คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : II - The Morning After
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
จิมกับเอดีนาออกจากบ้านตั้งแต่ท้องฟ้ายังไม่สว่างดี นาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังบอกเวลาหกโมงเช้าตอนที่เธอกับเขาออกมาจากบ้าน แน่นอนว่าร้านขายยาที่ไกลที่สุดในระยะที่คนทั้งคู่ไปได้จะยังปิดอยู่เมื่อพวกเขาไปถึง จิมเลยขับรถเปิดประทุนสีเขียวเข้มที่เหมือนน้ำทะเลในบางเวลาแล่นเลียบไปตามคาบสมุทร เอดีนาไม่เคยนั่งรถรับลมแต่เช้ามาก่อน แต่เธอก็ชอบการเดินเล่นในตอนเช้าตรู่ โมงยามที่เหมือนโลกเพิ่งตื่นจากการหลับใหล เธอชอบช่วงเวลาแบบนั้น—เธอ ‘รัก’ ความรู้สึกนั้น จิมเองก็ไม่ได้นั่งรถรับลมตอนเช้าแบบนี้มานานมากแล้ว ตั้งแต่พ่อยังไม่หย่ากับแม่ และในตอนนี้ที่เขาได้เป็นคนขับมันไปกับผู้หญิงที่ทำให้เขารู้สึกดี มันก็เป็นความรู้สึกที่...‘วิเศษ’
แม้พวกเขาจะไม่ควรรู้สึกอย่างนั้นเลยก็ตาม
เมื่อนึกถึงว่าเมื่อคืนพวกเขามีเซ็กซ์กันโดยไม่ได้ป้องกัน
ทุกอย่างเริ่มต้นจากจูบ แค่ริมฝีปากที่แตะกัน เอดีนาอายจนหน้าแดงตอนที่จิมผละออกหลังจากความพยายามอย่างเงอะงะของเธอที่จะตอบรับริมฝีปากของเขา เธอพึมพำคำขอโทษออกมาเร็วรี่จนเหมือนเสียงผึ้งบินหึ่ง กังวลว่าความอ่อนหัดของตนจะทำให้เขาหมดอารมณ์ มันนานมากแล้วที่เอดีนาได้จูบกับใครอีกครั้ง ที่จริงต้องบอกว่ามันเป็นจูบแรก...ครั้งเดียว...กับคนคนเดียว และตอนนั้นเธอก็เมาจนจำอะไรแทบไม่ได้—แม้เอดีนาจะไม่อยากจดจำมันด้วยก็ตาม ผิดกับจิมที่ผ่านเรื่องนี้มามาก มันเป็นวิธีหนึ่งในการปลดปล่อยความเครียดของเขานับตั้งแต่สูญเสียคนที่เข้าใจที่สุดไป ทว่าน่าเศร้าที่อาจเป็นเพราะอย่างนั้น เซ็กซ์ของเขาถึงไม่เคยมีจิตวิญญาณเข้ามาข้องเกี่ยวอีก เขาไม่ผูกพันกับคู่นอนคนไหน ไม่ได้มีความรู้สึกลึกซึ้งมากกว่าทางกายกับใคร เพราะทุกครั้งที่นอนกับใครก็ตาม...มันจะเป็นทุกครั้งที่เขาตกอยู่ใต้อิทธิพลของยา
จิมยิ้มออกมาเมื่อได้ฟังคำของเธอ เขาพึมพำบอกคนข้างล่างขณะทาบทับริมฝีปากกับเธออีกครั้งอย่างจะปลอบโยนว่า “ไม่เป็นไร ไม่ใช่เรื่องที่ต้องขอโทษหรือรู้สึกแย่กับมัน แค่ปล่อยให้มันเป็นไป...แค่เชื่อใจฉัน” และเอดีนาเชื่อฟังถ้อยประโยคที่เปรียบเหมือนวจีศักดิ์สิทธิ์สำหรับเธอ เธอปล่อยให้มันเป็นไป ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับเขา ไม่ว่าจิมจะพาเธอไปที่ไหนก็ตาม—เพราะเอดีนารู้ว่าเธอจะไม่ต้องไปเพียงลำพัง
ทว่าการเดินทางของพวกเขาจำต้องหยุดชะงักเมื่อไปถึงครึ่งทาง จิมกลับมาจากห้องของเขา บอกเธอว่าเขาไม่เหลือถุงยางอนามัยแม้แต่ชิ้นเดียว และมันก็น่าจะหยุดแค่นั้น แต่เอดีนาไม่ต้องการแบบนั้น เธอสลัดความละอายทิ้งไปด้วยการบอกเขาอย่างกล้าหาญ อาจบ้าบิ่น ว่าคืนนี้เธอต้องการจะเป็นของเขา จิมรู้ว่าเขาก็ปรารถนาในสิ่งเดียวกัน แต่เขาก็ถามย้ำเธอจนมั่นใจ...อาจรวมถึงตัวเองด้วย เพราะเขาก็ไม่เคยนอนกับใครโดยไม่ป้องกันมาก่อน—แต่เขาคิดว่ายินดีจะลองเสี่ยงมันกับเอดีนา
เสียงทะเลาะกันของแกลดิสกับบิลลีหยุดลงแล้ว ดังนั้นพวกเขาทั้งคู่จึงต้องพยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่ส่งเสียงดังออกไป เมื่อไหร่ที่รู้สึกเหมือนจะเป็นแบบนั้น พวกเขาก็จะฝังใบหน้าลงกับร่างของอีกฝ่าย กดริมฝีปากแนบเพื่อไม่ให้เสียงในคอเล็ดลอดมากไปกว่าแค่แผ่วผิว และในตอนที่เอดีนาบอกว่าเจ็บ จิมก็จูบเธออย่างอ่อนโยนที่สุด รอจนเธอพร้อม เขาทำมันอย่างใจเย็น ไม่เร่งรัด ไม่รุกเร้า และไม่เห็นแก่ตัวเองฝ่ายเดียว เอดีนาเองก็พยายามเรียนรู้จากเขา ตอบสนองเขาอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ มันอาจเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเธอ เป็นประสบการณ์พิเศษที่เธอรู้ว่าตัวเองจะไม่มีวันลืม แต่เอดีนาก็ไม่อยากให้เซ็กซ์ครั้งแรกของเธอต้องกลายเป็นประสบการณ์ยอดแย่ครั้งหนึ่งของจิม
เสียงของพวกเขาแผ่วเบา การเคลื่อนไหวเชื่องช้าแต่ทุกจังหวะมีความหมาย
ทุกอย่างราวกับเป็นความลับ...ในดินแดนเร้นลับที่ต้อนรับเพียงกันและกันเท่านั้น
จิมจอดรถที่มุมหนึ่งของริมหาดปลอดคนแห่งหนึ่ง เธอกับเขานั่งเอนหลังพิงเบาะ กุมมือกันวางไว้บนตักของเด็กหนุ่ม เหม่อมองท้องฟ้าไพศาลกับเวิ้งน้ำกว้างใหญ่ รับฟังเสียงเกลียวคลื่นม้วนตัวซัดสาดเหมือนเป็นเสียงเอเอสเอ็มอาร์ ความคิดมากมายอัดแน่นอยู่เต็มหัว ความรู้สึกหลายหลากท่วมท้นอยู่เต็มอก เป็นดั่งช่วงเวลาชำระล้างที่สงบเงียบ หากเธอกับเขานึกอยากพูดอะไรก็จะสนทนาด้วยการจูบ เมื่อต่างก็คิดต้องตรงกันว่ายามนี้พวกเขาไม่จำเป็นต้องสื่อสารกันด้วยถ้อยคำ
ร้านขายยาเปิดแล้วในตอนแปดโมงยี่สิบห้านาทีที่จิมขับไปถึง เอดีนาถูกเภสัชกรหญิงวัยกลางคนท่าทางดุปนเฮี้ยบซักอยู่หลายคำถามตอนเธอบอกว่าขอซื้อยาคุมฉุกเฉิน หล่อนบ่นไปด้วยอบรมไปด้วยว่าพวกเขาควรจะรู้จักป้องกัน จะได้ปลอดภัยจากโรค หลีกเลี่ยงการท้องไม่พึงประสงค์ เอดีนากับจิมได้แต่ก้มหน้างุด บอกว่าพวกเขาเข้าใจดีและสำนึกผิดอย่างสุดซึ้ง “แต่หลังจากนั้น เขาก็ให้หนูเข้าห้องน้ำทันทีนะคะ เขาบอกว่า...มันช่วยป้องกันโรค...เอ่อ ยูทีไอ[1]ได้” ทั้งคู่ออกจากร้านมาพร้อมกับยาคุมฉุกเฉินที่เอดีนากินมันทันทีเมื่อขึ้นมาบนรถ ก่อนกรอกน้ำเปล่าตามไปเพื่อให้กลืนได้ง่าย จิมที่ขึ้นรถตามมาโยนถุงยางสามกล่องที่ซื้อมาด้วยลงไปในที่วางของหน้ารถ
“เธอรู้ใช่มั้ยว่าไม่จำเป็นต้องบอกเขาเรื่องยูทีไอก็ได้ มันน่าอายออก” เขาอดหัวเราะเขินไปด้วยไม่ได้ ขณะหันไปบอกคนที่แหงนหน้ากลืนน้ำกับเม็ดยาลงคอ
“นายก็รู้ใช่มั้ยว่ามันไม่น่าอายเลยสักนิด” เอดีนาที่ไม่มีอะไรเหลืออยู่ในปากแล้วหันไปหาเด็กหนุ่มหลังพวงมาลัยรถ เธออมยิ้ม “ขนาดคนขายยายังชมที่นายทำแบบนั้นเลย แล้วฉันก็คิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่ารักมาก ถึงฉันจะไม่เคยนอนกับใครมาก่อน แต่ฉันก็ไม่คิดว่าผู้ชายที่ใส่ใจกับเรื่องแบบนี้จะหาได้ทั่วไปนะ”
“ก็จริง เรื่องนั้นฉันคงต้องบอกว่าเห็นด้วย” จิมยักไหล่ ตอบรับหน้าตายอย่างน่าหมั่นไส้ ก่อนไม่กี่วินาทีถัดมา พวกเขาก็จะประสานเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกัน
—ด้วยความรู้สึกดีจากใจจริงที่ต่างก็ไม่ได้แบ่งปันร่วมกับใครมานานมากแล้ว
❥
ท้องฟ้ายามเย็นวันนี้ก็ยังคงเหมือนเดิม เป็นสีส้มงดงามเหมือนภาพวาดสีน้ำมันของดวงตะวันที่กำลังจะลาลับฟ้า หลังจากจิมกับเธอทานมื้อเช้าในคาเฟ่บรรยากาศดีที่มีอาหารอร่อย เอดีนาก็งีบหลับไปทันทีที่กลับถึงบ้าน เมื่อตื่นขึ้นตอนบ่ายโมงกว่าก็พบว่าไม่มีใครอยู่ในบ้านแล้ว ทั้งพ่อ แกลดิส และจิม มันก็น่าจะเป็นแค่อีกหนึ่งวันอาทิตย์ธรรมดาของเธอ ทุกอย่างไม่ได้ผิดแผก แต่เอดีนารู้แก่ใจว่ามันมีบางอย่างที่แตกต่าง เรื่องหนึ่งที่แน่นอนก็คือตัวเธอเองที่กำลังเปลี่ยนแปลง...และความสัมพันธ์ของเธอกับจิมที่ไม่มีวันย้อนกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีก
มันอาจจะยังไม่ใช่ความรัก แต่เธอก็มั่นใจว่าไม่ใช่แค่เพียงความหลง เธอรู้สึกดีกับเขา—และรู้ว่าเขาก็รู้สึกดีกับเธอ
ครั้นหวนนึกถึงบทสนทนาที่เธอกับเขามีกันเมื่อคืนนี้ เอดีนาก็หวังว่าสักวันหนึ่งจิมจะเปิดใจกับเธอได้มากกว่านั้น
“มานั่งตรงนี้อีกแล้ว”
กระทั่งคนที่มัวแต่มองเหม่อไปเรื่อย ไม่ได้จับจดกับอะไร ความคิดจิตใจล่องลอยไปอยู่ที่อื่น จะถูกดึงกลับมายังชายหาดอีกครั้งพร้อมกับคนทักที่นั่งลงข้างเธอ จิมเอามือทั้งสองข้างวางบนพื้นทรายด้านหลังเป็นอิริยาบถเดียวกับคนข้างกาย ท่าทางผ่อนคลาย ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับสายลมอบอุ่นและทะเลยามเย็น เขาเพิ่งกลับจากไปเที่ยวกับพวกของเฮเตอร์ พอกลับบ้านมาแล้วไม่เห็นเอดีนาก็รู้ได้ทันทีว่าเธอจะอยู่ที่ไหน
“ไม่ต้องมาทำเป็นรู้ดีเลย” เธอย้อนกลับไปอย่างอารมณ์ดี แค่ได้เห็นหน้าเขาก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาทันใด เพราะมันคือสิ่งที่จิมเป็น—ทำให้คนอื่นรู้สึกดีเสมอ
จิมยิ้มกลับไปให้เธอ รอยยิ้มของเขาเป็นประกายกว่าผืนน้ำที่เธอเคยมองทุกเย็น จนแม้เขาจะหันไปข้างหน้าแล้ว เอดีนาก็ยังชันเข่า กอดขา พิงหัวกับท่อนขาของตัวเอง จับจ้องเสี้ยวหน้าด้านข้างที่เธอมองได้ไม่เบื่อ จิมรู้ถึงสายตาคู่นั้นที่ในทีแรกเขาก็พยายามจะทำเฉย แต่ที่สุดก็ทนฝืนไม่อยู่จนต้องหันมาหาเจ้าของสายตา และหัวเราะออกมาเมื่อได้เห็นนัยน์ตาที่เป็นประกายและรอยยิ้มกว้างของเธอ ใบหน้าที่มีความสุขเต็มเปี่ยม เป็นครั้งแรกที่เอดีนามีเพื่อนร่วมทางในช่วงเวลาโดดเดี่ยวริมน้ำ และเธอดีใจที่ใครคนนั้นเป็นคนที่เธอรู้สึกดี...โดยไม่รู้เลยว่ามันก็มากพอจะทำให้เขารู้สึกดีตามไปด้วย
เด็กหนุ่มล้วงไอโฟนจากหลังกระเป๋ากางเกงยีนส์ของเขาขึ้นมา หูฟังอินเอียร์สีขาวที่ถูกม้วนพันไว้รอบมันยังเสียบคาอยู่ เอดีนาเห็นเขาปาดป่ายหน้าจออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนยื่นหูฟังข้างหนึ่งให้เธอรับไปสอดในหูเหมือนเขา
“เคยฟังเพลงนี้มั้ย”
เอดีนาส่ายหน้าเมื่อได้รับฟังทำนองแรกเริ่มที่ไม่คุ้นหู
“ลองฟังดูนะ”
เธอพยักหน้ารับ ทั้งที่เขาไม่จำเป็นต้องพูดแบบนั้นเลย เพราะอย่างไรเธอก็จะฟัง—และจะตั้งใจฟังด้วย เมื่อมันเป็นสิ่งที่เขาแนะนำ สิ่งที่จะทำให้เธอได้เข้าใกล้ความคิดของเขาเพิ่มขึ้นอีกนิด
“ฉันรอบางสิ่ง แต่บางสิ่งนั้นก็ตายไปแล้ว ฉันเลยไม่รออะไร แล้วสิ่งที่ไม่มีอะไรนั้นก็มาถึง” จิมร้องเพลงท่อนนี้ให้เธอฟังเมื่อมันเริ่ม ก่อนถามว่า “เธอคิดยังไงกับเนื้อเพลง”
“ก่อนอื่นนะ นายร้องเพลงเพราะมาก” จิมหัวเราะร่วนไปกับคำชมของเธอ “อืม เหมือนกับเป็นเพลงที่แทรกปรัชญา...หรือเปล่านะ” เอดีนาขมวดคิ้วทำหน้าครุ่นคิดยามขึ้นเสียงสูงในตอนท้าย “สิ่งที่เรารออาจไม่มาถึง เพราะฉะนั้นก็ไม่ควรรออะไร...อย่างนั้นหรือเปล่า”
“อย่าทำเป็นประโยคคำถามสิ” จิมยู่หน้า ยิ้มขำ “การตีความไม่มีผิดถูกหรอก แต่ที่เธอพูดมันก็ถูกเป๊ะเลยล่ะ ฉันเคยอ่านเจอที่คนแต่งเพลงนี้พูดถึงเพลงนี้ว่า คนเราต่างก็พยายามมองหาความสุขผิวเผินไม่หยุดหย่อน จนสุดท้ายก็ต้องโดดเดี่ยวและจมอยู่กับความเสียดาย ทั้งที่ควรจะมีความสุขกับเรื่องราวรอบตัวและผู้คนรอบข้าง เพราะอย่างนั้นเราถึงไม่ควรรอคอยหรือคาดหวังกับอะไร แค่มีความสุขกับสิ่งที่มี”
ยิ่งได้เข้าใจความหมายของมัน ก็ทำให้เอดีนายิ่งประทับใจกับเพลงที่เธอรู้ว่าจากนี้มันจะกลายเป็นหนึ่งในเพลงโปรดของเธอ เหมือนที่มันทำให้เธอประทับใจในตัวจิมได้ไม่ต่างกัน ไม่ว่าจะเพราะคำพูด ความรอบรู้ หรือความใส่ใจของเขา
เอดีนาคิดว่าเธอเองก็เชื่อมโยงกับบทเพลงนี้ได้ เธอพยายามจะมีความสุขกับเรื่องราวเล็กน้อยรอบตัวมาตลอด และเธอมั่นใจว่ามันเป็นสิ่งหนึ่งที่ตัวเองทำได้ดีเยี่ยม—ตั้งแต่ยังอยู่มินนีแอโพลิส เธอรับมือกับชีวิตที่ปราศจากเพื่อนในรั้วโรงเรียนได้ด้วยการทำนิ่งเฉย ตราบที่พวกเขาไม่มาวุ่นวายกับเธอ รับมือกับชีวิตที่มักจะถูกพ่อทิ้งให้อยู่คนเดียวได้ แม้บางครั้งก็อยากใช้เวลาด้วยกัน อยากพูดคุยกันมากกว่าแค่ถามไถ่ทั่วไป แต่เธอก็รู้ว่าพ่องานยุ่งมาก เขามีชีวิตส่วนตัวเป็นของตัวเอง และยอมรับโดยไม่ปริปากเมื่อพ่อบอกว่าจะย้ายมาอยู่ที่พาโลส เวอร์เดส ทั้งที่พ่อไม่เคยแม้แต่จะเปิดปากถามเธอว่าคิดยังไงกับบ้านเก่า ดังนั้นก็ใช่ว่าเอดีนาจะไม่คาดหวังชีวิตที่ดีกว่าเดิม แม้ชีวิตในรั้วโรงเรียนใหม่ก็แทบจะไม่แตกต่างจากเดิม การต้องโดดเดี่ยวมานานเกินไปทำให้การเข้ากับใครกลายเป็นเรื่องยาก
แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงจากเดิมได้ในที่สุด—คือที่พาโลส เวอร์เดสมีจิม
“เหมือนที่ฉันมีนาย”
“เหมือนที่ฉันมีเธอ” เขายิ้ม บอกเธอกลับไปด้วยถ้อยคำเดียวกัน
“ที่จริง มันเป็นเพลงโปรดของฉันกับผู้หญิงที่เคยสำคัญที่สุดในชีวิตของฉันคนหนึ่ง” หลังจากเงียบกันไปครู่หนึ่ง จิมก็พูดขึ้นมาแทรกกับเสียงฟองคลื่นและหมู่นกริมทะเล
เอดีนานิ่งค้างไปในทันทีที่ได้ยินเขาพูดแบบนั้น มันทำให้เธออดรู้สึกแปลกไม่ได้ คล้ายจะเจ็บแปลบในอก เมื่อคิดว่าคนสำคัญของเธอ...มีคนสำคัญของเขา ทั้งที่มันก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลย แต่เอดีนารู้ว่าเธอกำลังอิจฉา แม้เขาจะพูดถึงใครคนนั้นในรูปอดีตก็ตาม
“แต่ตอนนี้ฉันยังไม่พร้อมเล่าเรื่องของเธอคนนั้นให้ฟัง ช่วยรออีกหน่อยนะ จนกว่าจะถึงวันนั้น”
รอยยิ้มอบอุ่นของเขาทำให้เอดีนาพยักหน้ารับได้อย่างง่ายดาย นิ้วก้อยที่ยื่นมาให้เกาะเกี่ยวก็ทำให้ความกังวลของเธอมลายหายไปในพริบตา ทั้งคำพูดและการกระทำของเขา ดั่งหนึ่งกำลังให้คำมั่นสัญญาที่เธอไว้ใจและเชื่อใจได้
“ฉันรอนายได้ตลอดไปเลยนะ”
“ฉันไม่ให้คนสำคัญของฉันต้องรอนานถึงขนาดนั้นหรอกน่า”
มันก็คงจริงอย่างเนื้อเพลง ‘นอตติง อาร์ไรฟด์’ ของวงวิลเลเจอร์ส หากมัวแต่รอคอยสิ่งที่ไม่รู้ว่าจะมาถึงหรือเปล่า ก็รังแต่จะสร้างความหวังที่อาจไม่มีวันเป็นจริงขึ้นมา เราไม่จำเป็นต้องเฝ้ารออะไรเลย แค่พอใจในสิ่งที่มี—เหมือนที่เธอกับจิมมีด้วยกันในตอนนี้
จิมปัดผมสีน้ำตาลของเอดีนาที่ถูกลมพัดจนปรกหน้าไปคล้องกับหูของเธอ ก่อนประคองแก้มนั้น แล้วจุมพิตริมฝีปากที่คุ้นเคยดีอย่างอ่อนโยน ทว่ามากล้นไปด้วยความรู้สึก
‘What were we hoping to get out of this?
Some kind of momentary bliss?’
(เราคาดหวังอะไรเพื่อจะได้หลุดพ้นไปจากตรงนี้กันล่ะ ความปีติสุขชั่วครู่ยามงั้นหรือ)
และมันก็อาจเป็นคำตอบที่ใช่ที่สุดสำหรับจิมกับเอดีนา...อย่างน้อยก็ในชั่วขณะที่พวกเขายังไม่เจอความสุขใดที่มากกว่านี้
แต่เธอกับเขารู้ว่าหากมีกันและกันแบบนี้เรื่อยไป...สักวันก็จะเจอคำตอบของคำถามนั้นได้เอง
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
- เราหาข้อมูลมา และได้รู้ว่าการที่เด็กไม่บรรลุนิติภาวะจะซื้อยาคุมฉุกเฉินในอเมริกาต้องไปที่โรงพยาบาล แต่ไม่นานมานี้ รัฐแคลิฟอร์เนียอนุญาตให้ไปซื้อที่ร้านขายยาได้แล้ว (โดยต้องกรอกแบบฟอร์มคำถามเกี่ยวกับสุขภาพด้วย แต่ตรงนี้เราไม่ได้เอาไปลงในเรื่อง)
- (The) Morning After แปลได้ทั้งยาคุมฉุกเฉินหรือเช้าวันต่อมา และเป็นชื่อตอนที่สองของ AHS: Apocalypse ด้วยจ้า ยิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสามตัว ฮ่าฮ่า (อิหยังวะ..)
- เพลง Nothing Arrived ที่insertในเรื่อง Big Little Lies เป็นver.อะคูสติค แต่เราอยากได้ver.นี้แหละ มันสุดยอดจริงนะ ทั้งเพลง ทั้งความหมาย ทุกอย่างเลย T_T
ความคิดเห็น