คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Don’t Go To Strangers: Lost At Sea (EP 1)
RELEASE DATE : AUGUST 5, 2020
---------------------------------------------------------
- Don't Go To Strangers คือชื่อเพลงของ Etta Jones ได้ฟังเพลงนี้ทางวิทยุตอนนั่งรถไปกับจอห์น พอรู้ชื่อเพลงก็ติดในหัวเลยว่าอยากได้เป็นชื่อเรื่อง และอีกราวสามพล็อตในหัวให้พี่จอห์นมันก็อยู่ในตีม 'Don't Go To Strangers' เลยคิดว่าเอ่อ ต่อให้พล็อตเปลี่ยนไปนับล้าน ก็จะเอาชื่อนี้แหละเป็นชื่อยืนพื้นให้ฟิคพี่จอห์นวะ!
- เอาเรื่องนี้มาแปลงเพราะมึงเคยบอกว่าอยากได้และกูก็ยินดียกให้ แต่มึงก็หายสาบสูญไปไม่พูดถึงอีก กูเลยงงว่าอ้าวไม่เอาแล้วเหรอ แสดงว่าไม่ชอบจริง เสียใจมากเลยขอยัดเยียดให้เอง U_U ทีนี้ก็คิดว่าพี่จอห์นน่าจะได้อยู่นะ เกลาไปเกลามาทุกอย่างก็ลงตัวไปหมด เพิ่มฉากเพิ่มบรรยายอะไรให้เยอะมาก ไม่คุ้มค่าให้ถีบ เพราะเมืองแรปเชอร์ในไบโอช็อคมันดีมาก อยากให้ได้รู้ว่ามันวิเศษเลอเลิศมากแค่ไหนทำไมข้าพเจ้าถึงรักโลกในเกมนี้มากขนาดนี้ (กูเล่น Bioshock Infinite เคลียร์มาสองรอบ ภาค Burial At Sea ก็อีกสองรอบ และเริ่มเล่นใหม่อีกนับไม่ถ้วนเพียงเพื่อจะเดินเล่นในเมือง /ปาดน้ามตาส์) พอเกลาจบแล้วก็รู้สึกว่าver.นี้ดีมาก อันเก่าก็ชอบแต่ยังไม่สุดเพราะเหมือนมันยังขาดบางอย่างแต่ก็ไม่คิดจะเกลาหรือแต่งเพิ่มอีก แต่อันนี้เรารักมากและภูมิใจมากเพราะไปสุดแล้วทุกทางฮ่ะ :3
- เป็นการแต่งฟิคที่หาตัวละครเสริมวัยรุ่นจากมาเฟียIIIได้ยากมาก รู้มั้ยตามหาพี่ชายให้นางเอกนานมาก ลิงคอล์นก็ไม่ได้ป่าววะ... จนเอาวะ แดนนี เบิร์กเนี้ยแหละ และในต้นฉบับฟิคนี้ดั้งเดิมเคยบอกว่าจะมีพระเอกมาจากเมืองลอยฟ้า แต่อันนี้คือไม่ได้แล้ว จบที่จอห์นพอ 555 เดี๋ยวเมืองลอยฟ้าคุณวิโต้จะรับช่วงเอง ไม่ต้องห่วงเว้ยเพื่อน T v T)v
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
“จิตใจของตัวทดลองจะดิ้นรนอย่างสิ้นหวังเพื่อสร้างความทรงจำที่ไม่เคยเกิดขึ้น...”
‘การเดินทางจากบาร์เรียร์สู่มิติคู่ขนาน’ – อาร์ ลูเทซ, 1889
✚
– 24 ธันวาคม ปี1958 –
ไม่เพียงวันนี้จะเป็นวันคริสต์มาสอีฟตามปฏิทินสากลโลก แต่ยังเป็นวันเกิดอายุครบยี่สิบปีของแมริซอลในปฏิทินของเธอและทุกคนที่ใกล้ชิดกับเธอ วันที่เธอได้ลืมตาขึ้นมาดูโลก วันที่พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดทิ้งเธอไปโดยไม่ทิ้งสิ่งใดให้ทารกน้อยได้ระลึกถึงแม้แต่ความอบอุ่น วันที่เธอกลายเป็นเด็กกำพร้าในสถานสงเคราะห์ก่อนได้รับการอุปการะเมื่ออายุได้สิบห้าขวบปี แม้ว่าแมริซอลจะจดจำทุกอย่างนั้นไม่ได้เลยก็ตาม ความทรงจำของเธอตอนก่อนอายุสิบห้าล้วนหายไปสิ้นราวกับไม่เคยมีอยู่ ทั้งที่มันต้องเคยเกิดขึ้น เพราะย่อมไม่มีมนุษย์คนใดเติบโตมาได้โดยไม่เคยผ่านช่วงวัยเหล่านั้น
แต่มันคือสิ่งที่ผู้ชายที่เธอเรียกว่า ‘ป๊ะป๋า’ เล่าให้ฟัง คนที่บอกเธอว่า
“วันเกิดปีนี้คือวันที่เธอจะได้เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว”
เป็นหนึ่งในบทสนทนาเมื่อคืนวานระหว่างที่เธอกับเขาทานมื้อค่ำด้วยกันที่แคชเมียร์ เรสตัวรองต์ ภัตตาคารที่ประชากรผู้ร่ำรวยจะได้อร่อยกับอาหารรสเลิศจากพ่อครัวมือหนึ่ง บรรยากาศผ่อนคลายชั้นเยี่ยม ดนตรีสดจากศิลปินชื่อก้อง เป็นร้านที่ป๊ะป๋าจะพาเธอไปทานมื้อเย็นทุกค่ำด้วยกันหากไม่ติดธุระการงานใด
ผิดก็แต่คืนนั้นแปลกไปจากห้าปีที่เธอได้อยู่กับเขา...ระยะเวลาที่เธอจดจำความได้ เพราะเป็นครั้งแรกที่ป๊ะป๋าพูดเรื่องพวกนี้กับเธอ แมริซอลหมายถึง ‘การเติบโต’ ของเธอ เขาฉลองให้เธอในวันเกิดทั้งสี่ปีก่อนหน้าอย่างแสนวิเศษ แต่ด้วยคำพูดนั้น เด็กสาวก็รู้สึกราวกับว่าวันเกิดของเธอในวันพรุ่งนี้จะยิ่งพิเศษ เพราะเธอจะได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่โดยแท้จริง
ป๊ะป๋าบอกว่าเธอจะไม่ต้องเรียกเขาด้วยคำนี้อีกต่อไป เขาอายุมากกว่าเธอสิบเจ็ดปี แต่เขาไม่ใช่พ่อของเธอ ไม่ได้มีสายเลือดเดียวกับเธอ เขาคือคนที่รับเธอกับพี่ชายสายเลือดเดียวกันมาอุปการะจากสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ให้เธอกับแดนนีได้มีชีวิตที่โอ่อ่าอู้ฟู่ แม้ว่าแมริซอลจะจดจำเรื่องราวในสถานสงเคราะห์ไม่ได้ หากก็ไม่คิดว่าจะมีช่วงชีวิตใดที่วิเศษยิ่งไปกว่านี้ได้อีก เป็นความจริงที่งดงามดั่งความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริงได้ของใครหลายคน เขาให้แดนนีเรียกด้วยชื่อตัว ให้เธอเรียกว่าป๊ะป๋า และพวกเขาก็ทำตามนั้นโดยไม่เคยเอ่ยถามหรือแคลงใจกับคำสั่งของเจ้าชีวิต
แต่ในวันที่เธออายุยี่สิบปี เธอจะได้รับสิทธิ์ให้เรียกเขาด้วยชื่อตัวเป็นครั้งแรก
‘จอห์น’
ชื่อที่เธอปรารถนาจะเรียกมาตลอด ชื่อที่ได้เพียงอยู่ในลำคอแต่ไม่เคยได้รับอนุญาตให้ขับขาน ชื่อที่ติดอยู่ในมโนนึกจนแมริซอลเก็บไปฝัน
แต่ไม่ใช่แค่นั้น ความฝันในคืนก่อนวันเกิดปีนี้ไม่ได้มีแค่เธอกับป๊ะป๋าในร้านแคชเมียร์ หลังจากภาพถูกตัดไปพร้อมเสียงหัวเราะของเธอกับเขาก็ปรากฏภาพอื่นตามมา ความฝันที่เธอไม่เคยนึกฝัน เป็นจินตนาการที่เธอไม่เคยแม้แต่จะนึกถึง
ท้องฟ้าที่แมริซอลแหงนมองเป็นสีฟ้ากระจ่าง เป็นสีฟ้าที่ไม่เหมือนท้องน้ำหรือเพดานแห่งหนใดในเมืองใต้บาดาลที่ชื่อแรปเชอร์นี้ เป็นสีฟ้าที่แมริซอลแน่ใจว่าไม่เคยเห็นมาก่อน ครั้นลดสายตาลงก็มองเห็นต้นไม้สีเขียวสดใส พุ่มกอดอกไม้หลากสีสันปักหลักหยั่งรากลงกับผืนดินสีน้ำตาลที่ไม่มีในเมืองนี้นอกจากผืนน้ำข้างนอก หันไปทางซ้ายก็เห็นคาเฟ่ท่ามกลางแสงแดดอุ่นอ่อนรำไรในยามเช้า ชายหญิงวัยกลางคนคู่หนึ่งนั่งดื่มกาแฟพูดคุยกันอยู่ที่โต๊ะกลางแจ้ง ทันใดก็มีนกน้อยสีฟ้าตัวหนึ่งบินไปเกาะบนโต๊ะ มันเริ่มขับขานเจื้อยแจ้วด้วยเสียงหวานใส อาจร่วมวงจำนรรจาด้วยภาษาของมัน หรือไม่ก็กำลังขับร้องอย่างเบิกบาน ยิ่งฟังไพเราะเมื่อผสานกับเสียงหัวเราะขันของชายหญิงคู่นั้นที่ชี้ชวนกันดูเพื่อนร่วมโต๊ะตัวใหม่ ราวกับความสุขลอยล่องอยู่ในอากาศที่ปลอดโปร่งและบริสุทธิ์ เธอสูดรับมันด้วยใจสดชื่น ทุกอย่างในที่แห่งนี้ทำให้แมริซอลรู้สึกว่าเพียงยื่นมือออกไปคว้าไขว่ เธอก็จะหยิบความสุขไร้รูปร่างเข้ามาโอบกอดได้เต็มมือ
รองเท้าสีฟ้าอ่อนของเธอออกเดินไปหาหญิงชายคู่นั้น มือคู่เล็กยกขึ้นโบกไหวไปด้วยหวังให้พวกเขาหันมอง แต่ทันทีที่พวกเขาหันมาทางเธอซึ่งกำลังจะไปถึงในอีกไม่กี่ก้าว ทุกอย่างก็มืดมิดดับสนิทไปในพริบตา
ความฝันประหลาดของแมริซอลจบลงอย่างนั้น
ทว่ามันไม่ได้จบลงพร้อมกับความฝัน เธอตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกโหวงหวิวอย่างประหลาด คล้ายกับคะนึงหาบางสิ่ง...บางสิ่งที่เคยมีแต่สูญเสียมันไป บางสิ่งที่แมริซอลไม่รู้หรือนึกไม่ออกว่าคืออะไร ไม่เข้าใจกระทั่งว่าความฝันนั้นมีความหมายยังไง แมริซอลไม่คิดว่าเธอฉลาดพอจะจินตนาการถึงสิ่งที่ไม่เคยพบเจอมาก่อนได้ด้วยซ้ำ แต่ความฝันนั้น...ชายหญิงคู่นั้น...เมืองบนดินที่อวลไปด้วยความสุขนั้น ไม่รู้ทำไมมันถึงบีบรัดหัวใจเธอได้มากมายอย่างนี้ ขนาดที่น้ำตาร่วงเผาะลงมาโดยไม่รู้ตัว มันไม่ใช่ความปรารถนาถึงบางสิ่งที่ไม่เคยเห็น แต่เป็นความคะนึงถึงบางสิ่งที่หายไป ทั้งที่แมริซอลแน่ใจว่าตนไม่เคยพบเจอมาก่อน ไม่ว่าจะเค้นความทรงจำมากมายเพียงใดก็ตาม
แต่สิ่งที่แมริซอลแน่ใจได้คือความเจ็บปวดที่ทำให้เธอร้องไห้อยู่นานนับชั่วโมง เหตุใดความฝันถึงคนแปลกหน้าที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเธอจึงกระทบกระเทือนจิตใจเธอขนาดนี้ได้ มันคือคำตอบที่เธอใคร่รู้ และอีกเรื่องหนึ่งที่แมริซอลแน่ใจก็คือเธอบอกเรื่องนี้กับป๊ะป๋าไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเขาจะส่งเธอเข้าโรงพยาบาลเหมือนเมื่อสองปีก่อนที่เธอบอกเล่าเรื่องราวความฝันหนึ่งให้เขาฟัง เขาดูโกรธมาก เป็นครั้งแรกที่เขาขึ้นเสียงใส่เธออย่างฉุนเฉียว จับตัวเธอเขย่า และรีบส่งเธอเข้าโรงพยาบาลที่เธอต้องอยู่ในนั้นถึงสามสัปดาห์ ถูกนำไปเช็ค เข้าเครื่องทดสอบ ให้กินยาสารพัน จนกว่าหมอจะมั่นใจว่าเธอหายสนิทถึงให้กลับบ้านได้ และป๊ะป๋าก็ดูหงุดหงิดไม่พอใจเอามากในช่วงนั้น
แมริซอลไม่อยากให้เขาเป็นอย่างนั้น โดยเฉพาะในวันสำคัญอย่างนี้
มันจะหายไปได้เองเหมือนเมื่อสองปีก่อน ที่แมริซอลก็จดจำไม่ได้แล้วว่าความฝันนั้นคืออะไร
แต่เธออาจบอกเล่ามันให้ใครสักคนฟังได้
❥
หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย แมริซอลก็กดลิฟต์ลงไปด้านล่างโดยมีจุดหมายปลายทางคือแรปเชอร์ เรคคอร์ดส์ ร้านที่แดนนี พี่ชายของเธอเป็นเจ้าของ มันตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้าบนไฮ สตรีท ถัดจากที่พักอาศัยของเธอลงไปห้าชั้น
ทีแรกก็คิดจะชวนเขาไปทานมื้อเที่ยงด้วยกัน แต่ดูจากเวลาที่ล่วงเลยเที่ยงวันมากว่าสองชั่วโมง แมริซอลก็รู้ว่าพี่ชายคงกินอิ่มไปนานแล้ว เธอจึงแวะทานมื้อแรกของวันนิดหน่อยที่ไดเนอร์เดอะ วอทช์ด คล็อก ในละแวกเดียวกันก่อน ถ้าแคชเมียร์เป็นร้านอาหารค่ำร้านโปรดของเธอ เดอะ วอทช์ด คล็อก ก็เป็นร้านอาหารเที่ยงร้านโปรดของเธอ บรรยากาศของมันแตกต่างจากความหรูหรามีระดับของแคชเมียร์เพราะความเป็นกันเอง ด้วยว่าเป็นกันเองคือสิ่งที่แมริซอลอยากได้รับจากชาวเมืองแรปเชอร์นี้ ใช่ว่าพวกเขาทำไม่ดีกับเธอ ตรงกันข้าม พวกเขาทำดีกับเธออย่างมาก...เกินไป...จนถึงกับนอบน้อม เพราะเธอเป็นคนของป๊ะป๋าที่เป็นผู้ทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งของแรปเชอร์ จึงย่อมได้อานิสงส์ไปด้วยโดยไม่มีข้อแม้ เพื่อนของเธอมีแค่ป๊ะป๋ากับแดนนี และถึงแมริซอลจะไม่เคยเห็นว่ามันเป็นข้อเสีย แต่บางครั้งเธอก็อยากร่วมวงสนุกสนานกับคนอื่นเขาบ้าง
อย่างเช่นในตอนนี้ที่วิทยุกำลังเล่นเพลง ‘เดอะ เกรต พรีเทนเดอร์’ ของเดอะ แพลตเตอร์ส ก็มีหญิงสูงวัยสองคนออกมาเต้นรำด้วยกัน บทเพลงไพเราะ บรรยากาศครึกครื้นเมื่อพนักงานกับลูกค้าอีกสี่คนไม่รวมเธอพากันปรบมือตามอย่างครื้นเครง แมริซอลอดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่าคงดีหากใครคนนั้นจะเป็นเธอกับป๊ะป๋าในบรรยากาศเป็นกันเองอย่างนี้ แต่เธอรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่จะไม่เกิดขึ้น ในเมื่อเขาไม่เคยมาร้านแบบนี้แม้สักครั้งเดียวตลอดเวลาที่เธอจำความได้
แต่แมริซอลก็ไม่เคยลืมความอบอุ่นและความสุขยามได้อยู่ในอ้อมแขนของเขา ระหว่างที่เขาจับมือพาเธอเต้นรำด้วยกันเป็นครั้งคราวได้เลย
ตอนที่แมริซอลไปถึงร้านขายแผ่นเสียงก็ไม่มีลูกค้าพอดี แดนนีที่ยืนประจำอยู่หลังเคาน์เตอร์จึงชวนเธอออกไปคุยกันข้างนอกแทนที่จะอุดอู้อยู่ข้างในร้าน แม้เราจะใช้คำว่าอุดอู้กับร้านที่กว้างขวางโปร่งโล่งขนาดนี้ไม่ได้ก็ตาม กิจการของร้านนี้ไม่ได้มีแค่แผ่นเสียงแต่ยังขายและรับซ่อมเครื่องดนตรีด้วย แมริซอลมักจะตื่นตาตื่นใจกับเครื่องดนตรีตัวใหญ่ที่ตั้งโชว์เป็นสัดส่วนทุกครั้ง เธอเล่นดนตรีไม่เป็นเหมือนแดนนี แต่เธอกับเขารักเสียงดนตรีไม่ต่างกัน ร้านนี้จึงเป็นสถานที่หย่อนใจแห่งหนึ่งของพวกเขาได้เสมอ
พื้นที่ว่างหน้าร้านเป็นกระจกใสแผ่นหนาแผ่นใหญ่อันเป็นวัสดุหลักของอาคารใต้น้ำทุกหนแห่งในเมืองนี้ คุณจะมองเห็นวิวภายนอกได้ไม่ว่าจะอยู่มุมไหนของเมือง มันถูกสร้างขึ้นอย่างดี รองรับแรงดันน้ำได้เยี่ยม และไม่ต้องห่วงว่าจะแตกถึงปลาตัวหนักเป็นตันจะว่ายมาชน ก็พอดีกับตอนที่พวกเขายืนคุยกันมีวาฬตัวใหญ่ตัวหนึ่งว่ายผ่านมา และมันก็ทำให้ความสนใจของสองพี่น้องเขวไปได้ชั่วขณะ ขณะที่แมริซอลบอกเล่าเรื่องราวความฝันสุดประหลาดของเธอให้พี่ชายได้ฟัง
“มันเหมือนฉันฝันถึงสิ่งที่เคยพบเจอ ทั้งที่ฉันไม่เคยพบเจอมาก่อน”
แมริซอลจบความอย่างนั้นโดยไม่ได้หันมองแดนนีที่ยืนอยู่ข้างกัน ปลายนิ้วชี้ของเธอเอาแต่วาดรูปทรงที่จะไม่ปรากฏเป็นรูปร่างบนแผ่นกระจก สับสน ยุ่งเหยิง ไร้รูปร่างเหมือนความคิดจิตใจของเธอต่อความฝันที่เพิ่งผ่านพ้นไปนั้น
แต่แล้วแดนนีก็ฉวยข้อมือทั้งสองข้างของเธอมากำ ไม่เพียงนิ้วจะหลุดจากกระจกใส ร่างผอมบางก็เซไปนิดหน่อยตามแรงฉุดของคนที่แข็งแรงกว่าด้วย แมริซอลตกใจหากก็ไม่ได้แปลกใจเพราะเธอก็คิดไว้แล้วว่ามันจะเกิดขึ้น ถึงแดนนีจะไม่ใช่คนที่ตื่นตกใจหรือแสดงความรู้สึกออกมาง่ายดายนักก็ตาม
“เธอห้ามบอกมันกับจอห์น...หรือใครทั้งนั้น ถ้าไม่อยากถูกจับเข้าโรงพยาบาลอีก”
เขาพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจริงจังราวกับเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย แมริซอลอดหวาดไม่ได้ทุกคราวที่ได้เห็นพี่ชายในแง่มุมแบบนี้ซึ่งก็ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก แต่พิจารณาจากเหตุการณ์ที่เคยเกิด มันก็เป็นเรื่องร้ายแรงจริงทั้งกับเธอ ป๊ะป๋า...หรือกระทั่งแดนนีเอง
“ฉันรู้” เธอบอกเขาเสียงอ่อนอ่อย “ถึงได้เอามาเล่าให้พี่ฟังไง”
พี่ชายผู้ตระหนกปล่อยมือจากเธอด้วยความโล่งใจ เพราะมันเป็นความคิดถูกต้องที่เธอวางใจเขา เขาคือคนเดียวที่เธอสามารถบอกเล่าเรื่องนี้ได้ เพราะมันจะไม่มีวันแพร่งพรายหลุดจากปากเขาไปถึงจอห์น แต่แมริซอลก็เห็นว่าเขายังดูกังวลอยู่ทั้งที่ไม่จำเป็นเลย เขาไม่ควรต้องเอาเรื่องเพ้อพกของเธอไปเก็บเข้าความทรงจำให้รกสมอง หนนี้เธอจึงเป็นฝ่ายจับมือของเขาขึ้นมา ยิ้มให้เขาขณะพูดอย่างกระตือรือร้นว่า
“ไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะลืมมันได้เอง เหมือนเมื่อสองปีก่อนไง!”
แดนนีจ้องหน้าน้องสาวนิ่งนานจนรอยยิ้มของเธอพลันจืดจางลงไปกับปฏิกิริยานั้น แมริซอลไม่ชอบเห็นเขาเป็นกังวลเพราะเรื่องของเธอ เธอไม่น่าเอามาเล่าให้เขาฟังเลย เธอควรเก็บมันไว้กับตัว แต่ทันใดแดนนีก็ยิ้มให้ ยกมือขึ้นแตะแผ่วเบาที่แก้มของเธอ จากนั้นก็ใช้มือข้างเดิมล้วงหยิบบางอย่างในกระเป๋าเสื้อนอกสีน้ำเงินที่สวมอยู่ออกมา แล้วยื่นกล่องกำมะหยี่กล่องนั้นให้เธอ
“สุขสันต์วันเกิดอายุยี่สิบ”
เด็กสาวเอ่ยขอบคุณอย่างตื่นเต้นดีใจ เขามองดูเธอเปิดกล่อง ยิ้มกว้างเมื่อเห็นสร้อยข้อมือไข่มุกส่องประกายแวววาวอยู่ในนั้น แดนนีหวังว่าน้องสาวของเขาจะมีรอยยิ้มเป็นประกายเช่นนี้เรื่อยไป...อย่างน้อยก็ขอให้ยาวนานกว่าเขา โดยไม่ต้องกังวลกับความฝันที่อาจนำพาฝันร้ายในความเป็นจริงมาด้วย
“สวยมากเลย ขอบคุณมากนะ ฉันจะรักษามันอย่างดี”
เธอกลัดมันเข้ากับข้อมือขวาที่แดนนีรับกล่องคืนมาเก็บใส่ในเสื้อ แมริซอลหอมแก้มเขาด้วยความขอบคุณก่อนจับมือซ้ายของเขาขึ้นมากอบกุม ก้มดูนิ้วนางข้างซ้ายของแดนนีที่เหลือแต่ตอ ไม่มีแหวนวงใดในร้านเครื่องประดับบนไฮ สตรีทหรือที่ไหนจะสวมลงบนนิ้วนั้นได้อีก
มันเกิดขึ้นเมื่อหนึ่งปีก่อนในวันคริสต์มาสอีฟ—วันเกิดของเธอ แดนนีกับป๊ะป๋าทะเลาะกันใหญ่โตด้วยเรื่องที่คนทั้งคู่ไม่เคยปริปากให้เธอได้รู้ มันเป็นเรื่องร้ายแรงมากจนยากจะอภัยหรืออะไรเธอก็ไม่มีทางรู้ได้ แต่บทลงโทษของพี่ชายเธอก็คือตัดนิ้ว แมริซอลได้รู้เมื่อเขาออกมาจากห้องทำงานของป๊ะป๋าพร้อมกับนิ้วนางข้างซ้ายที่หายไป หากแม้เธอจะเรียกร้องขอให้พี่ชายได้มีนิ้วใหม่ด้วยนวัตกรรมของดอนนอแวน อินดัสตรีส์ ที่สร้างนครใต้น้ำขึ้นได้ ไฉนแค่การปลูกถ่ายนิ้วเทียมจะเป็นไปไม่ได้ แต่ป๊ะป๋าไม่อนุญาต เขาอยากให้มันเป็นสิ่งเตือนใจแก่แดนนีถึงเรื่องราวในวันนี้ เรื่องที่แมริซอลพยายามเค้นจากพวกเขาเพียงเพื่อจะได้คำตอบทุกครั้งว่า ‘ไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องรู้’ จากคนทั้งคู่ แดนนีก้มหน้ายอมรับชะตากรรมแต่โดยดี เขาเลิกเล่นเครื่องดนตรีทุกชนิดที่เคยรัก และบางคราวแมริซอลก็จะเห็นเขาเหม่อมองมือซ้ายอยู่เป็นสองนานด้วยสีหน้าแววตาอาลัยอาวรณ์
คิดคำนึงถึงสิ่งที่ขาดหายไป...และสิ่งที่จะเป็นไปไม่ได้ในอนาคต
“สักวันฉันจะทำให้พี่ได้มีมันอีกครั้งนะ” เธอพูดอย่างเศร้าสร้อยพลอยหดหู่ไปด้วย “ป๊ะป๋าต้องยอมใจอ่อนแน่”
แดนนียิ้มให้คนเป็นน้องสาวด้วยความรู้สึกขอบคุณจากใจจริง แม้จะรู้ดีแก่ใจว่ามันไม่มีวันเป็นจริงไปได้ที่จอห์นจะใจอ่อนเพราะเรื่องนี้ เรื่องที่เกี่ยวโยงไปถึงเรื่องราวแต่หนหลัง เรื่องที่เชื่อมโยงถึงปูมหลังของเขากับน้องสาว
เรื่องที่เริ่มต้นจากความฝัน...ถึงนครลอยฟ้าที่ชื่อโคลัมเบีย
❥
แมริซอลกลับขึ้นห้องหลังจากพูดคุยกับแดนนีอยู่ร่วมชั่วโมง หนีบแผ่นเสียง ‘ลา แมร์’ ที่พี่ชายยกให้เมื่อเธอได้ฟังเพลงนี้ในร้านและบอกว่าชอบมากมาด้วย ป๊ะป๋านั่งสูบบุหรี่รออยู่ที่ห้องรับแขกในห้องชุดซึ่งเป็นบ้านของเธอ...กับเขา เขาแวะเอาชุดสำหรับดินเนอร์มาให้ก่อนจะมารับในอีกสามชั่วโมง พอเห็นแผ่นแอลพีที่ถือมาด้วยก็รู้ว่าเธอไปหาแดนนีมา รับฟังเธออวดกำไลข้อมือจากร้านเดอะโกลเด้น รูล ที่พี่ชายซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิด พูดคุยเรื่อยเปื่อยอีกนิดหน่อย ไม่นานจากนั้นก็บอกลาเธอพร้อมกับมือที่วางบนผมสีน้ำตาลเข้ม แมริซอลต้องอดกลั้นข่มใจอย่างมากที่จะไม่พูดถึงเรื่องราวความฝันของเธอ แม้เมื่อเขาไปจะทำให้เธอโล่งใจขึ้นมาได้ หากใจหนึ่งก็นึกเสียดายเหมือนทุกคราวที่ต้องแยกจาก กลิ่นบุหรี่ของอ็อกซฟอร์ด คลับที่เขาชอบสูบยังส่งกลิ่นอบอวล
ครั้นเหลือแค่แมริซอลในห้องที่กว้างจนน่าใจหายเมื่อป๊ะป๋าจากไป เธอก็หยิบชุดที่เขาเอามาให้ออกมาดู มันเป็นชุดกระโปรงสีขาว ติดป้ายบูทีค เรนาต้า ร้านที่ตัดเย็บชุดชิ้นเดียวได้สวยที่สุด และไม่มีคำใดจะนิยามชุดตัวนี้ได้ดีกว่าคำนั้น ป๊ะป๋ารสนิยมดีเสมอและรู้ว่าชุดแบบไหนเหมาะกับเธอ มันสวยกว่าชุดที่เขาเคยซื้อให้แมริซอลใส่นับพันตัวไม่ว่าจะมาจากร้านบูทีค เรนาต้าหรือร้านไหนก็ตาม และมันก็ไม่เหมือนกับชุดตัวใดที่เธอเคยมีเพราะเปิดเปลือยแผ่นหลังแทบหมดจด
แมริซอลประหม่ามากในทีแรกที่ลองใส่ เธอขนลุกและไม่ใช่เพราะอุณหภูมิในห้องที่ก็ไม่ได้เย็นมากมายนัก แต่การต้องเผยผิวหนังให้คนอื่นได้เห็นต่างหากที่ทำให้เธอหนาวเยือกมาจากข้างใน เด็กสาวลังเลที่จะสวมชุดนี้ออกไปข้างนอก ความคิดจะสวมชุดคลุมทับมันคอยรบกวนจิตใจไม่หยุด กระนั้นความคิดที่ว่าเธอจะได้สวมมันให้ป๊ะป๋าเห็นก็ทำให้เธอตื่นเต้นมากเช่นกัน หากเมื่อคนรับใช้ร้องบอกที่หน้าประตูห้องว่าคุณดอนนอแวนมาถึงแล้ว คนที่เอาแต่หันรีซ้ายขวาอยู่หน้ากระจกบานยาวด้วยความกระวายก็ไม่มีทางเลือกนอกจากออกไป เพราะไม่อยากยื้อเวลาให้เขาต้องรอนาน
ป๊ะป๋ากำลังรอเธออยู่หน้าผนังกระจกที่ไม่เพียงเห็นภาพท้องทะเลสีน้ำเงินเข้มจากภายนอกได้ แต่ยังสะท้อนภาพภายในห้องรับแขกที่สว่างจ้าได้ด้วย คนที่กำลังสูบบุหรี่อยู่ถึงได้หมุนตัวกลับมาเมื่อเห็นภาพสะท้อนของคนที่รอ โดยไม่ต้องรอให้ริมฝีปากสีแดงของเธอเรียกขาน
เขายิ้ม ดึงบุหรี่ออกจากปาก “เธอสวยมากอย่างที่ฉันคิด”
เท่านั้นทุกความกังวลของแมริซอลก็ถูกปัดเป่าออกไปได้ในพริบตา เธอทัดผมเข้ากับหู ยิ้มกระดากด้วยความเขินอาย ความร้อนบนผิวแก้มก็อาจทำให้มันแดงยิ่งกว่าบลัชออนสีชมพูที่เอามาผัดแก้ม เลือดสูบฉีด หัวใจเต้นแรง และเมื่อจับมือกับเขาที่ยื่นมารอท่าด้วยท่วงท่าสง่างาม ด้วยริมฝีปากที่ประทับลงบนมุมปากเฉียดกับริมฝีปากของเธอไป ด้วยมือที่โอบรั้งเอวเธอ แมริซอลก็มั่นใจว่าเขาจะทำให้วันนี้เป็นวันที่พิเศษที่สุดในชีวิตของเธอได้อย่างแน่นอน
ป๊ะป๋าพาเธอมาที่มันตา เรย์ เลานจ์ ไนต์คลับหรูในห้างแบตตีสเฟียร์ส ดีลักซ์ (‘ความหรูหราที่คุณคู่ควร’ คือประโยคโฆษณาของห้างนี้) มันเป็นเลานจ์ที่แมริซอลเคยได้เพียงเดินผ่าน ป๊ะป๋าบอกว่าเธอยังเด็กเกินกว่าจะเข้าไปดื่มด่ำหรือเพลิดเพลินกับอะไรในนั้นได้ โดยเฉพาะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เขาไม่เคยให้เธอแตะต้อง
“ไว้เธอโตเมื่อไหร่ ฉันจะพามาเอง” และป๊ะป๋าทำจริงตามนั้น พูดคำไหนคำนั้น เพราะคำพูดของเขาคือสิ่งที่แมริซอลเชื่อได้เสมอ
มันเป็นไนต์คลับที่สวยมาก ถึงคุณจะใช้คำว่าสวยกับทุกห้างร้านในย่านหรูของแรปเชอร์ได้อยู่แล้วก็ตาม หรือถึงแมริซอลจะไม่เคยเข้าเลานจ์บาร์ไนต์คลับใดมาก่อน ยกเว้นเลอ ตอมป์ส แปร์ดู บาร์เปิดใจกลางไฮ สตรีทที่ป๊ะป๋าให้เธอนั่งได้ แต่กำชับกับบาร์เทนเดอร์และแดนนีที่มักจะมานั่งเป็นเพื่อน ว่าเธอไม่ได้รับอนุญาตให้ดื่มเหล้าเบียร์ทุกชนิด แมริซอลเองก็ไม่ได้อยากเข้าร้านจำพวกนี้มากมายนักนอกจากฉงนสงสัยเวลาเดินผ่านในบางที กระทั่งในคืนนี้ที่ป๊ะป๋าพาเธอมาเปิดโลกทัศน์ในมุมใหม่เป็นครั้งแรก ก็ทำให้เธอยิ่งฉงนงนงายแม้จะกำลังนั่งอยู่บนชั้นลอยของเลานจ์ก็ตาม
เธอเพิ่งจิบจินเจอร์เอลที่ป๊ะป๋าสั่งให้ไปได้แค่ครึ่งเดียว ขณะที่ดับเบิลแบรนดีของคนตรงหน้าเปลี่ยนเป็นแก้วที่สามแล้ว เขาอนุญาตให้เธอลองดื่มได้ และแมริซอลก็ตื่นเต้นเอามากเพราะอยากรู้ว่าแอลกอฮอล์ที่เขาชอบดื่มจะมีรสชาติยังไง แต่ทันทีที่มันเข้าปากก็ทำให้เธอต้องเบ้หน้า รีบดูดน้ำจินเจอร์เอลอึกใหญ่เพื่อล้างรสขมแปร่งปร่าที่ติดอยู่ในปาก มันเป็นรสชาติแปลกใหม่ที่เธอไม่เข้าใจสักนิด และทำให้เธองุนงงยิ่งกว่าเดิมว่าเหตุใดพวกผู้ใหญ่ถึงชอบดื่มมันนัก
หลังจากพูดคุยกินดื่มกันไปได้ราวสองชั่วโมง คนที่ร่วมโต๊ะกับเธอก็ดึงบุหรี่จากปากไปขยี้ในที่เขี่ย ก่อนลุกขึ้นยืนและยื่นมือออกมาหาเธอเป็นครั้งที่สองของวัน เพียงแต่ครั้งนี้เป็นไปด้วยอีกเหตุผลหนึ่งที่ต่างจากก่อนหน้า
“เต้นรำกับฉัน”
“ด้วยความยินดีค่ะ” เธอตอบรับคำชวนของเขาด้วยรอยยิ้มกว้าง
คณะนักดนตรีบนเวทีชั้นล่างกำลังเริ่มบรรเลงเพลง ‘มิดไนท์ เดอะสตาร์ส แอนด์ ยู’ ของเรย์ โนเบิล แอนด์ อัล โบว์ลลี ช่างบังเอิญราวกับมีคนบันดาลเพราะมันเป็นเพลงโปรดตลอดกาลของเธอกับคนตรงหน้า ที่ว่างข้างโต๊ะที่พวกเขาอยู่นี้เปรียบเสมือนพื้นที่ส่วนตัวบนโลกที่มีเพียงกัน มือกอบกุมกันแนบแน่น เช่นเดียวกับร่างกายที่ประสานกันขณะเคลื่อนไหวอย่างละมุนละม่อมไปตามบทเพลง เป็นบรรยากาศที่ดี เป็นที่ที่งดงาม เป็นช่วงเวลาที่เหมือนฝันกับชายที่ทำให้ความจริงทุกขณะของเธอเป็นดั่งความฝันที่เธอไม่อยากตื่น
แต่แค่ครู่เดียว แมริซอลคิดว่าอาจไม่ถึงนาทีดีด้วยซ้ำ พิจารณาจากการที่มีเพียงดนตรีบรรเลงก่อนถึงท่อนแรกที่นักร้องจะเริ่มขับขาน คนตรงหน้าก็รั้งตัวเธอเข้าไปอิงแอบแนบอก หากก็ไม่ได้หยุดเคลื่อนไหวไปตามจังหวะที่เขาเป็นฝ่ายนำ เขาบอกเด็กสาวให้เงยหน้าขึ้นมองในจังหวะพอดิบพอดีกับที่บทเพลงขับร้องไปถึงท่อนที่ว่า
‘ดวงตาเธอบอกใบ้ความนัยที่เอ่ยอย่างละมุนว่า ‘ฉันยอมมอบรักทั้งใจให้เธอ’’
และแมริซอลก็รู้สึกราวกับว่าดวงตาสีฟ้าของเขากำลังพูดกับเธออย่างนั้น ครั้นถึงท่อนต่อไป หญิงสาวก็พบว่ามันช่างเหมาะเจาะกับสิ่งที่เธอรู้สึกในยามนี้เหลือเกิน
‘เที่ยงคืนนำพาความโรแมนติคแสนหวานมาให้เรา ฉันรู้มาทั้งชีวิตแล้ว ฉันจะจดจำเธอไม่ว่าฉันจะทำอะไร เที่ยงคืน กับหมู่ดาว และเธอ’
‘เธอ’...แมริซอลจะแทนคำนั้นด้วยชื่อของเขา
“แมริซอล” พร้อมกับที่เขาเรียกชื่อเธอในจังหวะเดียวกันนั้น
“คะ?” เจ้าของชื่อตอบรับอย่างเคลิบเคลิ้มไปกับความโรแมนติคที่อวลอยู่ในอากาศกับไฟสลัวมัวพร่า ได้อยู่ในเลานจ์บาร์โก้หรูท่ามกลางบทเพลงไพเราะ ได้เต้นรำอิงแอบกับผู้ชายที่รักในวันที่แสนพิเศษและเปี่ยมความหมาย เช่นนี้แมริซอลจะต้องการอะไรอีก
“เรียกฉันว่าจอห์น”
หากเมื่อช่วงเวลาที่เฝ้ารอมาถึง เด็กสาวกลับกัดริมฝีปากคล้ายไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ยิน ด้วยไม่มั่นใจว่าเธอพร้อมสำหรับคำนี้แล้วหรือยัง เขายังไม่ได้พูดอะไรต่อแม้จะมองเห็นปฏิกิริยาลังเลใจของเธอ ทว่ามือของเขาเลื่อนจากข้อมือผอมบางไปเป็นแผ่นหลังเปลือยเปล่า มันเย็นนิดหน่อยและทำให้แมริซอลขนลุกวาบขึ้นมาได้ แน่นอนว่ามันไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเคยแตะต้องหรือสัมผัสเธอ แต่ครั้งนี้แปลกไปราวกับมีเจตนาบางอย่าง...อาจเพราะวิธีที่เขาใช้ลูบไล้
“เธอโตแล้ว เรียกชื่อฉันได้แล้ว” เขาพูดแผ่วเบาราวกับกำลังกระซาบอยู่ข้างหู ที่ชั่วครู่ถัดมาเขาก็แนบริมฝีปากกระซิบกับใบหูของเธอจริง “จอห์น” ด้วยชื่อของตัวเอง คำที่เขารอให้คนตรงหน้าเรียกกับปาก คำที่เขารอจะฟังกับหู
แมริซอลมองหน้าสบตาเขาอยู่อึดใจหนึ่ง แล้วริมฝีปากเล็กก็เริ่มขยับ แม้จะหน่วงเล็กน้อย เชื่องช้าไปหน่อย ทว่าหนักแน่นชัดเจน
“จอห์น”
“สุขสันต์วันเกิดอายุครบยี่สิบปี” เขาจับคางเธอเชิดขึ้น “เธอโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว คืนนี้ฉันจะสอนให้เธอเป็นผู้หญิงเต็มตัว”
พูดจบก็ประทับริมฝีปากกับเธอทันทีโดยไม่รั้งรอคำพูดหรือท่าทีอื่นใดเพราะไม่จำเป็น และในวินาทีนั้นเองก็เป็นครั้งแรกที่แมริซอลได้รู้ถึงรสชาติของบุหรี่ที่จอห์นสูบทุกวี่วันไม่ว่างเว้น มันขมมาก ไม่ต่างจากแอลกอฮอล์ที่เขาให้เธอลองดื่ม แต่เธอก็ยินยอมพร้อมดื่มด่ำมันเรื่อยไปหากมาจากเขา และแมริซอลก็ได้รู้แล้วว่าเธอจะต้องการอะไรอีก
เธอต้องการจอห์น...ผู้ที่มอบในสิ่งที่เธอไม่เคยรู้ว่าตัวเองจะต้องการจนกระทั่งได้มันมา
จอห์นพาเธอมายังโรงแรมอะเวนทีน ที่เธอเคยแค่เห็นป้ายไฟนีออนสีน้ำเงินทองของมันพลิ้วไหวไปตามคลื่นน้ำผ่านลิฟท์กระจกแก้วในไฮ สตรีท จนกระทั่งคืนนี้ เขาบอกว่าอยากให้มันเป็นคืนที่พิเศษที่สุด เพราะคืนนี้จะประทับอยู่ในความทรงจำของเธอไปตลอดกาล
จอห์นกลับมาจูบเธออีกครั้งเมื่อพวกเขามาอยู่บนห้องที่ดีที่สุดของโรงแรมตามที่เขาสั่งพนักงาน บุหรี่มวนที่เท่าไหร่ไม่รู้ของวันที่เขาเพิ่งทิ้งมันในที่เขี่ยเป็นรสชาติที่แจ่มชัดที่สุด ทั้งในปากของเขาและในความคิดของเธอ หลังจากวันนี้เธออาจขอจอห์นสูบบุหรี่ดู แต่ถ้าเขาไม่อนุญาต เธอก็หวังว่าเขาจะให้เธอได้รับรู้ถึงมันผ่านริมฝีปากและลิ้นขมปร่าเหมือนที่เป็นอยู่นี้ แผ่นหลังของเธอถูกกดลงไปบนเตียงที่เย็นเล็กน้อย แต่ก็แค่ครู่เดียวเพราะจากนั้นจอห์นก็ทำให้ร่างกายของเธออุ่นจนร้อนได้
“รู้ที่มาของชื่อเธอมั้ย...แมริซอล”
เจ้าของชื่อส่ายหน้าขณะจ้องตากับคนที่คร่อมร่างทาบทับเธออยู่ มันไม่ใช่ชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้เธอมาแต่เกิด ไม่ใช่ชื่อตั้งแต่ตอนอยู่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่เป็นชื่อที่จอห์นตั้งให้ตอนที่เขารับอุปการะเธอ เธอไม่รู้ความหมายหรือที่มาของมัน เธอรู้แค่ว่ามันเพราะ เธอชอบยามที่จอห์นเรียกชื่อนี้ด้วยริมฝีปากคู่นั้น...คู่เดียวกับที่กำลังยกยิ้ม
“เวอร์จิน แมรี” จอห์นตอบแค่นั้น ไม่ได้อธิบายความถึงคำที่แมริซอลหาได้เข้าใจความหมายลึกซึ้งของมันอย่างเขา พูดต่อว่า “ฉันจะสอนทุกอย่างให้เธอเป็นผู้ใหญ่ เธอจะเป็นผู้หญิงของฉัน”
“ฉันเป็นของคุณมาตลอดค่ะ จอห์น”
จอห์นยิ้มอย่างพึงใจเมื่อได้ฟังคำสนองตอบและชื่อของตัวเองจากริมฝีปากของคนใต้ร่าง ที่เขาก้มลงไปประทับอีกครั้งจนสีแดงเลือนหายไปเป็นสีเดิม ก่อนเริ่มร้อนเร่าได้มากขึ้น กระทั่งกลายเป็นการบดขยี้ที่แมริซอลก็เต็มใจรับความรุนแรงทางกายที่จอห์นมอบให้เธอเป็นครั้งแรก มันเป็นความรู้สึกแปลกใหม่...ที่เธอยินดีต้อนรับอย่างน่าประหลาด แมริซอลต้องการจะรับรู้ถึงเขายิ่งกว่านี้ อยากรุมร้อนเหมือนถูกแผดเผายิ่งกว่านี้ หรืออาจเป็นเพราะหัวสมองของเธอกำลังหมุนคว้างจนไม่อาจคิดอะไรได้ถูกต้อง เมื่อมือไม้ของเขากำลังไล้ไปตามทุกส่วนของร่างกายเธอ ด้วยวิธีที่เขาไม่เคยทำกับเธอมาก่อน ในจุดที่เขาไม่เคยแตะต้อง ยังเขตแดนที่เขา...หรือกระทั่งเธอเอง...ก็ไม่เคยล่วงล้ำเข้าไป ความรู้สึกอยากปลดปล่อยบางอย่างที่เธอก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรมวนอยู่ในท้อง ทันใดแมริซอลก็นึกถึงโฆษณาไวกอร์ ‘เดวิลส์ คิส’ ที่เธอเห็นผ่านตาระหว่างทางขึ้นมา มันเป็นไวกอร์ที่ดื่มแล้วจุดไฟจากปลายนิ้วได้ เธอไม่เคยดื่ม แต่เธอเกือบจะแน่ใจว่าจอห์นก็เหมือนกับมัน เพราะไม่ว่าจะส่วนใดของร่างกายเขาที่อยู่บนตัวเธอ...หรือในตัวเธอ ก็ราวกับเธอได้รับจุมพิตจากซาตาน จุมพิตที่มีกลิ่นบุหรี่อ็อกซฟอร์ด คลับติดตรึงฝังอยู่ในทุกที่ที่มันลากผ่านจนทำให้เธอร้อนรุ่ม
และจอห์นก็ไม่ต่างจากปีศาจที่ฉีกกระชากแมรีผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องได้ แมริซอลเจ็บมากตอนที่เขาเข้ามาอยู่ในตัวเธอ แต่เธอก็ไม่ปรารถนาจะปฏิเสธ มันเหมือนเธอได้รับการเติมเต็มโดยสมบูรณ์ที่สุดทั้งความหมายทางตรงและทางนัย หากแมริซอลก็คิดว่าความร้อนระอุในกายที่รอจะระเบิดทั้งจากตัวเธอเอง...และเขา...ก็มากเกินทานทน มือเล็กที่บีบต้นแขนของจอห์นแน่นเลื่อนไปเป็นแผ่นหลังของเขาที่โน้มตัวลงมาใกล้ กระทั่งรับรู้ถึงผิวหนังที่ร้อนเหมือนไฟของกันได้แนบสนิท ปลายเล็บของเธอจิกลงไปบนแผ่นหลังของเขาที่เธอรู้ว่ามันทำให้จอห์นเจ็บได้ แต่เขากลับยิ้มให้ด้วยรอยยิ้มพึงพอใจอย่างมากจนถึงกับมอบจูบร้อนเร่าให้เป็นรางวัล
หรือเพราะความเจ็บปวดคือสิ่งที่คนเป็นผู้ใหญ่ต้องรู้สึก หากเลือกได้แมริซอลก็ไม่อยากพบเจอกับความเจ็บปวดไม่ว่าทางใดทั้งนั้น แต่หากมันเป็นความเจ็บปวดอย่างนี้...อย่างที่จอห์นกำลังมอบให้นี้ เธอก็พร้อมโอบรับด้วยความยินดีอย่างที่สุด
แต่จอห์นก็ปลุกปลอบประโลมเธอด้วยเสียงที่แหบพร่าลงไปเล็กน้อยว่าเธอจะไม่เป็นไร เดี๋ยวเธอก็จะรู้สึกดีได้เอง และเธอก็ไม่เป็นไร เขาทำให้เธอสุขสมกับสิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นได้จริง สิ่งที่ทำให้เธอเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว...เป็นผู้หญิงของเขาเพียงคนเดียว
ในช่วงเวลานั้น แมริซอลก็ลืมเลือนแสงแดดอุ่นอ่อน ท้องฟ้าสีฟ้ากระจ่างจนนัยน์ตาพร่า ต้นไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่มที่หยั่งรากบนผืนดิน กลิ่นหอมรวยรื่นของดอกไม้หลากสีสันนานาพันธุ์ อากาศสดชื่นปลอดโปร่ง คาเฟ่กลางแจ้งน่านั่งบนพื้นอิฐน่าเดิน เสียงเจื้อยแจ้วของนกสีฟ้ากับเสียงหัวเราะของชายหญิงท่าทางเป็นมิตร แมริซอลลืมเลือนทุกอย่างในฝันไปสิ้น ใต้หลังคาสูงใหญ่ที่ไฟนีออนจากด้านนอกส่องผ่านบานกระจกเข้ามาเหมือนเป็นแสงจากหมู่ดาวที่ไม่มีอยู่จริง ในดินแดนใต้น้ำที่ไม่อาจเห็นเดือนเห็นตะวันนอกจากผืนน้ำสีเข้มทุกโมงยาม ใต้ร่างที่ร้อนผ่าวจนชื้นเหงื่อของคนที่ขยับกายอยู่บนตัวเธอ กับดวงตาสีฟ้าของเขาที่มืดมิดจนไม่อาจหยั่งได้ กับจูบที่มีกลิ่นขมปร่าของบุหรี่ กับเสียงหอบหายใจของเขาที่พร่าพรายอยู่ข้างหู กับความเจ็บปวดในตัวเธอที่มีเพียงเขาที่มอบให้ได้ แต่แมริซอลก็รู้ว่ามันคือสิ่งเดียวที่เธอต้องการ
จอห์นคือสิ่งเดียวที่เธอจะจดจำในยามนี้ จากนี้ และเธอเชื่อว่าจะเป็นตลอดไป
หรืออาจไม่มีความทรงจำใดที่เป็นตลอดไป ตราบที่เขาทำให้แน่ใจว่ามันจะถูกกลบฝังไว้ใต้เมืองทะเลลึกแห่งนี้ตลอดกาล
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
# หนังสือการเดินทางจากบาร์เรียร์สู่มิติคู่ขนาน - Barriers to Trans-Dimensional Travel
# ภัตตาคารแคชเมียร์ - Kashmir Restaurant / แรปเชอร์ เรคคอร์ดส์ - Rapture Records / ไฮ สตรีท - High Street
# ไดเนอร์เดอะ วอทช์ด คล็อก - The Watched Clock / ร้านเดอะ โกลเด้น รูล - The Golden Rule / บูทีค เรนาต้า - Boutique Renata
# มันตา เรย์ เลานจ์ - Manta Ray Lounge / แบตตีสเฟียร์ ดีลักซ์ - Bathysphere Deluxe / เลอ ตอมป์ส แปร์ดู - Le Temps Perdu
# โรงแรมอะเวนทีน - Aventine Hotel / เมืองโคลัมเบีย - Columbia / บุหรี่อ็อกซฟอร์ด คลับ - Oxford Club
# Vigor เป็นพลังในเกม (บางภาคเรียกว่า Plasmid) ดื่ม Devil's Kiss แล้วจะปล่อยไฟจากมือได้ (แต่กูชอบแบบปล่อยไฟฟ้าสุด ใช้ง่าย T v T)
- อันนี้สารภาพ นึกว่าจอห์นอายุสักสามสิบ แต่พอไปอ่านประวัติแล้วบวกลบคูณหารมา จากนั้นก็ไปอ่านเจอในredditว่าจอห์นอยู่ในวัย late 30s ก็เฮ้ย พล็อตนี้มันใช่โว้ย!
เพราะมั่นใจได้ว่าเราจะแต่งให้จบได้ยังไงวะ! ดังนั้นก็จะมาบอกใบ้เนื้อเรื่องตรงนี้ด้วยเช่นกัน
หลายปีที่ผ่านมามีข่าวเด็กจำนวนมากหายตัวไปจากชายหาดของเมืองด้านบน! (ใส่เครื่องหมายตกใจทำเพื่อ!) / บทของจอห์นเป็น child grooming และจอห์นเลวจริงไม่มีพลิกมาเป็นคนดีเพราะรักหรืออะไรทำนองนั้น ไม่มีความรัก มีแต่ความลุ่มหลงอย่างเดียว / quote ข้างบนสุดเราสื่อถึงจอห์นไม่ใช่ใครอื่นจ้า
ความคิดเห็น