คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : THE SUN & THE SUN : บทนำ
บทนำ
“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว..บนท้องฟ้ามีพระอาทิตย์สองดวง และยังมีพระจันทร์สองดวงเช่นกัน”
“…”
“ฉะนั้นแล้วยามกลางวันจึงร้อนระอุและกลางคืนก็เย็นเยือกนัก..สิ่งมีชีวิตทุกสิ่งต่างตื่นตระหนก ผู้คนก็ลำบากยากเข็ญ”
“…”
“ดังนั้นวีรบุรุษจึงปรากฏตัวขึ้น เขาใช้ลูกศรยิงพระอาทิตย์และพระจันทร์ลงมาอย่างละดวง..โลกใบนี้จึงได้สงบสุข”
น้ำชาสีอ่อนถูกรินลงในถ้วยกระเบื้องเนื้อละเอียด ส่งกลิ่นหอมกรุ่นเบาบางตามฉบับของใบชาสายพันธุ์ดี ถ้วย
กระเบื้องใบงามถูกยกขึ้นจรดริมฝีปากก่อนที่น้ำเสียงนั้นจะเอื้อนเอ่ยต่อไป
“ใช่แล้ว..วีรบุรุษนั้นมักปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางความโกลาหล เจ้าคิดเช่นนั้นหรือไม่หลานชาย?”
เงยพระพักตร์ขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองใบหน้าของผู้สนทนาที่ตนนั้นเรียกว่าหลานชาย
“การที่ฝากท้องมาเกิด ก็ถือว่าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองเช่นกัน..ฝ่าบาทของเราทรงโปรดลีซองกุนอย่างมาก จึงทำให้เกิดกลุ่มที่มีอำนาจสนับสนุนลีซองกุนอยู่ เช่นนั้นแล้วเราควรจะทำเยี่ยงไรล่ะ..เราไม่ควรจะนั่งเฉย รอให้วีรบุรุษปรากฏตัวขึ้นมาเองใช่หรือไม่”
“กระหม่อมช่างโง่เขลาที่ไม่สามารถเข้าใจความหมายของพระพันปีหลวงพะยะค่ะ”
“จงเป็นวีรบุรุษ และจงเป็นผู้ที่จงรักภักดี”
องค์พระพันปีแย้มพระสรวลขึ้น ซ่อนความนัยของประโยคนั้นไว้ภายใต้น้ำเสียงราบเรียบพลางเลื่อนสายพระเนตรเข้าสบกับหลานชายในชุดผ้าแพรพรรณสีน้ำเงินเข้มบ่งบอกถึงสถานะขุนนางที่ยุนมยองมุนดำรงอยู่ ณ ตอนนี้
“เพราะราชบัลลังก์มีเพียงหนึ่งเดียว..บนท้องฟ้าจึงจำต้องมีเพียงพระอาทิตย์ดวงเดียวเท่านั้น หากลีซองกุนยังมีชีวิตอยู่จะเป็นการคุกคามบัลลังก์ของฝ่าบาท..”
“เพราะฉะนั้นเจ้าจะต้องทำให้เขา..หายตัวไปจากโลกใบนี้”
--THE SUN & THE MOON--
เฮือก..!!!
สะดุ้งสำนึกตัวตื่นขึ้นจากนิทราดวงตาที่ปิดสนิทเบิกขึ้นกลางความมืดมิดยามราตรี นางแห่งหอธิดาเทพผุดตัวลุกขึ้นนั่งผ่อนลมหายใจที่กำลังหอบเข้าออกหนักหน่วงพร้อมกับเม็ดเหงื่อที่ผุดพรายขึ้นเต็มใบหน้า
“เกิดอะไรขึ้นอารี? นี่มันดึกดื่นมากแล้วเจ้าจะไปไหน!?”
“เจ้าไม่รู้สึกเลยหรือแจวอน? มีกลิ่นไอแห่งการฆ่าฟันเกิดขึ้นเป็นแน่” เบนใบหน้าตื่นตระหนกหันมองสหายสนิท ตั้งท่าจะหยัดกายยืนขึ้นหากแต่ถูกฉุดรั้งข้อมือไว้เสียก่อน
“ถึงแม้ว่าเจ้าจะไป เจ้าก็ทำอะไรไม่ได้”
“ถึงเป็นเช่นนั้นข้าก็ต้องออกไปดู คนๆนั้นตกอยู่ในอันตราย”
“อารี! อารี!!” ตะโกนตามไล่หลังพลางรีบหยัดกายลุก สาวเท้าวิ่งตามหลังร่างของสหายรักที่เพิ่งสะบัดข้อมือจนหลุดจากการเกาะกุมแล้วผลุนผลันออกไปก่อนหน้านี้
“อะ..อารี!!!!” ส่งเสียงเรียกเจ้าของชื่อเป็นครั้งสุดท้ายก่อนร่างทั้งร่างที่ออกแรงวิ่งนั้นจะหยุดชะงัก นางธิดาเทพเงยหน้าขึ้นดูผืนฟ้าที่มืดสนิทกว่าค่ำคืนไหน จันทรากำลังถูกเมฆหมอกกลืนกินก่อนจะเปล่งแสงสว่างออกมาอีกครา ..สัมผัสพิเศษติดตนจึงทำให้รับรู้ถึงนิมิตหมายร้ายนี้
เค้าลางแห่งการสูญเสียนั้นมาถึงแล้ว..
--THE SUN & THE MOON--
“ไม่ได้เจอกันเสียนานพะยะค่ะ องค์ชายใหญ่ลีซองกุน”
เอ่ยถ้อยคำทักทายราวกับพบปะเจอมิตรสหายโดยทั่วไป หากแต่คำพูดนั้นในยามนี้กลับแฝงกระแสความเยาะเย้ยไว้ในที ขุนนางหนุ่มเหยียดร้อยยิ้มก้มมองร่างสูงโปร่งแสนองอาจ ที่บัดนี้กลับนั่งทรุดลงอยู่
หมดท่าเพียงเท่านี้เสียแล้วหรือองค์ชาย...
“ที่แท้..ก็เป็นคนรู้จักที่มาบ้านข้าอยู่ทุกวันนั่นเอง”
องค์ชายใหญ่เงยพระพักตร์ขึ้นมองผู้ทรยศ พระหัตถ์ที่เคยขาวสะอาดกลับชุ่มเหนียวด้วยโลหิตสีแดงชาดจากการกอบกุมรอยแผลที่พระหาพุขององค์เอง สุรเสียงแหบพร่าเอ่ยขึ้นใหม่อีกครา
“เมื่อก่อนเจ้าอยากจะให้ข้าเป็นผู้นำเพื่อหวังจะมีอำนาจมากขึ้น แต่ตอนนี้ดูเหมือนเจ้าจะทำงานให้อีกฝ่ายหนึ่งแล้ว..เจ้าอยากจะรับใช้ผู้นำคนอื่นหรืออย่างไร”
“แน่นอนที่ข้าจะรับใช้คนอื่น ในอนาคต ตัวข้านั้นจะเป็นผู้ที่จงรักภักดีต่อฝ่าบาท ท่านเองเคยบอกว่ามีเพียงเชื้อพระวงศ์เท่านั้นที่มีคุณสมบัติคุยเรื่องการเมืองได้ ส่วนคนพวกอื่นๆไม่มีคุณสมบัติใช่หรือไม่”
“ฝ่าบาทจะไม่ทรงหลงกลกบฏอย่างเจ้าหรอก! ข้าอยากจะเห็น ว่าฝ่าบาทจะทรงเชื่อใคร!”
“แต่ช่างน่าเสียดายจริงๆ องค์ชายใหญ่ ที่พระองค์จะไม่มีโอกาสได้พบกับฝ่าบาทอีก งั้นข้าจะขอส่งพระองค์เลยก็แล้วกัน”
ระบายรอยยิ้มมากขึ้นที่มุมปากพร้อมกับมือที่เลื่อนชักอาวุธคู่ใจคมกริบนั้นออกจากฝักอย่างเชื่องช้าพลางทอน้ำเสียงนุ่มพูดคล้ายจะปลอบใจคนที่ตนใกล้จะปลิดชีพลงไปเต็มที
“ไม่ต้องห่วงหรอกองค์ชาย สหายสนิทของพระองค์ได้ไปก่อนล่วงหน้าแล้ว”
เพียงเสี้ยวพริบตาที่คมดาบนั้นถูกเหวี่ยงออก เสียงของมีคมเฉือนเข้าในเนื้อหนังนุ่มสร้างความพอใจให้แก่ขุนนางผู้ได้ยินยิ่งนัก เพียงแต่นั่นยังไม่เท่ากับการที่ร่างขององค์ชายใหญ่ที่เพิ่งโดนสาดคมดาบเข้าใส่เมื่อสักครู่นั้นล้มนิ่งลงแทบเท้าพร้อมกับโลหิตที่สาดกระเซ็นไปจนทั่ว
ยุนมยองมุนยืนมองร่างไร้วิญญาณอย่างสาสมแก่ใจตน
“วันนี้เป็นวันดี ที่มีแสงจันทร์เคียงข้างข้า หนทางสู่ยมโลกนั้นคงไม่ยากที่จะเดินไป”
ยกดาบนั้นขึ้นต้องกับแสงจันทร์ พลิกดูรอยเลือดที่ยังคงเปรอะเปื้อนอยู่พร้อมรอยยิ้มพิสมัย แต่หาได้ยิ้มนานนักเมื่อพบสิ่งที่ไม่น่าจะเห็นในยามนี้ คมดาบสีเงินวาวต้องแสงจันทร์สะท้อนภาพของใครคนหนึ่ง จึงไม่รอช้าที่จะหันกลับไปมองทางด้านหลัง..
และสบสายตากับหญิงสาวที่หลบเร้นดูการกระทำอันชั่วช้าอยู่หลังกำแพงนั่น!
“ตามนางไป!!”
--THE SUN & THE MOON--
เร็วเท่าความคิด อารีรีบก้าวเท้าออกแรงวิ่งจนสุดตัว สายตาก็คอยเหลือบลอบมองไปทางด้านหลัง ยิ่งมองเห็นกลุ่มมือสังหารชุดดำที่ไล่ล่านางมาอย่างกระชั้นชิด ก็ยิ่งรีบเร่งจ้ำก้าวรวดเร็วมากขึ้นหากแต่ไม่นานก็ต้องหยุดชะงักฝีเท้าลงในทันใด เพราะโชคชะตานั้นช่างไม่เข้าข้างนางเอาเสียเลย
เมื่อหนทางด้านหน้านั้นเป็นเหวที่ไม่รู้กระทั่งความลึก นางจะวิ่งต่อไปในทางไหนกัน!
นางธิดาเทพฝึกหัดหันหลังกลับ สายตากวาดมองชายชุดดำที่กำลังตีวงล้อมเข้าใกล้ตนมากขึ้นเรื่อยๆ หญิงสาวหอบหายใจหนัก เม็ดเหงื่อยิ่งผุดพรายขึ้นมากกว่ายามที่เพิ่งตื่น ความรู้สึกกลัวเข้าเกาะกุมหัวใจมากขึ้นทุกขณะ นางจะรอช้าไม่ได้อีกแล้ว! หมุนกายหันหน้าเข้าหาปากเหวนั้นอีกครั้งปิดเปลือกตาลงจนโลกมืดสนิทไม่เห็นสิ่งใด ขบปากกลั้นลมหายใจขณะที่ในหัวกำลังใช้ความคิดตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวก่อนจะทิ้งตัวกระโดดลงไปยังเหวนั้นโดยไม่รู้จุดหมาย
ยอมที่จะเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเอาดาบหน้า ดีกว่าตายเพราะคนชั่วเหล่านี้!
กลุ่มมือสังหารกรูเข้าล้อมปากเหว ก่อนจะค่อยๆลัดเลาะลงตามหญิงสาวที่เพิ่งทิ้งร่างลงไปไม่นาน สอดสายตามองหวังจะหาร่างที่ร่วงหล่นแต่ก็ไม่พบสิ่งใดไปนอกจาก ผ้าผูกผมสีแดง
ผ้าผูกผมประจำสำนักเทพ...ตำหนักเทพซองซูชอง
--THE SUN & THE MOON--
“ว้าย!! ตายแล้ว!!!!!”
ครืดด..
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมจ้าถึงร้องโวยวายเสียงดัง?”
“มีคน! คนตรงนั้นเจ้าค่ะนายหญิง มะ ไม่ใช่นั่นศพ..ไม่ใช่เจ้าค่ะ นั่นคน!”
“วางข้าลง”
เกี้ยวคันงามค่อยๆถูกวางลงอย่างเบามือตามคำสั่งของผู้เป็นนายหญิง สาวใช้ที่ยังคงตระหนกรีบกุลีกุจอไปเปิดเกี้ยวออกพลางประคองนายหญิงของตนที่กำลังตั้งครรภ์แก่ให้ออกมาภายนอกอย่างระมัดระวัง
“นายหญิงระวังเจ้าค่ะ! คุณหนูในท้องจะตระหนกตามเอาได้ ได้โปรดกลับเข้าไปในเกี้ยวเถอะเจ้าค่ะ” รีบตามเข้าไปประคองพลางร้องขอขึ้นเมื่อเห็นว่านายหญิงของตนผลุนผลันเข้าไปหาร่างหนึ่งที่นอนขวางทางเกี้ยวอยู่จนนางสาวใช้ตกใจ
“ชีวิตคนตกอยู่ในอันตรายอย่างนี้ เจ้าจะให้ข้าทำไม่รู้ไม่ชี้ได้อย่างไร” นายหญิงชินหันไปเอ็ดสาวใช้เสียครั้งหนึ่งก่อนจะเบนสายตากลับไปมองร่างบอบช้ำน่าเวทนาของหญิงสาวแปลกหน้า
“นาย...ท่าน..” น้ำเสียงที่เปล่งจากร่างนั้นช่างอิดโรย แต่สามารถสื่อให้ผู้พบเจอทราบได้ว่าตัวนางยังคงมีลมหายใจอยู่
“ตื่น เจ้าตื่นสิ ตื่น!” ฝ่ามือขาวละเอียดตบลงไปเบาๆบนแก้มของร่างบอบช้ำนั้นเบาๆเพื่อเรียกสติ แต่ช่วยอะไรไม่ได้มากมายนัก นายหญิงทอดสายตามองหญิงแปลกหน้าอย่างปราณีก่อนจะออกค่ำสั่งต่อไป
“จะปล่อยนางไว้แบบนี้ไม่ได้ พานางเข้าไปในเกี้ยว!”
“เราไม่รู้จักว่านางเป็นใครมาจากไหน จะช่วยนางได้ยังไงเจ้าคะนายหญิง”
“มานี่เร็ว! มาช่วยหน่อย” หาได้ฟังคำทัดทานจากสาวใช้ไม่ นายหญิงชินตะโกนเรียกทาสชายให้เข้าช่วยประคองพาผู้บาดเจ็บเข้าไปอยู่ในเกี้ยวเดียวกันกับตนอย่างไม่นึกถือตัว สาวใช้ส่ายหน้าไปมาให้กับความเมตตาอันดื้อรั้นของนายตน จำต้องพยักพเยิดหน้าให้ออกเกี้ยวต่อไปอย่างเสียไม่ได้
นางเป็นใครมาจากไหนไม่อาจทราบ ข้าละกลัวนางจะนำภัยมาให้ท่านจริงๆนายหญิง
คิดในใจพลางสะบัดหน้าไปมาไล่ความคิดร้ายเหล่านั้น พยายามจะมองโลกในแง่ที่ดี แต่มันก็ดีได้ไม่นานเท่าใดนักเมื่อเดินทางมาจนถึงทางเข้าเมือง
“หยุดเกี้ยว!” คำสั่งเสียงเข้มดังมาจากนายทหารชั้นสูงที่ยืนคุมอยู่ยังปากทางเข้าเมือง สาวใช้รีบเดินเข้าไปหานายทหารหนุ่ม โค้งตัวลงทำความเคารพก่อนจะเอ่ยถามข้อข้องใจ
“นายท่าน เหตุใดท่านจึงหยุดเราเจ้าคะ”
“เรากำลังตามจับกบฏที่หนีอยู่ เปิดม่านเกี้ยวสิ” เอ่ยตอบไขข้อข้องใจพร้อมกับมือที่ยื่นรูปเขียนใบหนึ่งให้กับนางสาวใช้ดู
เฮือก..! นะ..นี่มันนางคนนั้น.. ที่นายหญิงของเราช่วยไว้ ข้านึกแล้วไม่มีผิดเชียว!
“มะ ไม่ได้ ทำเช่นนั้นไม่ได้ ทะ..ท่านจะมาขอเปิดผ้าม่านเรื่อยเปื่อยได้อย่างไร” นายทหารหนุ่มมองท่าทางลุกลี้ลุกลนอย่างเป็นพิรุธนั้นก่อนจะย่ำเท้าเดินตรงไปยังเกี้ยวหลังงาม ถือวิสาสะเปิดม่านเกี้ยวออกอย่างไร้ซึ่งมารยาทที่ควรจะมี
ครืดด..
“เกิดอะไรขึ้น? ทำไมถึงหยุดพวกเรา”
“เรากำลังจับกบฏ กรุณาเดินออกจากเกี้ยวสักครู่..เอ่อ...”
นายทหารลดสายตาลงมองที่หน้าท้องนูนสูงใต้เสื้อผ้าแพรเนื้องามละเอียด บอกฐานะให้รู้ว่าสตรีบนเกี้ยวนี้เป็นผู้มียศศักดิ์ นายหญิงชินเหลือบสายตามองร่างของหญิงสาวที่หลบซ่อนกายสั่นระริกไว้ภายใต้กระโปรงของตนก่อนจะเอ่ยเสียงนุ่มพร้อมรอยยิ้มบาง
“ข้าเพิ่งกลับจากการไปสวดมนตร์ให้กับลูกในท้อง เดินไปมาไม่สะดวกนัก ถ้าท่านสงสัยอะไรละก็ โปรดตามข้ากลับไปที่เรือน เอาอย่างนั้นดีหรือไม่?”
“ขออภัยในความไม่สุภาพ” นายทหารยิ้มจืดเจื่อน เลื่อนมือปิดม่านให้สตรีบนเกี้ยวอย่างเบามือ ออกคำสั่งให้ยกเกี้ยวนั้นผ่านไป หากเมื่อผ่านไปได้เพียงนิดหนึ่งสายตากลับเลื่อนลงเห็นรอยเลือดที่เปื้อนติดอยู่บนพื้นดินอย่างน่าสงสัย
“เดี๋ยว! หยุดเกี้ยว!” สั่งเสียงเข้มพร้อมกับรีบวิ่งมาเลื่อนม่านเกี้ยวออกอย่างไร้มารยาทดังเก่า
“โปรดออกมะ..”
“ตายแล้วนายหญิง เลือด..เลือด!” สาวใช้ที่ยืนอยู่ข้างกันนั้นรีบออกแรงดันร่างนายทหารออกไปก่อนที่ตนจะแทรกเข้าไปดูอาการนายหญิงของตน ที่บัดนี้กำลังร้องโอดครวญอยู่ทั้งมือที่ขยำกระโปรงผ้าแพรไว้ระบายความเจ็บปวดและที่กระโปรงผ้าแพรสีสวยนั้นชุ่มไปด้วยเลือดสีแดงสด
“ท่านหมอยิ่งบอกว่าท่านต้องระวังตัว ได้โปรดรีบปล่อยพวกเราไปโดยเร็ว” เห็นนายทหารทำท่าทีลังเลอยู่เช่นนั้นสาวใช้จึงรีบเอ่ยขึ้นทันที
“ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปจะต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ นี่เป็นลูกของท่านทูตนะ! ถ้าเกิดอะไรขึ้นเจ้าจะรับผิดชอบไหวรึเปล่า!” นายทหารหนุ่มเบิกตาขึ้นกว้างอย่างตกใจ เป็นถึงภรรยาที่กำลังอุ้มท้องลูกของท่านทูต หากเกิดเหตุอันใดขึ้นมาคงไม่วายพาโชคร้ายมาถึงตัวเป็นแน่ คิดดังนั้นแล้วจึงร้องตะโกนออกคำสั่งให้ทุกคนเปิดทาง รีบปล่อยเกี้ยวให้เคลื่อนตัวต่อไปได้สะดวกยิ่งขึ้น
“ข้าไม่รู้..จะตอบแทนท่านอย่างไรดี สำหรับทาสต่ำต้อยเช่นข้า.. ที่ทำให้เสื้อผ้าอันสวยงามของท่านต้องแปดเปื้อน”
“ข้าไม่ได้แกล้ง เมื่อครู่นี้ข้าไม่ไหวจริงๆ ไม่ใช่ข้าหรอกนะ..เด็กคนนี้ต่างหากที่ช่วยเจ้า”
นายหญิงชินแย้มยิ้มอ่อน ฝ่ามืออุ่นเลื่อนลงลูบที่หน้าท้องของตนเองอย่างรักใคร่ ก่อนจะเงยใบหน้าขึ้นมองนางกบฏที่กำลังถูกหมายหัวตามจับอย่างเมตตา
อารียกรอยยิ้มขึ้นเมื่อมองหน้าท้องนูนของนายหญิงก่อนจะเอ่ยคำชื่นชมท่ารกน้อยในท้อง
“ช่างเป็นเด็กชายที่งดงามจริงๆเจ้าค่ะ”
“เจ้าบอกว่าเด็กคนนี้เป็นชายหรือ..ฮ่ะๆ นี่ข้าได้ลูกชายอีกแล้วงั้นหรือ” นายหญิงหัวเราะ ใบหน้างดงามนั้นประดับด้วยรอยยิ้มกว้างมากขึ้นกว่าเก่า อารียิ้มพลางพยักหน้าตอบคำถามนั้น
“เจ้าค่ะ”
“ที่เขาว่าเจ้าเป็นธิดาเทพ ก็เป็นตามจริง ข้าอยากจะให้เด็กคนนี้ได้รับพลังวิเศษด้วย เป็นความบังเอิญจริงๆ”
“เจ้าค่ะ ชะตาของเขาจะมั่งคั่ง..เป็นบุรุษที่แตกต่าง..แหวกม่านประเพณีด้วยความรักอันยิ่งใหญ่” ด้วยสัมผัสพิเศษนั้น ภาพต่างๆของเด็กน้อยในครรภ์ตีสะท้อนขึ้นให้นางธิดาเทพเห็น ภาพที่มีความสุข จนกระทั่งภาพที่รังสีแห่งความโชคร้ายเข้ามาเยือน นางธิดาเทพยืนนิ่ง ดวงตาสั่นระริกนั้นคลอด้วยหยาดน้ำบางๆเมื่อเห็นชะตากรรมของคุณหนูน้อย ดูผิดสังเกตจนนายหญิงเอ่ยทัก
“มีอะไรงั้นหรือ?”
“ไม่..ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ ข้าแค่รู้สึกมึนหัวนิดหน่อยเท่านั้น”
“เจ้าอยู่ตัวคนเดียวจะเป็นอะไรหรือเปล่า”
“ข้าไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะนายหญิง ขอท่านอย่าได้กังวลไปเลย ความเมตตาของท่านในวันนี้ ข้าจะขอจดจำไว้ในเบื้องลึกของหัวใจข้า”
“ถึงตัวข้าจะไม่ใช่ธิดาเทพ แต่ข้าก็ดูคนเป็น ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่คนเลว” ความตื้นตันใจมีถี่ล้นนักในความรู้สึกจนกลั่นเป็นหยดน้ำใสไหลออกจากขอบตาของนางธิดาเทพเมื่อจบประโยคนั้นของนายหญิง อารีก้มตัวลงโค้งคำนับ ทำความเคารพผู้มีพระคุณที่สุดของชีวิต ทอดสายตามองเกี้ยวของนายหญิงที่กำลังจากไป
“นายหญิง..แม้ว่าตัวข้าจะตาย ข้าก็จะปกป้องลูกของท่านเจ้าค่ะ..” พูดให้คำมั่นสัญญากับตนเองแม้สตรียศสูงผู้มีพระคุณนั้นจะไม่ได้ยินก่อนจะประคองร่างกายเหนื่อยล้าของตนเพื่อที่จะกลับเข้าเมือง
แม้จะรอดมาได้ในคราแรก แต่หากสุดท้ายเหล่าทวยเทพและโชคชะตาขีดเส้นไว้เช่นไร จะหลีกหนีสักแค่ไหนก็ไม่อาจพ้น
เหล่ามือสังหารชุดดำเข้าล้อมรอบตัวนางธิดาเทพไว้จนครั้งนี้ไม่อาจหนีได้อีกแล้ว
ร่างกายที่อ่อนล้าเต็มทีในยามนี้ยิ่งแทบบุบสลาย นางนักโทษระโหยโรยแรงเต็มที ชุดนักโทษสีขาวเปรอะเปื้อนด้วยรอยเลือดที่ซึมออกจากรอยแผลที่ได้จากการทรมานอย่างไร้ซึ่งความปราณี จำต้องก้มหน้ารับโทษทัณฑ์ที่ตนหาได้เป็นคนก่อ
“คนบงการเจ้าคือใคร”
“ยันต์แผ่นนี้..ข้าไม่ทราบจริงๆ”
เค้นน้ำเสียงให้หลุดออกจากลำคออย่างยากเย็น เหลือบดวงตาปรือปรอยขึ้นมองขุนนางที่ชูแผ่นยันต์สีเหลืองขึ้นต่อหน้า หลักฐานมดเท็จของคนชั่วช้าที่เข้ารัดตัว
“ยังไม่สายเกินไป ขอเพียงเจ้ายอมสารภาพ ศพของเจ้าก็จะสมประกอบ”
“ข้าไม่เคยเขียนยันต์เครื่องราง..จะมีคนสั่งข้าได้อย่างไร”
“มีหลักฐานว่าเจ้าได้ร่วมมือกับกบฏอย่างแน่ชัด เจ้ายังจะปฎิเศษอยู่อีกหรือ!”
ดวงตาที่เคยปรือปรอยอย่างคนอ่อนแรงนั้นอาบด้วยม่านน้ำใสขอบตาแดงก่ำ แม้จะใกล้หลั่งน้ำตาแต่สายตานั้นกลับแข็งกร้าว ใบหน้าเชิดฉับขึ้นมองชายตรงหน้าอย่างไม่นึกเกรงกลัว
“เจ้าเพิ่งพูดว่ากบฏหรือ..ยังบอกว่าทิ้งหลักฐานไว้เจ้าที่ทำหลักฐานเท็จขึ้นมาเช่นนั้นใครถึงจะเป็นกบฏกัน!!”
“บังอาจพูดจาหลอกลวง! ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาใช่ไหม!!”
"ไอ้คนสารเลว! คิดหรือว่ามีข้าคนเดียวที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด คิดหรือว่าฆ่าปิดปากข้าแล้วเรื่องจะจบ ผิดแล้วไอ้คนชั่ว ยังมีเทพธิดาแห่งรัตติกาลที่เฝ้าดูเจ้าอยู่ เลือดของชายผู้นั้นไม่ใช่สิ่งเดียวที่ไหลชโลมลงบนคมดาบของเจ้าในค่ำคืนนั้น หากยังมีแสงจันทร์ทาบทอลงบนดาบของเจ้าด้วย คอยดูก็แล้วกัน สักวันแผนชั่วของเจ้าจะถูกเปิดโปงภายใต้แสงจันทร์ และแสงจันทร์นี่แหล่ะที่จะเอาชีวิตของเจ้าไป!!!"
“รอช้าอยู่ทำไม ทรมานนางเร็วเข้า!!”
เสียงกรีดร้องด้วยความทรมานดังลั่นกลางลานตัดสินโทษ ยอมเจ็บปวดจนวินาทีสุดท้ายแม้ตัวตายก็จะไม่ขอเป็นเครื่องมือของคนสารเลวเช่นนี้แน่! ดวงตาเกร็งเบิกกว้างขึ้น มือขาวซีดกำจิกเข้าเนื้อระบายความทรมานเหมือนกระดูกทั่วร่างกำลังเปราะหักก่อนที่สติสุดท้ายจะดับวูบลงไป
“อารี!..อารี..!” จางแจวอนเกาะประตูที่คุมขัง ส่งเสียงร้องเรียกร่างไร้สติของสหายรัก ใบหน้านั้นฉาบน้ำตาเมื่อเห็นสภาพของสหายตน
“ทำไมเจ้ามันถึงได้โง่ถึงเพียงนี้ ข้าเคยบอกเจ้าไว้อย่างไรบ้าง ข้าบอกแล้วว่ามันไม่มีประโยชน์!”
รีบกล่าวต่อว่าพร้อมเสียงสะอื้นเมื่อเห็นสหายของตนนั้นคืนสติพลางชันกายลุกขึ้นมาหาตน แจวอนตั้งใจรับฟังเสียงสั่นพร่าแหบแห้งของสหายที่เริ่มเค้นออกมาเป็นคำพูด
“อย่าร้องไห้เลย..ทุกอย่างเป็นความประสงค์ของพระเจ้า..”
“มีพลังวิเศษแล้วมีประโยชน์อันใด! มีอำนาจวิเศษแล้วมีประโยชน์อันใด! ในเมื่อข้าไม่สามารถที่จะช่วยเจ้าได้..เราไปหาฝ่าบาท ทูลให้พระองค์ทรงทราบ เจ้าและข้า..”
“มีเด็กคนนึงที่เจ้าจะต้องปกป้องแทนข้า ถึงแม้เวลาเข้าใกล้อาทิตย์จะเกิดภัยพิบัติ แต่โชคชะตาจะขีดเส้นให้เขาอยู่ใกล้พระอาทิตย์เพื่อปกป้อง..แค่ให้แน่ใจว่าเด็กคนนั้นจะปลอดภัย ปกป้องเขาแทนข้า”
“เด็กคนนั้น..เจ้าหมายถึงอะไร..”
“นี่เจ้า! ข้าบอกว่าครู่เดียวยังไง รีบออกมาได้แล้ว!” เสียงของทหารยามที่เพิ่งรับสินบนเปิดทางให้นางเข้ามาร้องเรียกพลางหันซ้ายหันขวาให้แน่ใจว่าจะไม่มีผู้ใดมาตรวจดูคุกในยามนี้
“เด็กคนนั้นเป็นใครกันแน่”
“ข้าจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน เจ้าจะต้องอยู่เพื่อปกป้องหาธิดาเทพ..”
“แล้วเด็กคนนั้น! เด็กคนนั้นเป็นใคร!..อารี อารี! เด็กคนนั้นเป็นใคร!”
รีบร้องถามเมื่อร่างทั้งร่างถูกดึงให้เร่งออกจากคุกนี้ไป ฝ่ามือที่จับกับสหายรักแนบแน่นก่อนหน้าค่อยๆคลายออกห่างกัน หยดน้ำใสไหลฉาบแก้มของสหายรักทั้งคู่
พรุ่งนี้แล้วแจวอน..ที่ข้าจะจากไป..สักวันนึงเจ้าจะรู้ว่าเด็กคนนั้นเป็นใคร ข้าหวังเพียงเจ้าจะปกป้องเขาจากอันตรายทั้งปวง..
เมื่อรุ่งสางของอีกวันเยือนมาถึง ร่างของธิดาเทพในสถานะนักโทษนอนนิ่งบนลานกว้าง ปล่อยให้เจ้าหน้าที่คล้องสายเชือกที่ผูกติดกับม้ามัดมือมัดเท้าตนอย่างไม่ขัดขืน เงยหน้าโรยแรงเปื้อนน้ำตานั้นขึ้นมองผืนฟ้าอย่างจำนนต่อชะตากรรม หากแต่ยังไม่ทิ้งนิมิตของสัมผัสพิเศษ
พระอาทิตย์กำลังแยกออกเป็นสองดวง ดุจภาพองค์ชายใหญ่และองค์รัชทายาทที่มีความรักกลมเกลียวกันอย่างพี่น้องพึงจะมี..และในนิมิตนั้นยังมีคุณหนูน้อยของนางอยู่ด้วยอีกคนหนึ่ง
พระอาทิตย์สองดวง..แต่พระจันทร์ดวงเดียวอย่างนั้นหรือ...ท่านทั้งสาม ขอจงอยู่รอดปลอดภัยด้วยเถอะเพคะ...
ตึง! ตึง! ตึง!
เสียงกลองดังเป็นสัญญาณแห่งชีวิตที่ใกล้ดับสูญ ร่างทั้งร่างค่อยๆลอยยกขึ้นเหนือผืนดิน ค่อยๆปิดเปลือกตาลง ปล่อยหยดน้ำตาหลั่งไหลแต่ใบหน้านั้นกลับเปื้อนยิ้มเมื่อทิ้งสุดท้ายมโนภาพจากสัมผัสธิดาเทพของตน
คุณหนูน้อยของข้า..ท่านได้ลืมตาดูโลกใบนี้แล้ว..
“ฮึก..อารี…” เสียงสะอื้นแผ่วเบาดังฝ่าความเงียบงันของรัตติกาล ความมืดมิดถูกแทนที่ด้วยแสงสว่างจากโคมไฟดวงน้อยส่องให้ร่างที่นั่งทรุดตัวน้ำตาอาบแก้มนั้นเห็นหลุมศพของสหายตนที่หมดลมหายใจไปไม่ข้ามวัน เอื้อมมือออกแตะลงบนเนินดินสูงนั้น ลูบไล้แผ่วเบาราวกับอยากส่งผ่านความปลอบประโลมไปให้ถึงร่างไร้วิญญาณข้างใต้
“เจ้าหลับให้สบายไม่ต้องกังวลสิ่งใด..สิ่งที่เจ้าขอข้าจะทำให้อย่างแน่นอน ข้าสัญญา” รำพึงรำพันกับหยาดน้ำตา พร้อมกับที่คำขอร้องก่อนตายนั้นลอยกลับเข้ามาในหัว
“มีเด็กคนนึงที่เจ้าจะต้องปกป้องแทนข้า”
สิ้นเสียงในความคิด นางธิดาเทพฝึกหัดเงยหน้าขึ้นบนท้องฟ้า เบนสายตามองไปยังพระจันทร์เต็มดวงแสนงามที่เปล่งแสงจ้าประกาย ส่งสื่อความหมายให้กับผู้มีสัมผัสรับรู้พิเศษเช่นนาง
เด็กคนนั้น..คือ....
คุยกันหน่อยจ้า สำหรับคนที่ไม่เคยดูซีรีย์เรืองนี้เนอะ ไรเตอร์แนะนำให้อ่านอินโทรน้า เพราะมันมีที่มาของอะไรๆเยอะอยู่เหมือนกัน
ขอบคุณที่หลงมาอ่านจ้าา 555
ความคิดเห็น