาก”
“จิม” เอดีนาพึมพำชื่อเขาแผ่วผิว ร่างกายสั่นด้วยความประหม่าเมื่อรับรู้ว่าเขาต้องการอะไร หากก็เขินปนละอายเมื่อรู้ว่าใจหนึ่งเธอก็ไม่ได้คัดค้าน “ถ้าพ่อแม่มาเห็นล่ะ”
“แม่ของฉันไม่มีทางกลับมาจนกว่าปาร์ตี้จะเลิก ซึ่งก็คืออีกหลายชั่วโมงข้างหน้า และฉันรู้ว่าบิลลีจะอยู่กับแม่จนจบงาน ส่วนคนอื่นก็ไม่มีทางมาเห็นอะไรในหาดส่วนตัวของบ้านเราได้ ไม่อยากลองดูสักครั้งเหรอ ชายหาด...แสงดาว...แล้วก็ฉัน”
และเอดีนาก็ไม่อาจปฏิเสธว่ามันยวนเย้าใจอย่างที่จิมว่า ลมเย็นระรื่นพัดโชย เสียงเกลียวคลื่นซัดสาดฟังเสนาะหูเหมือนเป็นเสียงดนตรีประกอบฉาก เพดานผืนผ้าสีดำที่มีหมู่ดาวแขวนเรียงรายเป็นหลอดไฟ ชายหาด...แสงดาว...แล้วก็จิม หากก็ยังคงมีความลังเลเมื่อเธอกัดริมฝีปากล่างแล้วพูดว่า
“ยังไงเราก็ทำมันจนจบตรงนี้ไม่ได้ ในเมื่อเราไม่มีเครื่องป้องกัน”
ทว่าคนข้างบนล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าที่เย็บซ่อนอยู่ด้านในผ้ากำมะหยี่ แล้วหยิบห่อฟอยล์ขึ้นชูให้เธอดู “ใครว่าไม่”
จนเอดีนาต้องหัวเราะออกมาทั้งที่แก้มแดงก่ำ “ด้วยพลังล่อลวงระดับนี้ นายสามารถเป็นแอนตีไครสต์ได้เลยนะ”
“แต่ก็มีแค่คนเดียวเท่านั้นแหละที่ฉันต้องการ”
จิมพาเธอท่องไปยังดวงจันทร์ที่คืนนี้ไม่มีให้เห็น และเอดีนาก็เข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใด—เพราะเธอกับเขาต่างหากที่อยู่บนดวงจันทร์ มองดูโลกจากบนนั้น มือสอดประสานกันแนบแน่น ร่างกายที่กอดเกี่ยวขยับเป็นจังหวะเดียวกัน เม็ดเหงื่อที่เกาะพราวแม้อากาศจะเย็นและลมหายใจร้อนจัดต่างหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ริมฝีปากประทับกันจนแทบจะหายใจไม่ออก ราวกับอยู่ท่ามกลางความฝันที่เป็นความจริง
พวกเขานอนข้างกันโดยมีชุดคลุมตัวใหญ่ของจิมช่วยคลุมร่างไว้ จิมจูบเธออีกครั้ง ก่อนพูดออกมา...อย่างหนักแน่นและจริงจัง
“เอดีนา พรีกเกอร์ ฉันรักเธอ”
เอดีนางันไปกับคำพูดที่ได้ฟังจากปากเขาเป็นครั้งแรก ทั้งที่ไม่ได้อยากเป็นคนเจ้าน้ำตาที่อ่อนไหวได้ง่ายดายอย่างนี้ แต่มันร่วงเผาะออกจากตาอย่างที่เธอเองก็ไม่ทันรู้ตัว จนต้องทำเป็นหัวเราะและพูดกลบเกลื่อนขณะเอามือเช็ดน้ำตาไปด้วยว่า
“ขี้โกงชะมัด ฉันต่างหากที่ควรต้องพูดคำนั้นก่อน”
แต่จิมก็จะช่วยซับน้ำตาให้เธออย่างอ่อนโยนทุกครั้ง—เพราะมันคือสิ่งที่เขาเป็นให้เธอมาตลอด
“ฉันรักนาย”
เอดีนาเองก็ร่ายถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์นั้นทั้งที่มือของเขายังปาดป่ายอยู่บนแก้มเธอ
และพูดออกมาอย่างหนักแน่นจริงจัง เพื่อต้องการยืนยันให้เขา...เธอ...หรือใครก็ตาม ได้รับรู้ว่าความรักของพวกเขา แท้จริงไม่ได้มีอะไร ‘ผิด’
“จิม แอนเดอร์สัน”
—หากพวกเขาไม่ต้องใช้นามสกุลเดียวกัน
ความรักของจิมกับเอดีนาอาจเป็นไปไม่ได้บนโลกที่พวกเขาดำรงอยู่ เป็นได้เพียงความสัมพันธ์ที่ต้องเก็บเป็นความลับ แต่ในยามนี้ บนดินแดนที่มีแค่กันและกัน พวกเขาก็คือชายหญิงสองคนที่ไม่ได้เป็นครอบครัวเดียวกัน
เป็นแค่คนสองคนที่รักกัน...และชายหาดบนพระจันทร์แห่งนี้ก็ยอมรับพวกเขา
-