คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ....................
พรบทที่ 4 สวัสดิกะ และ เปลวเพลิงสีแดง
......................................................................
บรรดาสรรพสิ่งทั้งหลายบนโลกใบนี้ไม่เคยปรากฏว่ามีสิ่งใด ที่จะครบถ้วนสมบูรณ์แบบอยู่เสมอ ทุกอย่างต้องบกพร่อง เว้าแหว่ง คู่ขนาน หรือคู่ปรับตรงข้ามแม้ในธรรมชาติที่บรรจงแต่งเติมสร้างเสริมเพิ่มมาก็เป็นเช่นนี้ หลีกหนีกฎนี้ไม่พ้นเช่นกัน เป็นเช่นว่า มีร้อน ก็มีปรากฏตรงข้าม คือหนาว , มีช่วงเวลากลางวันอันเจิดจ้า ก็ มีช่วงเวลากลางคืนอันมืดมิด , แม้ในตัวมนุษย์ ซึ่งถือว่าสมบูรณ์แบบที่สุดแล้วในกระบวนการธรรมชาติ ถึงจะอยู่เหนือห่วงโซ่แห่งอำนาจทุกอย่าง ก็ยังบกพร่องอยู่เช่นกัน คือเมื่อมนุษย์สร้างความสุขขึ้นมาได้ แต่ความสุขนั้นไม่ได้อยู่เป็นนิรันดร์ ย่อมมีสักคราหนึ่งที่ต้องได้ลิ้มรสแห่งความทุกข์โศกบ้าง
แม้เทคโนโลยี จะก้าวพ้นขีดความเป็นไปไม่ได้ จนสามารถนำพาให้มนุษย์ดำเนินการตามความฝันได้ไม่สิ้นสุด จนกระทั่งพากันลุ่มหลงและศรัทธาในมันจนหมดสิ้น หลงลืมความศรัทธาที่เหล่าบรรพบุรุษปลูกฝังและสั่งสอนกันมาจนไม่เหลือแม้สักหนึ่งในส่วนเสี้ยวแห่งความคิด หลงลืมแม้กระทั่งว่า บรรพชนเหล่านั้นดำรงชีวิตและสืบเชื้อสายเผ่าพันธุ์กันบนความเชื่อศรัทธาในสิ่งใด? ผ่านช่วงระยะเวลาอันยาวนาน พันๆปี ได้อย่างไร?
แต่กระนั้น ความเชื่อ ความศรัทธาเหล่านั้น ก็มิได้ สมบูรณ์ ไร้ที่ติ โดยเช่นกัน
.....................................................
เที่ยงคืนบนยอดเขาสูง ที่หนึ่งบนโลกมนุษย์.........
“ ดวงดาว คู่ขนาน ได้เริ่มส่องประกายอย่างช้าๆแล้ว ตรงกับคำจารึกในคัมภีร์ ที่บันทึกเอาไว้ไม่ผิดเพี้ยนเลย......ต้องเร่งรีบไปรายงานต่อท่านจอมเทพ ให้ได้รับรู้แล้ว ” ชายในชุดคลุมสีดำคล้ายหนัง ตั้งแต่หัวจรดเท้า พึมพำขึ้นอย่างเบาๆ ก่อนเดินกลับเข้าภายในชั้นบนสุดของหอคอย ในขณะที่ลมเย็นยามดึกพัดโชยผ้าคลุมพลิ้วไหวส่งเสียงดัง พึ่บ พับ เบาๆ ตลอดเวลา ทำให้รอยปักสีแดงเข้มเหมือนสัญลักษณ์ สวัสดิกะ ที่ปักไว้ด้านหลังผ้าคลุมโผล่ให้เห็น ออกมาบางส่วน
เพียงครู่ ร่างนั้น ได้มายืนอยู่หน้าประตูไม้แบบ 2 บานปิดชนกัน ความใหญ่โตของประตู ทำเอาเจ้าของร่างในชุดคลุมเล็กกระจ้อยร่อยไปเลย 2 ข้างของประตูทางเข้า ได้วางไว้ด้วยกระถางคบเพลิงใบโตที่มีเปลวเพลิงลุกโชนอยู่ตลอดเวลา เพื่อส่องสว่างให้กับผู้ที่จะเข้าหรือออกจากประตู พื้นหน้าประตูเป็นแผ่นหินบ้างสีดำ บ้างสีเทา ปูเรียงรายสลับกันไป ทั้งบานประตู คบเพลิงและพื้นหิน เป็นสิ่งที่ไม่สามารถพบเห็นกันได้ง่ายนัก เป็นสถาปัตยกรรมที่คัดค้านกับยุคสมัยเป็นอย่างยิ่ง ทั้งหมดเมื่อมาอยู่รวมกัน สร้างความรู้สึกลึกลับวังเวง ยิ่งเป็นช่วงเวลารัตติกาลสีนิลเช่นนี้ ยิ่งขับเน้นสภาพแวดล้อมของพื้นที่ให้ลึกลับชวนขนหัวลุกเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว
มือขวาของชายในชุดคลุม ได้ยื่นออกไปเบื้องหน้า ฝ่ามือได้ทาบไว้กับบานประตูบานหนึ่งเบาๆ ต่อเสียงท่องบ่นอะไรสักอย่างดังออกมาเบาๆจากปากของชายปริศนา เพียงครู่เดียวบนผิวบานประตูไม้ เกิดริ้วรอยเรืองแสงสีแดงส้มวิ่งสลับชนกันไปมาทั้ง 2 บาน จนเกือบเต็มพื้นที่ของผิวบานประตูทั้ง 2 เมื่อรอยเส้นสุดท้ายได้มาบรรจบกันที่ตรงกลางรอยต่อระหว่างบาน ก่อเกิดเป็นรูปแปดเหลี่ยม(โป้ยข่วย : ยันต์ 8 ทิศของจีน)ที่มีอักขระโบราณเรียงรายกันอยู่ภายใน เมื่อรูปยันต์และอักขระโบราณปรากฏขึ้นอย่างสมบูรณ์ ทั้งหมดจึงเรืองแสงสว่างเพิ่มขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ก่อนบานประตูทั้ง 2 บานจะเปิดออกภายนอกเบาๆช้าๆ พร้อมกับแสงสว่างสีขาวนวลภายในที่ส่องออกมา ช่องว่างประตูเพียงพอให้กับผู้ชายร่างกายใหญ่โตเดินเข้าออกได้สะดวกไม่ติดขัด จึงได้หยุดลง
หลังบานประตูใหญ่โตนั้น เป็นห้องโถงขนาดใหญ่เทียบได้กับสนามฟุตบอลจำนวน 6 สนามมาเรียงต่อกัน พื้นผิวยังคงเป็นแผ่นหินเหมือนเดิม แต่ที่สร้างความแตกตื่นให้กับผู้มาเยือนนั้น คือ พื้นที่ดังกล่าวมีรูปปั้นนักรบโบราณพร้อมอาวุธและชุดเกราะ ยืนอยู่เต็มไปหมดนับได้เป็นพันๆตัว ไข่มุกที่ฝังไว้บนเพดานจำนวนมากได้ช่วยให้ผู้มาเยือนมองเห็นทุกสัดส่วนของพื้นที่ได้สะดวกยิ่ง
ชายในชุดปริศนาหาได้ตกใจกลัวหรือแปลกประหลาดใจไม่ ดั่งกับว่าได้พบเห็นมาบ่อยครั้งจนชินตา เขาเดินไปยังตรงกลางห้องโถงใหญ่ ที่มีช่องทางเดินซึ่งเว้นไว้โดยรูปปั้นเหล่านนั้น สุดช่องทางเดินเป็นบันได้หินกว้าง จำนวน 19 ขั้น เท้าทั้ง 2 ข้างก้าวขึ้นบนบันไดไปโดยไม่ลังเล ไม่ทันที่จะถึงขั้นบันไดชั้นบนสุด ใบหน้าของเขาก็ปะทะกับความร้อนของอากาศภายในจนรู้สึกอึดจนแทบหายใจไม่ออก เหงื่อเม็ดเล็กๆเริ่มปรากฏทั่วใบหน้า แสงสีแดงส้มสว่างเจิดจ้าชอนไชเข้าสู่สายตา และยิ่งเดินลึกเข้าไป ความร้อนของอากาศยิ่งทวีความร้อนแรงเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว เนื้อตัวแทบทนไม่ไหวคล้ายจะโดนเผาไหม้เป็นจุล เขาเดินไปยังพื้นหินที่ได้รับการแกะรอยเป็นรูป สวัสดิกะ และค่อยๆนั่งลงคุกเข่าทั้ง 2 ข้างยังตรงกลางรอยสลัก พร้อมกับก้มลงเอาหน้าผากแตะชิดพื้นหิน โดยมือทั้ง 2 ข้างค้ำพยุงร่างส่วนบนไว้ใกล้กับศรีษะ “ ข้าน้อย เทวทูตลำดับที่ 8 Taksinon ขอคารวะท่านจอมเทพ ” คำกล่าวอันแผ่วเบากล่าวแสดงความเคารพต่อบุคคลและสถานที่เบื้องหน้า
“ อืมมมมมม.....ลุกขึ้นเถิด Tak - si -non (: แท๊คซิน่อน) ผู้เป็นเทวทูตแห่งเรา ” สุ้มเสียงเบาแต่ทรงพลัง ดังราชสีห์ผู้เป็นใหญ่แห่งผืนทุ่งหญ้าคำรามเบาๆ กล่าวต่อ ผู้เป็นเทวทูต “ ท่านจงมากล่าวรายงานในสิ่งที่เรา ผู้เป็นจอมเทพของท่าน ได้มอบหมายไปปฏิบัติเถิด ”
“ ขอรับ ท่านจอมเทพ ” เทวทูตลำดับที่ 8 รับคำอย่างนอบน้อม ทันทีที่จอมเทพกล่าวคำอนุญาต อากาศที่ร้อนแรงปานไฟนรกได้มลายหายไปจนสิ้นเชิง เหมือนดั่งไม่เคยมีมาก่อน และความรู้สึกอบอุ่นประหลาดกลับปรากฏขึ้นแทน เขาได้ลุกขึ้นยืนพร้อมด้วยการเอามือปลดฮู๊ดคลุมหัวออก เผยให้เห็นใบหน้าอันขาวซีด คิ้วบางสั้น โครงหน้าแบบชาวเอเชียและผมสีน้ำตาลซึ่งยาวสยายอยู่ด้านหลัง
เบื้องหน้าของ แท๊คซิน่อน เทวทูตลำดับ 8 ตอนนี้ปรากฏสิ่งที่มองไม่เห็นดังเช่นเมื่อตอนเข้ามา นั้นคือ ห่างออกไปประมาณ 40 เมตร มีกระถางทองเหลืองขนาดใหญ่ เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณโดยเคร่าๆได้ 9 เมตร ภายในกระถางก่อไว้ด้วยกองไฟเปลวไฟอันรุ่มร้อนลอยโบกสะบัดขึ้นไปยังเบื้องบนไม่หยุดยั้ง พื้นที่รอบกระถางเป็นเช่นพื้นที่เข้ามา แต่ต่างกันที่ว่ามันเป็นหลุมลึกราวๆ 3 เมตร กว้าง 5 เมตร เป็นวงกลม
ถัดจากหลุมลึกออกไป มีกลุ่มคนปริศนาในชุดผ้าคลุมแบบเดียวกับเทวทูตลำดับ 8 นั่งเรียงกันเป็นวงกลมตามจุดตำแหน่ง 8 ทิศ ขณะนี้มีว่าง 2 ตำแหน่ง คือ ตำแหน่งทิศเหนือ กับตำแหน่งทิศใต้ คนเหล่านั้นคาดว่าคงเป็นเทวทูตที่เหลืออีก 6 คน ทุกคนเอาต่างเอาฮู๊ดของชุดคลุมหัวเอาไว้ จึงทำให้ไม่สามารถมองเห็นเค้าหน้าและลักษณะอื่นๆได้
“ เรียนท่านจอมเทพ ดวงดาวคู่ขนานบัดนี้ได้เริ่มส่องแสงประกายเจิดจ้าทีละนิดๆ แต่ความเจิดจ้ายังมีเพียงเล็กน้อย เมื่อเปรียบเทียบกับดวงดาวคู่ขนาดอีกดวงนึง ข้าน้อยคาดว่าอีกไม่เกิน 7 ราตรี มันคงส่องประกายสว่างเต็มที่และมีความเจิดจ้าเท่าๆกัน ขอรับ ” เทวทูตลำดับ 8 รายงานสิ่งที่มองเห็นต่อชายที่มีฐานะเป็นจอมเทพ ซึ่งนั่งอยู่บนบัลลังค์สูงใหญ่สีแดงประดุจหนึ่งโลหิต ฉากหลังบัลลังค์เป็นรูปเปลวเพลิงสีส้มเข้ม แผ่นเปลวกระจายออกรอบข้างเล็กน้อย ใจกลางเปลวเพลิงมีสัญลักษณ์สวัสดิกะติดเอาไว้ดูเด่นเป็นสง่า
บุรุษบนบัลลังค์ อยู่ในท่านั่งสมาธิสวมชุดคลุมสีแดงสด มีฮู๊ดคลุมปิดส่วนศรีษะเอาไว้ทั้งหมด จนไม่สามารถมองเห็นเค้าหน้าได้ “ อืมมมมม..........อีก 7 ราตรีกระนั้นหรือ หากเป็นดั่งเช่นนั้นจริง ราตรีที่ 7 ซึ่งตรงกับราตรีแห่งจันทร์เพ็ญ ข้าผู้นี้ก็บำเพ็ญภาวนามาครบ ทศมาสถ์แล้วกระนั้นสิและประกายแสงแห่งดาวคู่ขนานบัดนี้ ยังไม่สมบูรณ์คล้ายดั่งกับราวว่ารอกาลเวลาอันเหมาะสมและฟื้นตื่นตามกำหนด ณ ราตรีนั้น ตรงกับคำทำนายในคัมภีร์ไตรเวทย์ ที่ได้จารึกไว้พอดิบดี ” จอมเทพที่นั่งฟังคำรายงาน ขบคิด
“ แท๊คซิน่อน เทวทูตแห่งข้า ...เจ้าจงเข้าบำเพ็ญเพียรร่วมกับเทวทูตอื่นๆเถิด อีก 7 ราตรีค่อยฟื้นตื่นขึ้นมาเพื่อร่วมปฏิบัติการอันยิ่งใหญ่ ซึ่งข้าและเหล่าเทวทูตดั่งเจ้า ได้ร่วมกันเตรียมการเอาไว้พร้อมแล้ว กาละเวลาแห่งเหล่าเราใกล้จะมาถึงแล้ว ” จอมเทพกล่าวต่อเทวทูตเบื้องหน้า
“ พวกเจ้าเหล่าเทวทูตทั้ง 7 ตนเอ๋ย....จงได้กระทำความเพียรเถิด อีก 7 กาละราตรี เหล่าเราจะร่วมกันปฏิบัติภารกิจสุดท้ายให้ลุล่วง สมดั่งที่รอคอย.......กาลเวลาอันใกล้นี้ ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะเป็นของเหล่าเรา และเราจักได้เป็นผู้อยู่สูงสุดแห่งมวลมนุษย์ชาติ..........หึหึหึหึหึหึ ” ผู้ซึ่งได้ชื่อว่า จอมเทพกล่าวต่อเทวทูตทั้งหมด ภายหลังที่เทวทูตลำดับที่ 8 ได้นั่งลงสู่ที่ประจำแห่งตนแล้ว
“ ขอรับ/ค่ะ ท่านจอมเทพ......ท่านผู้อยู่เบื้องบนอันสูงสุดของเหล่าข้าผู้ด้อยและเหล่ามนุษย์ชาติทั้งหลาย ” เสียงรับคำดังขึ้นพร้อมเพรียงกัน
ทันทีที่คำกล่าวจบ เปลวไฟในกระถาง ได้สั่นไหวเล็กน้อยแล้วลุกโชติช่วงร้อนแรงยิ่งกว่าเดิมหลายเท่าตัว เหมือนดั่งราวกับว่า ยินดีและผยองในคำกล่าวของจอมเทพและเทวทูต
๑......................................................................๑
ความคิดเห็น