ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ` Purgatory Boulevard .

    ลำดับตอนที่ #1 : ME | inspired by Us (2019)

    • อัปเดตล่าสุด 30 พ.ค. 62


    Us (2019) Dir. Jordan Peele
    Other Inspirations : Mirror Image (The Twilight Zone) (1960) / Den of the Sleep Demon (Junji Ito) (1997)
    Word Count : 2,984 | First Release Date : MAY 3, 2019


    https://i.imgur.com/ff5FuBu.png

    SOUNDTRACK : Anthem / Pas De Deux – Michael Abels | Us OST


    -----------
    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    คำอธิบายความลี้ลับที่พิสูจน์ไม่ได้ เพื่อปิดบังปรากฏการณ์หรือเหตุผลที่กรายย่างออกมาจากเงามืด และอธิบายสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้นั้น จะเรียกมันว่าเครื่องบินที่บินขนาน หรือแค่ความวิกลจริตก็ตามแต่ คุณจะพบเจอมันได้ในแดนสนธยา

    - ประโยคปิดท้ายจากทไวไลท์ โซน ตอน มิร์เรอร์ อิมเมจ -
    -----------
    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    “ฉันกลัวการส่องกระจกตอนกลางคืน กลัวภาพสะท้อนที่เห็นในตอนกลางคืน เพราะมันเหมือน...”

    เธอหยุดพูดเพียงเท่านั้น ก่อนแทนที่ด้วยเสียงถอนหายใจแรงของเธอที่ซุกหน้าขดตัวอยู่ในอ้อมกอด ชายหนุ่มลูบผมนุ่มที่มีกลิ่นหอมของแชมพูอย่างแผ่วเบา โอบร่างที่รักใคร่เข้ามากอดให้แน่นกว่าเดิมเพื่อให้เธออุ่นใจ มิลลิเซนต์ตอบรับสัมผัสของเขาด้วยมือที่วางแผ่อยู่บนอก นิ่งค้างอยู่อีกครู่ เธอก็พึมพำคำที่คงค้างไว้ออกมา

    เหมือน...เหมือนเงาของฉันไม่ใช่ฉัน และมันต้องการจะแทนที่ฉัน ไม่ใช่ มัน...มันต้องการจะครอบครองฉัน ฉันรู้สึกได้ และมัน...มันทำให้ฉันกลัว...กลัวมาตลอด”

    คุณจะไม่เป็นไร” บิลก้มมองคนที่อยู่ในวงแขนของเขา “คุณมีผม ไม่มีใคร...หรืออะไร จะมาแย่งคุณไปได้”

    “ค่ะ ฉันรู้” มิลลิเซนต์เงยหน้าขึ้นยิ้มให้กับคนรักของเธอ หลังจากจูบอ่อนโยนที่หน้าผากและริมฝีปาก เธอก็หลับตาเข้าสู่ภวังค์

    ทว่าแม้ภรรยาจะนอนหลับสนิทแล้ว กระทั่งได้ยินเสียงระบายลมหายใจสม่ำเสมอที่เป็นเหมือนบทเพลงกล่อมนอนทุกค่ำคืนของเขา บิลก็ยังลืมตาโพลงท่ามกลางความมืดมนในอนธการ แสงจากไฟถนนด้านนอกก่อให้เกิดเงาไหววูบพาดเข้ามาในห้อง บางคราวก็เหมือนมีอะไรกำลังเคลื่อนไหว คลาคล้ายบางอย่างเหนือธรรมชาติต้องการปั่นหัวป่วนจิต แต่เรื่องพรรค์นี้ไม่เคยทำให้บิลกลัว เขาไม่เคยผวาหวาดหวั่นกับเรื่องลี้ลับสยองขวัญ

    ผิดกับมิลลิเซนต์ ภรรยาของเขาสะดุ้งจนตัวโยนเพียงได้ยินเสียงลมพัดหวีดหวิว ตกใจกับแค่เงาที่วูบวาบแวบผ่าน เป็นแบบนี้ทุกครั้งที่ความมืดมาเยือน ดั่งหนึ่งความกลัวจับไปถึงขั้วหัวใจ ฝังอยู่ในแกนสมอง ลึกลงไปถึงจิตใต้สำนึก หล่อนเคยไปพบจิตแพทย์มาหลายครั้งหลายคน เขาก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่มันไม่ได้ช่วยอะไรเลย...ไม่เคย พวกเขาบอกให้เธอเปลี่ยนความคิด ทนอยู่กับมันให้ได้ มันก็แค่สิ่งที่จิตเธอปรุงแต่งขึ้นมา หากยิ่งกลัว สิ่งที่หลอนความคิดก็จะยิ่งเป็นจริง

    แต่มิลลิเซนต์รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องหลอน เธอไม่ได้คิดไปเอง...มันมีจริง


    บิลจดจำเรื่องราวที่มิลลิเซนต์เคยเล่าให้ฟังตอนเข้ารับการรักษากับเขาครั้งแรกได้ไม่ลืม

    มันเริ่มขึ้นในตอนที่เด็กหญิงมิลลิเซนต์อายุสิบเอ็ดขวบ พ่อแม่พาลูกสาวไปเที่ยวชายหาดที่แคลิฟอร์เนียเป็นครั้งแรก เช่าบ้านริมทะเลได้หลังหนึ่งสำหรับวันหยุดฤดูร้อนตลอดสองสัปดาห์นั้น มิลลิเซนต์ตื่นเต้นดีใจกับทิวทัศน์บรรยากาศที่ได้สัมผัสเป็นครั้งแรก ไม่ใช่ภูเขาหรือตึกสูงอย่างที่เห็นมาทั้งชีวิต เด็กหญิงเล่นน้ำสลับกับก่อกองทรายริมทะเลทั้งวันตั้งแต่เช้ายันเย็น กลับถึงบ้านก็สลบเหมือดไปด้วยความอ่อนเพลียจนไม่ทันกินมื้อเย็น

    สะดุ้งตื่นขึ้นเมื่อนาฬิกาบนหัวเตียงบอกเวลา 11:11 เด็กหญิงหิวจัดเพราะไม่มีอะไรตกถึงท้องมาหลายชั่วโมง จึงลุกไปหาอะไรกิน แซนด์วิชแฮมชีสนอนอยู่ในตู้เย็นพร้อมกับน้ำอัดลมกลิ่นส้ม เธอเอามันมานั่งกินบนโต๊ะอาหาร แต่ไม่มีจุดให้วางสายตา เวลานี้ทีวีก็คงไม่มีอะไรให้ดู บางช่องอาจปิดสถานีไปแล้วด้วยซ้ำ พลันสายตาที่สอดส่ายไปเรื่อยของมิลลิเซนต์ก็สบเข้าให้กับบานกระจกตรงสุดทางเดิน แม้จะกลัวแต่ก็ไม่อยากละสายตา ปากก็เคี้ยวแซนด์วิชไป สายตาก็จับจ้องมองภาพสะท้อนของตัวเองในบานกระจกไป มันก็เป็นภาพสะท้อนของเธออย่างที่ควรเป็น จนกระทั่งแซนด์วิชหมดไปสามในสี่ส่วน

    และในตอนนั้นเอง มิลลิเซนต์ก็พบว่าภาพสะท้อนของเธอ ไม่ใช่ภาพสะท้อนของเธอ

    เด็กหญิงในกระจกมีรูปร่างหน้าตา ทรงผม และการแต่งกายเหมือนเธอในยามนี้ไม่มีผิดเพี้ยน เว้นก็แต่อิริยาบถของ มัน ที่กำลังคายซากแซนด์วิชเละแหยะลงบนโต๊ะอาหาร มิลลิเซนต์อ้าปากค้าง แซนด์วิชหลุดจากมือ มองจ้องภาพตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา หากแม้จะอยากละสายตาหันไปทางอื่นก็ทำไม่ได้เพราะความอยากรู้อยากเห็นที่มีมากกว่า ก่อนมันในกระจกจะแสยะยิ้มจนเกือบถึงรูหู ใครหลายคนต่างบอกว่ามิลลิเซนต์เป็นเด็กหญิงที่มีรอยยิ้มน่ารักที่สุดคนหนึ่ง แต่คนในกระจกที่หน้าเหมือนเธอเปี๊ยบ กลับมีรอยยิ้มน่ากลัวที่สุดที่เด็กหญิงเคยพบเจอ และเมื่อมันลุกขึ้นจากโต๊ะ เดินตรงมาเหมือนจะพุ่งออกมาจากกระจก มิลลิเซนต์ก็กรีดร้องออกมาดังลั่น

    ในตอนที่พ่อแม่พรวดพราดออกมาจากห้อง ลูกสาวของพวกเขาก็ลงไปนอนดิ้นพราดกับพื้น กรีดร้องโวยวายทั้งน้ำตาอย่างบ้าคลั่งว่า ไม่! ไม่เอา! อย่า! แกไม่ใช่ฉัน!

    เด็กหญิงมิลลิเซนต์จับไข้หนัก วันหยุดสุขสันต์กลับกลายเป็นวันหยุดสยองขวัญ เธอกรีดร้องร่ำไห้ทุกครั้งที่เห็นบานกระจก ชีวิตประจำวันที่เคยเรียบง่ายผันเปลี่ยนเป็นความยากเย็น แม้อาการกลัวกระจกจะเริ่มลดถอยเมื่อมิลลิเซนต์โตขึ้น แต่ทุกค่ำคืนก็ยังเป็นเวลาสนธยาที่ทำให้เธอหวาดกลัวว่ามันในกระจกจะกลับมา


    คืนนี้เป็นคืนแรกของการมาฮันนีมูนที่บ้านพักตากอากาศของบิลในซานตาครูซ

    ทั้งคู่สานสัมพันธ์กันมาสิบเอ็ดเดือนก่อนแต่งงานกัน หลังจากมิลลิเซนต์เลิกเป็นคนไข้ในความดูแลกว่าห้าเดือนของเขา บิลเคยเป็นจิตแพทย์ที่พยายามจะรักษาเธอให้หายขาดจากโรคกลัวกระจกตอนกลางคืนให้ได้ ทว่าแพทย์หนุ่มที่เพิ่งกลับจากพักร้อนในซานตาครูซก็แปรเปลี่ยนความคิดเมื่อกลับมารักษาเธอ มันอาจเป็นเรื่องแปลก บิลบอกเธอ แต่ผมคิดว่าคุณควรเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน คนเรามีความกลัวกันได้ทั้งนั้น และมิลลิเซนต์ดีใจที่เขาคิดอย่างนั้น ส่วนลึกเธอรู้ดีแก่ใจว่าอย่างไรก็ไม่มีทางรักษาโรคที่เป็นเหมือนส่วนหนึ่งของร่างกายได้ เช่นนั้นเธอก็ไม่คิดจะรักษามันอีกต่อไป ไม่มีบิลที่เป็นจิตแพทย์ของเธออีกแล้ว บทบาทเดียวของเขาในตอนนี้คือสามีที่รัก รับฟัง และคอยปกป้องดูแลเธอ

    วันถัดมา บิลกับมิลลิเซนต์ออกไปเล่นน้ำพูดคุยกันที่ชายหาดตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนตกดิน เมื่อรัตติกาลมาเยือน ทั้งคู่ก็นั่งคุยกันในห้องรับแขกพร้อมกับเปิดทีวีดูไปด้วย บนจอกำลังออกอากาศรายการสยองขวัญ บิลไม่ได้สนใจดูมากนัก ผิดกับมิลลิเซนต์ มันเป็นรายการโปรดที่เธอดูทุกสัปดาห์ เธอชอบเรื่องลี้ลับเขย่าขวัญ แม้จะหวาดกลัวกับเรื่องพวกนี้ หรือกระทั่งเคยประสบพบเจอมาแล้วก็ตาม

    ดอลเพลแกงเกอร์ หรือก็คือแฝดปีศาจ...

    บทสนทนาสัพเพเหระของพวกเขาพลันหยุดกลางครัน ผู้ดำเนินรายการยังคงพูดต่อไปจากริมฝีปากที่ขยับ แต่หูของมิลลิเซนต์ไม่อาจรับรู้มันเป็นถ้อยประโยคได้อีก บิลรีบลุกไปปิดโทรทัศน์ ก่อนมานั่งข้างภรรยาที่ได้แต่ตัวสั่น จนต้องจับไหล่ทั้งสองข้างของเธอไว้มั่น ไม่ให้มันสั่นมากไปกว่านี้

    “ตั้งแต่มาที่นี่ ทุกอย่างก็ดูจงใจไปหมด”

    แม้มิลลิเซนต์จะไม่ได้มองหน้าคนที่พูดด้วย บิลก็รับฟังเธออย่างเต็มใจ

    “ฉันรู้สึกว่าตัวฉันในกระจก...ฉัน...ที่อยู่ในเงามืด อยากจะออกมามีตัวตนเต็มทีแล้ว และทุกอย่างในตอนนี้ มันบังเอิญมากเกินไป เหมือน...เหมือนกับมันรอคอยโอกาสนี้”

                    “ไม่ มิลลี” บิลรวบร่างที่สั่นงันงกเข้ามากอดแน่น รู้ดีว่าสิ่งที่เธอต้องการที่สุดในตอนนี้คือความปลอดภัย คือเขา “เธอมีฉัน เธอจะปลอดภัย ไม่มีใคร...หรืออะไร จะมาแย่งเธอไปได้”

    “บิล เรากลับกันเถอะ” มิลลิเซนต์ดันตัวออก มองหน้าสบตาคนที่อยู่ข้างกาย “นะ”

    “อืม” เขาพยักหน้า ตอบรับ “พรุ่งนี้เราจะออกกันแต่เช้า แต่คืนนี้คุณนอนพักก่อนเถอะนะ”


    มิลลิเซนต์รู้สึกตัวตื่นหลังจากบิลพาเธอเข้านอน เมื่อหันมองนาฬิกาดิจิตอลบนโต๊ะข้างที่นอน มันบอกเวลา 01:01 เลขคู่

    ขนทุกเส้นในกายพร้อมใจลุกชันกรูเกรียว จริงอยู่ว่ามีลมพัดโพยเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ ทว่าสิ่งที่มิลลิเซนต์รู้สึกไม่ใช่ลมทะเลอบอุ่น แต่มันเย็นเยือก เป็นบรรยากาศของความไม่น่าไว้วางใจ

    ...เหมือนกับวันนั้น

    เธอพลิกตัว แต่กลับไม่มีวี่แววของคนที่ควรนอนข้างเธอ บิลหายไปไหน? มิลลิเซนต์ได้แต่คู้ตัว รอคอยบิลกลับมา เขาอาจคอแห้งเลยไปหาน้ำดื่ม หรือไม่ก็อาจลุกไปเข้าห้องน้ำ เธอจะรอจนเขากลับมา

    ...แต่เขาไม่กลับมา

    แม้จะล่วงเลยผ่านไปพักใหญ่แล้ว...หรือที่จริงมันอาจจะแค่ไม่นาน แต่ความรู้สึกของคนที่ต้องรอนั้นราวกับยาวนานไม่รู้จบ มิลลิเซนต์พบว่าไม่มีอะไรทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยได้เลย เมื่อหลับตาก็ได้ยินเสียงเงียบเชียบจากรอบด้าน ประหนึ่งความเงียบคือสุ้มเสียงที่ทุกคนสดับได้ แต่ก็ไม่แน่ ความเงียบอาจถูกจำแนกให้อยู่ในจำพวกเสียง ความคิดของมิลลิเซนต์ฟุ้งซ่านไปเรื่อยยิ่งกว่าเดิม

    เธอเปิดตาขึ้น เสียงของความเงียบหายไปฉับพลันเมื่อประสาทสัมผัสด้านอื่นถูกเปิด มิลลิเซนต์ไม่รู้เลยว่าควรวางสายตาไว้ตรงไหน เมื่อทุกสิ่งดูจะทำให้เธอหวาดกลัวได้ทั้งนั้น ภาพที่คุ้นเคยของห้องนอนที่มีแสงจันทร์ภายนอกสาดส่องเข้ามา กลับดูหวาดหวั่นและทำให้เธอหวาดผวา แค่ผ้าม่านไหวก็ทำให้สะดุ้งจนตัวโยน มิลลิเซนต์คิดว่าเธอไม่ไหวแล้ว หญิงสาวลุกขึ้นจากเตียง พรวดร่างออกไปจากห้อง เธออาจเจอบิลข้างนอก หรือถ้าไม่ เธอก็ไปรอเขาที่ห้องรับแขกได้ ยังไงมันก็ไม่น่ากลัวเท่าในห้องนอน

    ทางเดินจากห้องนอนไปถึงห้องรับแขกไม่ได้ไกลเลย ทว่าในยามนี้มิลลิเซนต์กลับรู้สึกว่ามันยาวไกลเหลือเกิน ขาชาราวกับมีเข็มนับร้อยเล่มทิ่มแทงจนเดินไม่ได้ขึ้นมากะทันหัน

    แล้วมิลลิเซนต์ก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อเธอ

    มันแผ่วเบาแทบไม่ต่างจากเสียงหวีดหวิวของสายลม แต่มิลลิเซนต์รู้ว่าไม่ใช่ เธอไม่ได้คิดไปเอง มันเป็นเสียงของใครบางคนกระซิบเรียกชื่อเธออย่างแน่นอน

    แม้ความกลัวถูกขับเน้น กระนั้นขาก็ยังแข็งทื่อ ฝืนขยับก็ทำเอาเกือบล้มจนต้องพยุงตัวยันกับกำแพง เมื่อปวดชาจนไปไหนไม่ได้ มิลลิเซนต์ก็จำต้องยอมหันมองด้านหลังในที่สุด ไม่ว่าความกลัวจะมากมายเพียงไหน ความอยากรู้อยากเห็นที่มีก็เอาชนะได้เสมอ

    กระจกเงาครึ่งตัวบานใหญ่อยู่ที่สุดทางเดิน

    มิลิเซนต์เคยเห็นมันแขวนอยู่ตรงนั้นตั้งแต่วันแรกที่มาถึง หวาดกลัวมากจนต้องบอกให้บิลช่วยปลดมันลง แต่บัดนี้กระจกทรงกลมบานใหญ่นั้นกลับมาอยู่ที่เดิม ทั้งยังปราศจากผ้าสีขาวห่อคลุมเหมือนตอนที่บิลเอามันไปไว้ในห้องเก็บของ

    ภาพของเธอบนทางเดินมืดๆสะท้อนอยู่ในกระจก

    แต่ภาพเธอในกระจกก็ยังเป็นเธอ หน้าตาเหมือนเธอ ท่าทางเหมือนเธอ ไม่มีอะไรแม้แต่น้อยที่ผิดแปลก ชั่วยามที่นานเกินพอจนมิลลิเซนต์สั่งตัวเองว่าให้หยุดมองได้แล้ว แต่ไม่รู้ทำไมเธอถึงยังจ้องมองภาพของตัวเองในกระจกอยู่อย่างนั้น ทุกอย่างเหมือนเดิม เธอก็ยังเป็นเธอคนเดิม

    มิลลิเซนต์เกือบเชื่อว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้ว ความกลัวของเธอไม่มีอยู่จริง ไม่มีอะไรในกระจกทั้งนั้น นอกจากภาพสะท้อน

    แต่ในตอนนั้นเอง หญิงสาวในกระจกก็เริ่มเอียงคอ

    ...แต่เธอไม่ได้เอียงคอ

    ถอนสายตาไม่ได้ราวกับมีบางอย่างตรึงใบหน้าไว้ ขายังคงชาเหน็บ ขยับเขยื้อนไปไหนไม่ไหว แต่มันในกระจกมีอิสระที่จะเคลื่อนไหวอย่างง่ายดาย แม้ภาพที่เห็นจะทำให้เธอเข่าอ่อนแทบทรุด และสิ่งที่อัดแน่นอยู่เต็มอกก็คือความรู้สึกอยากร้องไห้ แต่ไม่เลย มันเหมือนกับเธอรู้สึก...เธออยาก...แต่เธอทำไม่ได้ เหมือนร่างกายของเธอไม่ใช่ของเธอ เธอเป็นแค่พาหนะ รับรู้ทุกอย่างได้ แต่คนควบคุมไม่ใช่เธอ

    ในตอนที่มิลลิเซนต์คิดจะเปล่งเสียงเรียกชื่อคนรัก มันในกระจกก็ยกนิ้วชี้ข้างหนึ่งขึ้นแตะปากดั่งล่วงรู้ความคิด แล้วริมฝีปากที่อยู่ด้านหลังนิ้วเรียวยาวของมันก็เริ่มยิ้มโดยไม่เห็นฟัน ยิ้มจนสุดที่จะยิ้มได้อีก ก่อนคงค้างอยู่อย่างนั้น มองสบตาเธอด้วยใบหน้าที่เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว น้ำตาไหลอาบแก้มของมิลลิเซนต์ ความกลัวเย็นวาบเข้าไปถึงไขสันหลัง

    มันในกระจกลดมือลงแล้ว แต่ก็ยังยิ้มให้เธอด้วยรอยยิ้มชวนสยอง จากนั้นมันก็เดินมาจนติดกับบานกระจก แล้วก็พยักหน้า ไม่ใช่ มันผงกหัว...เพื่อเรียกเธอ...เข้าไปหา

    ไม่มีทาง! เธอไม่มีทางเดินไปหามันแน่นอน! แต่เธอควบคุมตัวเองไม่ได้ ขายังชาเหน็บ แต่หนักอึ้งกว่าเดิมเหมือนมีลูกตะกั่วถ่วงไว้ หากมันก็ก้าวออกไป มิลลิเซนต์ร้องโอดโอยพร้อมกับพยายามทรงตัวให้อยู่ มันไม่เจ็บ แต่การต้องเดินทั้งที่รู้สึกเหมือนมีอะไรถ่วงก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

    แต่เรื่องนั้นไม่ใช่สิ่งที่รบกวนจิตใจเธอมากเท่ากับอีกไม่ช้า เธอก็จะไปถึงหน้ากระจก...ประจันหน้ากับคนในกระจก

    ซึ่งมันไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการ

    จิตแพทย์ทุกคน – ไม่เว้นแม้แต่บิลคนก่อน พวกเขาบอกให้เธอรับมือกับความกลัว อย่าไปกลัวความมืด อย่าไปกลัวกระจก พวกเขาบอกเธออย่างนั้น คุณต้องรู้จักเผชิญหน้ากับความกลัว

    แต่ไม่! มิลลิเซนต์ไม่ต้องการ เธอยินดีให้มันเป็นโรคร้ายกัดกร่อนร่างกายกลืนกินจิตใจ ยินดีจะหนีไปตลอดทั้งชีวิต แต่ตอนนี้เธอกลับถูกดึงให้มาเผชิญหน้ากับมัน!

    สิ่งที่กั้นระหว่างเธอกับมันตอนนี้มีเพียงแค่แผ่นกระจก รอยยิ้มเลือนหายไปจากใบหน้าของมันแล้ว ปากของมันขยับราวกับต้องการจะพูดบางอย่าง ทว่าใบหน้าที่บิดเบี้ยวเหยเกนั้น เหมือนบอกว่าการจะพูดออกมาได้สักคำช่างเป็นเรื่องทรมานยากเย็น

    แล้วเธอก็ได้ยินมันพูด

    “ช่วย...เขา”

    คำพูดห้วน แข็ง และน้ำเสียงแหบจัด ไม่ใช่สิ่งเดียวที่ทำให้เธอผวา เมื่อจากนั้นมิลลิเซนต์ก็เห็นเงาสีดำปรากฏเข้ามาในกระจก เงาร่างนั้นอยู่สุดกระจกจนมองเห็นใบหน้าได้ไม่ชัด แต่มันกำลังเดินตรงมาอย่างเชื่องช้ามั่นคง ริมฝีปากของมิลลิเซนต์อ้าค้าง ทว่าความตกใจเกาะกุมกัดกินจนพูดอะไรไม่ออก

    เธอกลัวจะได้เห็นใบหน้าของเงาสีดำนั้น กลัวมันจะเข้ามายืนแทนที่เธอในกระจก

    แต่ในตอนนั้นเอง มิลลิเซนต์ก็ถูกรวบตัวเข้าไปอย่างเร็ว แผ่นหลังของเธอหันให้กับกระจก และคนที่อยู่ตรงหน้าเธอก็คือบิล

    มิลลิเซนต์ส่งเสียงร้องไห้ออกมาได้ในที่สุด ความรู้สึกปวดชาที่ขาก็หายไปด้วย ถึงตอนนี้จะมีคนช่วยพยุงร่างปวกเปียกของเธอแล้วก็ตาม

    “บิล! ขอร้องล่ะ! ฉันไม่ไหวแล้ว! ฉันอยากกลับบ้าน!

    “ได้ เราจะกลับกัน” บิลกระซิบตอบ ลูบผมนุ่มอย่างปลอบโยน พร้อมกันนั้นก็เหลือบตาขึ้นมองกระจกด้านหลังภรรยาของเขา

    ภาพที่สะท้อนอยู่ในกระจกไม่ใช่แค่เงาดำอย่างที่มิลลิเซนต์เห็นอีกต่อไป บัดนี้เงานั้นปรากฏรูปร่างหน้าตาชัดเจน

    ...รูปร่างหน้าตาที่เหมือนกับสามีของเธอไม่มีผิดเพี้ยน

    บิลในกระจกพยายามจะพูดอะไรออกมา แต่ราวกับการเค้นคำมันช่างยากเย็นเหมือนที่มิลลิเซนต์ในกระจกเป็น บิลที่อยู่หน้ากระจกยกยิ้มมุมปาก ขยับปากพึมพำโดยปราศจากเสียงว่า ลาก่อน ก่อนปัดกระจกบานใหญ่จนมันร่วงลงไปแตกกระจายบนพื้น มิลลิเซนต์สะดุ้ง แต่ไม่ได้กลัว สิ่งที่เธอรู้สึกคือความโล่งใจ และเธอดีใจที่เขาทำแบบนั้น

    ถ้าเพียงแต่เธอจะได้เห็นรอยยิ้มของคนรักที่กอดเธอไว้ รอยยิ้มสุดริมฝีปากแต่ไม่เปิดปาก

    รอยยิ้มที่เหมือนกับมิลลิเซนต์...คนที่อยู่ในกระจก


    -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


    https://66.media.tumblr.com/9d68a495c4c286168327918d6a82e057/tumblr_pekjf3Scqh1we20sfo1_r1_540.gif
    . เรา
    รู้ว่าการอธิบายจะทำให้เรื่องเสียความลึกลับ แต่มันมีจุดบอดและจุดบกพร่องเยอะมาก (เราจะอ้างว่าเพราะมันเป็นแนว horror เรื่องแรกที่เราเคยแต่ง) จนคิดว่าเราควรออกโรงอธิบายเอง 555
    1. บิลในกระจกสับเปลี่ยนกับตัวจริง 100%
    2. มิลลิเซนต์ในกระจกไม่มีพิษภัย ที่ยิ้มก็เพราะอยากผูกมิตร ดีใจที่ได้เจอ แต่ตัวเองไม่รู้ว่ามันน่ากลัว เราอยากอธิบายมาก เพราะเชื่อว่าแต่งให้เข้าใจตรงนี้ไม่ได้แน่นอน T v T ปกติคนในกระจกพูดไม่ได้ ดังนั้นก็เลยต้องเค้นถ้าจะพูด บิลตัวจริงเข้าไปติดในกระจกนานเกินจนแทบพูดไม่ได้ และเราจะแถว่าที่บิลในกระจกพูดได้หลังออกมาจากกระจก เพราะฝึกมานานแล้ว
    3. ไม่มีคำอธิบายให้กับร่างหรือตัวตนในกระจก แต่อย่างหนึ่งที่ยืนยันได้คือเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติแน่นอน ไม่ใช่การทดลอง

    . เราคารวะผกก.จอร์แดน พีลมาก (แน่นอนว่าจากหนังเรื่อง Get Out) และ Us ก็คือหนึ่งในหนังที่เราอยากดูที่สุดในปี2019 ตัวหนังสอดแทรกนัยยะ สัญลักษณ์ การเมือง และความเป็นอเมริกันชน แต่เราโง่ (ฮา) แล้วก็ตั้งใจแต่งให้เป็น pure horror ไม่มีที่มาที่ไปเหมือน Twilight Zone อยู่แล้ว มิลลิเซนต์เป็นชื่อนางเอก Twilight Zone ตอน Mirror Image ที่พีลบอกว่าเป็นไอเดียให้หนังเรื่องนี้ (ในยูทูบมี) ส่วนชื่อพระเอก ตอนแรกเรายังนึกชื่อที่อยากได้ไม่ออก ตอนแต่งเลยพิมพ์เป็นบิลไป สุดท้ายพอแต่งเสร็จก็ยังไม่เจอชื่อที่อยากได้ บิลก็บิลวะ lol

    . เราแต่งเรื่องนี้ตั้งแต่วันที่ 28 มีนา หลังกลับมาจากดูเรื่อง Us เลย แต่กว่าจะแต่ง+เกลาจบได้ก็ล่วงเลยมาจนถึงตอนนี้ (หักออกไปสิบวันที่เราทำแต่งานจนไม่มีเวลา) เรามีตอนต้นกับตอนจบในหัว แต่ตอนกลางทำเราลำบากมาก..

    . เราคิดพล็อตนี้ขึ้นมาได้เอง (ไม่ได้จะชมตัวเอง เพราะพล็อตแบบนี้มันไม่ได้ใหม่เลย เกร่ออีก..) แต่พอแต่งไปเราก็นึกขึ้นมาได้ว่าตอนจบเรื่องนี้คล้ายคลึงกับการ์ตูนเรื่องหนึ่งของจุนจิ อิโต้ ในชุดคลังสยองขวัญลงหลุม เนื้อเรื่องมีอยู่ว่า พระเอกอีกคนที่อยู่ในความฝันของพระเอก อยากออกมาข้างนอกและสับเปลี่ยนกับร่างพระเอกตัวจริง เพราะหลงรักนางเอกที่เป็นแฟนพระเอก สุดท้ายตอนจบนางเอกกับพระเอกตัวจริงก็ถูกดึงเข้าไปในความฝัน และตัวที่อยู่ในความฝันก็กลับด้านออกมาอยู่ข้างนอกแทน เราไม่ได้อ่านคลังสยองตอนนี้มานานแล้ว แต่เราก็คิดว่าคงได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องนี้ด้วยแน่นอน แหะแหะ

    -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
         
    Z y c l o n
       
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×