วัยรุ่นชายหญิงอยู่ด้วยกันในไดเนอร์ตอนเกือบเที่ยงคืนก็น่าจะเป็นคู่รักกัน แต่มองมุมไหนก็ดูจะไม่ใช่อะไรที่นิยามด้วยคำนั้นกับพวกเขาได้ ฝ่ายหญิงทำหน้าเครียดขณะก้มหน้าก้มตาจัดการชุดมื้อเช้าที่ตกมาเป็นมื้อค่ำ ส่วนฝ่ายชายที่จัดการแพนเค้กในจานจนเกลี้ยงและกำลังดูดน้ำโค้กดูจะผ่อนคลายกว่านั้นมาก ที่จริงเขาก็กำลังฮัมตามเพลงที่กำลังเล่นผ่านตู้เพลงจูกบ็อกซ์ในร้านไปด้วย ฮึมฮัมในคอโดยไม่เปิดปาก
เพราะ ‘แวร์ อิส มาย มายน์ด’ ของเดอะ พิกซีส์ เป็นเพลงโปรดของจอชัว วอชิงตันมาตลอด มันเป็นเรื่องที่เจซาเบล แคร์นส์รู้ดี เหมือนที่เพื่อนทุกคนในกลุ่มของพวกเขารู้ดี เพื่อนที่เคยมีกันแปดคน เพื่อนที่จะมารวมตัวกันที่เมเปิลพอร์ตตอนค่ำมืดดึกดื่นจนล่วงเช้าวันใหม่ พูดคุยกันด้วยเรื่องมากมายที่สรรหามาได้ไม่รู้จบ ฟังเพลงจากจูกบ็อกซ์จนรู้จักครบทั้งร้อยเพลง เดเลนีย์ ฟิชเชอร์ เจ้าของร้าน ไม่มีเงินซื้อตู้เพลงใหม่อีก มีแค่ตู้เก่านี้ที่ติดมาด้วยตอนซื้อร้านต่อ แต่วัยรุ่นขาประจำทั้งแปดก็สนุกกับร้อยเพลงฮิตก่อนพวกเขาจะเกิดได้
อย่างแวร์ อิส มาย มายน์ด ก็ไม่ใช่แค่เพลงโปรดของจอช แต่ยังเป็นเพลงโปรดของโจ ฟอร์เทนเบอร์รี พ่วงมาด้วยคำต่อท้ายว่าเพื่อนตั้งแต่สมัยเด็กของจอช เพื่อนสนิทที่สุดของจอช แฟนเก่าของจอช เพื่อนที่ความสัมพันธ์เริ่มลดน้อยถอยไปของเจซาเบล และอีกคำที่เพิ่มมา ณ ปัจจุบันว่าคนที่เพิ่งเดินเข้ามาในร้าน จนเรียกสายตาทั้งของเธอกับจอชเมื่อได้ยินเสียงกรุ๊งกริ๊งจากประตูทางเข้า หญิงสาวที่เจซาเบลกำลังนึกถึงไม่ได้มาคนเดียว แต่มากับผู้ชายอีกคนหนึ่ง เขาไม่ได้แค่เคยเป็นเพื่อนในกลุ่มแปดคนเหมือนโจ แต่ยังเคยเป็นเพื่อนสนิทที่สุดในกลุ่มนั้นของเจซาเบล...เน็ด เวลล์ส
คนที่ทำให้เจซาเบลตั้งคำถามกับตัวเองเหมือนชื่อเพลงที่กำลังเล่นอยู่ได้ว่า ‘จิตใจฉันอยู่ที่ไหน’
เสียงฮัมเพลงในคอของจอชพลันเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะในคอ “บังเอิญจริงนะ ทั้งที่กะว่าพรุ่งนี้จะเอาบัตรเชิญไปแจกทุกคนถึงที่แท้ๆ”
สองหนุ่มสาวมาใหม่ไม่ได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของเจซาเบลกับจอช เพราะไม่ได้สนใจจะสอดส่ายสายตาไปทางนั้นด้วยไม่คิดว่าจะมีอะไรให้มอง พวกเขาเพียงเดินไปนั่งโต๊ะด้านหลังนายอำเภอซัมเมอร์ที่นั่งเก้าอี้ตรงเคาน์เตอร์ ทักทายเขากับเวอร์จิเนียอย่างอารมณ์ดี
“วู้ฮู คู่รักนกน้อย มาเดตกันซะดึกดื่นเชียวนะ” นายอำเภอหนุ่มหมุนตัวบนเก้าอี้กลมไม่มีพนักไปแซว
เน็ดยอกย้อนกลับไปว่า “ถ้าใส่ใจเรื่องคดีมากกว่าเรื่องชาวบ้าน นายคงได้เลื่อนขั้นสักวันนะ สตีเวน”
“โอ๊ย เจ็บ!” ตามมาด้วยเสียงหัวเราะของชายหญิงอ่อนวัยทั้งสาม
เจซาเบลเลิกหันมองพวกเขาแล้ว เหมือนจอชที่ก็เบนสายตากลับมาเป็นคนตรงหน้า เขายกไหล่ข้างหนึ่งขึ้นยัก ด้วยเข้าใจกันดีว่าเรื่องของเน็ดกับโจที่สตีเวนพูดถึงก็แค่เรื่องสนุกปากของนายอำเภอหนุ่ม เพื่อนเคยรักทั้งสี่ต่างรู้ว่าความสัมพันธ์ของเน็ดกับโจนั้นยากจะเป็นไปได้ ไม่ต่างจากความสัมพันธ์ระหว่างจอชกับเจซาเบลที่ไม่มีวันเป็นไปได้
“ไม่คิดว่าจะได้เจอหน้าทั้งคู่เร็วอย่างนี้ ช่วยไม่ได้ ขอตัวแป๊บนึงนะ” จอชพูดจบก็ลุกจากที่ออกไปทันที
เจซาเบลเองก็ถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ มันเป็นแบบนี้เสมอสำหรับจอช เธอมีความสำคัญแค่เป็นตัวรองทุกครั้งยามโจปรากฏตัวขึ้นมา ก็ใช่ว่าจะอยากเป็นอันดับหนึ่งของเขา เพียงแต่การต้องเป็นตัวสำรองให้ทุกคนอยู่เรื่อยไป ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำใจให้ยินดีได้โดยง่าย
เพลงในตู้เงียบไปแล้ว ความคิดจิตใจของเจซาเบลก็กลับมาแล้ว ขณะที่จอชเดินไปยังทิศทางของโจกับเน็ด เธอก็ลุกออกไปยังทิศทางของเพื่อนเก่าชื่อตู้เพลงที่อยู่อีกฝั่ง หยุดหน้าตู้ ล้วงหยิบเหรียญจากกระเป๋ากางเกงยีนส์ขาสั้นออกมาหยอด กดเลือกเพลง พอแผ่นติดก็ทุบตู้เสียทีหนึ่งให้มันทำงานต่อได้ หากในตอนที่หมุนตัวกลับเพื่อจะไปนั่งที่ ก็อดไม่ได้ที่ดวงตาจะจับจ้องไปทางโต๊ะที่จอชไปยืนคุยด้วย
ทำไมคนที่นั่งหันหลังจะต้องเป็นโจ และคนที่นั่งอีกฝั่งหันมาทางเธอจะต้องเป็นเน็ดด้วย มันกระอักกระอ่วนและน่าอึดอัดเอามากเมื่อเขาไม่ได้มองเพื่อนร่วมวงสนทนา ทว่าเป็นเธอที่ไม่ได้เข้าร่วมวงสนทนา และเจซาเบลก็ต้องพยายามก้าวขาที่แข็งทื่อไปต่อ ทั้งที่ถูกจับจ้องด้วยสายตาเย็นชาบนใบหน้าที่แข็งกระด้างของเพื่อนเคยสนิท มันยิ่งทำให้เธอหนักอึ้งเหมือนถูกค้อนปอนด์ทุบให้จมพื้นไปอีก จนการก้าวเดินด้วยเท้าเปล่าที่สวมแค่ถุงเท้าพลันยากเย็น แต่เจซาเบลก็ไม่ได้หลบตาหนีหน้าเขาไปไหน เพราะเธอก็ยังอยากมองใบหน้าของเขาที่คิดถึง และแค่ไม่กี่วินาทีกับการเดินไปถึงที่นั่ง มันก็ยาวนานเหมือนผ่านไปเป็นชั่วโมง
ครั้นพอนั่งลงกับที่ก็ให้เจ็บใจตัวเองนักที่เลือกเล่นเพลงนี้ เธอแน่ใจว่านึกถึงเพลงอื่น แต่รู้ตัวอีกทีก็กลับกดเลือกเพลงที่อยู่ในจิตใต้สำนึกของตัวเองมาตลอดจนได้
‘เดอะ โฮล ออฟ เดอะ มูน’ (ทั้งหมดของดวงจันทร์) ของเดอะ วอเตอร์บอยส์
มันเป็นเพลงโปรดของเน็ด เพลงที่เน็ดชอบหยอดตู้เปิดฟังในร้านไม่ว่าจะตอนมากับเพื่อนในกลุ่มหรือตอนมากับเธอแค่สองคน แต่บัดนี้ราวกับวันเวลาเหล่านั้นอยู่ไกลแสนไกล เหมือนเป็นเรื่องเมื่อนานแสนนานมาแล้ว พวกเขาอยู่กันคนละฟากฝั่งของดวงจันทร์ แม้แค่การกลับมานั่งโต๊ะด้วยกันก็ยังเป็นไปไม่ได้
เจซาเบลเพิ่งนั่งที่ได้ไม่ทันไร ดูดโค้กในแก้วไปได้ไม่กี่อึกขณะมองเหม่อไปนอกร้าน จอชก็กลับมานั่งที่และบอกเธออย่างอารมณ์ดีว่า “โจฝากทักทายเธอด้วยนะ”
เธอหันมองหน้าเขา ฝืนยิ้มออกมาเพื่อไม่ให้ดูแย่เกินไป “ขอบใจ”
จอชขยับริมฝีปากเป็นรอยยิ้มที่เธออ่านไม่ออก “เน็ดด้วย”
หนนี้เจซาเบลฝืนยิ้มอีกไม่ได้ เธอทำเป็นก้มหน้าง่วนกับน้ำอัดลม จอชคืออีกคนนอกจากโจที่รู้มาตลอดว่าเธอคิดยังไงกับเน็ด เพราะฉะนั้นเขาก็คืออีกคนนอกจากโจที่รู้ดีว่าเน็ดกับเธอผิดใจกันด้วยเรื่องอะไร ทิ้งช่วงไปพักหนึ่งเมื่อจอชไม่ได้พูดอะไรต่อ เจซาเบลก็เหลือบตาขึ้น เห็นเพื่อนร่วมโต๊ะเอนหลังพิงกับพนัก ยกสองมือขึ้นกอดอก
“รอจนกว่าเธอจะได้เห็นทั้งหมดของดวงจันทร์เถอะ เจซ” จอชพึมพำออกมาเมื่อบทเพลงเล่นไปถึงท่อนที่เป็นชื่อเพลง วิธีพูดของเขาราวกับมีความหมายบางอย่างแฝงอยู่
“พวกนายต่างหากที่ได้เห็นจันทร์เสี้ยว” ทว่าเจซาเบลไม่ชะงักหรืองุนงง ตอบเขากลับไปด้วยเนื้อความจากบทเพลงไม่ต่างกัน
พร้อมกับที่ทันใดจอชก็เห็นผู้หญิงตรงข้ามยกมุมปากข้างหนึ่งเป็นรอยยิ้มที่เหมือนกับจันทร์เสี้ยว แต่เขารู้ว่ามันไม่ใช่จันทร์เสี้ยวในความหมายที่เธอจะสื่อ เจซาเบลเข้าใจนัยยะที่เขาจะสื่อหรือไม่ เรื่องนั้นเขาไม่แน่ใจ แล้วเขาเองเข้าใจสิ่งที่เธอหมายความหรือไม่ เขาก็ไม่แน่ใจ แต่จอชก็ว่าต่อด้วยอีกประโยคเหมือนไม่ยอมลดละ
“ฉันเห็นหุบเขาสกปรกที่มีฝนตก” เขาพูดเนื้อเพลงท่อนหนึ่งออกมา นัยน์ตาแลเหลือบไปทางโต๊ะนั้น
“ผิดแล้ว จอช นายเห็นบริกาดูนต่างหาก” อีกครั้งที่เจซาเบลค้านคำพูดของเขาทันควันด้วยท่อนหนึ่งในเพลงเดิม ตามติดสายตาของเขาไป
แต่กับถ้อยความนี้ จอชเข้าใจความหมายทุกประการ
ใช่...เขากำลังมองบริกาดูนอยู่ บริกาดูนที่ครั้งหนึ่งเจซาเบลเคยป่าวประกาศความหมายของมันที่เธออ่านเจอในห้องสมุดให้ฟังบนโต๊ะตัวนี้
“ฟังนะ! บริกาดูนคือหมู่บ้านลึกลับที่ซ่อนตัวจากโลกภายนอกมาหลายศตวรรษ แต่คนภายนอกจะมองเห็นและมาเยี่ยมได้เฉพาะวันเดียวในรอบร้อยปี!”
“ไม่ๆๆ!” เน็ดแย้งเพื่อนสนิทของเขาในตอนนั้น ก้มหน้าอ่านหน้าเว็บพจนานุกรมของเว็บสเตอร์ในมือถือ “ไม่ต้องอิงตำนานอะไรหรอกน่า ในนี้บอกว่าบริกาดูนก็คือสถานที่ที่สวยงาม ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แล้วก็อยู่ไกลลิบลิ่วกับโลกความจริง”
ก่อนจะถูกจอชแย้งจนเรียกเสียงฮาครืนจากกลุ่มเพื่อนอีกทั้งห้าคนได้ว่า “บริกาดูนคือชื่อหนังต่างหากเว้ย!”
แต่นับจากวันนั้นพวกเขาก็จดจำและเข้าใจความหมายของบริกาดูนได้ดี และตอนนี้จอชก็กำลังมองบริกาดูนที่นั่งอยู่ด้วยกัน
บริกาดูนทั้งของเจซาเบล...และของเขาเอง
-----------------------------------------------------
เจซาเบลปฏิเสธจอชที่จะขับรถไปส่งเธอที่บ้าน เธอมาด้วยโรลเลอร์สเก็ตและการเดินทางกลับบ้านด้วยมันก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็น คริมสันพอร์ตปลอดภัยมากพอจะไปไหนมาไหนคนเดียวในตอนกลางคืนได้ อย่างน้อยก็ตลอดห้าปีที่แม่พาเธอย้ายมาอยู่ในเมืองนี้ หรือหากมีเหตุด่วนเหตุร้ายอะไร เธอก็มีเบอร์ของสตีเวนเป็นเบอร์ฉุกเฉิน นายอำเภอหนุ่มไฟแรงผู้ทำอะไรไวว่องย่อมมาช่วยได้ทันเวลา
ทว่าคนที่กำลังไถรองเท้าสเก็ตไปตามทางอย่างเหม่อลอย ราวกับถูกจันทร์เต็มดวงที่ลอยอยู่หากไล่ตามเท่าไหร่ก็ไม่ถึงสักทีสะกด ก็ต้องสะดุ้งพร้อมกับภวังค์ที่เพิ่งมาถึงจากแสงหน้ารถที่สาดมาบนถนน เจซาเบลสะดุดฝีเท้าและล้มลงไปบนพื้นอย่างแรงมาก ท่อนขาและเข่าครูดไปกับพื้นถนนขรุขระ ฝ่ามือทั้งสองข้างถูกกดยันลงไปก่อนหน้าจะคะมำตามไปและเกิดบาดแผลร้ายแรงบนใบหน้า นอกเหนือจากหมวกกันน็อก เธอก็ไม่ได้สวมเครื่องป้องกันอื่นอย่างสนับที่แขนหรือเข่าอีก
รถยนต์คันสีเหลืองสดที่เป็นเจ้าของไฟหน้าดวงนั้นขับผ่านหน้าไป รถที่เจซาเบลไม่เคยลืมและจดจำมันได้ตลอดมาแม้จะไม่มีวันได้ขึ้นไปนั่งบนนั้นแล้วก็ตาม ตราบใดที่ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขายังไม่ได้รับการแก้ไข...รถของเน็ด
เขาย่อมรู้ว่าเป็นเธอ หากก็ไม่หยุดรถเพื่อลงมาดูหรือแม้แต่จะชะลอถามไถ่ว่าเธอเป็นยังไง รถของเขาเพียงขับจากไป ไม่ต่างอะไรกับแผ่นหลังของเขาที่เธอได้เห็นในวันที่เขาไม่คุยกับเธออีกต่อไป และเจซาเบลก็รู้ว่ามันต้องเป็นอย่างนั้น เน็ดทำในสิ่งที่ถูก และเธอก็ทำในสิ่งที่ถูก คือพยุงตัวเองขึ้น ถอดรองเท้าสเก็ตออกเพราะคงเดินด้วยมันต่อไม่ไหวแน่จากเข่ากับขาที่เจ็บเพราะบาดแผลที่เปิดอ้า เพื่อจะได้เดินกลับบ้านที่ยังอยู่อีกไกลด้วยเท้าเปล่าที่สวมถุงเท้าแทน
อย่างกับว่าเธอจะช่วยตัวเองไม่ได้ อย่างกับว่าเธอจำเป็นต้องพึ่งพาคนอื่นตลอด ทั้งเงินของจอช ทั้งเสียงหัวเราะของเน็ด ทั้งความหวังดีของโจ เธอไม่จำเป็นต้องมีมันทั้งนั้น
เธอไม่ร้องไห้อีกต่อไปแล้ว
เน็ดมองภาพของเพื่อนเก่าผ่านกระจกข้างรถ มันไม่ใช่เรื่องที่จะรับมือได้ง่ายเมื่อเธอล้มลงไปบนพื้นถนนที่เป็นหินขรุขระ ไม่ใช่พื้นเรียบ ไม่ใช่ถนนลาดปูพรม และไม่ใช่เยลโลว์ บริค โรด อย่างในเพลงของเอลตัน จอห์น หรือเรื่องพ่อมดแห่งออซ โดยเฉพาะเมื่อเธอสวมโรลเลอร์สเก็ตด้วย การเดินกลับบ้านต่อจากนี้ย่อมเป็นเรื่องยากยิ่งกว่าเดิม
หากความสัมพันธ์ของเขากับเจซาเบลยังเป็นเหมือนเดิม เน็ดจะรีบจอดรถ ประคองเธอขึ้นมาบนรถ พาเธอไปส่งบ้าน เข้าบ้านไปทำแผลให้เธอ หรือไม่เรื่องแบบนี้ก็จะไม่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้น เธอกับเขาจะยังนั่งอยู่ในไดเนอร์ด้วยกัน พูดคุยหัวเราะกัน อาจล่วงถึงเช้าวันใหม่ที่เวอร์จิเนียเลิกงาน จากนั้นเขาก็จะขับรถพาเธอกับแม่ไปส่งบ้านโดยสวัสดิภาพ เหมือนที่เป็นมาตลอดสามปีที่พวกเขาเป็นเพื่อนสนิทกัน
เพื่อนสนิท...ที่ไม่ได้สนิทอีกต่อไปแล้ว ไม่ใช่แค่คนแปลกหน้าที่เหมือนไม่เคยรู้จักกัน แต่ยังไม่ชอบหน้ากันด้วย
อาจเพราะรักมาก พอยามเกลียดถึงได้มากตามไปด้วย เจซาเบลเคยเป็นเพื่อนที่เน็ดสนิทด้วยที่สุดในกลุ่มแปดคนของพวกเขา เขารักเธอมาก และเธอก็รักเขามาก แต่เพื่อนรักไม่ใช่เจ้าของของเขา ไม่มีสิทธิ์มาสั่งให้เขาทำเรื่องนั้นเรื่องนี้ โดยเฉพาะการที่เขาจะคบหาดูใจกับใคร
เน็ดคบกับเอมมีลู เพื่อนห้องข้างกันที่เจซาเบลไม่ชอบเพราะเคยมีปัญหาคาราคาซังกันมานานตั้งแต่ก่อนรู้จักเขา แต่เขาคิดว่ามันก็แค่เรื่องหยุมหยิมของพวกผู้หญิง เมื่อเขารักใคร เพื่อนสนิทที่สุดก็จะเข้าใจได้เอง และเขารักเอมมีลู เธอเป็นคนดี แต่ดูเหมือนเจซาเบลจะไม่ยอมเข้าใจ และเขาก็ไม่เข้าใจเหตุผลของเธอ จนเมื่อพวกเขาเริ่มทะเลาะกัน เจซาเบลก็หลบหน้าไม่ยอมคุยกับเขา เน็ดที่เหนื่อยกับการตามง้อคนที่ทำตามใจอย่างไร้เหตุผลก็ไม่คุยกับเธออีกต่อไป แม้ว่าเขาจะเลิกกับเอมมีลูหลังจากคบกันได้แค่หนึ่งเดือนครึ่งเพราะโดนนอกใจ ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนที่เคยรักก็ยังคงเฉยชา จนกลายเป็นความเย็นชาในที่สุด
เพลงที่กำลังเล่นอยู่บนสเตอริโอหน้ารถคือ ‘เดอะ โฮล ออฟ เดอะ มูน’ เพลงเดียวกับในไดเนอร์เมื่อกี้ที่เขาได้กลับมาพบหน้าเจซาเบลอีกครั้ง หลังจากไม่ได้เจอกันอีกเลยตั้งแต่แยกย้ายไปเรียนมหาวิทยาลัย แต่สิ่งที่ตัดไม่ขาด อย่างไรก็คงไม่ขาด อย่างการที่เขารู้และดูออกว่าเจซาเบลยังจดจำได้ว่าเพลงนี้เป็นเพลงโปรดของเขาทุกครั้งที่ฟังตู้เพลงนั้น หรือที่เขาเองก็ยังจดจำได้เช่นกันว่าเธอชอบฟังเพลงนี้กับเขามากแค่ไหน เน็ดถอนหายใจออกมา มองดูภาพเธอผ่านกระจกข้างที่กลายเป็นจุดเล็กจิ๋วจนมองไม่เห็นอีกต่อไป
เน็ดนึกภาพไม่ออกเลยว่าการกลับไปที่บ้านพักตากอากาศของจอชคราวนี้จะเป็นยังไง ทั้งกับจอช กับโจ กับเขา กับเจซาเบล หรือกับทุกคนในกลุ่มเอง
-----------------------------------------------------
“คิดไว้ไม่ผิดว่าเธอต้องอยู่ที่นี่”
คำพูดของจอชที่กำลังเดินตรงมาหา เรียกให้โจที่กำลังนั่งดูดน้ำอัดลมสีดำในขวดแก้วต้องเงยหน้าขึ้นมอง เธอแยกกับเน็ดได้พักใหญ่แล้วหลังจากจอชกับเจซาเบลมาบอกลา ขณะที่จอชอำลาพวกเธออย่างเริงร่า เจซาเบลกลับได้แต่พูดงึมงำเหมือนร่ายคาถาอยู่คนเดียวโดยไม่มองหน้าเธอหรือเน็ด ไม่แม้แต่จะสบตาเวอร์จิเนียและสตีเวนด้วยซ้ำไป จากนั้นก็ออกจากร้านไปในรองเท้าสเก็ตที่เธอชอบเล่นตั้งแต่พวกเธอยังเป็นกลุ่มก้อนเดียวกัน
กลุ่มของพวกเธอกระจัดกระจายกันไปหลังจากเรียนจบเมื่อหนึ่งปีก่อนด้วยเหตุผลคือแยกย้ายกันไปเรียน แต่ลึกลงไปในใจของทุกคนรู้ดีว่ามันแตกกระจายด้วยเหตุผลอะไร
โจให้เน็ดมาส่งเธอที่หน้าเฮฟเวน อาร์เคดที่เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงแทนที่จะกลับบ้าน มันเคยเป็นที่สิงสถิตในช่วงหนึ่งของเธอ...กับจอช เธอห่างหายจากสถานที่โปรดแห่งหนึ่งในเมืองนี้ตั้งแต่ย้ายไปเรียนต่อที่เมืองอื่น เหมือนเน็ด...เหมือนจอช เหมือนทุกคน เจซาเบลกับเคนเนธเป็นเพียงสองคนในกลุ่มที่ยังอยู่ในเมืองนี้ แม้ว่าข่าวล่าสุดที่โจได้ยินมาก็คือทั้งจอชและเจซาเบลไม่ได้เรียนต่ออีก กับจอชเธอคิดว่ารู้เหตุผล แต่กับเจซาเบล เธอไม่รู้ แต่เธอรู้ว่าจอชจะรู้
เพราะดูเหมือนช่วงเวลาที่ขาดหายไปนั้น ช่วงเวลาตั้งแต่จอชห่างกับเธอจนที่สุดโจก็รู้ได้เองว่าเป็นการเลิกกัน เขาก็กลับมาอยู่ที่เมืองนี้ มันอาจเป็นเหตุผลที่เขานั่งกับเจซาเบลในไดเนอร์ แทนที่จะมานั่งกับเธอและเน็ดที่เขาสนิทมากกว่า เพราะเจซาเบลร่วมโต๊ะกับเน็ดไม่ได้ และจอชก็ทิ้งเจซาเบลไม่ได้
คนที่เดินมาถึงพอดีนั่งลงข้างเธอ ไม่มีคนอื่นนอกจากพวกเขาอยู่หน้าอาร์เคดอีก แต่เสียงจากตู้เกมและเสียงโหวกเหวกจากข้างในก็ยังดังมาถึงข้างนอก ทำให้บรรยากาศระหว่างเธอกับจอชไม่เงียบอย่างที่ควรเป็น และระหว่างเธอกับเขาก็ไม่ได้อึดอัดอย่างที่น่าจะเป็น เธอกับเขาไม่ได้จากกันด้วยไม่ดี แม้จะเรียกว่าเป็นการจากกันด้วยดีไม่ได้เช่นกัน เธออยากอยู่เป็นกำลังใจเคียงข้างเพื่อนรัก...คนรัก...ในยามที่เขาเศร้าที่สุด แต่เขากลับผลักไสเธอออกไป มันทำให้โจโกรธมากจนถึงกับปณิธานว่าจะไม่คุยกับเขาอีก แต่แค่ได้เจอหน้าคนรักเก่าอีกครั้งที่ไดเนอร์เมื่อกี้เป็นครั้งแรกในรอบหกเดือนนับตั้งแต่เลิกกัน ก็ดูเหมือนเธอจะละทิ้งทุกความโกรธ หรือความคิดที่ว่าเธอจะไม่พูดคุยกับเขาอีกได้ในพริบตานั้น เธอคิดถึงเขามาก มากจนมองข้ามช่วงเวลาที่ผ่านมาได้อย่างโง่งม
“สนด้วยหรือไง ดูเหมือนระหว่างที่เราห่างกัน นายจะสนิทกับเจซมากนะ”
แต่ก็ใช่ว่าจะมองข้ามเรื่องของเขากับผู้หญิงคนอื่นได้ แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าเจซาเบลรักเน็ดมากแค่ไหน ผู้หญิงที่รักเดียวใจเดียวกับเน็ดจนไม่ยอมมองคนอื่น ยังไงก็ไม่มีทางพัฒนาความสัมพันธ์กับจอชให้เธอต้องแคลงใจ ทั้งอย่างนั้นประสาคนช่างประชดประชัน พ่วงด้วยความโกรธจอชคนงี่เง่าที่ทิ้งเธอไป ก็ทำให้โจอดพูดเสียดสีออกไปไม่ได้อยู่ดี
“อะไร หึงเหรอ”
และจอชรู้ กระทั่งดูออก เหตุใดเขาจะอ่านใจเพื่อนที่สนิทกันมาตั้งแต่เด็กไม่ออก จึงย้อนหยอกไปกลั้วเสียงหัวเราะขัน เว้นแต่อีกฝ่ายจะไม่ขำตามไปด้วย
“ถ้าบอกว่าใช่ล่ะ”
ทว่าสิ่งที่ได้รับกลับมาก็คือไหล่ที่ยักและรอยยิ้มที่คล้ายจะป่วนประสาทของโจให้มากกว่าเดิม จอชทำเรื่องพรรค์นี้ได้ดีเยี่ยมมาตลอด ทันใดความอยากรู้อยากเห็นก็ก่อตัวแน่นหนาในความรู้สึก มันเป็นแบบนี้เสมอ เธอจะมีปฏิกิริยาทุกครั้งเมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับจอช เขาเป็นคนเดียวบนโลกนี้ที่ทำให้เธอไม่เป็นตัวของตัวเอง เพราะทุกอย่างของเธอเป็นของเขา
“นายเคยนอนกับเธอมั้ย เจซน่ะ”
ขนาดที่หลุดโพล่งคำถามโง่เง่าแบบนี้ออกมาจนได้ อย่างที่บอกไป เธอไม่เคยคลางแคลงในตัวเจซาเบลคนเขลาที่ไม่มีตาไว้มองใครนอกจากเน็ด ผู้ที่ได้แต่มองหาความรักจากคนอื่นจนมองข้ามเพื่อนสนิทที่รักเขาไป และโจก็รู้ว่าจอชไม่ได้ชอบเจซาเบล...หรือใครทั้งนั้น แต่พอโดนเขาทำกวนเข้าใส่ก็อดเคืองขุ่นไม่ได้
จอชหันมองโดยไม่มีท่าทีตกใจในคำถามบ้าบิ่นที่เธอโยนเข้าใส่นี้ ทั้งยังย้อนกลับไปโดยไม่สะทกสะท้านหากยังยียวนเสียอีก
“เธอเองก็ดูสนิทกับเน็ดดีนะ เคยนอนกับเขาหรือยังล่ะ”
“จอช!” เธอขึ้นเสียง “ฉันไม่ได้ถามคำถามนั้นเพื่อให้นายถามกลับนะ!”
และจอชหัวเราะ ตอบคำถามของเธอ “ไม่ เท่าที่จำได้ก็ไม่เคย”
“แม้แต่จูบก็ไม่?”
“เธอคาดหวังอะไรจากคำตอบของฉันกันแน่ โจ” จอชยังไม่หยุดหัวเราะ ไม่ได้คิดจริงจังกับคำถามพวกนั้นเหมือนคนถามแม้แต่นิดเดียว “ฉันไม่ได้คบกับใครตั้งแต่เลิกกับเธอ และเธอรู้ว่าฉันก็ไม่เคยมีใครก่อนคบกับเธอ ฉันไม่เคยมีใครนอกจากเธอ แค่เธอคนเดียว”
โจรู้ว่าเธอไม่ควรต้องหน้าแดงและใจเต้นเพราะเขินหรือรู้สึกดีแทบบ้ากับคำพูดของเขา สิ่งเดียวที่ควรเกิดขึ้นจากมันคือเพราะเธอโกรธเขา แต่เธอก็รู้ว่ามันไม่ใช่อย่างหลังเลย
“พูดอย่างกับหวังว่าฉันจะตอบอย่างเดียวกันได้”
“ไม่ โจ ฉันไม่ได้หวัง ฉันไม่ต้องการจะคาดหวังอะไรจากเธอ เพราะฉันอยากให้เธอคาดหวังจากฉัน ไม่ว่าอะไร...ทุกอย่าง ฉันทำได้เพื่อเธอ”
และคำพูดนั้นของเขาก็ทำให้โจเงียบไป เธอเอนหลังพิงกำแพง มือกำขวดน้ำอัดลมที่หมดแล้วไว้แน่น แหงนเงยขึ้นไปบนฟ้า กดข่มความรู้สึกที่อยากจะมองหน้าคนข้างกายไว้ด้วยความปรารถนาที่อัดแน่นเต็มอก จนน่ากลัวว่ามันจะระเบิดออกมา เฝ้ารอให้ดาวสักดวงร่วงลงมาจากฟ้า เธอจะได้คว้ามันแบบเดียวกับที่จอชพยายามจะคว้าใจเธออีกครั้ง ไม่นานโจก็รู้สึกว่าจอชเอนหลังพิงกำแพงตามเธอ เมื่อได้อยู่ใกล้เขามากขนาดนี้ก็ยากที่จะสะกดอารมณ์ไว้ได้อีก หญิงสาวยอมหันไปหาเขาในที่สุดเมื่อรู้สึกว่าฝืนไม่อยู่อีกต่อไป
พร้อมกับที่จอชพูดขึ้นว่า “ยังไงฉันก็รอเจอเธอ...” เขาเงียบไปครู่ เหมือนต้องการให้คนที่เขามองจ้องหน้าอยู่ตอนนี้เข้าใจว่าเธอสำคัญกับเขามากแค่ไหน “กับทุกคนในวันนั้นนะ เพื่อเห็นแก่ฉัน เห็นแก่ลีนา”
“อื้ม” โจตอบรับ ความเห็นใจปรากฏขึ้นเมื่อเขาพูดชื่อนั้นออกมาในที่สุด “น้องของนายก็เป็นเพื่อนสนิทของฉันเหมือนกันนะ”
“ใช่ ฉันรู้ ลีนารักเธอมากเลยนะ”
เกิดความเงียบงันระหว่างคนทั้งคู่อีกครั้งเมื่อความทรงจำที่มีต่อเจ้าของชื่อนั้นถูกเรียกออกมา ชื่อที่พวกเขาทั้งเจ็ดคนพยายามหลีกเลี่ยงไม่พูดถึงอีกนับตั้งแต่โศกนาฏกรรมครั้งนั้น ยังบ้านพักตากอากาศที่จอชชวนทุกคนไปในสัปดาห์หน้า...วันครบรอบหนึ่งปีที่ลีนาจากไป แม้ว่าโจกับจอชจะนึกถึงเจ้าของชื่อนั้นด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกันไปก็ตาม
แต่แล้วทันใด จอชก็เปลี่ยนอารมณ์และพูดออกมาเสียงดังอย่างเริงร่าว่า
“อย่างที่เน็ดจะพูดไง มาทำให้วันนั้นเป็นบริกาดูนกัน!”
จนทำให้โจอดหัวเราะไปด้วยไม่ได้ ทว่าเมื่อจอชพูดถึงบริกาดูนที่ไม่มีใครในกลุ่มเพื่อนของพวกเขาไม่เข้าใจความหมาย โจก็พบว่าเธอไม่ได้ต้องการรอรอบหนึ่งร้อยปีที่จะมาถึงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า แต่เป็นวันนี้...ตอนนี้...กับคนที่อยู่ด้วยนี้
“แล้วนายทำวันนี้ให้เป็นบริกาดูนได้มั้ย”
“เธอถาม หรือเธอขอ”
“ถ้านายกล้า” เธอยิ้ม
“ถ้าเธอต้องการ” เขายิ้มกลับไป
เธอกับจอชสานต่อจูบและการกอดรัดจนแทบจะเป็นหนึ่งเดียวกันตั้งแต่ที่หน้าอาร์เคดอีกครั้ง เมื่ออยู่บนรถยนต์หรูสีแดงที่แพงที่สุดในคริมสันพอร์ตของเขา ทันทีที่เครื่องยนต์ถูกติด สเตอริโอหน้ารถก็เล่นเพลง ‘เดอะ โฮล ออฟ เดอะ มูน’ พวกเขาโน้มตัวข้ามคอนโซลหน้ารถเพื่อจูบกันอีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้งราวกับไม่รู้จบ ก่อนจอชจะทำให้ความคิดจิตใจจากนี้ของเธอหายไปกับริมฝีปาก กับอ้อมแขนที่เกี่ยวรัดรอบคอเธอ กับสัมผัสจากมืออีกข้างของเขาที่ปาดป่ายอยู่ใต้เสื้อยืด เนื้อเพลงที่เล่นอยู่ก็ซ่านซึมเข้ามาในสมองของเธอ
‘ทุกความฝันและภาพล้ำค่าที่ได้เห็นล้วนอยู่ใต้หมู่ดาว, เธอมาเหมือนดาวหางที่สว่างโชติช่วง, ไปสูงเกิน ไปไกลเกิน ไปเร็วเกิน’
และโจคิดว่าจอชทำให้เธอได้เห็นทุกด้านของดวงจันทร์มาแล้ว หากเธอจะฉุกคิดสักนิดว่า...ดวงจันทร์เองก็มีด้านมืดมิดที่เธอยังไม่ได้เห็นเช่นกัน
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ความคิดเห็น