คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : II : Poor Little Rich Girl
RELEASE DATE : MARCH 20, 2020
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
✚
‘ในป่าที่มืดมิดและทอดลึกนี้
ฉันขอเสนอนิทรานิจนิรันดร์ให้เธอ’
- พัวร์ ลิตเติล ริช เกิร์ล
คืนถัดมาหลังจากคืนอัปยศที่เรย์มอนด์กลับมาจากสนามรบนั้น เขาก็พาเจนแอนน์มาดูหนังที่โรงภาพยนตร์ในเมือง
เมื่อเช้าวันใหม่มาเยือน เขาก็ไม่ได้ปริปากพูดถึงการทำร้ายหรือขืนใจเธอที่เขาได้กระทำผ่านพ้นไป แค่การแสดงความเป็นห่วงเป็นใยก็หามีไม่ ดั่งรอยฝ่ามือบนใบหน้าขาวหรือรอยช้ำบนเรือนร่างผ่อง เกิดจากความซุ่มซ่ามโง่เง่าของเธอเอง เรย์มอนด์ปฏิบัติต่อเธอเหมือนเช่นปกติของเขา เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนเรื่องราวความสัมพันธ์ต้องห้ามอันน่าสมเพชระหว่างคนสามคนที่ถูกเปิดเผยในที่สุดไม่เคยเกิดขึ้น
เรย์มอนด์ทำประหนึ่งเขาลืมได้สนิทว่าภรรยาของตนไม่ได้มีชู้ และชู้รักของเธอก็คือทหารในหน่วยที่ถูกเขาส่งไปหาความตาย
เขาเกลียดเธอจนไม่ยอมทิ้งเธอ หรือเขารักเธอมากจนไม่อาจทิ้งเธอ เจนแอนน์ไม่อาจเข้าใจได้เลย
ทว่าเจนแอนน์เข้าใจสามีเธอในเรื่องหนึ่งได้โดยชัดเจน ตั้งแต่เขาให้สัตย์ว่าจะไม่มีวันทิ้งเธอไม่ว่าจากเป็นหรือจากตาย คำสัตย์ที่เจนแอนน์รู้ว่ามันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าคำสาบานที่เขาเคยมอบให้เธอในวันแต่งงาน ‘จะรักและปกป้องดูแลเธอทั้งในยามทุกข์และสุข’ เหล่านั้นก็แค่คำลวงทั้งหมดทั้งเพ และเจนแอนน์ก็อ่อนล้าหมดแรงจนไม่มีความกล้าที่จะทิ้งชายซึ่งเธอเคยให้คำสาบานว่า ‘จะรักแต่เพียงคุณตลอดไป’ แม้ชายคนนั้นจะทำร้ายร่างกายและจิตใจเธอ จนถ้อยคำพวกนั้นแตกร้าวกระจัดกระจายยากจะต่อติด
กระทั่งเธอเก็บถ้อยคำเหล่านั้นมาต่อและมอบให้ใครคนใหม่ เพียงเพื่อจะสูญเสียใครคนนั้นที่ช่วยยึดเหนี่ยวชีวิตให้เธอไปตลอดกาล
บัดนี้เจนแอนน์ก็เป็นนกน้อยที่อยู่โดดเดี่ยวในกรงทองโดยสมบูรณ์ ปราศจากสิ้นซึ่งวิญญาณเสรี เป็นวิหคตัวน้อยในอุ้งมือเหล็กกล้าของเรย์มอนด์ หากบีบก็ตาย หากคลายก็รอด แต่เขาก็ไม่ยอมบีบเธอให้ตายดับตามคนที่รักไปเสีย และเขาก็ไม่ยอมคลายมือให้เธอได้โผบินอย่างเปะปะหากก็มีอิสระ แม้ปีกเธอจะหัก แม้ขาจะถูกตรวน
เขาเพียงให้เธอเกาะคอน มองดูความพินาศที่เขาก่อภายนอก โดยที่เธอไม่อาจทำอะไรจากข้างในกรงได้เลย
เจนแอนน์มองดูภาพในจอแก้วจากที่นั่งชั้นบ็อกซ์ด้านบนของโรงภาพยนตร์ หากไม่มีผู้ที่เรย์มอนด์ต้องอวดโอ่สถานะทางสังคมดูอยู่บนนั้นด้วย เขาก็ชอบที่จะทำอย่างอื่นกับเธอนอกจากการดูหนัง
เรย์มอนด์จะไม่ให้เธอสวมชุดกระโปรงชิ้นเดียวตัวยาวมา แต่ต้องเป็นชุดสองชิ้น ห้ามผูกเข็มขัด ขอบกระโปรงไม่สูงกว่าเอว ชุดที่เขาจะสามารถสอดมือเข้ามาได้สะดวกเพื่อกระทำเรื่องไร้ยางอายในที่สาธารณะเช่นนี้ได้ มันไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกดีแม้ร่างกายจะตอบสนอง กายกับใจของคนเราหาได้เชื่อมโยงกันทุกครั้งไป อีกทั้งเขาก็ไม่ได้ทำเพื่อต้องการให้เธอพอใจหรือไปถึงสวรรค์ แต่เขาทำเพราะเขาพอใจ
ในเวลาแบบนี้ เจนแอนน์ก็จะรู้สึกได้แต่เพียงความละอาย อดสู และรังเกียจตัวเองไปจนถึงอณูที่เล็กที่สุดซึ่งประกอบเป็นตัวเธอ มากกว่าที่จะนึกเกลียดชังหรือขึ้งโกรธเขา ซึ่งเธอรู้ดีว่าไม่มีสิทธิ์
บ่อยครั้งที่เจนแอนน์ได้แต่ฉงนงนงายในใจกับคำถามที่ไม่อาจหาคำตอบได้ ว่าเหตุใดชายผู้รักการอ่านหนังสือ ชื่นชอบการชมมหรสพ หลงใหลในงานศิลปะ จึงเป็นชายที่โฉดชั่วเช่นนี้ไปได้ เขามีทุกอย่างพร้อมพรั่ง หน้าตา ยศฐา เงินทอง ความรู้ ทว่าเหตุใดจึงขาดมนุษยธรรมที่มนุษย์ผู้หนึ่งพึงมี ใครว่าผู้มีใจรักศิลปะคือคนสุนทรีย์ จิตใจไม่หยาบกระด้าง เจนแอนน์จะออกตัวคัดค้านแข็งขัน ในเมื่อตัวอย่างก็มีให้เห็นอยู่ทนโท่เคียงข้างเธอเอง
และในฉับพลันนั้นเองที่หญิงสาวฉุกคิดขึ้นมาได้ เธออาจเป็นงานศิลป์ชิ้นหนึ่งที่เป็นเพียงคำเรียกสวยหรูของคำว่า ‘โสเภณี’ คนที่เขาซื้อได้ด้วยความรัก ทว่าไม่ช้าไม่นานก็กลายเป็นเพียงควันในอากาศ ไม่เหลือให้มองเห็นหรือจับต้องได้อีก อีหนูที่ถูกชุบตัวจนเอาไปเชิดหน้าชูตาในวงสังคมได้ แต่ก็ยังคงเป็นสาวผู้ขลาดเขลาโง่งมคนเดิมที่แม้จะถูกกระทำย่ำยี ก็ไม่มีวันแพร่งพรายความลับดำมืดของเขากับใคร
แม้แต่กับชู้รักของเธอเอง
การเคลื่อนไหวของลิลเลียน กิชที่ปรากฏอยู่บนจอขาวดำ สะท้อนเข้ามาในดวงตาสีเขียวอ่อนของเจนแอนน์ เฉกเช่นการเคลื่อนไหวของมือสามีเธอยังจุดที่อ่อนไหวที่สุดในร่างกายเธอ เรย์มอนด์ไม่ได้กระทำมันเพราะอยากเป็นที่รักของเธอ ผิดกับลิลเลียนที่ทำการแสดงเพราะอยากเป็นที่รักของผู้ชม เป็นเด็กสาวที่จะมีชายผู้แสนดีพร้อมมอบความรักอย่างจริงใจให้ในอนาคตข้างหน้า ความรักที่จะมีแต่ความหวังดี ไม่ทำร้ายกัน
อย่างที่วิลเลียมมีให้เธอ
แค่เพียงนึกถึงชายที่รัก น้ำตาของเจนแอนน์ก็ไหลอาบแก้มที่ไม่เห็นร่องรอยแดงช้ำอีกเพราะเครื่องสำอางที่โปะหน้าจนหนาเตอะ
เธออยากให้ทุกอย่างนี้หยุดเสียที จบลงตรงนี้เลยก็ได้ ทั้งน้ำตาที่ชวนสังเวช ทั้งการกระทำอันน่าทุเรศของเรย์มอนด์ ทั้งความคิดถึงคนรักซึ่งจะไม่หวนคืนมาอีก เจนแอนน์รู้ดีว่าความทุกข์ทนของเธอจะไม่มีวันจบ เธอควรรู้ดีกว่านั้นว่าไม่มีเส้นทางแห่งความสุขปูให้เธอมาแต่ต้นแล้ว
แม้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา เธอจะไม่ได้ต้องการเส้นทางนั้นของตัวเองมากไปกว่าให้วิลเลียมได้เจอมันในที่สุด และที่เธอไม่อาจยับยั้งหยาดหยดน้ำตาได้ ก็เพราะได้ตระหนักเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าเขาจะไม่มีวันได้พบเจอเส้นทางแห่งความสุขของตนอีกแล้ว
เป็นเธอเองที่นำพาเขาไปสู่เส้นทางแห่งความตาย
✚
‘ฉันมาเพื่อบรรเทาความทุกข์ระทมสุดหยั่งของเธอ
และนำพาเธอไปสู่เส้นทางแห่งความสุข’
- พัวร์ ลิตเติล ริช เกิร์ล
หนังเรื่องแรก และกลายเป็นเรื่องสุดท้าย ที่เจนแอนน์ได้ดูกับวิลเลียมในโรงภาพยนตร์ก็คือเรื่อง ‘อะ พัวร์ ลิตเติล ริช เกิร์ล’
วิลเลียมจับจ้องจดจ่อกับภาพบนจอไม่วางตา เขาไม่ได้เข้าโรงหนังมาหาความสุขให้ตัวเองบ่อยนัก ผิดกับเจนแอนน์ผู้มีเวลาว่างและเงินทองเหลือเฟือที่เธอนำมาใช้ได้ตามแต่ใจต้องการ หนึ่งในไม่กี่สิ่งที่เรย์มอนด์ให้เธอได้ใช้อย่างอิสระ หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองคนที่นั่งถัดจากที่ว่างข้างเธอไปหนึ่งเก้าอี้บนชั้นบ็อกซ์ หากก็เป็นการเหลือบแลจดจ้องอย่างไม่มีพิรุธที่สุด ไม่เป็นไรเลยหากสายตาของเขาที่คอยเฝ้ามองเธออย่างหลงใหลจะไม่ได้จับจ้องมาที่เธอ หากดวงตาสีเขียวของเขาในยามนี้จะสะท้อนแต่ภาพขาวดำในจอ เพราะการได้เห็นวิลเลียมหัวเราะไปกับเรื่องราวประโลมใจในนั้น ยิ้มแย้มได้ท่ามกลางความโหดร้ายบนโลกนี้ ก็มีค่ามากเกินพอสำหรับเธอแล้ว
เจนแอนน์ไม่รู้หรอกว่าความสุขของเขาจะมีอะไรบ้าง แต่สำหรับเธอนั้น ทุกเช้าที่ได้ลืมตาตื่นมาดูวันใหม่อีกวัน การรู้ว่าจะได้เห็นหน้าวิลเลียม ได้มีความสุขกับเขารออยู่ แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยหรือธรรมดาสามัญเพียงไหน เท่านั้นก็เป็นยิ่งกว่าทุกอย่างที่เธอต้องการแล้ว
ในตอนนั้น เจนแอนน์สุขสมหวังกับคำภาวนาเรียบง่ายเช่นนั้น จนไม่ทันคิดว่ามันจะเป็นคำขอที่มากเกินไป และราคาที่ต้องแลกก็มากเกินกว่าที่เธอกับวิลเลียมจะจ่ายไหว
“แมรี พิคฟอร์ดน่ารักมากเลยนะคะ”
หญิงสาวเอ่ยขึ้นกับชายหนุ่มที่เพิ่งออกจากโรงหนังมาด้วยกัน วิลเลียมตัวสูงกว่าเธอค่อนข้างมาก ฉะนั้นเธอจึงต้องแหงนหน้ามองเขาบ่อยครั้งเมื่อยามจำนรรจากัน แต่เจนแอนน์ก็ชอบเวลาที่เขาก้มหน้ามองเธอ เหมือนที่เป็นอยู่นี้ ชายหนุ่มเอาสองมือไขว้หลัง ก้าวฝีเท้าในบู๊ตคู่เก่าที่ใส่จนส้นสึกเป็นจังหวะเดียวกับเธอในรองเท้ารัดส้นคู่งาม ราวกับคนสองคนที่รับฟังบทเพลงเดียวกัน เต้นรำพร้อมเพรียงกันโดยไม่ต้องประสานมือหรือเอื้อนเอ่ยคำบอกจังหวะใด แค่เพียงมองหน้าสบตาก็รับรู้ถึงกันได้ด้วยใจ
พฤติการณ์และการกระทำทั้งหมดทั้งปวงของเธอกับเขาต่อหน้าสาธารณชนช่างเรียบง่ายสามัญ ดั่งไม่มีอะไรเกินเลย
ทุกคนในละแวกรู้ว่าเจนแอนน์หันมาจ้างเด็กหนุ่มวิลเลียมทำสวน เพราะมือของเธอได้รับบาดแผลจากอุบัติเหตุระหว่างทำสวนจนพุ่มกอกุหลาบเสียหายยับเยิน น่าเสียดายเหลือเกิน! มันเป็นสวนกุหลาบที่สวยที่สุดที่ฉันเคยเห็น! ใครหลายคนต่างรำพึงรำพันอย่างนั้น เจนแอนน์จะเออออหรือแค่ยิ้มรับ ไม่อาจแพร่งพรายเรื่องราวเบื้องลึกกว่านั้นให้ใครฟังได้ แม้กระทั่งชายที่มาช่วยเธอทำแผลในคืนนั้นก็ตาม
เขาเป็นชายคนเดียวกับที่มาช่วยปลูกมันใหม่ ฟื้นฟูสวนของเธอให้กลับมางดงามอีกครั้ง ระหว่างที่เจนแอนน์จะนั่งดูเขาทำงานที่โต๊ะหินอ่อนหน้าบ้าน จากนั้นก็ชวนเขาพูดคุยหรือดื่มน้ำชา เหล่านั้นล้วนเป็นภาพชินตาและเป็นเรื่องปกติธรรมดา ด้วยทุกคนรู้ดีว่าเจนแอนน์ไม่เคยถือตัว ทั้งยังปรานี มีน้ำจิตน้ำใจ และเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่อยู่เสมอ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากมันจะหมายถึงไมตรีกับหนุ่มทำสวนอย่างวิลเลียม ผู้ก็เป็นที่สมัครรักใคร่เพราะความดีและถ่อมตัวเช่นกัน
และการที่คุณหญิงน้ำใจดีกับคนสวนนิสัยดีจะออกไปไหนมาไหนด้วยกัน หรือกระทั่งการมาดูหนังด้วยกันอย่างในคืนนี้ ก็ไม่ใช่สิ่งที่น่าคลางแคลงสำหรับผู้รู้จักและพบเห็น นางแมนน์สามารถหาข้ออ้างนานาอย่างไม่ให้มีพิรุธเคลือบแคลงในความสัมพันธ์ฉันนายจ้างลูกจ้างได้ ทุกคนต่างเชื่อโดยไม่มีข้อสงสัย คล้อยตามอย่างเข้าใจ
แม้ในใจเจนแอนน์จะเฝ้าหวังเหลือเกินว่าพวกเขาจะเข้าอกเข้าใจเธอกับวิลเลียมอย่างถ่องแท้ ว่าเธอกับเขามีความรักให้กันมากมายเพียงไหน เป็นความรักที่บริสุทธิ์และจริงใจ เธออยากเดินจับมือเขาอย่างคู่รักทั่วไป อยากให้เขาดึงเธอไปกอดรัดและจูบเธออย่างรักใคร่ต่อหน้าธารกำนัลหาใช่เพียงที่ลับตา
แต่เจนแอนน์จะไม่ร้องขอมากไปกว่านี้ อย่างน้อยก็ในตอนนี้ เพราะที่เป็นอยู่นี้ เธอก็ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่านี้แล้ว
“ผมคงโกหกถ้าจะบอกว่าเธอไม่น่ารัก แต่ผม...”
วิลเลียมหยุดพูดเมื่อชายหญิงชราที่เป็นคนแปลกหน้าเดินผ่านไป ชายหนุ่มถึงกับก้มหน้าลงตามความเคยชิน ขณะที่เจนแอนน์ก็ทำเหมือนเธอแค่เดินทอดน่องเรื่อยเฉื่อยไปกับเขา จนเมื่อวิลเลียมหันมองพวกเขาเดินจากไปและแน่ใจว่าพ้นระยะได้ยินแล้ว เขาก็ต่อประโยคที่ค้างไว้ให้จบว่า
“แต่ในสายตาผม คุณก็คือคนที่สวยที่สุดเสมอ”
แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่วิลเลียมเอ่ยชมเธอ แต่ทุกครั้งคราวที่ได้ฟัง เจนแอนน์ก็ยังรู้สึกถึงความร้อนที่ผิวแก้มกับหัวใจที่เต้นแรงได้เสมอ
นานมากแล้วที่เธอไม่ได้รับฟังถ้อยคำพวกนั้นจากปากคนที่ใจปรารถนา จากชายผู้เคยเป็นยอดรัก จากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี จนเมื่อได้รับฟังถ้อยคำเหล่านั้นอีกครั้งจากชายที่ชื่นชมเธอด้วยทั้งหัวใจ เขาก็กลายมาเป็นดวงใจของเธอเองในที่สุด
หากเรย์มอนด์คือผู้มอบความตายให้เธอ วิลเลียมก็เปรียบดังผู้หยิบยื่นชีวิตใหม่ให้
เจนแอนน์รู้ว่ามันจะน่าขายหน้า อาจดูไร้ยางอาย กระทั่งหวั่นว่ามันอาจดูไม่ดีแม้ในสายตาของวิลเลียมเอง แต่ในคืนที่แสนวิเศษเช่นนี้ ท่ามกลางอากาศอุ่นสบายกับสายลมอ่อนโยนที่พัดโพยมา ความงดงามจากธรรมชาติและคนข้างกายก็เป็นเหมือนแรงกระตุ้นอย่างดี เมื่อปุบปับเจนแอนน์ก็คว้ามือหนึ่งของวิลเลียมที่ไขว้หลังอยู่มาจับ พาเขาออกวิ่งไปยังตรอกที่อยู่ไม่ไกล ชายหนุ่มผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวไม่ทันได้เอ่ยถามอะไร เพราะพอเธอหยุดฝีเท้า คนที่ยืนหันหลังให้กับกำแพงก็ปล่อยมือ เขย่งตัวขึ้นให้ทัดเทียมกับเขาเพื่อจะเอามือทั้งคู่ไปประคองสองแก้มขาวซีด ก่อนฝากฝังจุมพิตสีแดงจากริมฝีปากบนใบหน้าขาวกระจ่างลงไป
วิลเลียมได้รับคำตอบจากคำถามที่ไม่ทันเอ่ยในพริบตานั้น และเขาก็ตอบรับอย่างไม่รีรอ หญิงสาวไม่จำเป็นต้องเขย่งฝีเท้าอีกต่อไป เมื่อแผ่นหลังในชุดกระโปรงชิ้นเดียวสีน้ำเงินถูกกดทาบลงไปกับกำแพงอิฐขาวเย็นเยียบ ความนุ่มนวลของเธอมากพอจะจุดไฟที่เป็นเพียงแค่ประกายให้ลุกโชนได้ จนโหมแรงเป็นจูบที่ผ่าวร้อน เขาดื่มด่ำอย่างร้อนรนหน่วงหนักราวกับกระหายมานานเนิ่น ไม่เพียงต้องการให้เธอรับรู้ถึงความปรารถนาที่กรุ่นอยู่เต็มอก แต่เพราะอยากให้หญิงที่รักได้ซับซาบถึงทุกความรักความลุ่มหลงที่เขามีต่อเธอ
ถ้าเพียงแต่วิลเลียมจะได้รู้ว่าทุกจูบที่เจนแอนน์มีกับเขาต่างหาก ที่ช่วยทำให้วิญญาณที่ตายไปของเธอกลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง
✚
‘ความหวังของดินแดนแห่งความฝัน ได้ชักจูงวิญญาณของเด็กน้อย
จากร่มเงาแห่งความตาย มาสู่ความเบิกบานของชีวิต’
- พัวร์ ลิตเติล ริช เกิร์ล
ถึงเจนแอนน์จะรู้อยู่แก่ใจว่าเรย์มอนด์ย่อมไม่มีทางไปเยี่ยมหานางเชลตัน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะมีความหวังเพียงน้อยนิดว่าสามีของเธอจะมีมนุษยธรรมสักนิด ในเมื่อเป็นเขาเองที่ส่งลูกชายของนางไปตาย ความผิดของเขาก็เทียมเท่ากับเธอ แต่เรย์มอนด์ก็ปฏิเสธ แม้เพื่อแสดงความเห็นใจที่มนุษย์พึงมีต่อกัน
“แต่ถ้าเธออยากไปก็เชิญเลย ไปแสดงความเห็นใจแม่ผู้ทุกข์โศกที่ต้องสูญเสียลูกชายไปเพราะ...สงคราม” เขาเน้นย้ำคำนั้นด้วยรอยยิ้มเหยียดหยัน
เรย์มอนด์พูดถูก วิลเลียมจากไปเพราะสงคราม แต่เป็นสงครามที่เขาเป็นคนก่อ
เจนแอนน์เดินไปตามท้องถนนในเวลาเจ็ดโมงเช้า ดวงหน้าขาวสวยก็ยังเปล่งประกายและเจิดจรัสไม่สร่างในสายตาผู้ที่ได้พบเห็น แต่หากมองลึกเข้าไปในดวงตาคู่นั้น พินิจให้นานอีกสักหน่อย จะเห็นว่าประกายในนั้นได้หม่นแสงลงไปแล้ว แม้หญิงสาวผู้ทุกข์ทนจะได้แต่คิดว่าเหตุใดมันจึงไม่ยอมดับไปเสียที ไม่ว่าจะด้วยฝีมือเรย์มอนด์ พระเป็นเจ้า หรือพวกเยอรมัน เพราะถึงตอนนั้น เธอก็คงจะได้พบกับวิลเลียมอีกครั้ง
แมรี เชลตันดูตกใจมากที่เห็นว่าใครมาเคาะประตูบ้านในเช้าวันนี้ นางรีบกระวีกระวาดเชื้อเชิญหญิงที่นางรู้แต่เพียงว่าเป็นภรรยาของนายทหารผู้เป็นหัวหน้าของลูกชายนาง ให้เข้ามานั่งรอที่โต๊ะในครัว น้ำชาที่นางกุลีกุจอยกมาให้หลังรินจากกาบนเตา มีกลิ่นเข้มมากทั้งที่ยังไม่ได้ยกขึ้นจ่อกับจมูก และเมื่อเจนแอนน์ดื่ม ก็ได้รสชาติขมปร่าจากกากชาที่ถูกทิ้งไว้มานาน แต่มันไม่ได้แย่เลยสักนิดเดียว
เพราะมันทำให้เธอนึกถึงชาถ้วยแรกที่วิลเลียมเคยเอามาให้เธอดื่มในบ้านหลังนี้ ยังโต๊ะตัวนี้
เจนแอนน์ต้องทำเป็นจดจ่อกับถ้วยกระเบื้องที่จรดขอบปาก เพื่อกั้นขวางน้ำตาที่ทำท่าจะไหลออกมา ขณะที่ก็สอดส่ายสายตาไปทั่วพื้นที่แคบนี้ แม้จะดูกว้างกว่าที่เห็นภายนอก กระนั้นมันก็เป็นบ้านที่เล็กมากอยู่ดี ไม่ต่างอะไรกับบ้านหลังเก่าของเจนแอนน์ที่เธอเคยแอบเรียกว่ารังหนู รังที่เรย์มอนด์พาเธอออกมาเพื่อนำไปขังไว้ในกรงอีกแห่ง บ้านของวิลเลียมมีพื้นที่แค่เพียงสี่ห้อง ห้องน้ำหนึ่ง ห้องนอนของวิลเลียมหนึ่ง ของแม่เขาอีกหนึ่ง ที่เหลือก็คือห้องรับแขกที่ควบรวมเป็นห้องครัวไปด้วย
มันแทบไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากครั้งสุดท้ายที่เธอจำได้ ถึงจะผ่านมานานหลายเดือนจนเหมือนเป็นนิรันดร์แล้วก็ตาม
บนโต๊ะอีกตัวที่มุมห้อง มีรูปถ่ายใส่กรอบรูปหนึ่งวางอยู่ มันเป็นรูปหมู่ของครอบครัวเชลตัน นางเชลตันยิ้มสดใสอยู่บนเก้าอี้ข้างหน้าในชุดตัวสวย เคียงไปกับนายเชลตันที่นั่งข้างกันในชุดเครื่องแบบทหาร ที่ยืนอยู่ด้านหลังพวกเขาก็คือเด็กหนุ่มสองคน คนหนึ่งอยู่ในชุดเครื่องแบบทหารเหมือนผู้เป็นพ่อ อีกคนก็คือวิลเลียมในชุดที่ดูเรียบร้อยสะอาดตา
เจนแอนน์ละสายตาจากรูปนั้นมาเป็นใบหน้าของแมรี เชลตันอยู่ครู่หนึ่ง น้องชายของวิลเลียมมีใบหน้าหล่อเหลางดงามเหมือนแม่ หากนางไม่ต้องอยู่อย่างอดอยาก หรือเป็นผู้ที่ต้องรับผลกระทบจากสงคราม ไฉนนางจะไม่เป็นหญิงวัยกลางคนที่หน้าตาสะสวยคนหนึ่ง เพราะแค่จากเค้าหน้าเผือดที่ไม่มีเครื่องสำอางแต่งแต้มแม้แต่ชิ้นเดียว เจนแอนน์ก็ยังรู้ว่าแท้จริงนางสวยแค่ไหนหากกระเทาะเปลือกที่หุ้มไว้ออกมาได้
ไม่ว่ามากน้อยเพียงไร แต่สงครามก็ทำร้ายทุกคน และครอบครัวเชลตันก็คือผู้โชคร้ายมหันต์
ลูกชายคนเล็กของบ้านเป็นคนแรกที่ต้องจากไป ตั้งแต่ออกรบในศึกแรกเมื่อสองปีก่อน ไม่นานจากนั้น ลูกชายคนโตก็ตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยเข้าสมัครเป็นทหาร ไม่เพียงเพื่อตามรอยพ่อ แต่เพื่อรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับน้องชายด้วย
‘ฉันจะปกป้องนาย’ คำสัญญาที่เขารักษาไว้ไม่ได้ ไม่ทันจะได้รักษา
เมื่อปกป้องน้องไม่ได้ วิลเลียมก็ให้คำมั่นว่าจะปกป้องพ่อและแม่อย่างดีที่สุด ทว่าในปี1916 เขากับพ่อถูกส่งไปรบที่การศึกใหญ่ในซอมม์ สมรภูมินองเลือดครั้งใหญ่ในหน้าประวัติศาสตร์ วิลเลียมผ่านศึกนั้นมาได้ แต่พ่อของเขาไม่รอด ครอบครัวเชลตันเหลือแค่เพียงสองคนแม่ลูก ระหว่างที่ได้พักรบ เด็กหนุ่มก็จะออกทำงานหาเงินเพื่อแบ่งเบาภาระของแม่ วิลเลียมมีความรู้ ไม่ใช่คนเขลาเบาปัญญา เขาฉลาดรอบรู้กว่าหญิงโง่อย่างเธอเป็นไหน เว้นแต่เขาไม่ได้มีโชคเหมือนเธอ
กระทั่งในวินาทีสุดท้ายของชีวิต วิลเลียมก็ยังเป็นชายที่โชคร้ายที่สุด
เจนแอนน์มองใบหน้าของชู้รักเธอเทียบกับบิดาของเขา หากวิลเลียมได้แก่ไปพร้อมเธอ เขาก็คงมีใบหน้าเช่นนี้ เขาไม่ได้หล่อเหลาแน่นอนเมื่อเทียบกับสามีเธอแม้จะอายุห่างกันเกือบเท่าตัว ขณะที่เรย์มอนด์มีผิวคล้ำอย่างคนสุขภาพดี ใบหน้าคร้ามเข้มองอาจ วิลเลียมก็มีผิวขาวซีด ใบหน้าอมทุกข์ประสาคนที่ต้องแบกรับเรื่องราวมากมายเอาไว้
เจนแอนน์ถึงได้มีความสุขที่สุดเมื่อเห็นเขายิ้ม เพราะเธอรู้ว่าเขามีความสุขได้
เช้าวันถัดมาหลังจากคืนที่เขาช่วยทำแผลให้ เจนแอนน์ก็มานั่งอ่านหนังสือในสวน รับฟังเสียงนกร้องเจื้อยแจ้ว อาบรับแสงแดดอุ่นอ่อนในยามสาย ก่อนเธอจะรีบผลุนผลันลุกจากเก้าอี้เพื่อร้องทักวิลเลียมที่เดินผ่านมาหน้าบ้าน พร้อมยกมือซ้ายที่มีผ้าพันแผลขึ้นโบก แต่อาจเพราะรัดไม่แน่นพอ เมื่อถูกสะบัดไหวมันก็หลุด ผ้าสีขาวตรงส่วนปลายพลิ้วไปเหมือนว่าวต้องลม เจนแอนน์เห็นก็นึกขันจนหัวเราะออกมา ขณะที่วิลเลียมวิ่งเหยาะมาหาเธอ และขออนุญาตพันมันใหม่ให้เธอด้วยรอยยิ้มกว้างและเสียงหัวเราะอารมณ์ดี ไพเราะกว่าเสียงนกที่แว่วขานมา
ตั้งแต่ได้เห็นใบหน้ายิ้มแย้มของเขาะขณะจับมือเธออย่างอ่อนโยนเพื่อพันแผลให้อย่างนุ่มนวลที่สุด เจนแอนน์ก็มีชายหนุ่มผู้แสนธรรมดาอย่างวิลเลียม เชลตัน แทรกซึมเข้ามาครอบครองพื้นที่หนึ่งในใจ และบางทีเธอเองก็อาจรู้อยู่เต็มอกนับจากวินาทีนั้นแล้ว ว่าเขาจะเข้ามาเป็นคนพิเศษในใจเธอได้
เหตุใดวิลเลียมจึงต้องเป็นผู้รับเคราะห์ ทำไมไม่เป็นเธอ ทำไมไม่ให้เธอจากไป ให้วิลเลียมได้กลับมาอยู่กับแม่ของเขา เธอยอมแลกทุกอย่างเพื่อให้เป็นอย่างนั้น เรย์มอนด์จะทำอะไรพวกเธอไม่ได้อีก แต่ไม่เลย เรย์มอนด์ได้ทำลงไปแล้ว อย่างร้ายแรงและสาหัสสากรรจ์เท่าที่อำนาจของมนุษย์คนหนึ่งจะทำได้ โดยที่มือสกปรกของเขาไม่ต้องเปื้อนเลือดเลยด้วยซ้ำ เขาอาจไม่รู้สึกผิด เพราะเขาไม่ได้เป็นผู้ลงมือกระทำเอง แต่เจนแอนน์จะคาดหวังอะไรจากสามีของเธอได้อีกงั้นหรือ กระทั่งยามที่เขาลงไม้ลงมือกับเธอจนเลือดตกยางออก เขาก็ยังไม่รู้สึกผิดแม้แต่นิด กลับเป็นเธอที่ต้องถามตัวเองอยู่ทุกครั้งคราวว่าตนทำผิดอะไร จึงต้องประสบพบกับคนรักที่โหดร้ายเช่นนี้
“อยากไปดูห้องของวิลมั้ยคะ”
แมรีเอ่ยถามขึ้นระหว่างที่ความคิดคำนึงของเจนแอนน์ลอยล่องไปถึงลูกชายของนาง ชายที่พวกเธอทั้งคู่รัก แน่นอนว่ามันเป็นคำถามที่เจนแอนน์จะไม่ปฏิเสธ แม้นางเชลตันจะไม่ได้ล่วงรู้เหตุผลแท้จริงในใจเธอก็ตาม แมรีพาเธอไปยังหน้าห้องที่ประตูบานไม้ปิดสนิท ห้องนอนของนางอยู่ด้านในสุด คั่นกลางด้วยห้องน้ำที่อยู่ระหว่างห้องของนางกับลูกชาย จากนั้นก็เปิดมันออกให้เธอได้ยลอีกครั้ง ในเนิ่นนานจนเจนแอนน์เกือบเข้าใจว่าเป็นชั่วกัลป์
แสงแดดอ่อนโยนในยามเช้าสาดส่องเข้ามาผ่านม่านขาวที่ถูกรวบไปไว้ด้านหนึ่ง ไม่มีกลิ่นอับ ไม่มีฝุ่นจับ ไม่มีหยากไย่ มันสะอาดเอี่ยมและมีกลิ่นหอมอ่อนจางของดอกกุหลาบที่ปักอยู่ในแจกันข้างเตียงนอน เจนแอนน์รับรู้ได้ว่านางเชลตันยังเข้ามาทำความสะอาดมันทุกวัน เตียงนอนเรียบสนิท ผ้าห่มปูตึงพร้อมให้เจ้าของสอดตัวเข้าไปนอนได้อย่างอุ่นสบาย ราวกับนางคิดว่าวันใดวันหนึ่ง วิลเลียมจะมาเคาะประตูบ้าน กอดนาง บอกนางว่าเขากลับมาแล้ว และให้นางจูบหน้าผากบอกราตรีสวัสดิ์ก่อนเข้านอน นางยังกล้าที่จะมีความหวังเช่นนั้น ความหวังที่เจนแอนน์ไม่กล้าแม้จะคิดฝัน
หญิงสาวเดินไปยังโต๊ะเขียนหนังสือในมุมหนึ่งของห้องที่เล็กมากนี้ สูจิบัตรหนังเรื่อง ‘อะ พัวร์ ลิตเติล ริช เกิร์ล’ (เด็กสาวผู้ร่ำรวยแต่ไม่มีความสุข) วางอยู่บนนั้น มันยับยู่ยี่เพราะวิลเลียมพับมันใส่ในกระเป๋าเสื้อโค้ตสีเขียวแก่ตอนเข้าไปในโรงหนัง ใต้ชื่อเรื่องที่เป็นตัวอักษรขนาดใหญ่ มีข้อความเล่นคำตัวเล็กที่เขียนด้วยหมึกดำอย่างบรรจงตวัดอยู่ใต้นั้น ‘และเด็กหนุ่มผู้ขัดสนแต่แสนสุขของเธอ’ มันเป็นลายมือของเธอเอง
เจนแอนน์แทบจะลืมเลือนมันไปแล้ว แต่เธอไม่คิดว่าวิลเลียมจะยังเก็บมันไว้อย่างดีเหมือนเป็นสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่ง
ทว่าเจนแอนน์มีอะไรจากเขาให้รักษาไว้งั้นหรือ จดหมายนับสิบฉบับที่เขาเคยเขียนรำพึงรำพันให้เธอ จดหมายที่เจนแอนน์จะเอาออกมาอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกค่ำคืน จรดจารึกทุกถ้อยคำในนั้นไว้แนบอก และเอากลับไปเก็บในลิ้นชักที่เธอซ่อนกุญแจไว้ในโถใส่น้ำตาล เรย์มอนด์ไม่เคยสนใจยุ่มย่ามก้าวก่ายกับข้าวของส่วนตัวของเธอ กระทั่งในคืนที่เขากลับมาจากสนามรบครั้งล่าสุด สามีเธอโยนโถใส่น้ำตาลทิ้งจนแตกกระจาย หยิบกุญแจสีเงินที่เป็นประกายอยู่ในเกล็ดขาวไปไขลิ้นชักตู้ไม้ เพื่อเอาจดหมายทุกฉบับออกมาโยนใส่หน้าเธอ ตบหน้าเธอ ฉีกทึ้งมันเสมือนฉีกทึ้งหัวใจเธอ ก่อนโยนมันใส่เตาผิงที่ไฟลุกโพลงจนไม่เหลือแม้เศษซาก เจนแอนน์ร้องไห้ทั้งคืนจนไม่เหลือเรี่ยวแรงหรือน้ำตาที่จะขับเร้นได้อีก
เธอไม่มีอะไรจากวิลเลียมหลงเหลือกับตัวอีกแม้แต่ชิ้นเดียว กระทั่งทุกสัมผัสจากเขาก็หาได้ยืนยั่งชั่วนิรันดร์ และเธอก็ไม่อาจนำอะไรกลับไปด้วยได้ เพียงเพื่อจะถูกเรย์มอนด์ทำลายอีกครั้ง ไม่มีความลับระหว่างเธอกับเรย์มอนด์อีกต่อไป แม้กระทั่งความรักที่ควรจะเป็นความลับของเธอกับวิลเลียม
ความรู้สึกอัดอั้นตันอยู่เต็มอก จนเจนแอนน์ต้องผลุนผลันออกไปจากห้องยังความประหลาดใจของแมรี เพื่อมานั่งสงบใจที่เก้าอี้ตัวเดิมในครัว หากก็เหมือนกับความทรงจำที่ถูกปลุกขึ้น มันยากที่จะกลับไปหลับใหลได้อีกครั้ง หญิงสาวหวนนึกถึงคราหนึ่ง ภายในห้องนี้ ที่โต๊ะตัวนี้ บนเก้าอี้ตัวนี้ ท่ามกลางแสงแดดในยามเช้าตรู่ ท่ามกลางไออุ่นของอรุณรุ่งที่โอบกอด มีกลุ่มควันอุ่นร้อนพวยพุ่งจากแก้วชากระเบื้อง และเธอกับวิลเลียมที่พูดคุยหัวเราะกันด้วยเรื่องที่อบอุ่นเสียจนไม่มีสิ่งใดบนโลกทำให้หนาวเหน็บได้
แต่เมื่อรู้ว่ามันจะไม่มีวันหวนคืนมาอีก ความทรงจำนั้นก็กลับหนาวเหน็บจนกรีดแทงเธออย่างเหี้ยมโหดได้
และโดยไม่อาจยับยั้งได้กับความทรงจำหนึ่งที่งดงามที่สุดในชีวิต เจนแอนน์ก็ไม่อาจหยุดยั้งความรู้สึกของเธอได้อีก ทันใดที่น้ำตาเม็ดเล็กซึ่งทนกลั้นไว้ร่วงเผาะลงมา ก็ไม่มีสิ่งใดกีดกันกั้นขวางได้อีก เธอซบใบหน้าลงกับฝ่ามือ ฝ่ามือที่เจนแอนน์หวังเหลือเกินว่าจะยังมีบาดแผลจากหนามกุหลาบในคืนนั้นอยู่ หลงเหลือไว้เป็นอนุสรณ์ว่าครั้งหนึ่งเคยมีช่วงเวลาที่เธอได้พูดกับวิลเลียมเป็นครั้งแรก ได้สานสัมพันธ์กับเขาเป็นครั้งแรก ได้รับรู้ถึงความงดงามของเขาเป็นครั้งแรก
ทว่าไม่มี มันหายสนิท เหมือนเรื่องราวในวันนั้นไม่เคยเกิดขึ้น ดั่งทุกอย่างในคืนนั้นเป็นเพียงฝันไป เพราะเป็นฝัน อย่างไรก็ต้องลืมตาตื่น และยิ่งฝันดีมากเท่าไหร่ ความจริงที่ต้องเผชิญเมื่อยามตื่นก็ยิ่งโหดร้ายมากเท่านั้น
ขณะที่เธอซุกหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาอย่างไม่อาจระงับ แมรีที่เพิ่งออกมาจากห้องของลูกชายก็รีบตรงเข้ามาหาเด็กสาวด้วยความตกใจ หากก็ไม่ได้เอื้อนเอ่ยคำถามใด นางเพียงร้องไห้ออกมาเป็นเพื่อนเธอ และโอบเธอไว้ด้วยอ้อมกอดอบอุ่นที่เจนแอนน์ไม่ได้รับมาแสนนานนับตั้งแต่ลูกชายนางจากไป แม้แมรีจะไม่รู้เลยว่าหญิงผู้สูงศักดิ์ตรงหน้าร่ำไห้ด้วยเหตุผลกลใด เพราะเห็นใจหญิงม่ายผู้สูญเสีย หรือเห็นใจลูกชายนางที่ต้องจากไปทั้งที่อายุยังน้อย แต่นางรับรู้ได้ถึงความเศร้าโศกของเด็กหญิงคนนี้ และนางหวังว่าจะช่วยแบ่งเบาความทุกข์โศกของเธอได้
แมรีไม่อาจรับรู้ได้เลยว่าเจนแอนน์อยากคุกเข่าจรดศีรษะต่ำต้อยของเธอลงแทบเท้านาง หญิงที่สูงค่ากว่าเธอ หญิงที่ต้องทนอยู่ต่อไปแม้จะสูญเสียชายสามคนที่รัก หญิงที่ให้กำเนิดชายที่เธอรัก หญิงที่เจนแอนน์เฝ้าหวังถึงการอภัยจากก้นบึ้งของหัวใจ ขณะสารภาพทุกอย่างกับนางว่า
“เป็นความผิดของฉันเอง ฉันทำให้วิลเลียมต้องตายเอง ฉันมีความสัมพันธ์กับลูกชายคุณ สามีฉันถึงส่งลูกชายคุณไปตาย และฉันขอโทษ ขอโทษที่ทำอะไรเพื่อลูกชายคุณไม่ได้เลย แม้แต่การร้องไห้และบอกทุกคนว่าฉันร้องไห้ให้เขา คนที่ฉันรักที่สุด คนเดียวที่ฉันมอบหัวใจให้ คนที่ทำให้ฉันมีความสุขได้อีกครั้ง”
ทว่าเจนแอนน์ก็ได้แต่เก็บทุกถ้อยคำนั้นไว้ในใจ เพราะเธอเห็นแก่ตัว หวาดกลัวว่าอ้อมกอดที่ได้รับอยู่นี้จะจากไปไม่หวนคืน เหมือนกับเขา
แม้หญิงสาวผู้ทุกข์โศกจะได้รับรู้ไปจนถึงขั้วหัวใจแล้วว่าเธอไม่มีวันจะมีความสุขได้อีก เพราะความสุขเดียวของเธอได้ถูกปลิดกระชากไปจากมือแล้วตลอดกาล แต่มันก็ไม่โหดร้ายเท่ากับที่เธอได้ตระหนักเข้าใจอย่างชัดแจ้ง ว่าวิลเลียมต่างหากที่ไม่มีวันจะมีความสุขได้อีก เพราะการพบเธอ เพราะการรักเธอ มันไม่ใช่ความผิดของเขา มันเป็นความผิดของเธอที่ไม่หยุดยั้งความรู้สึกของเขา ไม่ยับยั้งความรู้สึกของตัวเอง
เพื่อความสุขเพียงชั่วครู่ยาม ที่เรย์มอนด์ทำให้แน่ใจแล้วว่าพวกเขาต้องชดใช้ด้วยทั้งชีวิต
สำหรับวิลเลียม...มันคือชีวิตที่ต้องเสียไป
แต่สำหรับเจนแอนน์...มันคือชีวิตที่ยังเหลืออยู่
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
- เรื่องนี้เราต้องย้อนไปในปี1917 และฉากในโรงหนังก็ต้องมี แต่หนังเก่าสุดที่เราเคยดูคือหนังปี1927! ทีนี้ทำไง ต้องย้อนหลังไปอีกสิบปีเลยนะเฮ้ย! เราเลยไปหาข้อมูลและเจอว่าปีนั้นหนังเรื่อง Poor Little Rich Girl ออกฉาย พอดูจนจบก็ได้ประโยคทั้งสามมาใส่ในตอนต้นของแต่ละฉากด้วย ที่จริงเราแต่งทั้งสามฉากนี้ทิ้งไว้หมดแล้ว แต่สามประโยคนี้ก็บังเอิญพอดีเป๊ะจนต้องยอม เพลงประกอบในตอนก็เป็นอะไรที่เราภูมิใจมาก เราเพิ่งมาเป็นแฟนคลับคุณทอมัส นิวแมน ตอนเค้าทำสกอร์ให้เรื่อง 1917 และแค่ฟังเพลงนี้ได้ไม่กี่วินาทีก็รู้ว่าต้องเอามาลงในเรื่องนี้แน่นอน ถ้าเพลง Sixteen Hundred Men ในตอนที่หนึ่งคือเพลงที่เรารักเป็นอันดับหนึ่ง เราก็พูดได้เต็มปากว่าเพลง Road To Perdition นี้ คือเพลงที่เรารักเป็นอันดับสอง (คำว่า road to perdition ที่เราใช้ในคำโปรย ก็เอามาจากชื่อหนังเรื่องนี้แหละ ฮ่าฮ่า)
- อย่างที่ได้เคยบอกไปว่าเรื่องนี้น้ำเน่า แต่พูดแบบไม่ตลกนะ อยากให้คิดว่าสมมติเราอยู่ในยุคสงคราม แน่นอนว่าชีวิตก็ต้องหดหู่ในระดับหนึ่ง แล้วเจนแอนน์ก็ถูกสามีทารุณ ส่วนวิลเลียมก็สูญเสียพ่อกับน้องไป พอสองคนนี้ได้มาเจอกันก็เหมือนแสงสว่างของกันและกัน ทีนี้วันหนึ่งพอต้องสูญเสียกันไปอีก มันก็เลยเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับคนทั้งคู่ เราสนุกมากนะกับการได้บรรยายความรู้สึกของเจนแอนน์ในทั้งตอนนี้
ความคิดเห็น